“ทำงานกับไอ้ธรรศเป็นยังไงบ้าง โอเคไหม”
สลักจันทร์วางมือจากแบบบ้านที่กำลังแก้ให้ลูกค้ารายหนึ่งของบริษัท ก่อนเงยหน้ามองรุ่นพี่ร่วมออฟฟิศที่เดินเข้ามาเอ่ยถามเธอด้วยความห่วงใยในช่วงบ่ายของวันทำงาน
“ก็ดีค่ะ” หญิงสาวตอบรับแกนๆ ด้วยความเกรงใจ ไม่กล้าบอกปวีร์ว่าเธอกับเพื่อนของเขาดูเหมือนจะเข้ากันไม่ค่อยได้
คนช่างสังเกตเกาคาง ยื่นหน้า หรี่ตามองอย่างรู้ทัน
“ดี? แล้วทำไมทำหน้าแบบนี้ล่ะ”
หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“จันทร์ทำหน้ายังไงคะ”
“แบบนี้ไง” คนพูดย่นหน้าทำตาชี้ สาธิตให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอทำเช่นไร
“จันทร์ทำหน้าน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“น่าเกลียดกว่านี้อีก” ปวีร์พูดไปหัวเราะไป
“พี่วีร์!” สลักจันทร์ทั้งฉุนทั้งขำ “พูดแบบนี้จันทร์เสียหายหมด”
ปวีร์ยิ้ม ก่อนวกเข้าเรื่องเก่า
“ไอ้ธรรศมันไม่ได้แผลงฤทธิ์ใส่เอาใช่ไหม”
รุ่นพี่หนุ่มพูดอย่างรู้จักเพื่อนสนิทของตนดี สลักจันทร์จึงเลือกที่จะเอ่ยตามความจริง
“นิดหน่อยค่ะ”
“ทนไหวไหม”
“ทำไงได้ จันทร์หลวมตัวเซ็นสัญญาไปแล้ว คงต้องเดินหน้าลุยอย่างเดียวค่ะ”
“ดีแล้ว...อดทนไว้นะ” ปวีร์ตบไหล่รุ่นน้องสาวเบาๆ พร้อมเอ่ยถาม “รู้ไหมทำไมพี่ถึงแนะนำงานนี้ให้จันทร์”
พอเธอส่ายหน้า ปวีร์ก็ยิ้มกว้างขึ้น แล้วเฉลย
“เพราะจันทร์เหมาะกับงานนี้”
คนฟังเลิกคิ้ว ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ ทว่าไม่เอ่ยถาม รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ แต่ก็ไม่มี
“เหตุผลสั้นๆ แค่นี้เองเหรอคะ”
“หนุ่มวิศวะไม่ชอบพูดมาก จันทร์ก็รู้นี่นา”
“ยกเว้นพี่วีร์ที่พูดเก่งมากกก”
“จันทร์มีความสามารถน่ะ” จู่ๆ ปวีร์ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังอีกครั้ง
“สิ่งสำคัญที่สุดถือเป็นหัวใจของการออกแบบบ้านคือการอ่านความรู้สึกของเจ้าของบ้าน แล้วถ่ายทอดมันออกมาเป็นรูปร่างบนกระดาษเหมือนที่เจ้าของบ้านฝันไว้ โดยไม่ลืมรากฐานที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด นั่นก็คือความคงทน จันทร์มีทั้งสองสิ่งนั้นอย่างเต็มเปี่ยม
“จันทร์ออกแบบบ้านด้วยหัวใจ จันทร์ไม่เคยละเลยความต้องการของเจ้าของบ้าน และไม่เคยมองข้ามความปลอดภัย คงไม่มีใครอยากอยู่ในบ้านที่พร้อมจะพังลงมาได้ทุกเมื่อหรอก เพราะแบบนี้ไงล่ะพี่ถึงไว้ใจจันทร์ จันทร์เก่ง มีทั้งหัวศิลปะและวิทยาศาสตร์รวมกัน พี่มั่นใจว่าจันทร์จะออกแบบบ้านที่อบอุ่นสมบูรณ์ให้แก่เพื่อนพี่ได้”
สลักจันทร์ทำหน้าทึ่งแกมประหลาดใจ ก่อนจะล้อเลียนอีกฝ่ายขำๆ ปนซาบซึ้งใจ
“ไหนพี่วีร์บอกว่าหนุ่มวิศวะไม่ชอบพูดมากไง ที่ร่ายมาเนี่ย...ยาวเหยียดเลย แต่ก็ขอบคุณนะคะที่พี่วีร์เชื่อมั่นในตัวจันทร์”
“ทำให้เต็มที่ ถือว่าเป็นการตอบแทนพี่ละกัน”
“ถ้าอดทนอะไรได้ จันทร์จะอดทนทุกอย่างค่ะ”
“แสดงว่าไอ้ธรรศมันเรื่องมากกับเราน่าดู”
“ก็...ประมาณหนึ่งค่ะ”
“ไว้พี่จะเตือนให้มันเพลาๆ ลงบ้างนะ”
สลักจันทร์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และขอบคุณไปในตัว ตั้งใจจะเอ่ยถามเรื่องงานต่อ แต่ปวีร์พูดขึ้นก่อน
“เรื่องวิศวกรออกแบบโครงสร้างหลัก จันทร์ไม่ต้องไปหาใครที่ไหนนะ พี่จะช่วยจันทร์ทำเอง เผื่อไอ้ธรรศมันดื้อ ไม่ยอมฟังที่จันทร์พูด พี่จะช่วยเป็นทัพเสริมคอยเถียงมันแทนให้เอง จันทร์คนเดียวเถียงมันไม่ทันหรอก” พลางขยิบตาให้อย่างขี้เล่น “ส่วนเรื่องค่าตอบแทน จันทร์เก็บไว้ ไม่ต้องมาให้พี่...”
“แบบนั้นก็เท่ากับพี่วีร์ทำงานฟรีน่ะสิคะ!”
“จันทร์จำเป็นต้องใช้มันมากกว่าพี่”
“แต่มันไม่ยุติธรรม” หญิงสาวค้าน “มันไม่ใช่ข้ออ้างที่จันทร์จะเอาเปรียบพี่วีร์”
ปวีร์รีบโบกมือบอกปัด
“อย่าคิดมากสิ มันเป็นความตั้งใจของพี่อยู่แล้ว”
“ความตั้งใจอะไรคะ”
“พี่ตั้งใจจะสร้างบ้านที่เป็นบ้านให้เพื่อนพี่คนนี้ บ้าน...ที่อบอุ่น มั่นคง ปลอดภัย บ้าน...ที่มันสามารถกลับมาซุกตัวนอนหลับได้อย่างสบายใจ บ้าน...ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องคอยวางมาดทำเป็นเก๊ก สวมหัวโขนเป็นสิบๆ อันเหมือนตอนที่มันนั่งเป็นประธานบริษัท ไอ้ธรรศเจออะไรมาเยอะ ผ่านปัญหาและอุปสรรคมามาก ถ้ามันเผลอทำอะไรเพี้ยนๆ ไปบ้าง จันทร์ช่วยหลับตาข้างหนึ่งหรือทำเป็นมองไม่เห็นได้ไหม พี่ไม่อยากให้จันทร์ถือโทษโกรธเคืองมัน
“ลึกๆ แล้วไอ้ธรรศไม่ใช่คนเลวร้าย แต่เพราะเคยเจอกับความผิดหวังและประสบการณ์แย่ๆ จนฝังใจ เลยบ่มเพาะทำให้กลายเป็นคนเย็นชา ไม่แยแสใคร พูดจาก็ไม่เห็นหัวคนฟัง นี่ถ้าจันทร์ได้รู้จักมันตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยละก็ จันทร์อาจไม่เชื่อก็ได้ว่ามันเป็นคนคนเดียวกับที่กวนประสาทจันทร์รึเปล่า”
“คนเราจะเปลี่ยนเหมือนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
พอพูดก็นึกขึ้นได้ จะว่าไป...พฤติกรรมแฟนหนุ่มของเธอก็ไม่เหมือนเดิมสักอย่าง แม้กระทั่งทัศนคติก็แปลกไป อย่างกับเป็นคนละคนกัน
ปวีร์ส่งยิ้มบางๆ
"เวลามันเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างแหละจันทร์ แม้แต่ของแข็งๆ อย่างอิฐ อย่างปูน ยังแตกร้าวไปตามกาลเวลาโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ปล่อยไว้เฉยๆ มันก็เสื่อมไปตามสภาพเอง นับประสาอะไรกับก้อนเนื้อนิ่มๆ อย่างหัวใจล่ะ ถ้ามันมีอะไรมากระทบจนเกิดเป็นแผลเมื่อไหร่ ความรู้สึกของคนเราก็คงไม่เหมือนเดิม..."
หญิงสาวถึงกับอึ้งจัด นานๆ จะได้ยินคนที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจพูดอะไรจริงจังแบบนี้สักครั้ง
“วันนี้พี่วีร์พูดมีสาระจังแฮะ”
“นานๆ ทีก็เอากับเขาบ้าง เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่ามีหัวไว้คั่นหู”
สลักจันทร์หัวเราะกับคำพูดของคนช่างเปรียบเปรย
“ตกลงค่ะ จันทร์จะออกแบบบ้านคุณธรรศร่วมกับพี่วีร์ แต่เรื่องเงินนี่จันทร์คงต้องขอปฏิเสธ ไม่กล้าใช้หัวหน้า แถมยังจะให้จันทร์เชิดค่าแรงอีกต่างหาก บอกตรงๆ กลัวโดนไล่ออกค่ะ”
“ว่าไปนั่น” ปวีร์ขำ “เอาที่จันทร์สบายใจแล้วกัน ส่วนตัวพี่ยังยืนยันคำเดิม พี่อยากออกแบบบ้านให้ไอ้ธรรศเพื่อนพี่ แต่ถ้าบอกมันตรงๆ มันคงพูดเหมือนจันทร์ว่าไม่ให้พี่ทำฟรีๆ แน่ พี่เลยต้องอาศัยวิธีแนะนำรุ่นน้องฝีมือดีไว้ใจได้ แล้วแอบมากระซิบหลังไมค์แทน ถ้าจันทร์อยากช่วยพี่ จันทร์ก็ช่วยให้พี่ได้ทำตามความตั้งใจเถอะนะ ส่วนเงินที่พี่ให้จันทร์ไป พี่เชื่อว่าจันทร์คงไม่เอามันไปละลายกับเรื่องไร้สาระอยู่แล้ว”
“พูดแบบนี้ จันทร์ก็แพ้พี่วีร์พอดีสิ” สลักจันทร์ย่นจมูกใส่อีกฝ่าย
“จันทร์เอาเงินส่วนนี้ไปช่วยน้อง ส่วนพี่ได้ทำตามความตั้งใจ แฟร์ดีออก”
“แฟร์ตรงไหนคะ มีแต่จันทร์คนเดียวที่ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง”
“ใครบอก” ปวีร์เลิกคิ้ว “พี่ก็ได้ในสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ไง”
พอสลักจันทร์นิ่วหน้าไม่เข้าใจ ชายหนุ่มก็เฉลยข้อสงสัย
“พี่ก็ได้บุญทั้งจากไอ้ธรรศแล้วก็จันทร์ไงล่ะ ทำบุญร่วมกันไว้ ชาติหน้าเราจะได้กลับมาเจอกันอีก”
คนฟังอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“พี่วีร์มักน้อยเกินไปแล้วนะคะ” ก่อนจะปรับน้ำเสียงให้ฟังดูจริงจัง “แต่ยังไงจันทร์ก็เกรงใจพี่วีร์อยู่ดีค่ะ”
“มาก...น้อย...วัดกันตรงไหนล่ะ” ถามเหมือนไม่ต้องการคำตอบ เพราะเจ้าตัวเล่นพูดเอง ตอบเองเสร็จสรรพ “สำหรับพี่ แค่ได้เห็นรอยยิ้มดีใจกับหน้าตาที่ดูมีความสุขของคนที่พี่รักและห่วงใย พี่ว่ามันคุ้มมากกว่าเงินล้านเป็นไหนๆ”
หญิงสาวมีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ยังไม่ยอมรับความหวังดีของเขา เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
“แล้วถ้าจันทร์ดึงดันจะแบ่งส่วนของพี่วีร์คืนให้ได้ล่ะคะ”
ชายหนุ่มยักไหล่
“สิ่งที่พี่ตั้งใจจะทำให้สำเร็จก็แค่...เป็นหมัน!”
ที่สุดสลักจันทร์ก็ไม่อาจขัดความต้องการของปวีร์ได้ เธอจำใจตอบตกลง เพราะหาเหตุผลดีๆ มาหักล้างคนเจ้าคารมไม่ได้ เรื่องหว่านล้อมเกลี้ยกล่อมคนอื่นให้ยอมจำนน ปวีร์ชนะขาด แค่เขาลงทุนทำหน้าละห้อย ตาปรอย พูดขอร้องเสียงอ่อน เธอก็แทบไม่กล้าปฏิเสธแล้ว แต่สลักจันทร์ไม่ชอบเอาเปรียบใครเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงยื่นข้อเสนอกลับไป กว่าจะตกลงกันได้...
‘ถ้าพี่วีร์ไม่ยอมเอาสตางค์จริงๆ ก็ต้องให้จันทร์เลี้ยงมือใหญ่’
‘เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา พี่ชอบกินฟรีอยู่แล้ว’
ต่อให้ปวีร์เต็มใจ ไม่คิดมาก แต่หญิงสาวก็ยังอดละอายใจไม่ได้อยู่ดี เงินที่ควรจะเป็นของเขาใช่บาทสองบาทเสียเมื่อไร จะให้เธอริบค่าจ้างที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเขาจนหมดแบบง่ายๆ บอกตามตรง สลักจันทร์รู้สึกไม่สบายใจ...
คนคิดนิ่วหน้า นึกไม่ออกเลยว่าควรแก้ไขอย่างไรดี จะกลับคำตอนนี้ ปวีร์คงไม่มีทางยอมให้เธอทำแบบนั้นแน่ ลองว่าได้ตกปากรับคำหรือให้สัญญาอะไรกับเจ้าตัวออกไปแล้ว เขาไม่มีวันลืม แถมยังไม่ยอมให้เปลี่ยนใจด้วย สลักจันทร์รู้ดี ภายใต้ท่าทีเรียบง่าย สบายๆ ไม่เรื่องมาก ปวีร์ซ่อนความ ‘ดื้อรั้น’ เอาไว้อย่างเหลือล้น
ระหว่างที่เพียรคิดหาทางต่อรองกับรุ่นพี่หนุ่มสลับกับทำงานไปด้วย สลักจันทร์ไม่ทันสังเกตเลยว่าประตูห้องถูกเปิดออก จวบจนได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ๆ เธอจึงเอ่ยถาม
“ลุงมั่นเหรอคะ”
ถึงไม่เงยหน้าดู เธอก็มั่นใจว่าน่าจะเป็นคนขับรถของธรรศ เพราะตอนที่คุณลุงมารับเธอที่ทำงาน แกแนะนำตัว พร้อมกล่าวสิ่งที่เจ้านายฝากมาเสร็จสรรพ เห็นว่าธรรศติดรับรองแขกต่างชาติ เลยอาจจะมาคุยงานกับเธอวันแรกไม่ทัน จึงฝากเพียงเอกสารบางส่วนกับแบบที่เขาเคยเล่าให้ฟังว่าร่างไว้คร่าวๆ มาเท่านั้น
ตอนแรกที่เธอกางแผ่นกระดาษวางหราบนโต๊ะเขียนแบบ สลักจันทร์แทบจะเบ้ปาก ไหนบอกว่าเป็นแบบร่าง แต่นี่จะเรียกว่าโครงยังไม่ได้เลย มีแค่รอยขีดเขียนนิดๆ หน่อยๆ วาดห้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมบ้าง วงกลมบ้างแค่นั้นเอง แต่พอได้อ่านคอนเซปต์ที่เขาเขียนบรรยายไว้ตรงพื้นที่ว่างใต้รูปภาพของโครงร่างแต่ละห้อง หญิงสาวก็ปิ๊งมันขึ้นมาทันที
ถ้าไม่นับรวมความเรื่องมาก หยิ่งยโส ปากร้าย ชอบดูถูกคนของนายจ้างหนุ่มแล้วละก็ สลักจันทร์คิดว่าไอเดียบนกระดาษแผ่นนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่พอจะทำให้เธอมีใจนึกอยากจะทำงานกับเขา
สถาปนิกสาววางมือจากงาน เหลือบตามองปลายรองเท้าหนังหัวตัดอย่างดี คิดในใจว่านี่ไม่น่าจะใช่รองเท้าคนขับรถของผู้ที่เธอกำลังนินทาเขาอยู่เป็นแน่ แต่ยังไม่ทันจะได้เงยหน้าหาคำตอบ น้ำเสียงห้าวทุ้มทรงพลัง ฟังดูแตกต่างจากคุณลุงใจดีที่เธอได้พูดคุยด้วยเมื่อกี้ลิบลับก็ดังแทรกขึ้น เฉลยข้อสงสัย
“งานผมยากเกินไปหรือว่าคุณไม่มีสมาธิ...ฮึ ถึงได้เอาแต่นั่งทำหน้ามุ่ยแบบนั้น”
สลักจันทร์รู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่เห็นเขา
“ไหนว่าคุณติดธุระ มาไม่ได้”
คนถูกถามไม่ตอบ ปรายตามองกระดาษที่เธอขีดๆ เขียนๆ คอนเซปต์ไว้ต่อจากความคิดของเขา แล้วย้อนเธอกลับอย่างยียวน
“ไม่อย่างนั้นผมจะรู้เหรอว่าคุณทำงานไม่คุ้มค่าจ้าง”
“คุณธรรศคะ ดิฉันเพิ่งมาทำงานให้คุณวันนี้วันแรก ถ้าคุณคิดว่าแปลนมันจะเสร็จภายในสองสามชั่วโมงนี้ ดิฉันคงต้องขอให้คุณไปจ้างเทวดาแทนแล้วละค่ะ เพราะดิฉันเสกงานให้คุณรวดเร็วแบบนั้นไม่ได้ ดิฉันต้องใช้สมองคิด กลั่นมันออกมาค่ะ”
หญิงสาวจงใจเน้นเสียงหนักประโยคสุดท้ายอย่างนึกฉุน แต่คนฟังกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ไหนอวดสรรพคุณว่าเก่งนักเก่งหนาไงล่ะ”
“ดิฉันเป็นสถาปนิกค่ะ ไม่ใช่จิตรกรที่แค่วาดรูปบ้านสวยๆ แล้วส่งให้คุณไวๆ ดิฉันต้องเอาความรู้ด้านสถาปัตย์มาคำนวณผสมกับงานศิลป์ ถึงจะออกแบบบ้านให้คุณได้!”
“จะบอกผมว่าคุณเก่ง ไม่ทำงานลวกๆ ให้ใครงั้นสิ” ชายหนุ่มเหยียดปาก
“ถ้าคุณยังอยากได้บ้านดีๆ ก็ช่วยใจเย็นๆ แล้วให้เวลาฉันได้ทำงานอย่างสงบๆ ด้วยค่ะ”
ธรรศยอมยุติ เพราะสิ่งที่หล่อนพูดเป็นประโยชน์กับเขา ชายหนุ่มต้องการบ้านหลังใหม่ที่จะช่วยเยียวยาให้มารดากับน้องสาวของเขาอยู่ด้วยความสุขกาย...สบายใจ...
สิบกว่าปีมาแล้ว ตั้งแต่พ่อเขาเริ่มป่วยด้วยโรครุมเร้า ทั้งความดันโลหิตต่ำ เบาหวาน โรคไต แม่ไม่เคยปริปากบ่นถึงความทุกข์ยากในใจเลยสักคำ ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น จวบจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนที่พ่อจะจากไปเมื่อปีกลาย วันนั้นเขาถึงได้เห็นหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูไม่ขาดสายของท่าน
ตลอดช่วงมรสุมของชีวิตคู่ที่สามีนอนป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้หญิงที่ชื่อ ‘กัญญา’ ต้องตื่นตั้งแต่รุ่งสาง หุงหาอาหารและเตรียมมื้อเช้าสำหรับทุกคนในบ้าน ก่อนจะโบกมือเป็นกำลังใจให้แก่ลูกๆ ที่ออกไปทำหน้าที่ของตนในแต่ละวัน หลังจากนั้นเวลาส่วนตัวที่เหลือทั้งหมดท่านก็อุทิศให้แก่สามี โดยไม่นึกย่อท้อ
ทุกวัน...ท่านต้องทำกิจวัตร อาบน้ำ ป้อนข้าว ป้อนยา บางครั้งก็ต้องเก็บอุจจาระและปัสสาวะที่พ่อถ่ายทิ้งเอาไว้ เพราะลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ไหว ตกบ่าย...ท่านคอยนั่งอยู่ข้างกาย หาเรื่องพูดคุย หาหนังสืออ่านให้สามีฟัง หาเพลง หาหนัง ไว้ช่วยคลายเหงา แม้หลายคราวท่านจะพบว่าบิดาไม่ได้สนใจภาพเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเท่ากับเรื่องราวความฝันของตัวเอง แต่ท่านก็ยังคงเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ แล้วนั่งมองใบหน้าของสามีในยามหลับอย่างนั้นต่อไป ราวกับเวลาหยุดอยู่เพียงเท่านั้น...
เขายังจำภาพที่เห็นในบ่ายวันหนึ่งได้ติดตา สีหน้าของท่านฉายแววเศร้าสร้อย เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แววตายามที่มองพ่อดูหงอยเหงา แต่เพียงแวบเดียวที่ท่านเห็นเขา มารดาก็คลี่ยิ้มบางๆ ไม่แสดงความอ่อนแอให้เขายิ่งเป็นกังวลใจ
ยิ่งเห็น...ก็ยิ่งบีบหัวใจเขา แม้ท่านจะไม่พูด แต่เขาก็รู้...รู้ว่าในใจของท่านนั้นปวดร้าวเกินกว่าใครจะเข้าใจได้
แม่ของเขา...เป็นผู้หญิงที่มีความอดทน เข้มแข็ง ยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหน!
ท่านเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ที่ธรรศยกย่องให้เป็นศรีภรรยา
ท่านต้องผจญกับความเหนื่อยยากลำบากเข็ญใจ ทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส เมื่อต้องทนเห็นคู่ชีวิตที่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนอยู่ทุกค่ำคืนนอนกระเสาะกระแสะ เจ็บปวดทรมานทั้งทางกายและใจ ซ้ำร้ายท่านยังต้องกัดฟันต่อสู้กับความร้าวรานฝืนยิ้มให้ลูกชายที่ไม่เอาไหนอยู่ทุกเย็น...
ทั้งที่หัวใจของแม่จมอยู่ในอ่าวน้ำตา!
เวลานั้นเขายังเป็นแค่เด็กอมมือในสายตาของพวกเสือสิงห์กระทิงแรดที่เจนจัดในเวทีธุรกิจ พวกมันเห็นเขาเป็นแค่นักบริหารมือใหม่ อายุยังน้อย ความรู้อ่อนด้อย ไร้ประสบการณ์ ไม่มีเขี้ยวเล็บ แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีพันธมิตรทางการค้าเลยสักคน จึงมีแต่คนจ้องจะ ‘ฮุบ!’ กิจการที่เพิ่งขาดเสาหลักกันทั้งนั้น ธรรศต้องพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็นค่อยๆ หาลู่ทางพยุงสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ พร้อมๆ กับสร้างแขนขาทางธุรกิจเพิ่มเติม เพื่อความมั่นคงควบคู่กันไป
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด!
หลายครั้งที่เขาแสดงความอ่อนล้าออกมาต่อหน้าแม่ เวลาที่หลังชนฝา สมองตีบตัน คิดไม่ออกว่าจะแก้เกมธุรกิจอย่างไรดี ทุกครั้งแม่จะเดินมาใกล้ๆ นั่งข้างๆ คอยลูบหลังปลอบใจ แล้วพร่ำบอกกับเขาเสมอว่า...
‘ธรรศของแม่เป็นคนเก่ง ลูกมีสายเลือดนักสู้ของพ่ออยู่เต็มตัว อย่ากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคทั้งหลาย ไม่มีความล้มเหลวใดน่าละอายเท่ากับใจของเราที่ยอมพ่ายแพ้เอง...’
ท่านต่างหากล่ะที่เป็นคนเก่ง...ทั้งเก่งและแกร่ง!
เพราะมีรอยยิ้มของ ‘แม่’ ผู้หญิงที่เขาเคารพรักสุดหัวใจเป็นเสมือนหยาดฝนอันชุ่มฉ่ำชโลมใจ ทำให้หัวใจที่แตกระแหงแห้งผากชุ่มชื้น เรี่ยวแรงที่เคยหดหายฟื้นคืน ท่านมอบขุมพลังให้เขาลุกขึ้นยืนหยัดและก้าวต่อไปอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหว เขาจึงสามารถพาทุกชีวิตในบริษัทผ่านพ้นวิกฤตมาได้
วันนี้เขาอยากเป็นกำลังใจให้ท่านบ้าง แม้เพียงน้อยนิดเขาก็จะทำ เขาจะสรรหาทุกสิ่งที่ทำให้ท่านยิ้มได้
ยิ้ม...ที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
ยิ้ม...ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
และแน่นอนว่าสิ่งนั้นต้องปกป้องท่านจากความทุกข์ตรมใดๆ ทั้งปวง เขาจึงตัดสินใจจะสร้างบ้านหลังใหม่ให้ดี เพื่อเก็บความทรงจำใหม่ของท่านต่อจากนี้!
ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการให้แม่ลืมพ่อ แต่เขาไม่อยากเห็นสีหน้าเศร้าหมองของท่านทุกครั้งเวลามองไปรอบๆ บ้าน สถานที่ซึ่งยังคงเต็มไปด้วยความหลังสมัยพ่อเขายังอยู่ ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ธรรศเชื่อว่าแม่ยังคงจดจำทุกความทรงจำของพ่อได้ทั่วทุกอณู โต๊ะ เก้าอี้ตัวที่พ่อเคยนั่ง โซฟาตัวที่พ่อเคยนอน เตียง ผ้าปู แม้กระทั่งปลอกหมอน แม่เขาคงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพ่อไม่มีวันเลือน...
ฉะนั้น ‘บ้าน’ หลังใหม่นี้จะเป็นของขวัญจากเขา เป็นสิ่งที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดร้าวรานในหัวใจของท่านให้เบาบางลงได้ แม้จะต้องใช้เวลานานเป็นปี...เป็นสิบปี...เขาก็จะรอ เขาจะทำให้แม่ที่ยังคงจมอยู่กับความทุกข์นับจากวันที่พ่อจากไปกลับมามีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสอีกครั้ง ด้วยบรรยากาศใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม
“คิดว่ายากไปไหม”
จู่ๆ คนที่เผลอยิ้มละมุนออกมาก็เอ่ยปากถาม ทำเอาสลักจันทร์ที่แอบมองเขาอยู่ด้วยความประหลาดใจตั้งตัวแทบไม่ทัน
“อะไรคะที่ว่ายาก...”
“บ้าน...ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนอยู่มีความสุขน่ะ คุณทำได้ไหม”
ทีแรกสลักจันทร์คิดว่าอีกฝ่ายจงใจจะกวนประสาท หรือไม่ก็หาเรื่องดูถูกเธอเหมือนเคย แต่กลับผิดคาด สีหน้าจริงจังและน้ำเสียงที่ถามอย่างอ่อนโยน ทำให้สลักจันทร์คิดว่านี่ไม่ใช่การประชดกัน จึงตอบกลับไปอย่างมาดมั่น
“ดิฉันออกแบบบ้านตามใจผู้อยู่ค่ะ เคยบอกแล้วนี่คะว่าจะไม่ทำให้คุณเสียดายเงินสักสตางค์แดงเดียว”
“ไม่ใช่ผม” ธรรศส่ายหน้าช้าๆ ก่อนเบือนหน้าหนี ตั้งใจหลบตาคนที่จ้องมองมา เพราะกลัวว่าเธอจะสังเกตเห็นความอ่อนแอในใจ เรื่องเดียวที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว “ผมอยากให้คุณสร้างบ้านหลังนี้เพื่อผู้หญิงสองคนที่ผมรัก”
ไม่รู้ทำไมสลักจันทร์ถึงได้คิดว่าควรถามดีหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เป็นงาน ไม่ใช่ความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวเสียหน่อย เธอต้องทราบความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด ยิ่งรู้ทุกเรื่องได้ยิ่งดี จะได้ออกแบบบ้านตอบโจทย์ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าวาดฝันไว้ ทั้งที่ควรจะถามได้ง่ายๆ อย่างนั้น แต่ทำไมสลักจันทร์ถึงรู้สึกว่าถ้อยคำที่กำลังจะเอ่ยออกจากปาก มันยากจัง...
“คุณ...เอ่อ...จะสร้างบ้านหลังนี้ไว้เป็นเรือนหอเหรอคะ”
เป็นอีกครั้งที่ธรรศส่ายหน้า
“ผมจะแต่งงานกับผู้หญิงทีเดียวสองคนได้ยังไงกันล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด คล้ายกับเธอถามไม่คิด
“ก็เมื่อกี้คุณพูดว่าคนรัก” สลักจันทร์รีบแก้ตัว
“ไม่จำเป็นต้องตีความหมายในทำนองนั้นเสมอไปก็ได้นี่ ผมจะปลูกบ้านหลังใหม่เพื่อแม่กับน้องสาวผมเท่านั้น ผู้หญิงคนอื่นไม่มีสิทธิ์”
แวบหนึ่งในความคิด สลักจันทร์รู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าเท่มาก โดยเฉพาะแววตามุ่งมั่นยามที่เอ่ยถึงแม่และน้องสาว มันฉายชัดถึงความห่วงหาอาทรอย่างเปี่ยมล้น ซึ่งไม่มีใครเทียบเคียงได้ เขาพูดราวกับเป็นแฟมิลีแมนเต็มตัว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังพูดจาดูถูกดูแคลนเพศหญิงอย่างเธออยู่เลย
“ถ้าแฟนคุณมาได้ยินแบบนี้คงช้ำใจ!” เธออดเหน็บเขาไม่ได้
“ผมไม่เคยคิดจะพูดแบบนี้ต่อหน้าเขาอยู่แล้ว เลยไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้ไหม”
“คุณพูดเหมือนไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกของเธอเท่าไร”
หญิงสาวเพิ่งจะนึกชื่นชมชายหนุ่มอยู่หยกๆ แต่ต้องเบรกอารมณ์ตัวเองดังเอี๊ยด รู้สึกเสียใจขึ้นมานิดๆ ยังไม่ทันไร เขาก็แปลงร่างกลับมาเป็นนายจ้างจอมยโสคนเดิมอีกแล้ว มิหนำซ้ำเขายังเหยียดริมฝีปากออก มองเธอด้วยสายตาบางอย่าง ยากที่สลักจันทร์จะอธิบายได้ แต่เหมือนมีทั้งแววเย้ยหยัน สมเพช และความเจ็บปวดตีกันให้ยุ่งเหยิงอยู่ข้างใน
“สำหรับผม...จะผู้หญิงหรือความรัก ก็ไม่ใช่สาระสำคัญในชีวิต” ธรรศบอกอย่างไม่แยแส แล้วเปลี่ยนบทสนทนา วกกลับเข้าเรื่องงานทันที “เอกสารที่ผมฝากมาใช้ได้ไหม”
“ดีมากเลยค่ะ”
“ถามจริง” ธรรศมีสีหน้าแปลกใจนิดๆ ที่เธอมีรสนิยมตรงกับเขา
“บ้านแบบโมเดิร์น ทรอปิคัลเฮาส์ น่าจะเหมาะกับความชอบของคุณนะคะ”
“ที่ที่เป็นธรรมชาติ ให้คนแก่ได้ออกกำลังกาย ทำสวนพรวนดินบ้าง ผมต้องการแค่นั้น”
คนฟังหรี่ตาถาม
“ไหนคราวก่อนคุณบอกว่าขอเรียบหรูสมกับเงินสิบสองล้านไงล่ะคะ”
ธรรศกอดอก วางมาดเป็นนายจ้างเค็มเขี้ยวเต็มที่
“นั่นก็ยังคงอยู่ในข้อตกลง เผื่อสถาปนิกอย่างคุณสั่งสังกะสีมามุงหลังคาบ้านผมแทน แล้วบอกว่านี่แหละที่เรียบง่าย เป็นธรรมชาติ ผมไม่ต้องเสียเงินร้อยล้านไปฟรีๆ เพื่อให้คุณตุกติกขี้โกงผมหรอกหรือ”
“คุณนี่ไม่เคยมองใครในแง่ดีเลยสินะคะ” หญิงสาวค่อน พลางส่งค้อนให้ด้วยความหมั่นไส้
“เรื่องเงินเรื่องทองไม่เข้าใครออกใครนี่ ผมต้องระวังไว้ก่อน”
ไอ้ท่าทางยักไหล่เหมือนไม่แคร์ว่าคำพูดของตนจะทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจอย่างไรบ้างนี่แหละ ทำให้บางครั้งสลักจันทร์อยากจะตั้งหน้าตั้งตาเถียงกับเขาให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย จะได้ไม่ต้องคอยรับศึกรายวัน เธอขี้เกียจมานั่งตั้งสมาธิใหม่ทุกครั้ง กว่าจะปรับอารมณ์ให้หายหงุดหงิด แล้วคิดงานศิลปะออกมาได้อย่างดีเยี่ยม มันกินเวลาค่อนข้างนาน บางครั้งเสียเวลาไปเป็นวันๆ ก็ยังคิดไม่ออกเพราะความขุ่นใจ คนที่ไม่เคยลงมือทำคงไม่รู้หรอก ถึงได้ขยันหาเรื่องเธอทุกครั้งที่เจอกัน
“เอาเป็นว่าฉันจะทำงานของฉันให้เต็มที่และดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ก็แล้วกันนะคะ” หญิงสาวบอกตัดปัญหา
“ถ้านี่ไม่ใช่แค่คำสัญญาลมปาก แต่คุณตั้งใจลงมือทำจริงๆ ละก็ ผมจะขอบคุณมาก”
หญิงสาวแกล้งแบะปาก ให้เหมือนกับท่าทีอันแสนจะสุภาพที่เขามอบแก่เธอ
“ค่ะ ดิฉันจะออกแบบบ้านคุณให้เพอร์เฟกต์เลย!” เธอจงใจกระแทกเสียงหนักๆ “งั้นขออนุญาตเริ่มสัมภาษณ์คุณเจ้าของบ้านก่อนเลยแล้วกันนะคะ ดิฉันจะได้ทราบข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็น อย่างเช่นว่าบ้านคุณอยู่กันกี่คน ผู้ใหญ่เท่าไร มีเด็กไหม คนแก่อายุเท่าไร ขาแข้งยังแข็งแรงดีไหม พอเดินเหินขึ้นบันไดได้รึเปล่า ดิฉันจะได้คำนวณห้องถูกว่าควรมีกี่ห้อง แล้วจะให้ใครอยู่ชั้นไหน คุณอยากได้สวนแบบไหน จะตั้งตรงไหนดี ชั้นล่าง หน้าบ้าน หรือดาดฟ้า ทุกอย่างคือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และดิฉันควรต้องรู้อย่างละเอียดค่ะ”
“งั้นก็ลุกขึ้น”
“คะ!”
ยังไม่ทันได้คำตอบหรือถามอะไรเพิ่มเติม คนสั่งก็เอื้อมมือคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนเธออย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว มารู้อีกทีเธอก็ถูกเขาดึงให้ลุกขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะมายืนอยู่เคียงข้าง พลางเลื่อนมือลงมาเกาะกุมมือเธอแล้วกล่าว
“ผมยังไม่ได้กินข้าว พอดีลูกค้ามีธุระต้องไปทำต่อ ผมเลยรีบบึ่งมา ข้างๆ นี้มีโรงแรมอยู่ ค่อนข้างหรู แต่คุณไม่ต้องกลัวนะว่าผมจะปล่อยให้คุณนั่งมองปาก ไปคุยงานกันที่นั่น เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”
คนเอาแต่ใจไม่ถามความสมัครใจกันเลยสักนิด รีบดึงมือเธอให้สาวเท้าก้าวตามไปทันที ราวกับว่าถ้ารอช้ากว่านี้อีกสักนาที ‘ไส้’ ของเขาจะบิดตัวจนขาดอย่างนั้นแหละ
ถ้าหิวมากขนาดนั้น...ทำไมไม่หาอะไรกินมาก่อนล่ะ
หรือว่า...กลัวจะเสียเวลา ‘กวน’ ประสาทเธอเล่น!
สลักจันทร์แอบเบ้ปากใส่คนที่เดินนำหน้าเธออยู่ ทีแบบนี้ละไม่เห็นบ่นเลยว่าเสียเวลา แทนที่เธอจะได้รีบคุย รีบคิด รีบทำงานให้คืบหน้าไวๆ กลับกลายเป็นว่าต้องไปนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนเขาแทนเสียนี่
เธอขี้เกียจไป!
และคงจะยิ่งกลืนอะไรไม่ลง ถ้ารู้ว่ามีใครบางคนรอเธออยู่ที่นั่น!
ความคิดเห็น |
---|