2

เพียงความปรารถนา

 

เพียงความปรารถนา

 

สองอาทิตย์ถัดมา หลังจากเซ็นสัญญาว่าจ้าง ‘ออกแบบบ้าน’ สลักจันทร์ก็เดินทางมาดูที่ดินสำหรับปลูกบ้านพร้อมผู้เป็นเจ้าของในเขตชานเมืองแห่งหนึ่ง วันที่มีการนัดเซ็นสัญญาและรับทราบข้อตกลง รวมทั้งขอบเขตงานทั้งหมด หญิงสาวไม่มีโอกาสได้เจรจากับธรรศโดยตรง เขาส่งเลขาฯ ผู้ร่างเนื้อหาในสัญญามาคุยด้วยเท่านั้น เพราะเจ้าตัวติดงานต้องเดินทางไปพบปะคู่ค้าคนสำคัญอีกที่หนึ่ง

ทีแรกเธอรู้สึกโล่งใจนิดๆ ที่ไม่ต้องเจอหน้าเขา ยอมรับว่าตบะยังไม่แก่กล้า ยังฝึกความอดทนได้ไม่ดีพอ ถ้าให้เจอลูกค้าประเภทโลเลขอแก้แบบจนวุ่นวายเวียนหัว เธอไม่เคยหวั่น หรือต่อให้บางรายแรกเริ่มอาจมองเธอแปลกๆ ไม่ค่อยเชื่อมือ เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิง เธอยังพอเข้าใจ หาทางรับมือไหว แค่ทำงานให้ดี ให้ลูกค้าเห็นฝีมือ ผลงาน และความตั้งใจ เพียงไม่นานความแคลงใจก็จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นความไว้ใจได้

แต่กับคนที่พร้อมจะเกลียดขี้หน้ากันได้โดยไม่รู้สาเหตุ ไม่มีที่มา แม้เพียงแรกพบอย่างเขานี่น่ะสิ! เธอไม่รู้วิธีรับมือเลยจริงๆ ซ้ำยังนึกไม่ออกเลยว่าจะสามารถทำงานร่วมกันตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร

สลักจันทร์กลัวว่าผลลัพธ์ที่คาดหวังคงไม่ได้มาง่ายๆ อย่าว่าแต่จะพูดคุยหรือตกลงกันดีๆ เลย ธรรศ ธุวานนท์ จะต้องทำให้เธอหัวเสียก่อนเริ่มอ่านเนื้อหาในสัญญาเสียด้วยซ้ำ แล้วในที่สุดก็คงจะเป็นตัวเธอเองนี่แหละที่อาจเปลี่ยนความคิด ปฏิเสธงาน เพราะไม่อยากเจอหน้าคนกวนประสาท

ฉะนั้นการพูดคุยกับคนอื่น อย่างน้อยคงจะทำให้การตกลงราบรื่นมากกว่า...เสียที่ไหนล่ะ!

สลักจันทร์คิดผิดถนัด ทันทีที่เห็นเอกสาร เธอก็รู้ว่าสัญญาฉบับนี้คงไม่ธรรมดา เพราะจะมีบันทึกข้อตกลงว่าจ้างออกแบบบ้านประเทศไหน ‘หนา’ เป็นปึกอย่างที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าบ้างล่ะ

เธอมั่นใจเลยว่า...ไม่มี!

ธรรศ ธุวานนท์ เขี้ยวสมกับเป็นนายจ้างหน้าเลือดเสียจริง ขนาดตัวเขาไม่มา ยังอุตส่าห์ฝากสัญญาทาสมาให้เธอร้อนๆ หนาวๆ ได้ นี่ใจคอเขาตั้งใจจะเล่นงานเธอให้สาสมหากเกิดความผิดพลาด ครอบคลุมไปถึงพ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิทและมิตรสหายของเธอครบทุกคนเลยหรือไง ทำไมมันถึงได้หนานัก เท่าที่ลองกะดูจากสายตา สลักจันทร์คิดว่าจำนวนหน้ากระดาษคงไม่ต่ำกว่าห้าสิบหน้าแน่ๆ

เธอว่าเขาบ้า!

แต่พอเริ่มอ่านเนื้อหา...สลักจันทร์ถึงเพิ่งรู้ว่าเขา ‘บ้า’ มากกว่าที่เธอคิดหลายเท่านัก!

คนปกติที่ไหนจะระบุในสัญญาว่าผู้รับจ้างจะต้องออกแบบบ้านต่อหน้าผู้ว่าจ้าง ในสถานที่ที่ผู้ว่าจ้างได้ระบุไว้ทุกครั้ง หากมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ปฏิบัติงานกะทันหัน ผู้ว่าจ้างสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ผู้รับจ้างทราบล่วงหน้า

นี่มันเงื่อนไขพิลึกอะไรกัน แบบนี้ไม่ใช่ทำงานร่วมกันแล้วละ...เหมือนเป็นการลิดรอนสิทธิส่วนบุคคลมากกว่า

สลักจันทร์เกือบจะปิดสัญญาตั้งแต่ข้อแรกที่พบว่าเขาเอาเปรียบเธอมากแค่ไหน ทว่าความอยากรู้ลึกๆ ภายในใจของตัวเองเวลานั้น ผลักดันให้หญิงสาวพลิกกระดาษในมือเปิดอ่านตัวอักษรหน้าถัดไป

ว่ากันว่าคนเราจะคบกันได้ ต้องมีลักษณะนิสัยหรือความชอบบางอย่างคล้ายคลึงกัน แต่สำหรับธรรศกับปวีร์ สลักจันทร์อดฉงนสงสัยไม่ได้ ผู้ชายสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันได้อย่างไร ไม่ใช่แค่นิสัยใจคอเท่านั้นที่แตกต่างกันมาก กระทั่งทัศนคติและความคิดยังแทบไม่ใกล้เคียงกันเลยแม้แต่นิด

ขณะที่รุ่นพี่ร่วมคณะของเธอเป็นคนโอบอ้อมอารี มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก แต่คนข้างกายที่นั่งบังคับพวงมาลัยอยู่นี้กลับเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวอย่างเหลือร้าย!

เห็นได้จากเนื้อหาในสัญญา ยิ่งอ่าน เธอก็ยิ่งสัมผัสได้ว่า...ธรรศ ธุวานนท์ คิดแต่จะเอาเปรียบกันทุกทาง!

เขาเจาะจงลงไว้ในกระดาษสัญญาที่เธอถือวันนั้นอย่างเด่นชัด ไร้ข้อสงสัย และไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้น ขอเพียงให้เขา ‘ได้’ ในสิ่งที่ตั้งใจไว้เป็นพอ ส่วนใครจะเป็นอย่างไร เดือดร้อนหรือไม่ จะเสียความรู้สึกหรือคิดกับเขาอย่างไร เขาคงไม่สนใจ ไม่เช่นนั้นเขาจะออกกฎมาได้ยังไงล่ะว่า ถ้าเธอขาดการติดต่อหรือขาดลามาสายเกินสามวัน เขาสามารถเอาผิดกับคนรอบตัวเธอได้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่แนะนำเธอมา ทำเอาสลักจันทร์อยากจะอ้าปากถามกับเลขาฯ ของเขาตอนนั้นเลยว่า...ขนาดเพื่อนรักอย่างปวีร์ เขายังคิดจะเอาเรื่องได้ลงคออีกหรือ

ช่างเป็นมนุษย์ที่ ‘แล้ง’ และ ‘ไร้’ หัวใจจริงๆ!

ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้น...เขายังระบุข้อตกลงเพียงฝ่ายเดียวลงไปอีกว่าสามารถแก้แบบกี่ครั้งก็ได้ จนกว่าผู้ว่าจ้างจะพอใจ หากเป็นคนที่นึกถึงความลำบากของผู้อื่นในการทำงานสักนิด คงไม่ร่างสัญญาออกมาแบบนี้แน่!

ถึงใจจะพร่ำบ่นด้วยความหงุดหงิด ไม่ชอบผู้ชายเขี้ยวลากดินคนนี้มาก...ถึงมากที่สุด แต่สุดท้ายคำตอบที่สลักจันทร์ให้ไว้แก่เลขาฯ ของเขาคือ ลายเซ็นของตัวเองที่ตวัดลงในแผ่นกระดาษหน้าสุดท้ายของสัญญา เพราะคำพูดที่เขาฝากเลขาฯ วัยกลางคนมาบอกเธอว่า

‘คุณธรรศฝากดิฉันมาบอกคุณหลังจากอ่านสัญญาจบแล้วว่า กรุณาคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจด้วยค่ะ เพราะสัญญาฉบับนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทดสอบคนใจเสาะ ธุวานนท์พรอพเพอร์ตีต้องการเฉพาะตัวจริงเท่านั้น คุณธรรศคิดว่าคุณอาจกลัวหรือลังเลไม่กล้าพอที่จะรับงานนี้ก็ได้ ถึงทางเราสามารถหาสถาปนิกเก่งๆ ได้อีกเป็นร้อยเป็นพันคนแทนคุณ แต่คุณธรรศขี้เกียจเสียเวลารอคนขี้ขลาดไม่มีความสามารถ แม้แต่จะประเมินว่าคุณสมบัติของตัวเองเหมาะสมกับงานชิ้นนี้ไหม ก็ยังอืดอาดยืดยาด คุณธรรศกลัวว่าขืนให้คนประเภทนี้มาออกแบบบ้าน กว่าจะได้ตอกเสาเอก คงต้องรอถึงชาติหน้า’

สาบานได้เลยว่าวินาทีนั้นเธอโกรธจนควันออกหู สมองอื้ออึงไปชั่วขณะ กว่าจะรู้ตัวอีกที ชื่อเธอก็ปรากฏอยู่บนกระดาษสัญญาเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับคำพูดแสบสันที่เธอฝากเลขาฯ กลับไปบอกคนที่ชอบดูถูกดูแคลนคนอื่นทันควัน

‘โชคดีนะคะที่ดิฉันไม่ได้เป็นคนขี้ขลาดเสียด้วย ดิฉันมีสปิริตและความรับผิดชอบมากพอ เพราะฉะนั้นคุณธรรศจะต้องได้ตอกเสาเอกภายในปีนี้แน่นอน ฝากบอกเขาด้วยนะคะว่าอย่าลืมหัดพูดคำว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” เอาไว้ให้คล่องปาก เพราะหลังจากที่ดิฉันเขียนแบบบ้านเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะต้องรู้สึกผิดและพอใจที่ได้เห็นมัน!’

สลักจันทร์จำได้ว่าเธอพูดเพียงแค่นั้นก็ลุกขึ้น ถือคู่สัญญาเดินเชิดหน้าออกจากบริษัทของเขาทันที ประหนึ่งว่าผู้เป็นเจ้าของนั่งอยู่ในห้องนั้น ได้เห็นปฏิกิริยาโต้กลับของเธอทุกอย่าง แม้ในความเป็นจริงเขาจะไม่ได้มีส่วนรับรู้หรือเห็นเลยก็ตาม แต่เธออยากให้เลขาฯ ของเขาเก็บไปรายงาน แล้วเธอก็เชื่อเหลือเกินว่า ‘ร่างทรง’ ของเขาในวันนั้นจะต้องทำอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด ตามประสาลูกน้องผู้ภักดี

หลังจากวันนั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ เลขาฯ ผู้ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมสมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับธรรศก็โทร. มานัดหมายเธอเรื่องดูพื้นที่การปลูกสร้างบ้าน เพราะต้องวัดจากขนาดจริง ดูสภาพหน้าดิน สิ่งแวดล้อมรอบๆ เพื่อเขียนแบบให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของนายจ้างจอมมากเรื่อง เธอถึงได้มานั่งอยู่ข้างๆ เขาในวันนี้ไงล่ะ

ตั้งแต่ขึ้นรถมาด้วยกัน เขาพูดกับเธอสั้นๆ เพียงคำเดียวตอนที่กำลังติดเครื่องยนต์ว่า เขากำลังจะพาเธอไปไหน หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ตั้งสมาธิอยู่กับท้องถนนหนทางเพียงอย่างเดียว ส่วนเธอก็คร้านจะซักไซ้ เพราะกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากเขา จึงนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง จนกระทั่งเห็นว่าเริ่มเข้าเขตที่เขาบอกไว้ สลักจันทร์จึงเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ใกล้ถึงรึยังคะ”

หญิงสาวพยายามซุกซ่อนความขุ่นเคืองที่ยังคั่งค้างไม่ให้หลุดออกไปจนเขาจับความรู้สึกเอาได้ เธออยากจะนั่งสงบๆ ขี้เกียจรบกับเขา แค่ทำงานของเธอให้ดีที่สุด เสร็จไวๆ แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไปดีกว่า เธอไม่อยากทนนั่งเป็นใบ้ อึดอัดอยู่แบบนี้นานๆ

“อีกสักพัก” เขาตอบโดยไม่หันมามองเธอ “คุณมีธุระอื่นต่อหรือ”

“ไม่มีค่ะ” หญิงสาวตอบโดยไม่มองเขาเช่นกัน ในเมื่อเขาทำได้ เธอก็ทำได้

แต่ถึงอย่างนั้น...หางตาก็แอบสังเกตเห็นเขาละความสนใจจากท้องถนน ปรายตามองมายังเธอนิดๆ ก่อนจะหันกลับไปเพ่งสมาธิอยู่ที่เดิม แล้วบอกกับเธอว่า

“ดี เพราะผมไม่ชอบให้ลูกจ้างที่ผมทุ่มเงินจ่ายมาแพงๆ แอบไปทำอย่างอื่น”

“ดิฉันรู้จักมารยาทพอ ไม่เคยรับงานซ้อนค่ะ” สลักจันทร์ยอกย้อน เมื่อคนที่นั่งข้างๆ เริ่มจะทำให้หัวเสีย

“คนเรารู้หน้า ไม่รู้ใจ จะเอาแต่ฟังคำพูดสวยหรูที่มนุษย์เรายกมาอวดอ้างสรรพคุณตัวเองได้เสียที่ไหนล่ะ”

‘แล้วคุณจ้างฉันมาทำไม...’

สลักจันทร์อยากจะโพล่งออกไปนัก แต่โชคดีที่ยังยั้งปากตัวเองไว้ได้ทัน

“ดิฉันยินดีให้เวลาคุณพิสูจน์ความสามารถของดิฉันยาวๆ ค่ะ”

เขาหันมาเลิกคิ้วให้เธอนิดหนึ่ง ก่อนจะถามกลับ

“ทำไม...คุณคิดว่าผมดูคุณผิดไป ก็เลยจะเอาชนะด้วยการงัดฝีมือทั้งหมดที่คุณมีสร้างผลงานให้ผมเห็นงั้นสิ นี่แหละวิธีตอกหน้าผมได้ดีที่สุด คุณคิดแบบนี้ ผมพูดถูกไหม”

สลักจันทร์เหยียดริมฝีปาก ทว่าสีหน้ายังคงนิ่งเฉย

“ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันคิดว่าคุณเป็นพวกสมองช้า แถมยังดูคนไม่ออกซะด้วย ก็เลยต้องให้เวลาคุณคิดนานหน่อย”

ผลของการหยามหน้ายั่วโมโหอีกฝ่าย ทำให้รถสปอร์ตคันหรูเบี่ยงเข้าข้างทางอย่างกะทันหัน ก่อนจะจอดสนิท เมื่อผู้เป็นเจ้าของเหยียบเบรกอย่างแรง จนเธอหัวทิ่มเกือบกระแทกเข้ากับแผงคอนโซลรถ เดชะบุญที่สลักจันทร์คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการโดยสารรถส่วนตัวของผู้อื่นหรือรถสาธารณะ ดังนั้นเลยรอดพ้นอย่างหวุดหวิด ไม่ต้องหัวปูดเป็นลูกมะนาวหรือได้แผลบนหน้าผากเป็นที่ระลึกในวันเริ่มงานวันแรก หญิงสาวจึงตวัดเสียงบอกคนที่ดูเหมือนตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นด้วยความโมโห

“ถ้าครั้งหน้าคุณจะจอด กรุณาแจ้งล่วงหน้าด้วยค่ะ ดิฉันจะได้รีบหาที่ยึดเอาไว้ก่อนที่จะหัวร้างข้างแตก!”

“คุณควรจะสงบปากสงบคำให้มากๆ” ธรรศเตือนเสียงเฉียบ “แล้วก็รู้ไว้อีกอย่างด้วย ผู้หญิงอย่างคุณไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งหรือพูดจาดูถูกผมแม้แต่คำเดียว!”

“งั้นนายจ้างอย่างคุณมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ทุกอย่างเพียงฝ่ายเดียวเหรอคะ”

คนที่ถูกประชดหันขวับ จ้องเธอนิ่งด้วยแววตาไม่พอใจ

“อย่าทดสอบความอดทนผม...สลักจันทร์”

“ดิฉันไม่ได้ทดสอบและไม่คิดจะกวนประสาทใครด้วย แต่อยากแจ้งให้ทราบอย่างหนึ่ง เผื่อคุณจะยังไม่รู้ ไม่ว่าใครก็ไม่ชอบโดนดูถูกกันทั้งนั้นละค่ะ ถ้าคุณต้องการให้ดิฉันปฏิบัติกับคุณดีๆ คุณก็ควรเรียนรู้ที่จะให้เกียรติดิฉันด้วย ไม่อย่างนั้นดิฉันก็จะปฏิบัติกับคุณเหมือนกับที่คุณทำกับดิฉัน โลกยุคนี้ต้องการความเสมอภาคทั้งทางความคิด อายุ ฐานะ และก็เพศค่ะ”

‘...เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าทำตัวคร่ำครึ คิดว่าผู้ชายเป็นใหญ่อยู่ฝ่ายเดียว!’

สลักจันทร์ยังอุตส่าห์ยั้งปากได้ทันอีกหน เมื่อเห็นว่าคนที่ถูกเธอวิจารณ์เริ่มเขยิบเข้ามาใกล้ ใบหน้าบูดบึ้งเหมือนยักษ์ท้องผูก เขาคงฉุนจัดที่เธอบังอาจไปค่อนแคะพฤติกรรมของเขาตรงๆ ใช่ว่าเธออยากจะพูดเสียเมื่อไร แต่นิสัยเขาแย่เกินจะรับไหวจริงๆ เขาคิดว่าทำแบบนี้แล้วเท่ สาวๆ จะกรี๊ดรึไง ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยพบไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนวางอำนาจ ทำตัวร้ายกาจได้น่าเกลียดเท่าเขามาก่อนเลย

“เก่งให้ตลอดนะสลักจันทร์”

ไม่มีการเตือนอีกเป็นครั้งที่สอง ใบหน้าคมคายจู่โจมเข้าหาพร้อมกับสองมือที่ตรงเข้าคุกคาม ข้างหนึ่งยันแผงคอนโซลรถ ส่วนอีกข้างวางพาดบนพนักเบาะตัวที่หล่อนนั่ง จงใจกักกันตีกรอบให้หญิงสาวอยู่ภายในอาณาเขตที่เขากำหนด ไม่ยอมให้หล่อนขยับตัวผละหนีเขาโดยง่าย

แม้สลักจันทร์จะตื่นตระหนกและหวั่นไหวอยู่ไม่น้อย ที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็พุ่งพรวดเข้าถึงตัวเธอในระยะใกล้ชิด ห่างกันแค่ไม่กี่คืบ จนกระทั่งได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คงจะเป็นน้ำหอมยี่ห้อดังโชยมาจากตัวเขา แต่ก็ยังคงเชิดหน้าจ้องชายหนุ่มไม่ยอมหลบตา และไม่เบือนหน้าหนีไปไหน เพียงเพราะคำพูดของคนตรงหน้าที่กล่าวกับเธออย่างท้าทาย

“เป็นอะไรล่ะ เงียบทำไม พูดต่อสิ”

“ดิฉันไม่มีอะไรจะพูด” เธอกระแทกเสียงตอบ

“ทีเมื่อกี้คุณยังพูดเจื้อยแจ้วต่อปากต่อคำกับผมไม่ยอมหยุดอยู่เลย ตอนนี้จะกลัวอะไรล่ะ”

“ดิฉันไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบที่คุณทำตัวรุ่มร่ามไม่ให้เกียรติดิฉันแบบนี้” เธอพูดพลางปรายตามองสองมือที่กักขังเธอเอาไว้คล้ายกับอยู่ในอ้อมแขนของเขากลายๆ อย่างไม่พอใจ

ธรรศกระตุกยิ้มหยัน

“ไม่เอาน่าสลักจันทร์ ผมรู้ว่าผู้หญิงที่เรียนในคณะสถาปัตย์อย่างคุณน่ะคุ้นเคยกับผู้ชายดีแค่ไหน เรื่องแค่นี้ไม่มีทางทำให้คุณตื่นเต้นหรือตกใจกลัวได้หรอก...จริงไหม”

สีหน้าของหญิงสาวพลันเข้มขึ้น เท่าที่ฟังเขาพูดจาเหยียดหยามดูถูกกันมาสารพัด เพิ่งจะมีครั้งนี้นี่ละที่เธอฟิวส์ขาด เขาเห็นเธอเป็นผู้หญิงประเภทไหน เป็นผู้หญิงใจง่ายที่นอนกับผู้ชายไม่เลือกหน้ารึอย่างไร นอกจากปากเสียแล้ว จิตใจเขายังสกปรกชอบคิดอกุศลมากกว่าอีกหลายเท่านัก

“คุณทำให้ดิฉันชักสงสัย...” สลักจันทร์เอ่ยสีหน้าเรียบเฉย ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด พยายามสะกดกลั้นความเดือดดาลเอาไว้สุดกำลัง รอจนกระทั่งอีกฝ่ายเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย จึงตอกกลับด้วยคำพูดเชือดเฉือนอย่างแสบสันไม่แพ้กัน

 “ดิฉันกำลังคิดว่าถ้าคุณไม่เคยถูกผู้หญิง โดยเฉพาะที่เป็นสถาปนิกหักอก คุณก็น่าจะไม่ถูกโฉลกหรือศรศิลป์ไม่กินกันกับคนหน้าตาแบบดิฉันเอามากๆ แต่ในเมื่อคุณตกลงจ้างดิฉันแล้ว ก็กรุณาแสดงสปิริตด้วยค่ะ คุณกำลังมีอคติกับดิฉัน และมันจะส่งผลเสียกับงานและบ้านที่คุณกำลังจะสร้าง ไม่อย่างนั้นดิฉันคิดว่าเราคงจะทำงานด้วยกันลำบาก”

“อย่าบังอาจมาสั่งสอนผม...สลักจันทร์!”

น้ำเสียงกร้าวกระด้างไม่แตกต่างจากดวงตาแวววาว มือหนาข้างที่ยันแผงคอนโซลรถอยู่คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนของเธอ ก่อนออกแรงบีบ เพื่อให้เธอสำนึกได้ว่ากำลังทำให้เขาไม่พอใจ แต่คนอย่างสลักจันทร์หรือจะยอมแพ้คนพาลอย่างเขา

“ทีคุณยังมีความรู้สึก เจ็บเป็น โมโหเป็น เวลาที่โดนคนอื่นเขาดูถูก แล้วฉันโกรธบ้างไม่ได้หรือไงคะ”

“อย่าให้ผมต้องเตือนอีกรอบ...สลักจันทร์”

ธรรศกล่าวเสียงต่ำ พยายามระงับโทสะอย่างยิ่งยวด กลัวจะเผลอทำอะไรหล่อนรุนแรง แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่รับรู้และไม่เข้าใจว่าเขาต้องใช้ความอดทนอดกลั้นมากแค่ไหน เพื่อไม่ให้แสดงความชิงชัง...ผู้หญิงที่มี ‘เงา’ ของอดีตคนเคยรักซ้อนทับอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้

“ดิฉันก็ขอบอกคุณเช่นกันค่ะว่า คุณกำลังมีปัญหาทางจิต ทางที่ดีคุณควรจะรีบไปพบจิตแพทย์เป็นการด่วนนะคะ ดิฉันขอเตือนด้วยความหวังดี”

ขีดความอดทนของธรรศขาดผึง สิ่งที่ผุดขึ้นในหัวเขามีเพียงอย่างเดียว…จัดการปิดปากเราะรายของเจ้าหล่อนเสียเดี๋ยวนี้!

ทันเท่าความคิด ชายหนุ่มก้มหน้าฉกริมฝีปากลงมาหาเรียวปากบอบบางสีชมพูอ่อนตามธรรมชาติอย่างรวดเร็ว

สลักจันทร์ตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก จู่ๆ นายจ้างหนุ่มก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แนบชิดจนได้กลิ่นลมหายใจของเขา ความตกใจระคนไม่ทันตั้งตัว ทำให้เธอไม่มีโอกาสปัดป้อง ซ้ำยังไม่กล้าส่งเสียงร้อง เพราะริมฝีปากบางรูปกระจับคู่นี้พร้อมจะประทับริมฝีปากของเธอทุกเมื่อ เธอกลัวว่าหากตัวเองพูดจาไม่เข้าหูเขาอีกเพียงคำเดียว เขาจะเกิดบ้า จูบปิดปากเธอขึ้นมาจริงๆ

เธอเชื่อว่าคนอย่าง...ธรรศ ธุวานนท์ ทำแน่!

หญิงสาวแอบกลืนน้ำลายลงคอ หายใจไม่ทั่วท้อง ดวงตากลมเบิกโพลง สีหน้าตื่นตระหนก ร่างบางสะท้านเบาๆ เมื่อเขาจงใจถูปลายจมูกโด่งกับปลายจมูกของเธอเล่น ในใจพลันเกิดความวาบหวามหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้กับเอกภพที่เป็นคนรัก เธอยังไม่ยอมปล่อยกายใกล้ชิดถึงขนาดนี้ อย่างมากก็แค่จับมือถือแขนหรือโอบกอดบ้างเป็นครั้งคราว

แล้วเขาล่ะ...เป็นใคร ถือวิสาสะอะไรมาล่วงเกินเธอ

สลักจันทร์นึกอยากจะหลับตาปี๋ หนีไปให้พ้นๆ แต่ก็ทำไม่ได้ เธอเลยเม้มปากแน่นสนิท เผื่อว่าบางทีมันอาจจะทำให้เธอรอดพ้นไม่ต้องเสีย ‘จูบแรก’ ให้แก่คนร้ายกาจอย่างเขา

ธรรศเกือบจะได้สัมผัสลิ้มรสว่าริมฝีปากของหล่อนจะดุเด็ดเผ็ดร้อนหรืออ่อนหวานนุ่มนวลสักเพียงใด แต่ก็ต้องชะงักเสียก่อน เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอปฏิกิริยาไร้เดียงสาจากหญิงสาว ทำเอาเกือบอมยิ้มออกมา หล่อนคิดว่าแค่เม้มปากแน่นๆ เขาก็หมดโอกาสที่จะได้สอดแทรกประทับริมฝีปากหล่อนแล้วอย่างนั้นหรือ...

ไหนล่ะ...แม่สาวอวดดีที่ทำตัวเก่งกล้าสามารถอยู่เมื่อครู่ หล่อนหายไปไหน

เขามั่นใจว่าผู้หญิงสมัยใหม่อย่างสลักจันทร์น่าจะเคยผ่าน ‘เรื่องอย่างว่า’ มาบ้าง คงไม่ได้เก็บรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องมาจนถึงทุกวันนี้หรอก แต่สาวน้อยที่มีสีหน้าประหวั่น แววตาฉายความตื่นกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคนนี้ทำให้ธรรศเริ่มลังเล เพราะดูอย่างไรหล่อนก็ไม่เหมือนแม่สาวนักรักเจนโลกเลยสักนิด

ชายหนุ่มตัดสินใจหยุดการเคลื่อนไหวลง เพียงปล่อยให้ปลายจมูกของเขาและหล่อนเกยกัน ก่อนจะมองหล่อนอย่างเต็มตา

สถาปนิกสาวคนนี้ทำให้เขาแปลกใจ...หล่อนทำอย่างกับไม่เคยจูบผู้ชาย ทั้งที่เรียนอยู่ในคณะที่ต้องคลุกคลีกับเพื่อนหนุ่มมากมาย

เขาอยากพิสูจน์ว่าท่าทางที่เห็นเป็นแค่มารยาสาไถยเหมือนที่ใครบางคนเคยทำให้เขากลายเป็นคนโง่งมในสายตาของเพื่อนๆ ใช่หรือไม่...

แค่เพียงขยับเข้าใกล้หล่อนอีกนิด เขาก็จะได้ลิ้มลองริมฝีปากอวบอิ่มน่าเย้ายวนพร้อมทั้งไขข้อสงสัย

ทว่า...เหมือนมีบางอย่างดึงใจเขาไว้ บางสิ่งที่ทำให้เขาไม่ยอมขยับกายเข้าไปใกล้

ธรรศไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร จะเป็นเพราะ...แรงแข็งขืนปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณของหล่อนรึเปล่า

มันเหมือนเป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่ ‘การเสแสร้ง’ แต่อย่างใด

ชายหนุ่มยังไม่ทันสานต่อความตั้งใจเพื่อหาคำตอบ โทรศัพท์เจ้ากรรมที่นอนนิ่งอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีครีมตัวโปรดที่เขาสวมมาวันนี้ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ อย่างกับมันรู้ว่าเขากำลังจะทำเรื่องไม่ดี คิดจะเอาเปรียบผู้หญิงที่ตกอยู่ในวงแขนเขากลายๆ

ถ้ามันเป็นมนุษย์...เขาจะส่งมันไปเป็นพระเอกหนังไทย!

มันมีเจ้านายที่ไม่ค่อยจะแคร์อะไร แต่กลับทำตัวเป็นสุภาพบุรุษปกป้องหญิงสาว!

ชายหนุ่มคิดอย่างพาลๆ ก่อนจะผละออกห่าง ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารรุ่นล่าสุดที่ทำให้เขาหัวเสียขึ้นมากดรับ ก่อนกรอกน้ำเสียงนุ่มทุ้มเข้าไป เมื่อเห็นจากหน้าจอโทรศัพท์ว่าเป็นผู้ใดโทร. หา

“ครับ...ไอรีน”

“ทำอะไรอยู่คะธรรศ ไอรีนรอสายคุณอยู่ตั้งนานแน่ะ หรือว่าคุณอยู่กับผู้หญิงคนอื่นคะ” คนปลายสายแกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอด

“อย่างผมจะมีใครได้ล่ะครับ ในเมื่อคู่หมั้นผมน่ะเพอร์เฟกต์ที่สุดแล้ว”

“ปากหวาน” คนฟังพึงใจ แต่ยังไม่วายแกล้งงอนต่อเพื่อให้เขาง้อ “คำพูดของผู้ชายน่ะ เชื่อได้เสียที่ไหนล่ะคะ”

ถึงหล่อนจะทำเป็นบ่น แต่กลับส่งเสียงหัวเราะคิกคักให้เขารู้ว่าหล่อนไม่ได้โกรธจริงจัง ธรรศจึงแกล้งหยอกกลับ

“ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นพูดละก็ เชื่อถือไม่ได้ครับ ยกเว้นคู่หมั้นของคุณคนนี้ คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยโกหกคุณเลยสักครั้ง”

หญิงสาวที่นั่งข้างกายพ่อคนพูดเสียงอ่อนเสียงหวานอยู่ตอนนี้แอบแบะปาก อยากจะตะโกนให้ผู้หญิงที่อยู่อีกฟากรับรู้ถึงพฤติกรรมแฟนหนุ่มของหล่อนนักว่า เขาเป็นจอมโกหกลวงโลก เพราะเธอนี่ไงล่ะเพิ่งเฉียดเหตุการณ์ที่เจ้าตัวเกือบจะนอกใจแฟนสาวมาสดๆ ร้อนๆ

‘อย่างผมจะมีใครได้...’

แล้วสิ่งที่เขาคิดจะทำกับเธอเมื่อครู่คืออะไร!

สลักจันทร์ยังได้ยินเสียงหัวใจเต้นระส่ำดังโครมครามอยู่เลย อดนึกตำหนิตัวเองไม่ได้ ทำไมเมื่อกี้เธอถึงไม่ขัดขืนเขา ทำไมถึงยอมนั่งนิ่งเป็นบื้อใบ้ ไม่จัดการอะไรเขาสักอย่าง ถึงตอนแรกเธอจะตกใจ ปฏิกิริยาตอบสนองเลยช้า มันก็ช่วยไม่ได้

แต่หลังจากนั้นล่ะ...

เธอควรจะต่อว่าหรือผลักไสเขาออกไปสิ ปกติเธอน่าจะครองสติได้มากกว่านี้แท้ๆ นี่ถ้าเอกภพทำตัวล้ำเส้น มือไม้อยู่ไม่สุขอย่างเขา เธอคงมองแฟนหนุ่มตาเขียวปั้ด ร้องห้ามเสียงขุ่น หรือไม่ก็หยิกเขาจนเนื้อเขียวไปแล้ว แต่กับนายจ้างนิสัยเสียที่เธอเพิ่งรู้จัก เธอกลับลนลานจนทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาเสียเฉยๆ

ไม่ได้! เขาเป็นใครก็ไม่รู้ เธอจะยอมให้เขาทำเหมือนเอาเปรียบกันซ้ำสองอีกไม่ได้เด็ดขาด

สลักจันทร์คิดอย่างแน่วแน่พลางลอบมองเสี้ยวหน้าของเขา เป็นจังหวะเดียวกับที่ธรรศคุยกับแฟนสาวเสร็จพอดี

“ไว้เจอกันครับไอรีน”

พอเขาวางสายปุ๊บ เธอก็รีบพูดขึ้นปั๊บ

“ถ้าคุณทำอะไรไม่น่าไว้ใจอีกแค่ครั้งเดียวละก็ ดิฉันจะลงจากรถทันที”

ธรรศปรายตามองคนที่ออกอาการหวงเนื้อหวงตัว แล้วกระตุกยิ้มนิดๆ

“ที่พูดนี่...คิดจะสร้างภาพไว้โก่งค่าตัวหรือว่าอยากจะให้ผมสานต่อจากเมื่อกี้นี้ล่ะ”

“คุณธรรศ!”

สลักจันทร์โกรธจนตัวสั่น กำลังจะเอื้อมมือปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย ไม่อยากทนนั่งอยู่ให้คนร้ายกาจดูถูกดูแคลนกันอีกต่อไป แต่ยังช้ากว่าเจ้าตัวอยู่ดี ธรรศเหยียบคันเร่งกระชากรถสปอร์ตออกทันที พร้อมกับพูดทิ้งท้ายว่า

“อย่ามัวเรื่องมาก รีบไปทำงานของคุณให้เสร็จไวๆ ผมไม่มีเวลาทะเลาะกับคุณอยู่ตรงนี้หรอกนะ”

 

แม้จะยังคงขุ่นเคืองนายจ้างหนุ่มไม่หาย แต่พอเดินทางมาถึงพื้นที่แสนสวย ซึ่งธรรศเตรียมไว้สำหรับปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ของเขาและครอบครัวในอนาคต หญิงสาวก็ตื่นตะลึงชื่นชมความสวยงามบนที่ดินกว่าพันตารางเมตรแห่งนี้ จนลืมความหงุดหงิดฉุนเฉียวเมื่อครู่ไปเสียสนิท แถมยังมีสายน้ำทอดตัวอยู่ด้านหลัง เห็นแล้วทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ

ภาพ ‘บ้านในฝัน’ ผุดขึ้นมาในหัวทันที…

บ้านที่ปลูกสร้างโดยวัสดุที่ดูกลมกลืนกับธรรมชาติ ตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่กว้างขวาง ล้อมรอบไปด้วยพืชพรรณธรรมชาตินานาชนิด ทั้งไม้ดอกไม้ประดับ ต้นไม้น้อยใหญ่ให้ร่มเงาแก่ผู้อาศัย ทำให้เกิดลมอ่อนๆ ถ่ายเทอากาศภายในและนอกบ้านได้เป็นอย่างดี

สลักจันทร์อิจฉาเขานิดๆ ตามประสาคนอยากมีบ้าน

เธออาศัยอยู่กับครอบครัวก็จริง แต่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยนัก แม่ทำงานรับจ้างทั่วไป ส่งเสียเธอเรียนด้านสายอาชีพระดับ ปวส. ก่อนมาต่อระดับมหาวิทยาลัยจนจบได้ เพราะเงินที่หมั่นเก็บหอมรอมริบสมัยที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นเพียงผู้รับเหมาก่อสร้างธรรมดาๆ ที่วันหนึ่งฝันอยากมีบ้านหลังเล็กๆ ท่านออกแบบห้องหับต่างๆ ไว้ให้ลูกน้อยสามคนได้อาศัย ได้หลับนอน อยู่เย็นเป็นสุข...

พ่ออยากจะให้คำว่า ‘บ้าน’ เป็นสถานที่แห่งความอบอุ่นปลอดภัยแก่ทุกคนในครอบครัว

แต่น่าเสียดาย...ที่เวลาของท่านสั้นเกินไป พ่อของเธอจึงจากโลกนี้ก่อนวัยอันควร ด้วยอุบัติเหตุนั่งร้านหล่นมาทับท่าน ลูกน้องคนที่ทำงานอยู่ด้านบนแทบจะเสียชีวิตคาที่ ส่วนพ่อของเธอทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเช้าวันถัดมา

ท่านไม่มีโอกาสได้ทำตามความปรารถนา แต่เธอนี่แหละ...จะทำให้ท่านสมหวัง!

เธอตั้งใจเล่าเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยม ทำกิจกรรม ช่วยงานอาจารย์ที่โรงเรียนเล็กๆ น้อยๆ พอได้เงินมาเป็นค่าขนมรายวันบ้าง ไม่ต้องแบมือขอผู้เป็นแม่ที่ทำงานแลกเงินมาด้วยหยาดเหงื่อสายตัวแทบขาด เธอภูมิใจที่ช่วยแบ่งเบาภาระท่านได้ แม้ไม่ได้มากมายอะไร แต่อย่างน้อยเธอก็พูดได้เต็มปากว่า ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยดีๆ มีงานทำมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะความพากเพียรมุมานะของตนเองด้วย

ทุกครั้งที่เจออุปสรรคในการทำงานหรือเหนื่อยจนท้อ เธอมักคิดเสมอว่า...

‘แม่เคยลำบากมากกว่านี้หลายเท่า’

เพราะฉะนั้นต่อให้เธอเบื่อแสนเบื่อหรือรำคาญเศรษฐีเรื่องมากอย่างเขาขนาดไหน สลักจันทร์ก็ไม่มีวันทำตัวหยิ่งยโสสลัดงานนี้ทิ้งเป็นอันขาด เงินสมัยนี้หายาก ยิ่งเป็นเงินที่มาจากอาชีพสุจริตรายได้งามด้วยแล้ว ยิ่งไม่ได้มีมาให้เธอเลือกเกลื่อนกลาดเสียเมื่อไร

สลักจันทร์ยังจำคำสอนของบุพการีได้ดีและยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด พ่อกับแม่เธอเคยสอนไว้ว่าอย่าหาเงินจากความทุกข์ของคนอื่น มันเป็นบาป เธอเชื่อพวกท่านหมดใจ เธอถึงรับไม่ได้ที่เอกภพหาวิธีรวยทางลัดด้วยความมักง่ายและผิดศีลธรรม เธอยอมผจญกับเจ้านายหน้าเลือด งี่เง่า ชอบหาเรื่องดูถูกเธอไม่ว่างเว้นเสียยังจะดีกว่า เพราะหญิงสาวมั่นใจในความอดทนอดกลั้นของตัวเองว่าไม่แพ้ใครหน้าไหน

เธอมีความเข้มแข็ง แข็งแกร่ง อย่างที่ผู้ชายหลายคนยังต้องยอมซูฮกให้

ที่สำคัญ...เธอต้องการนำเงินส่วนหนึ่งที่หามาได้ไปสมทบทุนช่วยแม่ส่งเสียน้องอีกสองคนให้เรียนจนจบมหาวิทยาลัย

ส่วนอีกก้อน...เธอจะเก็บเอาไว้สร้างบ้านอย่างที่พ่อใฝ่ฝัน!

สลักจันทร์มองที่ดินผืนงามด้วยแววตามุ่งมั่น พร้อมปรับอารมณ์คืนสู่โหมดทำงานตามปกติ ความเป็นมืออาชีพทำให้เธอละทิ้งความบาดหมางระหว่างกัน แล้วเอ่ยถามคนที่ก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างๆ เธอว่า

“คุณมีคอนเซปต์ไว้ในใจไหมคะว่าอยากได้บ้านแบบไหน”

“ผมชอบแบบธรรมชาติ เรียบง่าย ไม่ต้องหรูหราเกินความจำเป็น แต่เน้นที่ความดูดี โปร่งและสบาย วัสดุต้องแข็งแรงคงทนเข้ากับตัวโครงบ้าน อันที่จริงผมเคยคิดแบบไว้เมื่อสมัยตอนเรียนกับ...”

ธรรศนิ่งไปอึดใจ เมื่อนึกถึงใบหน้าสวยหวานของใครบางคน ก่อนที่เขาจะรีบสลัดความคิด ทำลายมโนภาพในหัวจนหมดสิ้น แล้วเริ่มต้นกล่าวกับสถาปนิกสาวใหม่

“ไอ้วีร์คงเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่า ผมเคยเรียนวิศวกรรุ่นเดียวกับมันมาก่อนที่จะย้ายคณะ สมัยเรียนผมเคยร่างแบบบ้านเอาไว้ด้วย ถ้าคุณสนใจ ผมจะเอามาให้ดูวันหลัง เผื่อคุณจะใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาว่าผมมีรสนิยมแบบไหน ชอบและไม่ชอบอะไร คุณจะได้ไม่ต้องออกแบบอะไรที่มันดูรกหูรกตามาให้ผม เพราะผมขี้เกียจให้คุณกลับไปแก้ใหม่ มันเสียเวลา”

ถ้าลูกค้ารายอื่นเป็นคนพูด สลักจันทร์คงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อเสียสตางค์แล้ว คนจ่ายย่อมต้องอยากได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ทำไมพอเป็นเขาพูด มันช่างฟังดูขัดหูขัดใจ แถมยังน่าหมั่นไส้เสียจริง คงเพราะน้ำเสียง สายตา และท่าทางที่เขามองมายังเธอละมั้ง ทำให้สลักจันทร์รู้สึกว่ากำลังถูกเขาสั่งมากกว่า อารมณ์ที่ยังดีๆ อยู่เมื่อครู่จึงพลันขุ่นลงนิดๆ

“ตามแต่คุณจะบัญชาค่ะ”

หญิงสาวอดประชดกลับไม่ได้ ทั้งที่เพิ่งบอกให้ตัวเองอดทนแท้ๆ เลยพยายามเบี่ยงประเด็นด้วยการบอกสิ่งที่คิดว่าเขาต้องการรู้ โดยไม่ต้องรอให้เจ้าตัวอ้าปากถาม เอาชนิดฟังแล้วชัดเจน ไม่มีข้อสงสัยให้เขากลับมาเล่นงานเธอได้อีก

“ดิฉันสามารถเริ่มงานได้ทันทีพรุ่งนี้ แต่ขอเป็นช่วงเย็น ตั้งแต่หลังเลิกงานจนถึงสี่ทุ่ม ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ดิฉันคงทำงานให้ถึงหกโมงเย็นเท่านั้น ขอเวลาให้ดิฉันได้เจอหน้าครอบครัวบ้าง ส่วนเรื่องสถานที่ที่คุณจะจัดให้ดิฉันทำงานในสัญญา ดิฉันไม่มีปัญหา คุณจะให้ดิฉันทำงานที่ไหนก็ได้ หรือถ้าคุณอยากจะทำตัวเป็นผู้คุมมาคอยเฝ้าดิฉันด้วย ดิฉันก็ไม่ขัดข้อง

“ดิฉันเข้าใจว่าคุณต้องการตรวจสอบการทำงานของดิฉันทุกขั้นตอน เผื่อว่าดิฉันทำงานชุ่ย คุณจะได้สั่งให้ดิฉันแก้เสียตรงนั้น แต่ดิฉันขอเป็นสถานที่ที่ใกล้กับออฟฟิศของดิฉันหน่อยนะคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง เพราะยิ่งไปไกล รถติด ฉันก็ยิ่งเหลือเวลาทำงานให้คุณน้อยลงเท่านั้น ดิฉันไม่อยากให้คุณมาต่อว่ากันทีหลังว่าดิฉันทำงานไร้ประสิทธิภาพ”

ธรรศปรายตามองสถาปนิกสาว หลังฟังหล่อนกระแนะกระแหนเขาจบ ไม่เชิงโกรธ แต่ก็มิได้หมายความว่าชอบใจ

“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมเตรียมรถรับ-ส่งจากที่ทำงานของคุณไปยังสถานที่ที่ผมจัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เป็นคอนโดที่อยู่ชั้นบนสุดในโครงการผมเอง ห้องกว้าง เป็นส่วนตัว เพราะทั้งชั้นมีเพียงห้องเดียว ตกแต่งหรูหรา ที่สำคัญคุณไม่ต้องกลัวว่าจะทำงานให้ผมได้ไม่เต็มที่ เพราะคอนโดผมอยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ทีแรกผมกะจะเก็บเอาไว้ขายให้แขกระดับวีไอพี ฟันกำไรเหนาะๆ แต่ตอนหลังเกิดเปลี่ยนใจเอาไว้พักเอง เวลาเหนื่อยจัดๆ จะได้ไม่ต้องขับรถกลับบ้าน”

“คุณก็เลยใช้เป็นที่คุมดิฉันตอนทำงานด้วย?”

“ก็คงงั้น” ธรรศยักไหล่ ไม่ใส่ใจกับสายตาที่มองค้อนตนนัก “ผมชอบที่ดินผืนนี้เพราะอยู่ติดริมน้ำ ผู้คนอาศัยไม่ค่อยแออัด ดูเงียบสงบ แต่เดินทางสะดวก ด้านหน้าติดกับถนนใหญ่ จะไปไหนมาไหน ก็ใช้เส้นทางตัดใหม่ได้หลายทาง ผมให้ช่างมาวัดพื้นที่ตามยาวตามกว้างหมดแล้ว เดี๋ยวจะให้เลขาฯ ส่งเอกสารให้คุณอีกที ที่พาคุณมาวันนี้ ก็แค่อยากจะให้เห็นสถานที่จริง คุณจะได้พอมีไอเดียบ้าง”

 “เหลือเฟือค่ะ ที่ดินตรงนี้สวยมาก สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง แค่เห็นครั้งแรก ก็ช่วยกระตุ้นไอเดียของดิฉันได้เยอะแล้วค่ะ” หญิงสาวรีบออกตัว

คนฟังทำหน้าแปลกใจนิดๆ

“เป็นครั้งแรกที่เราคิดตรงกัน?”

“ดิฉันไม่ได้เอะอะๆ ก็จะค้านคุณท่าเดียวนี่คะ ยังระลึกอยู่เสมอค่ะว่าตัวเองเป็นแค่ลูกจ้าง ขืนทำให้คนจ่ายสตางค์ไม่พอใจบ่อยๆ ดิฉันกลัวตัวเองจะลำบาก”

“ไม่น่าเชื่อว่าที่ผ่านมาคุณคิดแบบนี้ ผมไม่ยักรู้สึก”

“ก็ดิฉันเป็นฝ่ายที่ถูกหาเรื่องอยู่ตลอดเวลานี่คะ” หญิงสาวเถียงกลับ ก่อนรีบตัดบท เพราะกลัวจะต่อความยาวสาวความยืดกันไม่จบไม่สิ้น เธออยากใช้จินตนาการกับงานตรงหน้ามากกว่า “ดิฉันขอเดินดูรอบๆ หน่อยนะคะ จะได้รู้ว่าด้านไหนติดกับอะไร ควรปลูกต้นไม้ ทำสวนหย่อมไว้ตรงไหน”

“เอาสิ ตามสบาย”

แล้วคนเอ่ยปากอนุญาตก็ก้าวเท้าตามหญิงสาวที่ออกเดินนำหน้าไปก่อน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น