บทที่ ๑๗

๑๗

 

 คุ้งน้ำกว้างมืดสนิท มีจุดเล็กๆ ที่มองเห็นในระยะไกลเป็นแสงสว่างจากไต้ที่ปักอยู่บนหัวเรือลำหนึ่ง แสงนั้นทำให้มองเห็นหนุ่มแรกรุ่นหน้าตาบูดบึ้งด้วยความไม่สบอารมณ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางลำเรือ ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่พายเรือได้แต่ก้มหน้าและพายอย่างระมัดระวังมากที่สุด เพราะเกรงว่าจะไปกระเทือนใจของผู้เป็นเจ้านายแล้วพาให้ตนเดือดร้อน

 “เฮ้ย ไอ้แก่น มึงช่วยกูดูหน่อยซิว่านั่นมันไอ้ฝรั่งที่เคยมีเรื่องกับกูหรือเปล่า”

 ผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้น เขม้นมองไปทางที่เจ้านายชี้ ตรงริมฝั่งมีตะเกียงดวงหนึ่งแขวนอยู่กับกิ่งต้นก้ามปู บริเวณนั้นมีคนทั้งหมดสองคน คนที่เด่นกว่าใครคือชายต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่และอีกคนหนึ่งคือชายรูปร่างสันทัด แม้จะมองจากระยะไกลก็ยังเห็นถึงความสง่างาม

 “ใช่ขอรับ แล้วดูเหมือนกับว่าผู้ชายที่ทำคุณสันตกคูจะอยู่กับมันด้วย”

 สันติหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเก่า มองไปบนฝั่งด้วยความอาฆาต เขาเพียรพยายามตามหามันทั้งสองมานานเหลือเกินสุดท้ายก็พบว่ามันอยู่ใต้จมูกนี่เอง

 “ไอ้แก่น เอ็งเอาเรือไปเทียบซิ ข้าจะไปแก้แค้นมัน”

 แก่นหน้าเสีย ค้านด้วยเสียงอันแผ่วเบา “แต่คุณสร้อยบอกว่าให้คุณสันรีบกลับบ้านไปกราบคุณหญิงท่านเป็นครั้งสุดท้าย”

 “ไอ้แก่น มึงลืมไปแล้วหรือไรฮึว่าใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าว กูบอกให้มึงเอาเรือไปเทียบท่าเดี๋ยวนี้”

 แก่นลังเล ก่อนที่จะอ้างเหตุคัดค้าน “คุณสันขอรับ เรามีแค่สองคน กระผมเกรงว่าหากบุกเข้าบ้านมัน เราอาจจะโดนทำร้าย”

 สันติมองบ่าวตาขวางอย่างไม่พอใจ 

 “มึงเอาเรือไปเทียบท่าตามที่กูบอก แล้วเข้าไปเงียบๆ อย่าให้พวกมันรู้ตัว”

 คำสั่งนั้นถือว่าเป็นที่สิ้นสุด บ่าวประจำตัวของสันติคัดท้ายเรือไปยังตลิ่ง พรางตัวกับพุ่มไม้หนาที่ยื่นลงมาในคลอง อาศัยความมืดซ่อนเร้นกายและจับตามองคู่แค้นของตน

 ดูเหมือนคนทั้งสองจะอาศัยอยู่ที่นี่ เบื้องหลังคือบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กตั้งอยู่ในสวนอย่างโดดเดี่ยว บริเวณนี้ไม่ค่อยมีใครผ่านไปผ่านมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากเผาบ้านเสียก็คงจะไม่มีใครช่วยเหลือและดับไฟได้ทัน

 เมื่อแผนการร้ายผุดขึ้นในหัว สันติก็ไม่รั้งรอแม้แต่นาทีเดียวที่จะจัดการ

 “ไอ้แก่น กลับบ้าน”

 คำสั่งนั้นทำให้ผู้เป็นบ่าวงุนงงระคนแปลกใจ ปกติสันติไม่เคยเลิกราอะไรง่ายๆ เช่นนี้มาก่อน

 “เราไม่ขึ้นไปหามันหรอกหรือขอรับ”

 “ไปหาให้มันยิงเอาหรือยังไง กูบอกให้กลับบ้านก็กลับบ้าน” สันติกระซิบทว่าท่าทางเกรี้ยวกราดน่ากลัว จนบ่าวต้องรีบจ้วงพาย

 เมื่อเรือเคลื่อนตัวออกห่างในระยะที่ไกลพอสมควรแล้ว สันติจึงบงการบ่าวอีกครั้ง

 “เดี๋ยวมึงไปเกณฑ์บ่าวผู้ชายมาสักสามสี่คน เอาน้ำมัน ยางชัน เอาทุกอย่างที่เป็นเชื้อไฟมาหากูที่ท่าน้ำ กูจะรออยู่ตรงนั้น”

 คราวนี้แก่นเริ่มรู้แล้วว่าเจ้านายไม่ได้คิดจะเลิกราอย่างที่ตนเข้าใจ แต่กลับมาเตรียมแผนเท่านั้น ทว่ามันไม่ควรจะเป็นเวลานี้ เวลาที่ที่เรือนกำลังวุ่นวายเพราะคุณหญิงแขถูกฆ่าตายอย่างโหดร้าย ในฐานะหลานสันติควรได้ไปกราบท่านเป็นครั้งสุดท้าย

 “แต่คุณสัน คุณหญิงแขล่ะขอรับ”

 “อะไรของมึงไอ้แก่น นั่นมันย่ากูไม่ใช่ย่ามึง จะมาเดือดร้อนอะไรนักหนา และอีกอย่างถึงกูไปกราบก็ใช่ว่าจะคุณย่าจะฟื้น แต่ไอ้สองคนนั้นถ้ามันไหวตัวทันกูจะล้างแค้นอย่างไร”

 ในฐานะของบ่าวแก่นจึงได้แต่นิ่งเงียบ และทำตามหน้าที่ทั้งที่ไม่เห็นด้วยนัก

เมื่อมาถึงบ้านสันติก็รออยู่ในเรือและให้แก่นทำตามแผน ไม่นานนักบ่าวชายสามคนก็มาพร้อมกันที่ท่าน้ำ ทุกคนมีกระป๋องน้ำมันในมือ รวมทั้งเหล็กตีไฟพร้อมที่จะปฏิบัติการ

 เกื้อกูลนั่งเติมภาพอยู่ในบ้าน เขาแลเห็นความวุ่นวายในบ้านของบุษบงแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปถามไถ่ ด้วยเกรงว่าหากเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะเป็นเหตุให้หญิงสาวเดือดร้อนได้ ตอนหัวค่ำจึงปรึกษากับโรเบิร์ต แต่ฝ่ายนั้นไม่ได้อนาทรร้อนใจนัก โดยให้เหตุผลว่าหากเกิดเรื่องร้ายแรงบุษบงจะต้องมาส่งข่าว ทว่าแปลกเหลือเกินที่เขาไม่อาจทำใจให้สงบได้ มันร้อนรน กระสับกระส่าย และวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูก และคิดว่าหากตอนเช้ายังไม่ได้ข่าวคงจะต้องเข้าไปสืบเสาะด้วยตนเอง 

ระหว่างที่กำลังกลัดกลุ้มอยู่นั้นจมูกก็ได้กลิ่นแปลกๆ เหมือนกลิ่นน้ำมันก๊าด เมื่อมองไปยังตะเกียงน้ำมันของตนก็พบว่ามันยังมีลักษณะปกติ ไม่ได้ล้มหรือหกแต่อย่างไร จากนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนฝีเท้าคนดังอยู่ภายนอก   ด้วยสัญชาตญาณเกื้อกูลคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น

 เพียงชั่วอึดใจ นอกจากกลิ่นน้ำมันก๊าดแล้ว ชายหนุ่มยังได้กลิ่นควันไฟผสมกับความร้อนระอุ ทำให้เขาพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 ไฟไหม้!

 เกื้อกูลไม่แน่ใจว่าตัวต้นเหตุเป็นเจ้าของเสียงฝีเท้าที่อยู่ข้างนอกหรือไม่ จึงตั้งสติและรอดูสักครู่ ระหว่างนั้นก็หาทางหนีทีไล่ไปด้วย

 ในบ้านหลังนี้ไม่มีอะไรสำคัญกับเกื้อกูลนัก นอกจากรูปวาดสองรูป เพราะไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่จะส่งเข้าประกวดเท่านั้น แต่รูปทั้งสองคือแรงบันดาลใจ และเขาได้ใส่ความรู้สึกต่างๆ ลงไปในทุกลายเส้นจึงเป็นรูปที่เขารักมากที่สุด

ถ้าเขามัวนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้ดูเหมือนจะไม่ได้การ บ้านไม้ถูกไฟลุกอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มจึงคว้ารูปทั้งสองมาไว้ในมือ แม้จะเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและค่อนข้างอันตราย แต่เขาก็พยายามระมัดระวังอย่างมากที่สุด ชายหนุ่มวิ่งไปอีกด้านหนึ่งของบ้านซึ่งติดกับริมคลองและมีหญ้ารกทึบพอที่จะอำพรางตัวได้ เขาออกทางหน้าต่างแทนที่จะออกทางประตู เพราะเกรงว่าหากคนที่วางเพลิงดักรออยู่คงรอตรงหน้าประตูมากกว่า

 เกื้อกูลดึงกลอนขึ้นอย่างเงียบที่สุด ค่อยๆ แง้มหน้าต่างเบาๆ แต่รวดเร็ว เมื่อเห็นว่าทางสะดวกจึงสอดตัวเข้าไปในช่องหน้าต่างปีนออกด้านนอกแล้วไปซ่อนตัวตามที่คิดไว้ตั้งแต่แรก

 เป็นอย่างที่คิด มีคนดักรอจะเล่นงานเขาอยู่หน้าประตู และเมื่อเห็นหน้าชัดเจนเกื้อกูลก็ได้แต่ครางออกมาด้วยความเจ็บใจ

 “สันติ”

 ไฟโหมอย่างรวดเร็ว และนั่นคงเป็นประหนึ่งเสียงเรียกให้คนละแวกนั้นออกมาดู ผู้คนตะโกนเสียงดัง หลายคนตรงมายังบ้านที่บัดนี้เพลิงผลาญเสียจนวอดวายเกือบทั้งหลัง

 เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวาอย่างหงุดหงิด สุดท้ายก็สั่งให้บ่าวล่าถอย

 เกื้อกูลกำมือแน่นอย่างเจ็บแค้นที่สันติหมายเอาชีวิตตน ทั้งที่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความบาดหมางเล็กน้อย อีกทั้งสันติเองก็เป็นคนก่อเรื่องขึ้น เห็นทีการที่จะเกี่ยวดองเป็นญาติกันไม่ว่าด้วยเรื่องใดก็ตามคงต้องยุติลงแต่เพียงเท่านี้

 ชายหนุ่มรอจนคนของสันติไปหมดแล้วจึงออกมาจากพุ่มไม้ และพอดีกับที่โรเบิร์ตแคทลีนและชาวบ้านเข้ามาช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนจะสายเกินไป ไม้เก่าที่เป็นส่วนประกอบของตัวบ้านติดไฟอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานทุกอย่างก็กลายเป็นกองเถ้าถ่าน

 ในเวลาดึกคุณสร้อยเห็นไฟสว่างห่างจากเรือนไปไม่มาก แม้จะแลดูน่ากลัวและรู้ว่าไฟน่าจะไหม้บ้านใครสักคนซึ่งคงจะเป็นบ้านชาวบ้านในละแวกนี้ แต่ก็ไม่คิดจะสนใจเพราะเหนื่อยและหงุดหงิดเมื่อต้องรับหน้าที่จัดงานศพคุณหญิงแขเพียงคนเดียวเนื่องจากพระยาธรรมานุรักษ์นั้นเมื่อเอาคุณหญิงแขใส่โลงแล้วก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ส่วนคนอื่นๆ ก็พึ่งพาไม่ได้ครั้นจะบอกญาติทางอื่นให้มาช่วยก็เกรงว่าเรื่องจะบานปลาย สุดท้ายจึงจัดงานตามมีตามเกิดเท่าที่จะเกณฑ์แรงงานบ่าวมาทำได้

 ในคืนนี้ลมจากแม่น้ำพัดเย็นสบายและดูเหมือนจะเย็นเกินไปด้วยซ้ำ แต่แปลกที่คุณสร้อยกลับเหงื่อกาฬแตกอยู่ตลอดเวลาน่าจะเกิดจากความร้อนรุ่มในใจ

 แม้จะปลอบตัวเองว่าต่อจากนี้ทุกอย่างจะง่ายดายเพราะไม่มีคุณหญิงแขขัดขวาง และไม่มีใครเปิดเผยความจริงเรื่องชาติกำเนิดของบุษบง สันติและแสงจันทร์จะอยู่บนกองเงินกองทองอย่างปลอดภัย แต่ก็แปลกที่ยังไม่สบายใจอยู่ดี

คุณสร้อยมองไปยังโลงของแม่สามี ครุ่นคิดว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้ตนเป็นเช่นนี้ หรือบางทีเพราะยังไม่ได้จัดการกับบุษบงให้เด็ดขาด ดั่งคำโบราณที่กล่าวเอาไว้ว่าตีงูต้องตีให้ตาย มิเช่นนั้นสุดท้ายมันอาจจะแว้งมากัดเอาได้

 กลอยซึ่งทำงานหนักกว่าทุกวันคลานเข้ามาอย่างหมดแรง เมื่อเข้ามาในระยะใกล้ก็เอ่ยเรื่องสำคัญด้วยระดับเสียงที่พอได้ยินกันแค่สองคน

 “คุณสร้อยเจ้าขา พวกบ่าวมันพูดกันว่านังบุษไม่มีทางฆ่าคุณหญิงกับป้าจำปา ไม่มีใครเชื่อที่เราพูดกันเลยเจ้าค่ะ”

 ภาพการตายของคุณหญิงแขและจำปายังคงติดตา เมื่อกลายเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์อย่างไม่เต็มใจนัก จึงหวาดกลัวเป็นธรรมดา หากเรื่องแดงขึ้นมาก็คงไม่พ้นที่จะต้องรับโทษ

 “ข้ารู้แล้ว แม้แต่ลูกแสงก็ไม่เชื่อ” คุณสร้อยคว้าพัดขนนกยูงขึ้นมากระพือ อยากให้ความร้อนในใจบรรเทาเบาบางลงไป แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งนานเข้าใจยิ่งรุ่มร้อน

 “แล้วจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” กลอยถามอย่างเป็นกังวล หากเรื่องมาถึงตัวมีหวังต้องติดคุกหัวโตและก่อนที่จะติดคุกคงถูกบ่าวในบ้านยำใหญ่ด้วยฝ่าเท้า เพราะคุณหญิงแขเป็นที่รักของทุกคน

 “ทำลายหลักฐาน”

 “หลักฐานอะไรหรือเจ้าคะ” กลอยถามเนื่องจากไม่เข้าใจ เพราะหลังจากลงมือก็พยายามกลบเกลื่อนทุกอย่างจนหมดสิ้นแล้ว

“นังบุษกับชายคนคนรักของมันอย่างไรเล่า เราต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นคือใครแล้วจัดการมันทั้งคู่ ไม่ให้มีโอกาสเปิดปากพูด”

 “แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าคู่รักมันเป็นใคร อีกอย่างบ่าวเองก็ไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นคือคู่รักของนังบุษจริงๆ แค่เห็นมันอยู่ด้วยกันเท่านั้น”

 “อีโง่ จะใช่หรือไม่ใช่ก็ต้องกำจัดมัน หรือมึงจะปล่อยให้มันมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนังบุษแล้วเอามึงเข้าคุกแทน” คุณสร้อยกล่าวจบก็ลุกขึ้นพรวด นำมาซึ่งความตกใจแก่กลอยเป็นอย่างยิ่ง

 “ไปไหนเจ้าคะ”

 “ก็ไปจัดการมันน่ะซิ”

 “เดี๋ยวนี้เลยหรือเจ้าคะ”

 “เอ็งจะรออะไรอีก เวลานี้ที่เหมาะสมอย่างที่สุดแล้ว”

            

 เสียงฝีเท้าท่ามกลางความเงียบทำให้บุษบงหันไปมองที่ประตู ตลอดเวลาที่ถูกกักขังอยู่ หล่อนไม่อาจข่มตาให้หลับได้ เพราะในใจเต็มไปด้วยความโศกเศร้า อาดูร อาลัยและถวิลหา หล่อนยังจำได้ว่าก่อนออกจากบ้านในวันนี้คุณหญิงแขยังยิ้มให้และเตือนว่าอย่ากลับมาเย็นมากนัก ซึ่งหล่อนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่ท่านกลับไม่รอหล่อน หรือจะพูดให้ถูกคือหล่อนต่างหากที่กลับมาไม่ทันช่วยเหลือท่าน

 บุษบงโทษตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า หากหล่อนอยู่ที่เรือนเรื่องร้ายคงไม่เกิด หรือหากเกิดหล่อนก็คงไปอยู่กับท่านบนสวรรค์แล้ว และนั่นคือสิ่งที่หล่อนต้องการอย่างเหลือเกินในเวลานี้

กริ๊ก! 

เสียงไขประตูทำให้บุษบงตื่นตัว สายตาจับจ้องจนกระทั่งประตูแง้มออกแล้วปรากฏร่างผู้หญิงสองคน เมื่อสติกลับคืนมาและได้คิดทบทวนระยะหนึ่ง บุษบงก็พอรู้ว่าเวลานี้หล่อนไม่อาจไว้ใจคุณสร้อยได้ คุณสร้อยอาจจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการตายของคุณหญิงแข เพราะถ้าเป็นคนในก็ไม่มีใครน่าสงสัยเท่าสองนายบ่าวคู่นี้อีกแล้ว

 “คุณสร้อยเข้ามาทำไมเจ้าคะ” บุษบงขยับตัวไปข้างหลัง แม้ในห้องจะมืด กระนั้นยังเห็นดวงตาวาววาบน่ากลัวของผู้ที่ก้าวเข้ามา 

 “นังบุษ เอ็งบอกมาซิว่าเพื่อนชายของเอ็งคนนั้นเป็นใคร”

 เสียงนั้นเรียบเย็นแต่สีหน้าแตกต่างจากเสียงเหลือเกิน บุษบงเห็นความร้อนรนและความหวั่นไหวในดวงตาของคุณสร้อย สิ่งเหล่านั้นคือคำเตือนว่าหล่อนไม่ควรพูดอะไรเลย

 คุณสร้อยก้าวเข้ามาในขณะที่บุษบงพยายามขยับหนีจนกระทั่งหลังชิดกับผนังที่เย็นเฉียบ ไม่อาจจะไปได้อีกต่อไป

 “ว่าไงนังบุษ เอ็งอยู่กับใคร” คุณสร้อยตวาดซ้ำ

 “คุณสร้อยเรียกตำรวจมาเถอะเจ้าค่ะ แล้วบ่าวจะบอกเองว่าอยู่กับใคร”

 ในเวลานี้บุษบงไม่กลัวคุณสร้อยอีกแล้ว คุณหญิงแขสิ้นลมไปแล้ว เรื่องระหว่างหล่อนกับคุณสร้อยก็ไม่อาจทำให้ท่านร้อนใจได้อีก

 “ชิชะ หัวหมอนักนะมึง กูมาถามมึง มึงกลับท้าให้เรียกตำรวจ กล้านักนะ”

 บุษบงเชิดหน้าประสานสายตา เป็นครั้งแรกที่หล่อนกล้า “กล้าเจ้าค่ะ บ่าวเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครที่ใจร้ายใจดำฆ่าคุณหญิงกับป้าจำปาได้ลงคอแล้วมาใส่ร้ายบ่าวอย่างไร้ความละอาย พวกนครบาลน่าจะสืบพยานรู้ได้” เพราะร่ำเรียนมาบุษบงจึงรู้เกี่ยวกับกฎหมายเบื้องต้นมาบ้าง และนั่นทำให้คุณสร้อยถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไป

 “มึงไม่ต้องมาอ้าง ใครๆ ก็รู้ว่ามึงเป็นคนฆ่าคุณแม่”

 “นั่นเป็นคำปรักปรำจากคุณสร้อยต่างหาก” บุษบงเถียงไม่ลดละ “บ่าวเป็นเพียงแพะที่ถูกโยนความผิดให้เท่านั้น และฆาตกรตัวจริงก็คงยังไม่ไปไหน ยังลอยนวลอยู่ในบ้านนี้”

 “มึงพูดมีหลักการ แต่ใครจะเชื่อมึง ในเมื่อมึงเป็นแค่บ่าว”

 “คุณสร้อยคงลืมไปแล้วว่าจะบ่าวหรือนายก็มีศักดิ์ศรีเท่ากัน ใครทำผิดคนนั้นก็ต้องรับโทษ”

 “โอหัง ถือว่าหัวสูงเรียนมากถึงได้เอาคำอย่างนี้มาพูดกับกู เอาซิ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามึงจะเอากูเข้าคุกได้อย่างที่มึงว่าหรือเปล่า”

 บุษบงหน้าเผือดทันทีที่คุณสร้อยหลุดปากออกมาเช่นนั้น ใจหล่นร่วงไปอยู่ที่พื้น ทุกอย่างที่รายรอบล้วนไร้ซึ่งเสียงนอกจากเสียงกรีดร้องของความช่วยเหลือของคุณหญิงแขที่หล่อนจินตนาการขึ้นขณะที่ท่านถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหด

 “คุณสร้อยเองหรือที่ฆ่าคุณท่าน” หล่อนเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็น น้ำตากลิ้งออกจากดวงตาโดยไร้เสียงสะอื้น “ทำไมเจ้าคะ ทำไมถึงต้องทำร้ายท่าน ทำไมถึงทำได้ลงคอ” 

บุษบงกล่าวอย่างร้าวราน แทบจะหมดแรงทันที หล่อนเคยคิดถึงเรื่องนี้แต่ไม่เคยเตรียมใจ 

 คุณสร้อยผงะเมื่อรู้ตัวว่าพลาดพลั้งสารภาพออกไป และนั่นยิ่งทำให้คุณสร้อยคิดว่าเก็บบุษบงไว้ไม่ได้อีกต่อไปเพราะจะเป็นภัยแก่ตัวมากขึ้นไปอีก “ใช่ กูเองที่ฆ่านังแก่สองคนนั่น เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันชุบเลี้ยงมึงอย่างไรเล่า จงรู้ไว้เถอะว่าสาเหตุที่นังแก่นั่นต้องตายอย่างน่าสมเพชเป็นเพราะมึง”

 “ทำไม ทำไมคุณสร้อยถึงต้องฆ่าคุณท่านกับป้าจำปา หากคุณสร้อยเกลียดชังบ่าวไม่เห็นต้องทำอย่างนั้นกับคุณท่าน มาทำกับบ่าวซิเจ้าคะ” บุษบงสะอื้น ไม่คิดว่าความเกลียดชังที่คุณสร้อยมีต่อตนนั้นจะมากมายจนทำให้คุณสร้อยกล้าทำร้ายคุณหญิงแขและป้าจำปาถึงเพียงนี้

 “แล้วใครว่ากูจะปล่อยมึงเอาไว้ นังหอกข้างแคร่ นังกลอย จัดการ”

 สิ้นเสียงสั่งกลอยก็ปรี่เข้ามารวบร่างบุษบงเอาไว้จากทางด้านหลัง บุษบงมัวแต่ตกตะลึงไม่ทันระวังจึงถูกดึงให้ยืนขึ้น โดยที่มือทั้งสองข้างยังไพล่อยู่เบื้องหลัง และในนาทีนั้นคุณสร้อยก็ฟาดฝ่ามือลงมาบนใบหน้าอย่างแรงและเร็วหลายครั้งติดต่อกัน

 บุษบงรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่กระหน่ำเข้ามา แต่หล่อนไม่คิดจะร้องขอความเมตตา รสเลือดเค็มปร่าที่ลิ้นไม่ได้ทำให้สะทกสะท้านหรือหวาดกลัว ขณะนี้หัวใจของหล่อนเหมือนตายไปพร้อมกับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ได้รับรู้ 

 “มึงบอกมาว่ามึงอยู่กับใคร”

 ริมฝีปากบางที่บัดนี้มีเลือดซึมออกมาจากรอยแตกเม้มแน่น ดวงตาที่เคยหวานเศร้าอยู่เป็นนิตย์ฉายแววโกรธแค้น หล่อนพยายามดิ้นและต่อสู้ แต่กลับถูกรุมอยู่ตลอดเวลาจนไม่สามารถตั้งหลักได้ และเมื่อได้รับความเจ็บปวดมากเข้าเรี่ยวแรงก็เป็นอันสลายไปด้วย แต่หล่อนก็รู้ในทุกขณะจิตว่าไม่ควรเอ่ยชื่อเขาออกมา เพราะจะทำให้เขาเดือดร้อน

 “นังบุษ ถ้ามึงไม่บอก มึงก็ต้องตายเพราะถูกกูตบ” คุณสร้อยกล่าวเสียงลอดไรฟัน และกระหน่ำฝ่ามือลงไปบนใบหน้าบุษบงทั้งที่เริ่มหอบเพราะออกแรงมาก

  บุษบงยังคงนิ่งเงียบ ไม่แม้แต่จะคร่ำครวญแม้จะถูกตบจนแก้มที่เคยเนียนใสนั้นแดงช้ำ หล่อนหลับตาลงอย่างหมดแรง ในห้วงคำนึงนอกจากจะมีคุณหญิงแขกับป้าจำปาแล้วก็ยังมีผู้ชายที่ชื่อเกื้ออยู่ด้วย แววตาเปิดเผยความรู้สึกของเขาทำให้หล่อนอบอุ่นใจอย่างเหลือเกิน แต่น่าเสียดายหล่อนคงไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว 

 คุณสร้อยกระหน่ำตบจนเหนื่อยอ่อนถอยมาหอบตัวโยน และเมื่อหมดเรี่ยวแรงแล้วจึงเปลี่ยนให้กลอยมาทำหน้าที่แทน

 “นังกลอย เอ็งตบมันแทนข้าที เค้นความลับออกมาให้ได้”

 “เจ้าค่ะ” กลอยรับคำอย่างรื่นเริง ปล่อยมือที่จับบุษบงเอาไว้แล้วเปลี่ยนให้คุณสร้อยเป็นคนจับแทน

 ทั้งมือทั้งเท้าของกลอยประเคนลงมาไม่ยั้งบนร่างอันบอบบาง น้ำตาบุษบงไหลรินอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป แต่หล่อนยังคงปิดปากสนิท ไม่เว้าวอนร้องขอให้อีกฝ่ายหยุดทั้งที่รู้ว่าทั้งคุณสร้อยและกลอยจะต้องทรมานตนต่อไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มไม่ควรมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่นิดเดียว

 กลอยหอบเมื่อซัดทั้งมือทั้งเท้าไปหลายที ความอวบอัดของร่างกายและไม่ชินต่อการออกแรงทำให้ล้มแผละลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองคุณสร้อยซึ่งบัดนี้ผมเผ้าหลุดลุ่ย เสื้อผ้ายับเยิน

 “คุณสร้อยเจ้าขา บ่าวไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ มันยังไม่ยอมปริปากเลย”

 คุณสร้อยเองก็เหนื่อยอ่อน เพราะแบกรับน้ำหนักของบุษบงมาพักหนึ่งเนื่องจากหญิงสาวไม่มีแรงจะพยุงตัวเองเอาไว้ จึงยอมปล่อยบุษบงเมื่อเห็นว่าน่าจะไม่มีทางไปไหนได้ แล้วถอยออกมายืนมองอย่างใช้ความคิด

 “เราต้องเค้นออกมาให้ได้ว่าใครที่จะเป็นพยานให้มัน”

 “ก็มันไม่ยอมพูดนี่เจ้าคะ”

 “ต้องทำให้มันพูดให้ได้” คุณสร้อยยังคงหมายมั่น “เอามันไปขังไว้ก่อน ถ้าใครถามก็บอกว่ามันหนีไปแล้ว จะได้ไม่มีหลักฐานตามมาถึงเรา”

 “ขังที่ไหนดีเจ้าคะ” กลอยถาม เริ่มเหนื่อยล้าแล้วเช่นกัน ซ้ำเสียงไก่ขันยังดังแว่วมาบ่งบอกว่าฟ้าใกล้สาง

 “เรือนทาส” คุณสร้อยเอ่ยเสียงหนัก “เอามันไปขังไว้ที่นั่น ลับหูลับตาไม่มีใครรู้เห็น”

 “แต่ที่นั่นมีผีอีมะลินะเจ้าคะ ผีแม่นังบุษ” กลอยค้าน เพียงแค่ได้ยินคำว่าเรือนทาสก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันทีแล้วให้ย่างกรายไปในเวลานี้เห็นทีจะไม่เข้าท่า

 “มึงกลัวใคร ระหว่างผีอีมะลิกับพวกนครบาล ถ้าเช้าพวกนครบาลมาแล้วเจอนังนี่ เราสองคนไม่ตายหรอกหรือ มันรู้แล้วว่าใครเป็นคนฆ่าคุณแม่”

 “ก็คุณสร้อยฆ่า” กลอยเอ่ยเสียงเบา ไม่กล้ามองตาเจ้านาย

 “กูก็จะบอกว่ามึงเป็นคนฆ่า”

 “คุณสร้อย” กลอยครางอย่างคาดไม่ถึง แต่ความจริงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกเพราะนิสัยเจ้านายนั้นเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว กลอยลนลาน เหลียวมองไปยังดงไม้เบื้องหลังด้วยความหวาดกลัว แต่แล้วก็พยายามกล้ำกลืนความหวาดหวั่นลงไปเสียให้สิ้น พยุงบุษบงขึ้นมาซึ่งตอนนี้แม้จะยังมีสติอยู่บ้าง แต่ก็สะบักสะบอมจนทรงตัวไม่ได้

 “คุณสร้อยเจ้าขา ไปเป็นเพื่อนบ่าวหน่อยนะเจ้าคะ นังบุษมันตัวไม่ใช่เล็กๆ บ่าวกลัวว่าแบกไปคนเดียวจะหมดแรงกลางทางเสียก่อน”

 คุณสร้อยตวัดสายตาไปมองอย่างไม่พอใจนัก ทว่าสุดท้ายก็ยอมรับปาก ไม่ใช่เพราะความเห็นใจที่มีต่อบ่าว แต่เกรงว่าความกลัวและความไม่รอบคอบของกลอยจะทำให้ทำงานได้ไม่เรียบร้อยแล้วก่อให้เกิดปัญหาในภายหลัง 

 เมื่อเจ้านายยอมไปเป็นเพื่อนกลอยก็แบกบุษบงขึ้นหลัง การออกเดินไปยังเรือนทาสที่อยู่ไม่ไกลนักเป็นไปอย่างทุลักทุเลด้วยกลอยนั้นอายุมาก ร่างกายอวบท้วมยากต่อการเคลื่อนไหว อีกทั้งขาก็พานสั่นเอาเสียดื้อๆ ยามได้ยินเสียงลมพัดก็อดผวาหวาดกลัวไม่ได้ อีกทั้งยังอ่อนแรง เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องก็ยังไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่นาทีเดียว จนกระทั่งไปถึงเรือนทาส

 ที่เดียวที่จะเก็บบุษบงได้อย่างมิดชิดคือบนเรือน และน่าจะเป็นที่ที่มีความปลอดภัยสูง เพราะในเวลางานศพอย่างนี้คงไม่มีใครกล้าย่างกรายมาที่นี่ด้วยกิตติศัพท์เรื่องผีมะลิเล่าลือออกไปไกล

 คุณสร้อยยิ้มในหน้าด้วยความสาแก่ใจ หากวิญญาณของผีมะลิยังอยู่คงได้เห็นลูกสาวทรมานปางตายทั้งที่อุตส่าห์เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ลูกสาวรอดปลอดภัย

 “เอามันไปไว้ข้างบน”

 “ข้างบนหรือเจ้าคะ” กลอยทวนคำสั่งเสียงสั่น

 คุณสร้อยตวัดสายตามองกลอยอย่างไม่พอใจ แหวกลับเสียงแหลมทันควัน “เอ็งจะให้มันอยู่ใต้ถุนเรือนแล้วรอให้ใครมาพบหรือยังไง”

 “แต่...แต่...”

 “เอ็งไม่ต้องกลัวหรอกน่า ข้ามีพระมาด้วย ผีกับพระถูกกันเสียที่ไหน” คุณสร้อยโน้มน้าว ทั้งที่ตนเองก็ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่สัมผัสได้ว่ามีสายตาของใครมองมาจากด้านบน เมื่อมองขึ้นไปก็ไม่เห็นใคร สายลมแผ่วเบาทว่าเย็นประหลาดอีกทั้งต้นไม้รกทึบยังให้เกิดเงาวูบไหวน่ากลัว

“เอ้า เร็วเข้าซินังกลอย”

 เมื่อถูกเร่งกลอยก็หลับหูหลับตาขึ้นบันได ผลักประตูที่ลั่นดาลข้างนอกไว้โดยไม่ใส่กุญแจให้เปิดออก รีบก้าวเข้าไปแล้ววางบุษบงลงจากนั้นก็รีบเดินออกมาโดยไม่สนใจเลยว่าคนที่ตนเอามาซ่อนไว้นั้นอาการหนักหนาสาหัสประการใด

 “เรียบ...เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

 คุณสร้อยพยักหน้าอย่างพอใจในผลงาน ยื่นมือไปปิดประตูและลั่นดาลเองเพื่อให้แน่ใจว่าบุษบงจะไม่สามารถออกมาได้ 

 “เอาไว้อย่างนี้ก่อน เดี๋ยวค่อยหากุญแจมาคล้อง ที่ตรงนี้ละเหมาะ ยิ่งงานศพอย่างนี้คงไม่มีใครกล้าเข้ามา”

 คุณสร้อยหันหลังกลับ เรื่องทั้งหมดกำลังจะจบลง หากกำจัดบุษบงและพยานคนนั้นได้หล่อนก็จะได้ครอบครองทุกสิ่งสันติกับแสงจันทร์ก็จะอยู่อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิตโดยที่หล่อนไม่ต้องหวาดระแวงอีกแล้ว

ความหนาวเหน็บและความเจ็บปวดทำให้บุษบงห่อตัวเข้าหากัน หล่อนส่งเสียงครางต่ำๆ ในลำคอด้วยความทรมาน เนื้อหนังเหมือนจะแหลกเหลว เลือดไหลรินจากบาดแผลลงบนพื้นกระดาน และไม่มีเรี่ยวแรงพอจะลุกขึ้นหรือรักษาร่างกายตน 

 เลือดของหล่อนไหลนองพื้นและไหลลงไปตามร่องกระดานแล้วหยดลงบนดินใต้ถุนเรือน ซึมลงสู่ผืนดินบริเวณที่มีผ้ายันต์สะกดวิญญาณดวงหนึ่งถูกฝังอยู่ เมื่อหยดเลือดแทรกเม็ดดินสู่ผ้ายันต์ แสงเรืองรองก็ปรากฏขึ้นอักษรสีดำบนแผ่นผ้าค่อยๆ เลือนหายไป ร่างหนึ่งที่เมื่อก่อนเลือนรางก็กลับทอรัศมีเปล่งประกาย

 เป็นครั้งแรกที่มะลิรู้สึกได้ถึงพลังอันมากมาย อิสรภาพช่างหวานยิ่งกว่ามธุรสใดในโลกหล้า ดวงตาผีทาสโชนแสงมองตรงไปยังผู้ที่เพิ่งจากไป เรียวปากแสยะยิ้มก่อนหัวเราะเสียงแหลม 

 กรรมกำลังจะตามสนองคนชั่วในไม่ช้า

 มะลิคิดจะไปจัดการสองนายบ่าวให้สิ้นซาก ให้สาสมกับที่ถูกกระทำอย่างร้ายกาจ ไฟแค้นในใจปะทุเร่าร้อน แต่เมื่อได้ยินเสียงครางต่ำที่ดังลอดมาจากบนเรือน จึงเก็บความอาฆาตเอาไว้ก่อน แล้วรุดไปดูอาการของลูกรักว่าเป็นประการใด

 ร่างที่นอนขดอยู่บนพื้นไม้แข็งพาให้หัวใจผู้เป็นแม่รวดร้าวยิ่งกว่าถูกสาดน้ำกรด หยาดน้ำตาเอ่อล้นด้วยเวทนาสงสารลูกจับหัวใจ

 “บัว บัวของแม่”

 เสียงหวานละมุนพร้อมกับกลิ่นหอมจางๆ ของดอกมะลิลอยมากับสายลม บุษบงพยายามเปิดตาที่บวมทั้งสองของข้างขึ้นเพื่อมองให้ชัดว่าใครกันที่เรียกหล่อน แต่เปลือกตาหนักอึ้งจนลืมตาไม่ขึ้น

 “แม่จ๋า บุษเจ็บ เจ็บเหลือเกิน” บุษบงร้องบอกเสียงกระท่อนกระแท่นเต็มที 

 “โธ่ ลูกแม่” เสียงที่ได้ยินนั้นเจือความห่วงใยและสงสาร

บุษบงพยายามเปิดเปลือกตาอีกครั้ง แล้วก็เริ่มมองเห็นเลือนรางว่ามีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เนื้อตัวขาวผ่องละเอียดเหมือนผิวของดวงจันทร์จนแน่ใจว่าไม่ใช่ความฝัน แม่มาอยู่ข้างๆ แล้วจริงๆ

 “แม่”

 “ใช่ แม่เอง แม่ของลูก”

 “คุณท่าน แม่จ๋า ช่วยคุณท่านด้วย” เพราะจิตใจยังคงเวียนวนถึงเรื่องคุณหญิงแข แม้ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นจึงแยกไม่ออกว่าไหนความจริงหรือความฝัน แต่สิ่งที่ต้องการคือให้คุณหญิงแขกลับมา

 “โธ่ ลูกเอ๋ย” เสียงเย็นทอดยาว “คุณหญิงท่านไปสู่สุคติแล้ว แม่ไม่อาจช่วยท่านได้ แต่แม่สัญญาว่าจากนี้ไปแม่จะทำหน้าที่ปกป้องลูกเอง พวกมันทุกคนจะต้องได้รับกรรมที่ก่อไว้อย่างสาสมทีเดียว”

 บุษบงอยากจะโต้ตอบ แต่เปลือกตาหนักอึ้ง จนกระทั่งไม่อาจทนฝืนได้อีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างดับมืดเช่นเดียวกับสติสัมปชัญญะ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น