15

เพื่อนเก่าของสามี


 

“ขอโทษแทนน้องสะใภ้ผมด้วยนะครับสำหรับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น ตาหนูเป็นแก้วตาดวงใจของเขานะครับก็เลยทำอะไรวู่วามเกินกว่าเหตุไปหน่อย ตาหนูเป็นลูกคนแรกและคนเดียวของผ่องพรรณนะครับ”

                อ๋อ...เหรอคะ

                ถ้าไม่เห็นแก่หน้าหล่อๆ และท่าทางสุภาพของผู้ชายตรงหน้า เธอคงสวนคืนไปแล้วว่า เกิดมาก็เพิ่งเคยเป็นแม่เลี้ยงคนเหมือนกัน เธอไม่เห็นต้องแสดงท่าทางกากกร่างแบบนั้นกับใครเลย แต่จะเอาอารมณ์มาลงกับคนที่ไม่เกี่ยวก็ไม่ใช่เรื่อง

                แถมโกรธเคืองมนุษย์แม่คนนั้นไปก็ไม่ประเทืองปัญญาเปล่าๆ น้ำหวานจดเอาไว้ในใจ เธอต้องดำเนินการขั้นต่อไป ต้องปรับทัศนคติให้แก๊งลูกแกะเสียใหม่ ว่าตอนไหนไม่ควรใช้กำลัง และตอนไหนควรใช้กำลัง

                หลังจากที่ตริณก้าวเข้ามาก็ดูเหมือนคดีจะพลิก อย่างพวกเธอก็ได้กลับมาคุยกันอย่างมีอารยธรรมอีกครั้ง หลังจากสอบสวนทวนความกลับไปได้ว่า

                ‘นายขนุนมาว่าละมุด ชื่อละมุดตลก พูดว่าละมุดตูดลิง แล้วล้อว่าพวกเราเป็นแฝดนรก ไม่มีแม่’

                นายตาหนูถือเป็นหัวโจกใหญ่ในโรงเรียน บอกเล่าให้เพื่อนพ้องร้องเรียก ละมุดตูดลิงไปตลอดทาง ทั้งยังดึงผมเปีย เปิดกระโปรง เอากล่องดินสอไปซ่อน จนแกะน้อยละมุดร้องห่มร้องไห้ แล้วพุ่งเข้าใส่ กัดแก้มนายขนุนจนห้อเลือด ก่อนที่สถานการณ์จะย่ำแย่ คุณครูประจำชั้นก็จับทั้งสองแยกออกจากกัน เห็นเป็นแกะขี้อาย บทจะร้ายขึ้นมาก็เอาเรื่องเหมือนกัน

                ‘ขอโทษกันซะนะสองคนนี้’

                ตริณปิดท้ายการไกล่เกลี่ยด้วยการบอกให้เด็กทั้งสองขอโทษกันและกัน ซึ่งสองคนนั้นขอโทษกันด้วยความไม่เต็มใจ น้ำหวานเสนอจะออกค่ารักษาพยาบาลหนูน้อยให้ แต่อีกฝ่ายไม่เอา

                “เรื่องเล็กน้อยน่ะครับ ผมไม่อยากให้เด็กๆ ต้องผิดใจกันต่อไป” เรื่องนี้มันห้ามไม่ได้หรอกจะบอกให้ ตราบใดที่ยังอยู่ร่วมชั้นเรียนเดียวกัน “ผมต้องขอโทษอีกครั้งจริงๆ ที่ทำให้คุณน้ำหวานต้องเดือดร้อนวุ่นวาย”

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงละมุดก็เป็นลูกเลี้ยงของฉัน ฉันก็ต้องเขามาไกล่เกลี่ยดูแลอยู่แล้ว อย่างน้อยเรื่องวุ่นวายก็จบลงด้วยดี...”

                “ถึงพวกเราจะมาที่นี่เพราะเรื่องวุ่นวาย แต่ผมก็ดีใจนะครับที่ได้มาเจอคุณน้ำหวานวันนี้” เขาบอกยิ้มๆ

                “ทำไมเหรอคะ”

                “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีได้พบหน้าภรรยาคนใหม่ของพี่ชัช ก่อนจะได้เจอหน้าเจ้าตัวเขาเสียอีกครับ ถือว่าบังเอิญจริงๆ”

                คำเรียกขานที่เขาใช้ฟังดูสนิทสนม แม้แต่โชติและชีวันยังไม่อาจเอื้อมเรียกพี่ชายตัวเองว่าพี่เลยสักคำ

                “คุณรู้จักสามีฉันด้วยเหรอคะ” คำถามนั้นโง่เง่าสิ้นดี คนในเมืองนี้มีใครไม่รู้จัก ชัช ชำนาญพาณิชย์

                “เรารู้จักกันมานาน แต่ช่วงหลังๆ ก็เหินห่างกันบ้าง...” เสียงของเขาทอดอ่อนลง ตริณหลุบตามองถ้วยชาร้อนของตัวเอง ผู้ชายสักกี่คนที่จะนิยมบริโภคชา ท่าทางของเขาสะอาดสะอ้าน ออกจะสำอางหน่อยๆ คล้ายพวกเพลย์บอย แต่ก็ไม่ใช่

                ตริณ ไตรภพลือชา

                ดูลุ่มลึกมากกว่านั้น ทำไมกันนะ...ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกถึงต้องแวดล้อมด้วยคนมีลับลมคมใน มีแต่พวกร้ายลึกศึกในด้วยกันทั้งนั้น

                “เพราะย้ายไปอยู่ที่อื่น ผมเลยไม่ได้ติดต่อเขามานานแล้วละครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้...เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่รึเปล่า”

                น้ำหวานเอียงคอมองเขา…ยังเป็นเพื่อนกันอยู่รึเปล่า หมายความว่ายังไง เอาแล้วไง ต่อมเผือกของเธอเริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง

                ตริณเหลือบตามองปาเตก ฟิลิปเรือนงามบนข้อมือแล้วเงยหน้าบอกเธอ

                “ผมคงต้องรีบไปธุระก่อน เอาไว้ค่อยคุยกันใหม่โอกาสหน้า หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้นะครับ”

                หนุ่มหล่อลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ประมาณด้วยสายตา เขาสูงใหญ่ไล่เลี่ยกับชัช แต่ความหนาอาจจะน้อยกว่า เขาไม่ได้มีออร่าดิบเถื่อนน่าเกรงขามเหมือนนายกระทิงเถื่อนสามีเธอ ทว่าแววตาท่าทางของเขาบอกความสุขุม ดูลุ่มลึกกว่าวัย

                ตริณน่าจะอายุยี่สิบปลายหรือสามสิบต้นๆ เท่านั้น เขามีอะไรบางอย่างที่สะกิดใจ ไม่ใช่แค่ความหล่อเหลาเบ้าดี และท่าทีของเขายามพูดถึงชัชดูมีเงื่อนงำยังไงชอบกลแฮะ

                “แล้วเจอกันค่ะ” เธอเดินออกจากร้านกาแฟของโรงเรียนที่เปิดให้ผู้ปกครองมานั่งเล่นจิบเครื่องดื่มรอเวลาโรงเรียนเลิก น้ำหวานตัดสินใจขออนุญาตคุณครูประจำชั้นรับแก๊งลูกแกะกลับบ้านก่อนเวลาเลิกเรียน ซึ่งเหลืออีกแค่ไม่ถึงชั่วโมง ทั้งรถเงียบไปตลอดทาง

                จนกระทั่งมาถึงบ้าน หลังจากที่อำนวยต้อนฝูงแกะลงจากรถได้ คุณป้าละเมียดก็ดึงแขนเธอไว้ นัยน์ตาที่ช้อนมองมาส่อเค้ากังวลใจ

                “คุณน้ำหวานคุยอะไรกับคุณตริณบ้างคะ”  ทำไมคุณป้าแม่บ้านถึงถามไถ่อะไรแปลกๆ

                “ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากหรอกค่ะ เขาก็แค่ออกตัวขอโทษแทนน้องสะใภ้ ทำไมเหรอคะ”

                “คุณตริณได้พูดอะไรเกี่ยวกับคุณชัชบ้างรึเปล่าคะ” คุณแม่บ้านยังจับแขนเธอไว้มั่น สีหน้าเคร่งเครียดของแกทำให้น้ำหวานต้องจับตาพินิจพิจารณา

                “เขาก็แค่บอกว่าเขาเป็นเพื่อนของคุณชัช”

                ยิ่งฟังเธอพูด สีหน้าของป้าละเมียดยิ่งเครียดหนัก มีอะไรกันนักนะ แหม...มากระตุ้นต่อมเผือกให้เธออยากรู้อีกแล้ว

                “จากที่เขาพูดถึงคุณชัช เหมือนว่าคุณตริณจะรู้จักสนิทสนมกับสามีของน้ำหวานดีนะคะ” เธอแสร้งทำสุ้มเสียงไร้เดียงสา ล่อให้อีกฝ่ายคลายอะไรออกมาไม่มากก็น้อย

                “รู้จักดีน่ะคงใช่ แต่จะสนิทสนมกันมั้ย ป้าว่าคงไม่แล้วละค่ะ”

                “ทำไมเหรอคะ”

                คนถูกถามชั่งใจชั่วครู่ ก่อนจะคายคำตอบออกมา “คุณตริณเป็นเพื่อนสนิทของคุณลดา ภรรยาเก่าของคุณชัช” นายโชติก็เป็นเพื่อนร่วมเรียนของแม่ลดาคนนั้น แล้วยังจะมีนายตริณโผล่เข้ามา “และอีกอย่างก็คือ ครอบครัวชำนาญพาณิชย์ กับ ครอบครัวไตรภพลือชา ไม่ค่อยจะถูกกันน่ะค่ะ”

                แล้วมันยังไงต่อคะคุณป้า น้ำหวานแทนจะโพล่งออกมา โอ้คุณพระ! ดรามาจงซับซ้อนยิ่งขึ้นไป...ยิ่งขึ้นไป

 

                ที่ระเบียงชั้นล่างของเรือนไม้ทรงไทยร่วมสมัย ราวกับเดินย้อนเข้ามาในอดีต ชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งเล่นชมนกชมไม้ ผ่อนคลายอิริยาบถหลังจากผ่านพ้นสัปดาห์อันยาวนาน

                “เขากลับมาแล้วนะครับเท่าที่ผมได้ยินมา”

                “คุณหมายถึงใคร”

                “เพื่อนรักของคุณ”

                คำว่าเพื่อนรักทำให้ ชัช ชำนาญพาณิชย์ ชะงักเล็กน้อย ในชีวิตนี้เขามีเพื่อนรักอยู่ไม่กี่คน เพื่อนรักที่ีเมฆาพูดถึงแบ่งเป็นสองประเภทด้วยกัน หนึ่ง...เพื่อนรักจริงๆ เพราะยังมีผลประโยชน์ต่อกัน สอง...คือเพื่อนรักที่แปรผันไปเป็นศัตรู

                ใครจะว่าเขาเป็นคนขี้ระแวงก็ช่าง แต่ชัชจับตามองเพื่อนรักทุกคนของเขาอยู่เสมอ โดยเฉพาะประเภทที่สอง ร่างสูงใหญ่ขยับนั่งบนเก้าอี้หวาย ขยับตัวเล็กน้อยเปลี่ยนท่าทางให้สบายขึ้นอีกหน่อยแล้วว่าต่อ

                “ถ้าคุณหมายถึงนายตริณ ผมรู้เรื่องนั้นแล้ว”

                เมฆาเลิกคิ้ว ยกน้ำชาร้อนขึ้นจิบ

                “ผมได้ยินว่ากลับมาที่เมืองไทยแล้ว”

                “แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าเขากลับมาทำไม” หนุ่มลูกเสี้ยวเอ่ยปากอีกครั้ง

                “คุณน่าจะถามผมมาเลยดีกว่า ว่าอยากรู้มั้ยว่านายตริณกลับมาทำไม”

                เมฆายิ้มน้อยๆ ค่อยๆ วางถ้วยชาเนื้อกระเบื้องเกรดเอลงบนจานรองอย่างแช่มช้า

                “ผมได้ยินว่าเขาจะกลับมาช่วยงานกิจการของครอบครัวไตรภพลือชา”

                ชัชออกจะแปลกใจเล็กน้อยในคำตอบ หลังจากเกิดเรื่องในบ้านของเขา เขาก็ได้ข่าวว่าตริณถูกเนรเทศออกจากบ้าน จริงๆ ตริณ ไตรภพลือชา ถูกสมาชิกในครอบครัวมองว่าเจ้าตัวเป็นแกะดำตั้งแต่ริอ่านมาคบหาเป็นเพื่อนกับเขา

                ใช่...พวกเขาเคยเป็นเพื่อนรักกัน จนกระทั่งเมื่อเจ็ดปีก่อน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

                “ทั้งๆ ที่ธุรกิจส่วนตัวของเขาที่สิงคโปร์กำลังไปด้วยดีอย่างนั้นเหรอ”

                ตริณย้ายไปเมืองนอก หันไปจับธุรกิจอสังหาฯ ที่ตัวเองถนัดจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาในเจ็ดปีนี้ ชัชได้ยินข่าวคราวมาบ้าง...

                “ใช่” เมฆาพยักหน้า “ไตรภพลือชากำลังจะขยายกิจการเรือขนส่งของพวกเขา เมื่อไม่นานมานี้ก็มีโครงการสร้างใหม่ถึงสามลำ”         

                “ธุรกิจก็คงได้กำไรเติบโตดี”

                “คุณควรจะจับตาดูคู่แข่งของคุณไว้บ้างนะ”

                ชัชหัวเราะเมื่อได้คำเตือนไม่จริงจังของอีกฝ่าย “ถึงเขาจะสร้างเรือใหม่ขึ้นมาอีกสิบลำก็คงไม่กระทบธุรกิจของชำนาญกรุ๊ปหรอก คุณไม่ต้องกังวลไป ไตรภพลือชาคงไม่ได้เป็นหนึ่งในลูกค้าหน้าใหม่ของคุณด้วยหรอกนะเมฆา”

                “คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบเรื่องราวดรามา”               

                แสดงว่ามีติดต่อมา แต่เจ้าตัวปฏิเสธไปงั้นสิ

                “ผมไม่ชอบรับงานทับซ้อนกัน”

                “แต่ยังไงผมก็แปลกใจอยู่ดี ที่ตริณจะกลับมาทำงานที่บ้าน อย่างน้อยญาติพี่น้องก็คงต้องเขม่นกันบ้าง”

                “อะไรก็เกิดขึ้นได้ ตอนนี้พ่อของเขากำลังป่วยหนัก” เมฆายักไหล่

                ตราบ ไตรภพลือชา ป่วยด้วยโรคมะเร็งมานาน...เพิ่งจะหลังจากที่ตราบป่วยละมั้งที่ความรุ่งเรืองของไตรภพลือชาแผ่วๆ ลงไปบ้าง ลูกหลานของเขาใช่จะแย่ แต่ก็คงไม่เก่งกาจเท่าคนรุ่นก่อน…

                “ถึงเขาจะกลับหรือไม่กลับ ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับผมอยู่ดี”

                ถึงประวัติศาสตร์ของสองตระกูลจะไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ จะมีแหกประเพณีก็ตอนที่เขากับตริณมารู้จักสนิทสนมกันเมื่อเกือบสิบปีก่อน ก่อนที่ทั้งเขาและตริณจะแตกหักกันในเวลาต่อมา

                ห่างหาย ไม่เจอหน้า ไม่พูดจา

                จะเรียกว่าแตกหักกันได้หรือไม่ ตัวเขาก็ไม่แน่ใจ

                ชัชมองออกไปยังสวนสวยนอกระเบียงบ้านท่านหญิงศศิธร ยายแท้ๆ ของเมฆา เขาเพิ่งลงเครื่องมาจากฮ่องกงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา จึงแวะมาเยี่ยมเยียนหญิงสูงวัยเจ้าของบ้าน ทว่านางกำลังนอนเอนหลัง เลยนั่งคุยกับหลานชายแทน

                กลิ่นหอมของดอกไม้คละเคล้าพันธุ์รวยรินอยู่ในบรรยากาศ แต่แปลกนักที่กลิ่นของพวกมันไม่ยักหอมเท่ากลิ่นเนื้อเมียเขา...คนที่จากกันมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ป่านนี้เธอคิดหาทางแก้ไขปัญหางานแซยิดของแม่เลี้ยงเขาได้หรือยังนะ

                “เอาละ” ร่างสูงใหญ่ขยับตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรง

                “ผมคงต้องไปเสียที รบกวนคุณมามากแล้ว ฝากบอกคุณยายคุณด้วยว่าผมมาหา หวังว่าท่านจะชอบรังนกของฝากจากฮ่องกง”

                “โชคดีนะครับคุณชัช” เมฆาเดินออกไปส่งเขาที่หน้าบ้าน ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าขึ้นเบนท์ลีย์ที่จอดรออยู่ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น อำนวย..

                “เมียฉันมีปัญหาอะไรรึเปล่า”

                “เมียคุณชัชไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ” คนสนิทของเขาหัวเราะแห้งๆ มาตามสาย

                “แต่ผมมีสถานการณ์ไม่ปกติมารายงาน”

                “คุณนายของแกโชว์อภินิหารพิสดารอย่างนั้นหรือ” เขาก้าวเท้าขึ้นที่นั่งตอนหลัง เคาะกระจกเบาๆ ให้คนรถออกรถ เวลาที่เข้ามาในเมืองหลวง เขามักจะเลือกใช้คนขับรถแทนที่จะขับเอง เขาไม่ต้องการเสียสุขภาพจิต ถ้าต้องนั่งเครียดอยู่หลังพวงมาลัยท่ามกลางรถติดในเมืองใหญ่

                “เปล่าหรอกครับ แต่วันนี้คุณน้ำหวานไปเจอคุณตริณมา”

                “ตริณ ไตรภพลือชา?”

                “ครับ” ตายยากจริงๆ นะ เพิ่งจะพูดถึงอยู่หยกๆ

 

            เรื่องที่ได้ฟังจากปากของคุณแม่บ้าน ควรจะเรียกว่ามหากาพย์มากกว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ประจำครอบครัวของใครสักคน

                ‘ทำไมสองตระกูลถึงไม่ถูกกันล่ะคะ’

                ‘ถ้าจะให้เล่าย้อนมันก็เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อนเลยละค่ะคุณน้ำหวาน ตอนเป็นเด็ก แม่ของป้าเคยเล่าให้ฟังว่า...’

                เสือช้อย (ที่แม่นายแช่ม) เคยเล่าให้ฟังเมื่อวันแรกที่ได้เจอหน้า เคยเป็นเพื่อนกับเสือตุล ต้นตระกูลไตรภพลือชา ทั้งสองเคยสาบานเป็นพี่น้องร่วมกันกระทำการทุจริต ร่วมรบปล้นสะดม ต่อสู้กับทางการ จนตำนานสองเสือแห่งเมืองภูเก็ตสิ้นสุดลงเมื่อเสือช้อยกลับตัวกลับใจหันมาทำมาหากิน

                ส่วนเสือตุลใจหินยังคงทำงานทุจริตต่อไป เขาออกปล้นหนักข้อ ทำให้ชาวบ้านหวาดหวั่น ในที่สุดเสือตุลก็หมดหนทาง เมื่ออดีตเสือช้อย หรือต้นตระกูลชำนาญพาณิชย์ร่วมมือกับทางการ ทำให้รวบตัวเสือตุลได้ในที่สุด

                ติดตะรางอยู่หลายปีก่อนจะออกมา เพราะทำชั่วได้ไม่คล่องแคล่วชำนาญเท่าเมื่อก่อน เสือตุลจึงกลับมาทำมาหากินสุจริต สร้างธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ชำนาญพาณิชย์

                ลูกหลานทั้งสองตระกูลก็ไม่เคยเป็นมิตรกันนับแต่นั้น สองตระกูลขับเคี่ยวกันมาตลอด ไม่ได้แข่งขันด้วยความป่าเถื่อน แต่เลื่อนสมรภูมิมาที่เกมธุรกิจแทน

                ‘คุณตริณกับคุณชัชได้มารู้จักกัน เพราะตอนนั้นคุณท่าน...ป้าหมายถึงพ่อของคุณชัชน่ะค่ะ ส่งลูกชายคนโตไปเรียนที่สิงคโปร์’

                โอโห...นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนมีดีกรีเป็นถึงนักเรียนนอกเสียด้วย

                ‘เรื่องต่อไปป้าคงไม่เล่า เพราะตัวเองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดมากมายค่ะ’ ป้าละเมียดออกตัว

                หรือสาเหตุที่ลดาระเห็จออกจากบ้านจะมาจาก...รักสามเส้า

                น้ำหวานวางแปรงหวีผม ขมวดคิ้วนิ่วหน้า กัดกระพุ้งแก้มด้วยความครุ่นคิด บ้าจริงเชียว แทนที่เธอจะพักผ่อนนอนหลับในเตียงหลังใหญ่อย่างสบายใจ ตักตวงความสุขในเวลาที่นายกระทิงบ้าไม่อยู่ กลับต้องมานอนตาค้าง คิดสะระตะถึงตำนานของต้นตระกูลเขา

                “ไม่เอา ไม่คิด นอนดีกว่า”

                สาวร่างแบบบางลุกจากหน้ากระจก ดึงผ้าคลุมเตียงออก ตบหมอนนอนให้นุ่มฟู ยังไม่ทันได้คลานขึ้นเตียงนอนก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ น้ำหวานเดินไปเปิดประตู

                “คุณน้ำหวานคะ ป้าอยากจะรบกวนให้มาที่ห้องคุณหนูๆ สักประเดี๋ยวได้มั้ยคะ”

                มีปัญหาอะไรอีกนะ เธอเหลือบมองนาฬิกา สามทุ่มกว่าแล้ว ป่านนี้แกะน้อยทั้งสามควรจะนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว เธอจึงเดินตามคุณแม่บ้านออกไป พอไปถึงก็เห็นสามแกะนั่งบนเตียงตาแป๋ว

                “คือว่าคุณหนูอยากให้ป้าอ่านนิทานให้ฟัง คงจะเบื่อแม่ปลาบู่ทองกับกระต่ายกับเต่าเสียแล้วน่ะค่ะ ส่วนหนังสือภาษาประกิต ป้าก็ไม่กระดิก” คนพูดทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ

                “ยังไงคุณน้ำหวานช่วยสักหน่อยเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องนอนกันพอดี”

                “ก็ได้ค่ะ”

                “งั้นป้าลงไปเก็บครัวก่อนนะคะ” ท่าทางของป้าแม่บ้านโล่งอกโล่งใจ รีบหลบฉากออกไปจากห้องนอน

                “จะให้พี่อ่านเล่มไหนจ๊ะ” เล่นบทบาทนางฟ้าใจดีสักสิบยี่สิบนาทีคงไม่เป็นไร

                “ซินเดอเรลลา”

                เพ้อฝันไม่ประเทืองปัญญา

                “เจ้าหญิงนิทรา”

                ถูกผู้ชายจูบแล้วตื่นขึ้นมา ไม่ได้สร้างสรรค์อะไร

                “สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด”

                เล่มนี้ยาวไป

                “เค้าจะเอาซินเดอเรลลา”

                “ไม่...เจ้าหญิงนิทราสนุกกว่า”

                “คนแคระน่ารัก จมูกแดงด้วย”

                น้ำหวานกลอกตาเมื่อทั้งสามตกลงกันไม่ได้

                “อ่านเล่มนี้แล้วกัน” เธอเป็นคนเลือกเสียเอง

                แกะทั้งสามทำหน้าง้ำเมื่อน้ำหวานหยิบเรื่องเด็กเลี้ยงแกะขึ้นมา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้เจ้าหญิงข้างเตียงนอน เปิดหนังสือแล้วเหลือบตาขึ้นมอง “หรือจะไม่ให้พี่อ่านเลย”

                “ตัวเองมานั่งตรงนี้สิ” ละมุนตบลงบนเตียงกลาง พลางบอกให้แกะน้อยที่เหลือขยับที่ทางให้เธอ

                “เวลาป๊ะป๋าอ่านนิทานก็มานั่งตรงนี้”

                หืม...เงื่อนไขเยอะจริงๆ นะ

                เธอนึกภาพไม่ออกว่า ผู้ชายตัวโตจะมาขดตัวนอนอ่านนิทานในเตียงเล็กๆ นี่ได้ยังไง คิดแล้วก็นึกขันในใจ ร่างแบบบางคลานขึ้นไปบนหัวเตียง เปิดไฟอ่านหนังสือที่ติดอยู่บนเพดาน

                น้ำหวานกระแอมกระไอแล้วเริ่มอ่าน

                “Once upon a time there lived a young shepherd boy.He used to take his sheep to the hills to graze...”

                อ่านไปแล้วก็น่าประหลาดใจ เมื่อเด็กๆ ทั้งสามเงียบกริบ ร่างเล็ก ๆ เริ่มเบียดเข้ามายื่นหน้ามองภาพสีบนหน้ากระดาษหนังสือที่เปิดกางอยู่ในมือของเธอ

                “อย่าบังเค้าสิ เค้าไม่เห็นหมาป่า”

                “ตัวเองก็ขยับออกไปสิ”

                “ฮึ...เค้าเห็นแต่หัวตัวเอง”

                “จุ๊ๆ” คนที่ตั้งท่าจะอ่านส่งเสียงปราม

                แกะน้อยทั้งสามจึงพลันเงียบเสียงลงพร้อมเพรียงกัน ร่างเล็กเบียดกระแซะเข้ามานั่งฟังนิทานเงียบๆ นานเข้าหัวเล็กสามหัวก็ซบลงบนไหล่ซ้ายขวา

                “อ๊ะ...” แกะละมุนดุนแก้มเข้ากับอกของเธอ ปากแดงย้อยส่งเสียงแจ๊บๆ ส่วนละมุดใช้ต้นขาเธอนอนต่างหมอน ยัยแกะพวกนี้จะญาติดีกับเธอก็ต่อเมื่อมีผลประโยชน์สินะ

                อุตส่าห์เลือกนิทานที่มีสาระ ยังไม่ทันได้สรุปคติสอนใจ คนฟังก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว

                นั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่จนแน่ใจว่าเด็กๆ หลับสนิทแล้ว ร่างแบบบางจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ระวังไม่ให้คนที่นอนอยู่สะดุ้ง ไม่อย่างนั้นเธออาจจะต้องนั่งอ่านนิทานวนไปอีกเป็นชั่วโมง

                “หลับกันแล้วเหรอคะ”

                “ค่ะ” น้ำหวานช่วยป้าละเมียดจับแกะแต่ละตัวลงนอนในพื้นที่เตียงของตัวเอง ห่มผ้าให้ เธอไม่ใช่นางงามรักเด็กแต่อย่างใด แต่ภาพในยามหลับของแกะน้อยก็เรียบร้อย น่าเอ็นดูดูแปลกตา

                ‘ฉันคิดว่าเรื่องของลดาคงไม่มีผลอะไรกับการเติบโตของลูกๆ ฉันสักเท่าไหร่ เพราะลดาออกจากบ้านไปตั้งแต่คลอดเด็กๆ ไม่กี่วัน’

                เธอไม่รู้หรอกว่าคนเป็นแม่จะรู้สึกยังไง เธอยังไม่เคยคิดถึงตัวเองในสถานะนั้น แต่มุมมองของคนที่เพิ่งรู้จักกัน ถ้าตัดพ่อเลี้ยงตัวร้ายและนิสัยดื้อรั้นของแก๊งแกะน้อยออกไป ก็ไม่ยากถ้าใครจะนึกเอ็นดู

                “ต้องใจแข็งขนาดไหนกัน”

                เธอไม่อาจตัดสินใครว่าใจร้ายโดยที่ไม่รู้จัก คุณลดาคนนั้นอาจมีเรื่องหนักหนาเกินรับไหวถึงได้จากไป หรือบางทีหล่อนอาจจะไม่มีใจห่วงหาลูกๆ จริง

                น้ำหวานเดินกลับมาที่ห้อง สลัดดรามาในหัวออกไป เธอควรจะนอนได้แล้ว เสียเวลาแห่งความสุขมามากพอแล้ว ร่างแบบบางคลานขึ้นไปบนที่นอน ดึงหมอนข้างมากอด ซึมซับนิทราอันแสนสุขให้เต็มที่ หวังว่าคืนนี้จะไม่มีอะไรมากวนใจอีกนะ…

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น