13

เนื้อหวาน


13

เนื้อหวาน

               

                หลายวันที่ผ่านพ้นไปดูเหมือนว่านายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนจะวุ่นวายอยู่กับธุรกิจหมื่นล้านของเขา พวกเธอเจอหน้ากันในตอนกินข้าวเช้า cละมักจะเจอเขาอีกทีแค่ก่อนเข้านอน บางวันชัชก็กลับมาถึงบ้านสี่ซ้าห้าทุ่ม ซึ่งอำนวยบอกกับเธอว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะบางที...

                ‘นายก็ประชุมมาราธอน จากเช้าถึงเช้าอีกวันก็ยังมีเลยครับคุณนาย’ น้ำหวานยังไม่มีโอกาสที่จะสืบค้นเรื่องราวในอดีตของเขามากไปกว่าที่ถามถึงเมียเก่าของชัชในคืนนั้น

                สิ่งที่สามีผู้ยุ่งขิงของเธอพอจะมีเวลาให้ ก็คือเรื่องของแกะน้อยทั้งสามเท่านั้น

                ‘พวกเด็กๆ เป็นยังไงบ้าง’

                นั่นเป็นคำถามที่เธอได้รับทุกวันก่อนที่จะเข้านอน สิ่งที่รายงานไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร จะมีพัฒนาการขึ้นมาบ้างก็แค่ตอนรับประทานอาหารเท่านั้น ช่วงนี้อยู่ในระหว่างการทำความคุ้นเคยกัน

                เรียนรู้จุดอ่อน เพื่อที่จะจู่โจมได้ตรงเป้า

                อย่างน้อยที่เธอรู้ในตอนนี้ ก็คือ...แกะน้อยทั้งสามเป็นพวกชอบความท้าทาย อะไรที่มีคำว่าแพ้ชนะย่อมดึงดูดใจ การแข่งขันจึงถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้การได้ดี แต่อีกสิ่งที่ยังกวนใจลูกสาวคุณหญิงลำหยวกตอนนี้ คือสิ่งที่เธอไม่ได้รายงาน ป๊ะป๋าของแกะน้อยสุดที่รักไป ก็คือ หนึ่งในลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายลูกสาวของเธอ!

                หลายวันมานี้โจรยังไม่ลงมืออีกครั้ง

                ในเมื่อยังจับมือใครดมไม่ได้ คนอย่างลูกสาวคุณหญิงลำหยวกมีหรือจะกระโตกกระตาก เธอไม่อยากผลีผลามแหวกหญ้าให้แกะตื่น อีกอย่างมันคงจะดูไม่งามในสายตาผู้อื่น หากเมียใหม่ของนายชัชลุกขึ้นมาโมโหโกรธา สืบสวนลูกเลี้ยงของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่โต

            น้ำหวาน เครือผู้ดี มีภาพลักษณ์นางฟ้าแสนดีที่ต้องรักษา เธอไม่อยากเป็นแม่เลี้ยงในตำนานให้ชาวบ้านเอาไปประจานเว็บไซต์อย่างพันทิปทีหลัง ที่ทำได้ตอนนี้คือ เฝ้าระวัง และแอบหวังให้คนร้ายลงมืออีกหน

                “ขอบคุณคุณบัวมากนะคะที่พาน้ำหวานออกไปเปิดหูเปิดตา โอกาสหน้าคงต้องรบกวนคุณบัวบ่อยๆ”

                หลังจากนั่งงมอยู่กับกองรายการบัญชีค่าใช้จ่ายในบ้านเกือบทั้งสัปดาห์ บัวถึงชวนเธอออกไปหาร้านกาแฟนั่งเล่น ร้านที่ว่าเป็นร้านเล็กๆ กระจุ๋มกระจิ๋มของเพื่อนหล่อน

                ทั้งสองนั่งคุยเล่นพักผ่อนกายา กว่าจะกลับมาบ้านก็เย็นย่ำ

                “รบกงรบกวนอะไรกันคะ คุณน้ำหวานมาอยู่นี่ดีซะอีกบัวจะได้มีเพื่อน ปกติว่างๆ บัวก็ออกไปหาอะไรทานกับเพื่อนๆ เป็นประจำน่ะค่ะ ไว้วันหลังเราลองไปทานร้านใหม่บ้าง ในเมืองมีร้านอาหารบรรยากาศดีๆ เปิดใหม่แทบทุกวันเลยค่ะ”

                ในถิ่นกระทิงเถื่อนจะหาเพื่อนรู้ใจสักคนแสนจะยากเห็น แม้ไม่ได้สนิทใจจนถึงขั้นเปิดเผยธาตุแท้ให้เห็น แต่ก็พอให้น้ำหวานรู้สึกเย็นใจขึ้นมาได้บ้าง ที่ได้หลานสาวของน้าสมรชวนออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน ความสันติสุขของเธอยุติลงเมื่อร่างแบบบางก้าวเข้ามาในบ้าน เริ่มที่เสียงเจี๊ยวจ๊าวตูมตามที่ดังมาจนถึงหน้ามุข

                “เล่นอะไรกันเสียงดังมาถึงข้างนอกจ๊ะ”

                “คุณหนูกำลังเล่นน้ำอยู่ในสระกันค่ะ วันนี้อากาศร้อน” กระท้อนที่กำลังยกถาดขนมนมเนยเดินผ่านหน้าไปแวะบอก ข้างนอกบ้านมีสระว่ายน้ำไม่เล็กไม่ใหญ่เอาไว้ให้เล่นน้ำออกกำลังกาย

                “เล่นกันมาจะสามชั่วโมงแล้วค่ะ ป้าละเมียดกำลังกวดให้ขึ้นจากน้ำ กลัวว่าตัวจะเปื่อยกันเสียก่อน” โดยไม่ต้องรอให้เธอถามซ้ำ กระท้อนก็รายงานเพิ่มเติมเสียเอง “ส่วนคุณชัชยังไม่กลับบ้านค่ะ

                “กระท้อนรีบเอาขนมออกไปให้คุณหนูๆ เถอะจ้ะ ขึ้นมาจากน้ำคงจะหิวน่าดู”

                “กระท้อนไปก่อนนะคะ”

                น้ำหวานยืนยิ้มส่งสาวใช้ ก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้อง อยากล้างหน้าล้างตาเก็บข้าวของเล็กน้อยที่ชอปปิงมาเสียหน่อย แล้วค่อยลงมานอนเล่นอ่านหนังสือในห้องหนังสือ ทว่าแค่มาถึงประตู ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกก็ชะงัก “ใครมาเปิดประตูทิ้งไว้”

                เธอจำได้ว่าก่อนจะออกไปปิดประตูเรียบร้อย สาวใช้จะเข้ามาทำความสะอาดเฉพาะตอนเช้าเท่านั้น น้ำหวานเปิดประตูเข้าไป กวาดตามองรอบๆ หางตาเธอเห็นเงาวอบแวบอยู่ข้างที่นอน ทว่าทำเฉยเสียแล้วเดินต่อไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง พอดึงลิ้นชักออกมา น้ำหวานก็ต้องไอค็อกแค็ก

                เพราะผงอายแชโดว์ แป้งฝุ่น และบลัชออนฟุ้งกระจายออกมาใส่หน้า ฮึ่ม...ลิปสติกล้มระเนระนาด เหมือนถูกพายุทอร์นาโดกวาดล้ม น้ำหวานเงยหน้ามองเงาในกระจก เห็นใบหน้าน้อยๆ ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ข้างเตียง แถมหางเปียยาวยังห้อยออกมาให้เห็น เธอยังทำใจเย็น นิ่งคิดอุบายครู่หนึ่งแล้วร้องออกไป

                “โอ๊ย...อากาศร้อนจัง ไปอาบน้ำดีกว่า” ว่าแล้วร่างอรชรก็นวยนาดหายเข้าไปในห้องแต่งตัว งับประตูเข้าหากันแล้วมองลอดช่องออกมา นิ่งรออยู่สักครู่คนที่คุดคู้อยู่ก็วิ่งจู๊ดๆ ออกจากที่ซ่อน ร่างเล็กกระปุ๊กลุกเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนที่จะเผ่นออกนอกประตูไป

                น้ำหวานยืนเคาะนิ้ว นับหนึ่งถึงร้อยแล้วค่อยเดินออกจากห้องมุ่งตรงไปยังรังโจร เปิดประตูเข้าห้องสีชมพูอ่อนไปโดยที่ไม่เคาะ…

                “โอ๊ะโหยว” แกะน้อยในชุดกระโปรงฟูฟ่องที่กำลังนั่งค้ำคางมองกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้งสีชมพูสะดุ้งโหยง หันขวับกลับมามองผู้บุกรุกหน้าตาตื่น

                “ตะ...ตัวเองเข้ามาในห้องเค้าทำไมอะ” คนพูดรีบซุกมือข้างหนึ่งไว้ข้างหลัง ซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้

                พอเห็นใบหน้าน้อยแล้วน้ำหวานต้องกัดริมฝีปากไว้ไม่ให้หลุดขำออกมา เพราะหน้าแม่แกะน้อยขาววอกเหมือนผีจีน เบ้าตาทั้งสองดำเป็นวงเหมือนหมีแพนดา สองแก้มยุ้ยแดงแปร๊ดด้วยบลัชออน ปากย้อยๆ เคลือบด้วยลิปสติกสีชมพู พอตั้งสติได้น้ำหวานก็เดินดุ่มๆ ลงไปบนเตียงน้อยที่วางเรียงติดกันสามเตียง

                แล้วร่างแบบบางก็ทุ่มตัวลงนอนแผ่หลา กางแขนกางขา หลับตาลง ประหนึ่งว่าเตียงนั้นคือเตียงของตัวเอง

                “อาฮ้า...สบายจังเลย”

                “นี่มันเตียงของพวกเค้านะ” แกะน้อยที่เธอจำชื่อได้แล้วว่าละไมขมวดคิ้วนิ่วหน้า ยกมือเท้าสะเอว ปากชมพูย้อยเชิดรั้นขึ้นจนเกือบจะถึงเพดาน น้ำหวานปรือตามองร่างน้อยที่ยืนจังก้าอย่างเกียจคร้าน ท่าทางแก่แดดแก่ลมนั่นน่าหมั่นไส้และน่าขันในเวลาเดียวกัน

                ยัยเด็กแก่แดด...

                “ก็พี่ง่วงนี่จ๊ะ เตียงในห้องพี่ไม่นุ่มสบายเหมือนในห้องนี้”

                “แต่นี่เป็นห้องของเค้า กับละมุดและละมุน และเตียงที่ตัวเองนอนอยู่ก็เป็นเตียงของเค้า กับละมุดและละมุน ตัวเองไม่มีสิทธิ์บุกรุกเข้ามา”

                บุกรุก? คำพูดคำจาแก่แดดแก่ลมเสียเหลือเกิน น้ำหวานเท้าคางมองใบหน้าบึ้งตึงของเด็กน้อย ไม่นานก็ได้ยินเสียงวิ่งตึงตังขึ้นมาจากข้างล่าง ตามมาด้วยเสียงเล็กแหลมของแกะอีกสองตัว...

                “เค้าต้องถึงก่อน”

                “ตัวเองอย่าเบียดเค้าสิ”

                “อย่าวิ่งค่ะคุณหนู โอ๊ย...เดี๋ยวผ้าเช็ดตัวก็พันขา หกล้มตกกระไดแข้งขาหักหรอกค่ะ” ประตูเปิดผลัวะออกมา แกะน้อยสองตัวในชุดว่ายน้ำเบรกเอี๊ยดเมื่อเห็นหน้าพวกเดียวกัน

                “อร๊าย! ผีหลอก”

                “ไม่ใช่ผี เค้าเอง” ยัยละไมทำเสียงฮึดฮัด

                “ทำไมหน้าละไมถึงเหมือนงิ้ว” แกะน้อยละมุดในชุดว่ายน้ำลายจุดเอียงคอมองแฝดของตัวเอง ละมุนหัวเราะคิกคักผสมโรง

                “อิอิ...เหมือนงิ้วจริงๆ ด้วย”

                “ไม่เห็นเหมือนงิ้วตรงไหนเลย” คนที่แต่งหน้าจัดเต็มกระทืบเท้า หน้าบูดบึ้งขึ้นมาทันที

                “เค้าสวยจะตาย”

                “ว้าย!” กระถินที่เพิ่งวิ่งตามขึ้นมาถึงร้องโวยวาย “ทำไมถึงเอาสีไปทาหน้าแบบนั้นล่ะคะคุณหนู แล้วคุณน้ำหวานทำไมมานอนอยู่ตรงนี้คะ”

                “กระถินออกไปก่อนเถอะจ้ะ ฉันอยากจะคุยกับคุณหนูๆ เสียหน่อย อีกสักพักค่อยขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวให้”

                สาวใช้ละล้าละลังชั่วครู่ ก่อนที่จะเปิดประตูออกจากห้องไปอย่างไม่เกี่ยงงอน คนที่นอนอยู่ลุกขึ้นนั่ง

                “พี่คนสวยสกปรกมานอนบนเตียงพวกเราได้ไง”

                “ไม่รู้สิ จู่ๆ ก็เปิดเข้ามา แล้วก็ยึดเตียงพวกเราไปเฉยเลย”

                “ทำอย่างงี้ไม่ได้นะ” ละมุนหันมาบอกเธอ “นี่เป็นห้องของพวกเค้า”

                “ทำไมจะไม่ได้ล่ะจ๊ะ เมื่อกี้ละไมยังแอบย่องเข้าไปในห้องนอนของฉัน ไม่เห็นขออนุญาตกันสักคำ”

                “ละไมเข้าไปในห้องของพี่คนสวยทำไมกัน” ละมุดหันมาถามแฝดของตนเอง

                ละไมทำหน้าเด๋อด๋าเล็กน้อย ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นอย่างแสนงอน “เค้า...เค้าจะเข้าไปในห้องป๊ะป๋ามะไหร่ก็ได้ ใช่มั้ยล่ะ”

                “ใช่ๆ” แกะอีกสองตัวพอได้ฟังก็พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย

                “แต่ลิปสติกที่หนูถืออยู่ในมือเป็นของฉัน” คนที่ยังถือของกลางเอาไว้เผลอดึงมือออกมาจากข้างหลัง “เท่าที่ฉันจำได้ หนูเอาของฉันไปเล่นโดยที่ยังไม่ได้ขอ แล้วของของฉันก็พัง...”

                “คุณครูบอกว่าเอาของคนอื่นไปไม่ขอเป็นขโมย” ละมุดหันไปบอกฝาแฝด

                “โอ๊ย...เค้าก็แค่เอาไปเล่นเฉยๆ นี่นา ถ้ามันพัง เค้าซื้อให้ตัวเองใหม่ก็ได้” แกะน้อยละไมบอกอย่างใจป้ำ พยักพเยิดไปยังกระปุกหมูอวบอั๋นที่มุมห้อง “เค้ามีเงินเต็มกระปุกหมูใหญ่ตั้งเยอะแยะ เค้าจะซื้อให้ตัวเองใหม่อีกสิบอันก็ได้”

                “แต่ในกระปุกมีเงินของเค้าด้วยนะ” ละมุนนิ่วหน้าไม่เห็นด้วย

                “เค้าก็หยอดกระปุกหมูเหมือนกัน” ละมุดคัดค้านเสียงอ่อน น้ำตาเริ่มคลอ เมื่อคิดว่าเงินที่เก็บหอมรอมริบจะถูกเอาไปซื้อของให้พี่คนสวย

                น้ำหวานถอนใจ ยุ่งกับเด็กนี่มันน่าปวดหัวจริงๆ

                “ฉันไม่อยากได้ของใหม่ แต่คนที่เอาของคนอื่นไปแถมยังทำพัง ต้องถูกทำโทษนะรู้มั้ย”

                “ตัวเองจะตีเค้าเหรอ” ละไมหน้าตื่นขึ้นมาทันที

                “ทำไมพี่คนสวยต้องตีตัวเอง” ละมุดสอดขึ้นมากลางคัน ละไมทำปากยื่นแล้วบอกฝาแฝด

                “ก็พี่คนสวยใจร้ายไง”

                เฮ้...นี่เธอกำลังสวมบทบาทนางฟ้าอยู่นะ ไม่เคยทำหน้ายักษ์ใส่แก๊งลูกแกะแม้แต่ตัวเดียว ไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน

                “แล้วทำไมพี่คนสวยถึงต้องใจร้าย คนสวยไม่ใจร้าย”

                “โธ่ยัยบ๊อง...เพราะคุณย่าสมรบอกว่าพี่คนสวยเป็นแม่เลี้ยงของพวกเรา”

                “แม่เลี้ยงใจร้าย”

                “อะแฮ่ม” น้ำหวานกระแอมกระไอเรียกความสนใจจากสามแกะที่กำลังทุ่มเถียงกันอย่างคร่ำเคร่ง “เดี๋ยวนะ ฉันขอถามอะไรสักหน่อย ทำไมเป็นแม่เลี้ยงต้องใจร้าย”

                หืม...ใครกันนะช่างฝังหัวเด็ก ต่อให้แก่แดดแก่ลมแค่ไหน ความคิดน้ำเน่าแบบนี้คงไม่ได้ผุดขึ้นมาจากดีเอ็นเอ

                “ก็เหมือนอย่างแม่เลี้ยงในเรื่องซินเดอเรลลาไง” ไม่ว่าเปล่า แกะน้อยละมุนยังคว้าเอาหนังสือปกแข็งสีฟ้าขึ้นมาเปิดโชว์ น้ำหวานไม่รู้ว่าจะขันในความไร้เดียงสา หรือว่าจะร้องไห้ดี…

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกถอนหายใจยาวเหยียด ยิ้มเครียดๆ ให้ตัวเองแล้วเริ่มอธิบาย

                “ฉันไม่ได้เป็นแม่เลี้ยงของพวกหนู”

                “ก็พี่คนสวยเป็นแฟนกะป๊ะป๋า” แกะน้อยละไมทำหน้าครุ่นคิดพิจารณา

                น้ำหวานอดเอ็นดูในแววตาบ้องแบ๊วไร้เดียงสาขึ้นมาไม่ได้ แหม...ไม่ว่าเธอจะมีความนางร้ายมากขนาดไหน แต่ก็ยังมีหัวใจอ่อนโยนอยู่บ้างละน่ะ

                “หนูๆ เรียกพี่ว่าพี่น้ำหวานได้” ใครจะอยากแก่ เป็นแม่คนตั้งแต่ยังสาวกันเล่า

                “พี่ไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้าย?”

                “คนสวยใจดีไม่รู้หรือ” แกะน้อยทั้งสามตัวมองหน้ากันอย่างกังขา ตรรกะนั้นพัง แม้แต่เด็กเจ็ดขวบยังเคลือบแคลง แต่น้ำหวานอาศัยจังหวะงงงวย เบี่ยงเบนความสนใจ

                “เหมือนซินเดอเรลลา จัสมิน และแม่เงือกน้อยแอเรียลนั่นไง” เธอพยักพเยิดไปยังกองนิทานดิสนีย์ที่มุมห้อง “เจ้าหญิงแสนสวยนิสัยดีกันทั้งนั้นใช่ไหม”

                สามแกะพยักหน้าหงึกๆ เฮ้อ...ค่อยน่ารักน่าชังขึ้นมาหน่อย

                “ถ้าง้าน...” ละไมหันหน้ามา ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนส่องประกายเรืองรอง เยี่ยมหน้าออกมายิ้มหวาน ประจบประแจง “ถ้าตัวเองไม่ใจร้าย ตัวเองก็ไม่ตีเค้าแล้วสิ”

                “แน่นอน”

                “ถ้าง้าน ถ้าตัวเองใจดี จะไม่ทำโทษเค้า ก็หมายความว่าตัวเองก็จะไม่ฟ้องป๊ะป๋าเรื่องที่เค้าเล่นของของตัวเองใช่มั้ย”

                น้ำหวานยิ้มกว้าง หยิกแก้มแกะน้อยละไมเบาๆ อย่างเย้าหยอกแล้วบอกเสียงหวาน “เสียใจด้วยนะจ๊ะละไม ยังไงป๊ะป๋าของหนูก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี”

                “ไหนว่าคนสวยใจดีไงเล่า!” ละไมร้องออกมา หน้าบึ้งตึง

                คนสวยใจร้าย...น้ำหวานหัวเราะหึๆ ในใจ อย่าพยายามเลยแม่หนู มารยากี่เล่มเกวียนก็เอามาใช้กับเธอไม่ได้ ไปฝึกมาใหม่อีกร้อยปีเถอะยัยแกะน้อย

 

                หลายวันมาแล้วที่เขายุ่งวุ่นวายกับการประชุมจนแทบไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับลูกๆ วันนี้ชัชจึงพยายามทำเวลา รีบเร่งประชุมให้เสร็จตั้งแต่ตอนเช้า ขณะที่กำลังไล่เคลียร์เอกสารบนโต๊ะ แม่เมียเด็กก็โทร. เข้ามารายงานวีรกรรมสดใหม่ให้เขาได้รู้

                ‘แล้วละไมทำอะไรลงไปบ้าง’

                ‘คุณมาดูเองดีกว่าค่ะ’

                พอกลับมาถึงบ้าน ชัชก็เรียกลูกสาวทั้งสามมาหา ร่างเล็กทั้งสามเดินเรียงแถวตามกันมา คนที่รั้งท้ายก้มหน้าก้มตาเหมือนกำลังหาเศษเหรียญทอง

                “ละไมเข้ามาหาป๊ะป๋ามา” ชัชตบลงบนโซฟาข้างตัว

                ร่างเล็กกระปุ๊กลุกในชุดสีชมพูที่อกเสื้อเปรอะด้วยรอยนิ้วมือหลากสี เหลือบตามองเขา ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินก้มหน้างุดๆ มาทิ้งตัวลงนั่ง

                ชัชเชยคางเล็กๆ ขึ้น หัวคิ้วย่นเข้าหากัน มุมปากบิดโค้งเล็กน้อย

                นี่ตัวอะไรเข้าสิง ทำไมปาก แก้มถึงได้แดงเหมือนลิง เปลือกตานั้นยังมีประกายวิ้งๆ เหมือนนกแก้วมาคอว์ ชัชเหลือบตามองร่างแบบบางที่เดินหลังตัวยุ่งทั้งสามเข้ามา น้ำหวานยืนกอดอกพิงผนัง เธอเลิกคิ้วตอบคล้ายจะบอกว่า

                ‘ก็อย่างที่ฉันบอกไง’

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกเล่าคร่าวๆ ให้เขาฟังแล้วทางโทรศัพท์ แต่ก็ไม่แจ่มแจ๋วเท่ากับตาเห็น ถึงหน้าตาจะเลอะเทอะมอมแมม แต่เขาก็อดยิ้มเอ็นดูคนเป็นลูกไม่ได้อยู่ดี ชัชนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

                รู้สึกหนักใจอยู่เหมือนกัน การพูดจากับลูกนั้นยากเย็นกว่าเจรจาธุรกิจเป็นไหนๆ ความยืดหยุ่นประนีประนอมต้องใช้ไม่แตกต่าง ตอนเจรจาธุรกิจใจต้องคิดถึงทุกอย่างที่จะได้ประโยชน์แก่ตัวสูงสุด ทำยังไงให้คู่แข่งเพลี่ยงพล้ำ แต่ลูกของเขาไม่ใช่คู่แข่ง จะพูดจะจารุนแรง เขาก็ไม่อยากทำ

                “ไหนป๊ะป๋าดูสิ ละไมทำอะไรกับหน้า”

                “เค้าสวยมั้ยคะป๊ะป๋า” เด็กน้อยพริ้มตาให้เขาดูผลงาน...

                ‘คุณหนูไม่ยอมล้างหน้าล้างตาออก เพราะแกอยากให้คุณชัชดูว่าวันนี้แกสวย’ ป้าละเมียดรายงานเขาอย่างจนใจ ตั้งแต่ที่เขาก้าวเท้าลงรถ

                “สวยสิ สวยอย่างกับเทพีสงกรานต์”

                เด็กน้อยคนฟังทำปากยื่นไม่พอใจ

                “เค้าอยากเป็นนางงามจักรยานมากกว่า โตขึ้นเค้าจะเป็นนางงามจักรยาน”

                ชัชโคลงหัวเล็กน้อย ร้องเรียกให้สาวใช้ไปหาผ้าชุบน้ำอุ่นมาให้...แล้วกลับมาเจรจากับคนเป็นลูก

                “แต่ละไมไปเอาสีที่ทาหน้ามาจากไหนฮึ สีที่ใช้ระบายรูปรึเปล่า”

                สีหน้าภูมิอกภูมิใจของว่าที่นางงามจักรยานคนต่อไปบึ้งตึง ทำปากยื่นมองเมินไปยังคนที่ยืนกอดอกอยู่ไกลๆ แล้วอ้อมแอ้มบอก

                “ของพี่คนสวย”

                “พี่คนสวยเค้าให้?”

                “ละไมยังไม่ได้ขอ” 

                ชัชจ้องมองใบหน้าน้อยนั้นนิ่งๆ แล้วถอนหายใจ

                เห็นท่าทางของคนเป็นพ่อ หนูน้อยละไมก็ไหล่ลู่ลงหน้าจ๋อย มือป้อมๆ ยื่นมาจับแก้มทั้งสองข้างของป๊ะป๋าไว้ คิ้วย่นเข้าหากัน “ป๊ะป๋าไม่โกรธเค้าใช่มะคะ” เจ้าตัวทำเสียงออดอ้อนที่ได้ผลอยู่เสมอ ซุกหน้าเข้ามาหา ถูแก้มเปื้อนๆ ลงกับอกเสื้อของเขาแล้วปีนขึ้นมานั่งบนตัก

                คนเป็นพ่อชักหนักใจที่จะทำหน้านิ่งเฉย เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองลูกเลย แต่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวยุ่งทำมันไม่ถูก...

                “ทำไมละไมถึงคิดว่าป๊ะป๋าจะโกรธละไมล่ะ”

                “ก็...” เด็กน้อยชำเลืองมองไปยังร่างแบบบางของคู่กรณีที่ยังคงยืนพิงผนัง  

                “ก็ละไมเอาของของพี่คนสวยไปเล่น”

                “แล้วถ้ามีคนแอบเอาตุ๊กตาบาร์บี้ของละไมไปเล่นโดยที่ไม่บอก ละไมจะโกรธเขารึเปล่า”

                เด็กน้อยนิ่วหน้า ทำปากยื่นอย่างไม่ยอมรับ แต่พอเห็นแววตาจริงจังของคนเป็นพ่อก็ตอบออกมาเสียงอ่อย...“โกด”

                “แล้วถ้าทำตุ๊กตาของละไมพัง ละไมจะเสียใจมั้ย”

                “ก็บอกให้ป๊ะป๋าซื้อให้ใหม่ไง” ใบหน้าเปื้อนสีเอียงคอบอกเขาอย่างไร้เดียงสา

                ชัชหันไปสบตากับแม่เมียเด็กที่เลิกคิ้วมองคล้ายกำลังจับจ้องมา ท้าทายให้เขาหาทางออก ชัชนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง...

                “แล้วถ้าเกิดว่าป๊ะป๋าไม่มีเงินซื้อให้ละไมแล้วล่ะ ละไมจะเสียใจมั้ยถ้าไม่มีตุ๊กตาเล่นอีกแล้วนะ”

                คนเป็นลูกครุ่นคิดอยู่สักหน่อย แล้วทำหน้าม่อย ตอบเสียงอ่อย “เสียใจ”

                “ป๊ะป๋าไม่โกรธที่ละไมทำแบบนั้น เพราะมันไม่ใช่ของป๊ะป๋า แต่พี่คนสวยน่ะสิ เขาอาจจะโกรธแล้วก็เสียใจก็ได้ที่ละไมทำของเขาพัง”

                เด็กน้อยเหลือบตามองร่างอรชรอีกหน

                “ละไมรู้ใช่มั้ยว่า ถ้าเอาของคนอื่นโดยที่ไม่ขอนั้นมันไม่ดี”

                ริมฝีปากแดงน้อยเริ่มเบะออก พยักหน้าหงึกๆ

                “ทำไมถึงไม่ดี บอกป๊ะป๋าซิ”

                “เพราะทำให้...พี่คนสวยโกรธและเสียใจ เพราะละไมทำของพัง ละไมผิดเอง” น้ำตาหยดหนึ่งร่วงเผาะลงบนผิวแก้มเนียนใสที่ยังเปรอะด้วยสีบลัชออน

                กระถินยกเอากะละมังน้ำอุ่นและผ้าขนหนูเข้ามา หยิบเอาผ้าขนหนูขึ้นมาบิดน้ำออกพอหมาดๆ แล้วเช็ดคราบเครื่องสำอางบนใบหน้าออกให้ลูกสาวตัวน้อยอย่างนุ่มนวล จนคราบลบเลือนออกไปบางส่วน

                เดี๋ยวนี้เขาเอาสีทาบ้านมาทำเครื่องสำอางหรือไร ทำไมถึงได้เช็ดออกยากเย็นเหลือเกิน อา...แต่แค่นี้ก็พอดูได้

                “เอาละ” ชัชอุ้มเด็กน้อยลงจากตัก พยักพเยิดไปทางแม่เมียเด็กที่ยังยืนเก๊กตีหน้าเคร่งขรึมอยู่ใกล้ๆ ประตูห้องนั่งเล่น

                “เมื่อละไมรู้แล้วว่าผิด ก็ไปขอโทษพี่คนสวยเขาสิ”

                น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว แต่ละไมยังคงสะอึกสะอื้น ลูกสาวของเขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เดินไปหาลูกสาวคุณหญิงลำหยวกแล้วยกมือไหว้

                “เค้าขอโทษ พี่คนสวยไม่โกรธเค้าแล้วใช่มั้ย”

                “ไม่โกรธแล้ว”

                “แล้ว...ถ้าต่อไปเขาขอก่อน ก็เล่นของพี่คนสวยได้ใช่มั้ย” ดวงตากลมแบ๊วที่คลอด้วยหยาดน้ำตาช้อนมองอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น

                “มันก็ขึ้นกับว่าหนูทำตัวดีรึเปล่า” น้ำหวานย่อตัวลงไป ยิ้มอ่อนให้เด็กน้อย ก่อนจะเสนออย่างใจกว้าง “คราวหน้าเวลาจะเข้าห้องนอนของป๊ะป๋า ต้องเคาะประตูขออนุญาตก่อน หรือจะหยิบเอาของคนอื่นไป หนูต้องขอก่อน เข้าใจมั้ย”

                “นี่ไม่ใช่สำหรับละไมคนเดียวหรอกนะ” ชัชเสริม หันไปมองลูกสาวอีกสองคนที่นั่งมองเขาอบรมสั่งสอนฝาแฝดของตัวเองตาไม่กะพริบ “ละมุนกับละมุดก็ด้วย เข้าใจรึเปล่าเด็กๆ”

                “เข้าใจค่ะป๊ะป๋า” พอเห็นแฝดของตัวเองถูกดุ อีกสองคนก็แลดูจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยกว่าปกติไปโดยปริยาย...

                “เอาละเด็กๆ ไปอาบน้ำอาบท่ากันได้แล้ว ส่วนละไมยังต้องถูกทำโทษนะ”

                “ป๊ะป๋า” ร่างเล็กทำเสียงโอดครวญอยากคัดค้าน ทว่าคนเป็นพ่อไม่ใจอ่อน

                “ห้ามเล่นตุ๊กตาบาร์บี้สามวัน”

                คล้อยหลังที่กระถินพาคุณหนูๆ ทั้งสามออกไป พออยู่กันเพียงลำพัง ชัชก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ดีลธุรกิจว่าเรื่องใหญ่แล้ว ยังไม่เหนื่อยใจเท่าพูดคุยกับลูก

                “ฉันต้องขอโทษด้วยที่ละไมทำข้าวของของเธอเสียหาย เธอคงจะไม่พอใจอยู่เหมือนกัน”

                “ช่างเถอะค่ะ” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกยักไหล่ ท่าทางไม่ใช่อากัปกิริยาของกุลสตรี “ถึงฉันโมโห อยากจะดุด่าว่ากล่าวลูกสาวคุณไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะฉันรู้ดีว่า เด็กยิ่งถูกต่อว่ายิ่งจะดื้อด้าน”

                “เธอไปเอาทฤษฎีนี้มาจากไหนกัน” ชัชอิงไหล่กับผนัง กอดอกเอียงคอมองคนที่พูดเจื้อยแจ้ว

                “เอามาจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองมั้งคะ”

                “อย่าบอกนะว่าตอนที่เธอยังเด็กก็ดื้อรั้น ชอบทำอะไรพิเรนทร์”

                ริมฝีปากจิ้มลิ้มบิดโค้งเป็นรอยยิ้มลึกลับ แต่เธอกลับไม่ตอบคำถามเขา “ผู้ใหญ่มักสักแต่ว่าดุด่าหรือลงโทษเด็ก โดยที่ไม่อธิบายว่าพวกเขาทำความผิดยังไง เด็กน่ะไม่เข้าใจหรอกนะคุณว่าทำไมเขาถึงถูกว่า พอถูกว่ามากๆ เข้า เขาก็จะต่อต้าน กลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว” จะผู้ใหญ่หรือเด็กก็คงไม่มีใครอยากถูกตำหนิหรอกจริงไหม

                “ฉันไม่ต้องการให้ลูกทำตัวก้าวร้าว”

                “งั้นคุณก็ต้องคอยอธิบายทุกครั้งที่เขาทำผิด อธิบายจนกว่าจะเข้าใจ”

                “เด็กนี่บางครั้งก็เข้าใจยากเหมือนกันนะ เธอว่ามั้ยคุณหนู”

                “คุณเองก็เคยเป็นเด็กมาก่อนนี่คะ” แม่คุณหนูโลกโสภาเหล่ตามองเขา

                มุมปากของคนฟังแย้มออกเล็กน้อย ถึงพยายามรื้อฟื้นความรู้สึกตอนที่ตัวเองเป็นเด็กยังไง ก็ไม่อาจทำได้...

                “ฉันคงเป็นผู้ใหญ่เร็วเกินไปจนบางครั้งเกือบลืมไปว่าตัวเองเคยเป็นเด็ก”

                “จริงๆ วันนี้คุณก็ทำได้ดีนะคะคุณพ่อเลี้ยง” คุณหนูแสนหวานยิ้มให้เขาคล้ายเจ้าตัวกำลังให้กำลังใจ

                รอยยิ้มนั้นสว่างไสวจริงใจที่สุดเท่าที่รู้จักกันมา นัยน์ตาดำขลับทอประกายพริบพราวเหมือนมีดาวพร่างพรายอยู่ใน บางส่วนของหัวใจ เหมือนจะถูกรอยยิ้มจริงใจของคนตรงหน้าหลอมละลายลง...นิดหนึ่ง

 

                นายอำนวย อวยโชค มาถึงแต่เช้าพร้อมยื่นกล่องพัสดุใบใหญ่ให้สาวใช้หอบมาให้เธอถึงห้องนอน

                ‘คุณชไมพรบอกให้นายอำนวยเอาของมาส่งให้ค่ะ’

                พอเปิดออกข้างในถึงเห็นเหล่าเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ที่ละไมทำของเธอพัง แต่ละอย่างมีมากกว่าหนึ่งชิ้น แถมยังมีคอลเล็กชันใหม่ล่าสุดแถมมาให้อีกมากมาย ใช้อีกหนึ่งปีก็คงไม่หมด

                ชัช ชำนาญพาณิชย์ คงไม่ใช่คนที่ชอบติดค้างอะไรใคร แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยสินะ เธอเองก็เช่นกัน แต่สำหรับข้าวของที่เขาให้เธอนั้น น้ำหวานจะรับไว้เพราะถือเสียว่าเขามีน้ำใจ ต้องการจะชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากยัยแกะน้อยละไมแก้วตาดวงใจ

                อีกอย่างเธอจะเก็บไว้ เผื่อขาดเงินใช้สอยในวันหน้า จะได้เอารุ่นลิมิเต็ดอีดิชันไปปล่อยขาย สร้างรายได้ในไอจี

                เธอตื่นตั้งแต่ตีห้า ทว่าสามีก็ยังตื่นนอนก่อนเธออยู่ดี ถ้าไม่รู้ว่าเขาตื่นไปออกกำลังกาย ก็คงเข้าใจว่าพ่อมหาจำเริญตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้า

                ก็เห็นเขาอินกับหนังสือธรรมะ อ่านก่อนนอนทุกคืน แต่น้ำหวานก็ไม่เคยมีมโนภาพว่าสามีเป็นคนธรรมะธัมโม ถ้าเธอเชื่ออย่างนั้น ฮิปโปคงออกลูกเป็นคิงคอง คนอย่างเขาแถวบ้านที่ปากช่องเรียกว่า ‘ดึกใน’ ตามความหมายที่แป๋วสาวใช้ที่บ้านเคยขยายความเอาไว้

                ‘คนดึกในข้างนอกดูเรียบร้อยผ่องใสเหมือนไม่มีอะไร แต่ข้างในแรดร้ายจะตายไปค่ะคุณหนู’

                ภายนอกเขาอาจจะดูสุขุมลุ่มลึก ทว่าแววตาพริบพราวของเขาทำให้เธอรู้สึกไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะบางครั้งที่ร่างสูงใหญ่อย่างกับภูเขาโฉบเข้ามาถึงเนื้อถึงตัวเธอแบบไม่ให้ตั้งตัวตั้งใจ

                น้ำหวานจึงต้องระวังระไว เผลอเป็นไม่ได้ นายพ่อเลี้ยงกระทิงร้ายชอบฉวยโอกาสทุกที

                เธอนั่งชื่นชมเครื่องสำอางที่ได้มาใหม่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เลือกสวมกางเกงขาสั้นสีขาวกับเสื้อแขนกุดสีชมพูมีระบายชีฟองประดับรอบๆ แสงแดดเจิดจ้าข้างนอกบอกให้รู้ว่าวันนี้คงจะอบอ้าวกว่าทุกวัน ร่างแบบบางรวบผมเป็นหางม้าให้อากาศผ่านท้ายทอยและลำคอ เธอเดินลงมาข้างล่าง นาฬิกาบนผนังบอกเวลา 6.45 น.โดยประมาณ

                บ้านทั้งหลังยังคงเงียบสงัด เห็นแต่กระท้อนกับกระเทียมยืนปัดกวาดเช็ดถูโถงทางเดินข้างล่างแข็งขัน ทั้งสองเงยหน้าทักทายกันแล้วต่างหันกลับไปทำงานขะมักเขม้น

                “คุณน้ำหวานคะ” กระถินที่หอบช่อดอกไม้ใหญ่เดินเข้ามาจากหน้าบ้านร้องบอก

                “ป้าละเมียดเห็นว่าคุณน้ำหวานชอบกุหลาบ เลยบอกให้ป้าแฟงเจ้าของสวนตัดกุหลาบในสวนมาส่งห่อเบ้อเริ่มเลยค่ะ”

                ตัดมาให้?

                “ของซื้อของขายใครเขาให้ฟรีกันล่ะจ๊ะ” ถึงจะชอบของฟรี แต่ก็คงดูไม่ดีถ้าเธอจะเอาเปรียบคนอื่น

                “ไม่ฟรีหรอกค่ะ ป้าละเมียดจ่ายเงินให้แกไปแล้ว นี่ยังเก็บใบเสร็จไว้ลงในบัญชีค่าใช้จ่ายในบ้าน ป้าแฟงแกขายเราไม่แพง ให้เราต่ำกว่าราคาส่งอีกนะคะ”

                “ปลูกกุหลาบแถวนี้ก็ได้เหรอ”

                “ได้สิคะ” กระถินหัวเราะคิกคัก “แรกเริ่มเดิมทีแม่นายเอาพันธุ์กุหลาบออแกนิกส์มาจากทางเหนือเมื่อหลายปีก่อน เอามาเพาะพันธุ์ทำนั่นทำนี่ สุดท้ายก็ปลูกได้ ขยายเป็นกิจการให้คนแถวนี้”

                อืม...เธอยังจำดอกไม้งามๆ ในเรือนเพาะชำแม่เลี้ยงของสามีเธอได้ดี แม่นายแช่มคงเป็นคนมือเย็นพอสมควร…

                “อีกอย่างคุณชัชแกให้ทุนรอนป้าแกไปตั้งตัวใหม่ ตอนน้ำท่วมใหญ่เมื่อหลายปีก่อน แกก็เลยอยากตอบแทนน้ำใจด้วยมั้งคะ”

                ถ้า ชัช ชำนาญพาณิชย์ สมัครนายก อบต. ก็คงมีฐานเสียงไม่ใช่น้อยเลยสินะ ไม่แปลกใจที่เขาประกาศสบายๆ ว่าใครๆ ก็เกรงใจตัวเอง คนอื่นอาจจะมองเห็นแค่ว่า ชัชเป็นคนใจคอกว้างขวาง

                ใช่...เขาอาจจะเป็นคนมีน้ำใจ แต่น้ำหวานกลับคิดว่าชัชเป็นคนฉลาดในการลงทุน ผลพลอยได้ของมัน คือทำให้คนที่ได้รับรู้สึกเป็นบุญคุณ หากคิดในแง่ของการลงทุน เขาก็หว่านพืชรอผลไว้เก็บกินในระยะยาว…

                “จะให้วางเอาไว้ตรงไหนดีคะ”

                “กระถินช่วยเอามาวางไว้ในห้องหนังสือก็ได้จ้ะ” เธอบอกพลางเดินนำหน้า

                พอวางห่อดอกไม้ลงได้ สาวใช้ก็ยกเอาแจกันหลากหลายขนาดมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน แกะห่อกุหลาบแดงและขาวออกให้ ช่วยลิดใบ ตัดหนามตามสมควร แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นกุลสตรีจากข้างใน ทว่าลูกสาวคุณหญิงลำหยวกก็มีหัวใจศิลปิน

                เรื่องของสวยงาม จัดฉาก สร้างสรรค์ภาพลักษณ์คือ งานถนัด...

                น้ำหวานเลือกเอากุหลาบดอกงามที่ลิดใบตัดกิ่งจัดใส่แจกัน เธอตั้งใจจะเปลี่ยนดอกไม้ทุกวัน ให้กลิ่นหอมของมันฟุ้งตลบอบอวลไปทั้งบ้าน

                “เดี๋ยวกระถินไปเอาน้ำมาเติมแจกันอีกนะจ๊ะ” เธอยืนหันหลังให้ประตู ปักก้านกุหลาบใส่แจกัน กลิ่นหอมๆ ช่วยทำให้จิตใจฟุ้งซ่านมีสมาธิ เป็นการเตรียมสติให้ดีก่อนจะเจอเรื่องที่ต้องเผชิญ ได้ยินเสียงฝีเท้าของสาวใช้เดินเข้ามา

                “ส่งกรรไกรให้ฉันทีซิ”

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกรับกรรไกรจากมือกระถินขึ้นมาตัดแต่งกิ่งที่ยังไม่ได้ระดับ เอียงซ้ายเอียงขวามองผลงาน หน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อดอกไม้มีการกระจัดกระจายที่ยังไม่สมมาตรกัน

                น้ำหวานทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ หยิบกุหลาบดอกงามออกมาทีละดอกอย่างหงุดหงิดใจ พลันผิวบนต้นคอก็คันยุบยิบ เหมือนมีขานับสิบไต่ยุ่บยั่บอยู่บนไหล่และหลัง

                “อ๊ะ!...” หญิงสาวอุทาน สะดุ้งโหยง เจ็บจี๊ดที่ต้นคอเปล่าเปลือย น้ำหวานพึมพำ...“อะไรกัดฉันน่ะ”

                “มดแดง” เสียงห้าวๆ ของคนที่อยู่ด้านหลังตอบเรียบๆ

                น้ำหวานเอี้ยวคอกลับไปมองไม่เห็นเงาของสาวใช้ เห็นแต่ร่างสูงใหญ่อย่างกับกำแพงเมืองจีนของใครบางคน “คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” ปากว่าพลางเอามือปัดเนื้อปัดตัวพัลวัน

                “ก็ได้สักสองสามนาทีแล้ว”

                อ้อ...ที่เข้าใจว่าเป็นกระถินเมื่อกี้ เป็นนายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนสินะ น้ำหวานเขม้นมองคนที่เข้ามาไม่ให้สุ้มเสียงแล้วทำมายืนเนียนให้เธอเจรจากับเขาตั้งนานสองนาน มือก็สะกิดเกาลำคอไปพลาง

                คันเป็นบ้า...

                “โอ๊ย!” มดแดงเจ้าปัญหายังเดินหน้าโจมตีเธอต่อไป ร่างแบบบางหมุนซ้ายหมุนขวาควานหาเจ้ามดตัวร้าย คนมองคล้ายทนไม่ไหวเลยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

                “เกาอยู่นั่น เดี๋ยวก็ถลอกปอกเปิกหมด ใจเย็นสิคุณหนู” มือใหญ่ปัดมือเธอออก

                “คุณก็พูดได้สิ ไม่ใช่คนที่กำลังถูกมดกัดอย่างฉันนี่คะ...อ๊ะ...”

                “อยู่นิ่งๆ” ชัชยึดเอวเธอไว้ให้อยู่กับที่

                ฮึ่ม...น้ำหวานเหลียวกลับไปมองคนตัวใหญ่กว่าอย่างอาฆาตมาดร้าย

                “คุณช่วยกำจัดมันออกไปได้มั้ยเล่า”

                “ฉันไม่อยากปัดป่ายซี้ซั้ว กลัวจะทำมันตาย ฉันไม่อยากทำร้ายสัตว์ตัดชีวิต” พุทโธ ธัมโม สังโฆ

                ขออนุโมทนาบุญด้วย แต่รีบๆ ช่วยเธอก่อนจะได้ไหม

                “จะทำอะไรก็รีบทำเร็วเข้าเถอะค่ะ ก่อนที่มันจะไต่เข้ามาในเสื้อผ้าฉัน” ว่าแล้วลูกสาวคุณหญิงลำหยวกเองก็สตัน ให้ตายเถอะ...โพล่งออกไปแล้วก็อายปาก รู้สึกประดักประเดิดขึ้นมา

                “ช่วยกรุณาเชิญเจ้ามดแดงออกจากตัวฉันอย่างละมุนละม่อมเสียทีเถอะค่ะ ก่อนที่พวกมันจะกัดฉันจนเยิน”

                นายพ่อเลี้ยงคนบ้ายังมีหน้ามาหัวเราะในลำคอ เขาทำหน้ายังไงเธอเห็นไม่ชัด แต่รู้สึกถึงใบหน้าคล้ามคมที่โน้มลงมา ก่อนที่เขาจะใช้วิธีเป่าเบาๆ ให้มดแดงปลิวออกไป ลมอุ่นที่ปะทะเนื้ออ่อนที่ลำคอและหัวไหล่ชวนให้ช่องท้องของคนที่โดนมดกัดหวิววูบ

                จำเป็นไหมที่ต้องใช้วิธีชวนสยิวกิ้วขนาดนั้น ร่างแบบบางยืนตัวแข็ง นิ่งงันไปหลายอึดใจ

                “มะ...มันออกไปหมดรึยัง” เธอเสมองไปข้างหน้า อนิจจาตรงหน้าคือกระจกบนบานตู้หนังสือ มองเห็นร่างสูงใหญ่ซ้อนอยู่ข้างหลัง ร่างทั้งสองประชิดกัน ถ้าเธอเอนหลังไปอีกหน่อย คงแอบอิงกับอกกว้างของเขาพอดิบพอดี

                ในภาพสะท้อนซึ่งไม่แจ่มชัด เธอเห็นใบหน้าคล้ามคมโน้มต่ำลงมา ปลายจมูกโด่งๆ และริมฝีปากสวยของนายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนห่างลาดไหล่เธอแค่เส้นผมกั้น ท่าทีของเขานั้นคล้ายกำลังจะ...ซุกไซ้ซอกคอ

                มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากัน ริมฝีปากเม้มแน่น แค่คิดก็รู้จั๊กจี้ขึ้นมาเสียแล้ว

                “น้ำมาแล้วค่ะ ขอโทษที่มาช้านะคะคุณน้ำหวาน เมื่อกี้ป้าละเมียดแกวานกระถินให้ออกไปเก็บใบโหระพาที่หลังบ้าน...อุ๊ย”

                เสียงอุ๊ยของสาวใช้ที่เพิ่งกลับเข้ามา ทำให้น้ำหวานได้สติ คนมาใหม่มองมาที่สองหนุ่มสาว ทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ…

                คุณพระ!...เธอเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันที่บุคคลที่สามดันบังเอิญมาเห็นโมเมนต์นี้เข้า อยากจะโพล่งออกไปว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น พวกเธอสองคนไม่ได้จู๋จี๋กัน

                “กระถินไปหายาหม่อง ขี้ผึ้ง หรืออะไรก็ได้ที่แก้แมลงสัตว์กัดต่อยมาให้ที” เป็นชัชที่พูดขึ้นง่ายๆ ท่าทางของเขาสบายๆ เหมือนเป็นปกติ เธอเสียอีกที่ยังคงยืนไร้สติอยู่ตรงนั้น

                “เร็วสิ”

                “ค่ะๆ” สาวใช้รีบผลุบออกไป

                น้ำหวานรีบถอยห่างจากสามี ใจคอไม่ดีขึ้นมาอีกแล้ว ทำเป็นก้มสำรวจตรวจตรารอยแดงบนไหล่และหลังคอแก้เก้อ เนียนไปนั่งลงตรงเก้าอี้ยาวที่วางอยู่ใกล้หน้าต่าง ถอยห่างจากเขาไปอีก

                “แสบชะมัดเลย” ทำเป็นบ่นหงุงหงิงไปพลางๆ พยายามลดความประหม่าที่เกิดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่าร่างสูงใหญ่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ทำเสียงดุ

                “มดกัดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เพราะฤทธิ์มือกับเล็บของเธอมากกว่ามั้งคุณหนู”

                น้ำหวานมองเขาตาขวาง อยากจะแลบลิ้นใส่ให้ดู แต่เธอโตแล้ว ไม่ใช่เด็กอนุบาล อีกอย่างเธอไม่ใช่สมาชิกแก๊งแกะน้อยนะที่เขาจะมาอบรมสั่งสอน

                ไม่นานกระถินก็กลับมาพร้อมขี้ผึ้งตลับใหญ่ ยื่นให้เจ้านาย ก่อนจะถูกเขาไล่ให้ออกไปเตรียมสำรับอาหารเช้า

                “ขอบคุณค่ะ” น้ำหวานยื่นมือออกไป หมายให้เขาส่งขี้ผึ้งให้ แต่ชัชเมินเฉย เดินเลยนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน

                “ฉันทาให้”

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันทาเองได้” น้ำหวานร้องเสียงแหลม

                มุมปากของคนที่กำลังเปิดฝาตลับขี้ผึ้งกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาหัวเราะในลำคอ “เธอทาเองไม่ถึงหรอก หรือเธอกลัวว่าถ้าฉันทายาให้ กายเนื้อของเธอจะเสียหายสึกหรอ”

                ถ้อยคำยียวนชวนให้อยากจะข่วนหน้าให้เป็นแผลสักแผลสองแผลและแววตาท้าทายที่ส่งมา ทำให้น้ำหวานคอแข็งขึ้นมา ถ้าออกหน้าออกตามากไปก็เท่ากับว่าเธอยอมรับว่าหวั่นไหวในอากัปกิริยาของเขา ถ้าเขาคิดว่ากำลังยั่วเย้าเธอให้เต้นเร่าๆ ตามเกม ก็อย่าหวังเลยเถอะ…

                น้ำหวานหันหน้ากลับไป ดึงสายเสื้อแขนกุดที่สวมอยู่ลงไปตามหัวไหล่อีกนิด “ทาสิคะ ฉันยังมีธุระที่จะต้องทำอีกเยอะแยะ”

                ชัชทรุดตัวลงนั่ง อึดใจต่อมาปลายนิ้วเรียวทว่าหยาบกร้านก็บรรจงลากไล้ไปตามรอยคันที่หลัง ลำคอ และลาดไหล่ ถึงเตรียมใจไว้แล้ว แต่น้ำหวานก็ยังหายใจไม่ทั่วท้อง หางตาอดชำเลืองมองเงาของคนข้างหลังบนกระจกบานตู้หนังสือไม่ได้

                สัมผัสของเขานุ่มนวลใช้ได้เมื่อเทียบกับความแข็งกระด้างที่เคลือบฉาบอยู่บนร่างสูงใหญ่กำยำ หัวคิ้วเข้มหนาย่นเข้าหากันเล็กน้อยขณะนิ้วลูบไปตามแผ่นหลังส่วนบนและไหล่ของเธอ

                “ฉันเชื่อแล้วว่าพวกผู้ดีนี่ผิวบาง ขนาดไม่ใช่มดคันไฟ เนื้อยังแดงเป็นจ้ำๆ”

                “ต่อให้ไม่ใช่ผู้ดี มดแมลงกัดมันก็แดงเหมือนกันนั่นแหละค่ะ” คนที่สืบเทือกเถาเหล่ากอผู้ดีอดต่อปากต่อคำไม่ได้ ทว่าถ้อยคำของเธอไม่ระคายผิวของคนฟังแม้แต่น้อย

                ชัชหัวเราะออกมาเบาๆ

                “ลองให้คุณถูกมดพวกนั้นกัดบ้างมั้ยล่ะคะ” คนที่ถูกมดกัดว่าต่ออย่างแสนงอน...

                “มดมันคงไม่ชอบกัดฉันนักหรอกคุณหนู”

                มดมันช่างเลือกด้วยหรือ ว่าเนื้อใครน่ากัดไม่น่ากัด

                “ทำไมคะ” เพราะเขานั้นดุร้ายเกินกว่าพวกมันจะกล้าเข้าใกล้? น้ำหวานนึกขัน “หรือคุณคิดว่าตัวเองหนังหนาเสียจนมดกัดไม่เข้า”

                “เพราะเนื้อฉันมันไม่หวานเหมือนเนื้อเธอ”

                เจอประโยคนี้ของอีกฝ่ายเข้าไป ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกถึงกับเก้อ เอ่อ...ก็เข้าใจว่ามดชอบกินของหวาน

                ปากไวกว่าสมองจะสั่งการ น้ำหวานเอี้ยวคอมองคนข้างหลัง “คุณรู้ได้ยังไงว่าเนื้อใครหวานไม่หวาน”

                “เนื้อคนอื่นฉันไม่รู้ แต่ฉันเคยชิมเนื้อเธออยู่ครั้งหนึ่ง” รอยยิ้มจางๆ แตะแต้มในดวงตาสีสนิมและที่ริมฝีปากสวย “ซึ่งมันก็หวานดี...”

                พร้อมกันนั้นสองตาของชัชหลุบลงมองริมฝีปากเธอ อ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้นให้คนเนื้อหวานใจสั่นน้อยๆ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะค่อยๆ ถอยห่างออกไป เขาลุกขึ้นยืน...

                “ฉันอาจจะไม่อยู่บ้านหลายวัน”

                “คุณจะไปไหนคะ”

                “ฉันต้องเดินทางไปต่างประเทศ ระหว่างนั้นคงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่เธอจะได้ทำความสนิทสนมกับลูกๆ ของฉัน”

                ใครจะอยากไปสนิทสนมกับยัยแกะน้อยพวกนั้นให้มากมายนักเล่า สองสามนาทีต่อมากระถินก็กลับเข้ามา ท่าทีสงบเสงี่ยมกว่าเมื่อกี้นี้

                “คุณชัชคะ แม่นายแช่มโทร. มาค่ะ” ชัชดึงโทรศัพท์ไร้สายจากมือสาวใช้ พูดคุยกับแม่เลี้ยงของตัวเองอยู่หลายคำ ก่อนจะหันมาบอกเธอ

                “แม่นาย ชวนไปกินมื้อเย็น เห็นว่าวันนี้จะมีแขกพิเศษมา”             

                แขกพิเศษ? น้ำหวานระวังระไวขึ้นมาทันที คราวนี้จะมีเรื่องเซอร์ไพรส์พร้อมแขกพิเศษคนนั้นหรือเปล่า

 

 [1]Reply to User (17/11/2017, 11:18): "..."

ช่วยแก้เป็น นาย ให้หน่อยค่ะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น