บทที่ ๓

 

 เมื่อขึ้นไปบนเรือน บุษบงเห็นคุณสร้อยนั่งอยู่ตรงหอนั่ง มือก็กระพือพัดขนนกยูงอันโปรดไปมาคล้ายกับฆ่าเวลามากกว่าจะคลายร้อนจริงๆ เช้านี้คุณสร้อยคงไม่ออกไปไหนเนื่องจากยังสวมชุดที่เธอชอบสวมยามอยู่บ้าน นั่นก็คือพันผ้าแถบกับนุ่งโจงกระเบนผ้าลาย ถึงกระนั้นก็แขวนสร้อยเส้นใหญ่กว่านิ้วก้อย ตามตัวประดับทองหยองและเพชรแพรวพราว

 บุษบงถือถาดไปวางไว้บนตั่งตัวเล็กอันเป็นที่กินอาหารของคุณสร้อย จากนั้นก็ถอยออกมานั่งพับเพียบบนพื้นกระดานเพื่อรอให้คุณสร้อยแจ้งว่าเรียกตัวมาเพื่อการใด รอไม่นาน เพียงก้นถึงพื้นเสียงตำหนิแกมเกรี้ยวกราดแหลมๆ ก็ดังขึ้นทันที

 “นังบุษ วันนี้เอ็งทำปลาทูต้มกะทิสายบัวอย่างนั้นหรือ”

 “เจ้าค่ะ” บุษบงซึ่งเตรียมตัวมาอยู่แล้วตอบรับตามความจริง หล่อนไม่คิดจะแก้ตัวและไม่คิดว่ามันคือความผิด เพราะครัวของคุณหญิงแขกับคุณสร้อยแยกจากกัน

 “นี่เอ็งยักยอกเงินข้าไปซื้อของที่ข้าสั่งห้ามอย่างนั้นหรือ” คุณสร้อยกล่าวหาเสียงแหลม และกระทบกระเทียบคุณหญิงแขตามเคย “เอ็งนี่มันเลว เนรคุณเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ หรือว่าเจ้านายเรือนโน้นสั่งให้ทำ”

 วูบหนึ่งบุษบงโกรธที่คุณสร้อยก้าวร้าวถึงผู้ใหญ่ที่ตนเคารพ แต่ต้องทำเฉย ฐานะของตนนั้นหากต่อปากต่อคำไป คุณสร้อยก็จะยิ่งพาดพิงถึงคุณหญิงแขมากขึ้น จึงอธิบายที่มาของอาหารจานที่ก่อให้เกิดเรื่องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 “บ่าวมิได้ยักยอกเงินของคุณสร้อย และคุณหญิงท่านก็ไม่เคยสอนให้บ่าวละโมบอยากได้ของของคนอื่น” บุษบงปฏิเสธทันที 

 “เดี๋ยวนี้เอ็งชักกล้านะนังบุษ แล้วถ้าเอ็งไม่ได้เอาเงินของข้าไปซื้อ ปลาทูพวกนั้นมันล่องน้ำมาหาเอ็งเองหรือยังไง”

 “บ่าวใช้เงินที่บ่าวหามาซื้อเจ้าค่ะ”

 “หามาเอง อย่างเอ็งนี่น่ะหรือที่จะหาเงินได้” น้ำเสียงนั้นแสดงถึงความไม่เชื่อถือนัก แล้วสีหน้าของคุณสร้อยก็แสดงถึงความตกใจเมื่อนึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ “อย่าบอกนะว่าเอ็งเอาสมบัติของคุณแม่ไปขาย”

 คุณสร้อยซัก สีหน้าโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม เพราะเกรงว่าเงินที่บุษบงได้มานั้นคือเงินจากการขายของเก่าแก่จำพวกเครื่องแต่งตัวที่คุณหญิงแขมอบให้ หากเอาของเหล่านั้นไปขายก็คงได้เงินจำนวนมากทีเดียว มากจนนำไปตั้งตัวข้างนอกได้ อาจจะอยู่อย่างสุขสบายไปตลอดทั้งชาติ หากเป็นเช่นนั้นจริงคุณสร้อยคงยอมไม่ได้ เพราะหมายเอาไว้แล้วว่าของเหล่านั้นจะต้องตกเป็นของแสงจันทร์แต่เพียงผู้เดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ์แตะต้องทั้งสิ้น 

 “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่เงินจากสมบัติเก่า บ่าวปลูกผักที่สวนหลังบ้านเอาไว้กินกันในครัว แต่มันมากจนกินไม่หมด บางส่วนก็เก็บไปขาย ได้เงินมาใช้จ่ายเล็กน้อย” บุษบงตอบไปตามความเป็นจริง ไม่คิดจะปิดบังเรื่องนี้อยู่แล้ว

 คุณสร้อยถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะไม่ต้องการให้สมบัติของแม่สามีกระเด็นไปที่อื่น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกรา 

 “เอ็งปลูกผักตรงไหน ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องสักนิด”

 “ท้ายบ้าน ตรงริมคลองเจ้าค่ะ” บุษบงตั้งใจปลูกให้ลับหูลับตาคุณสร้อยด้วยเกรงว่าจะเกิดปัญหา จึงเลือกบริเวณริมคลองท้ายเรือนเล็ก เพราะหล่อนรู้ว่าที่ตรงนั้นคุณสร้อยจะไม่ไปเหยียบย่าง

 “ถ้าอย่างนั้นพาไปดูหน่อย ข้าอยากมั่นใจว่าเอ็งไม่ได้โกหก และถ้าเอ็งโกหกเอ็งรู้ใช่ไหมว่าโทษนั้นจะเป็นอย่างไร” คุณสร้อยคาดโทษเอาไว้ล่วงหน้า

บุษบงไม่มีสิทธิ์คัดค้าน และทำใจว่าเมื่อคุณสร้อยเห็นแปลงผักแล้วก็ใช่ว่าหล่อนจะไม่ได้รับโทษ บางทีโทษอาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยช้ำ

 

 บุษบงเดินลงเรือนนำหน้าคุณสร้อยไปยังแปลงผักที่ปลูกเอาไว้ ซึ่งมีดงเตยรกเรื้อพรางตาจึงรอดพ้นสายตาของกลอยไปได้ พอพ้นดงเตยก็พบแปลงผักเล็กๆ ที่บัดนี้กำลังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยว มีผักปลูกผสมกันหลายชนิดเหมือนสวนครัวที่บ้านอื่นปลูกไว้กินกัน

 บุษบงมองไปทางคุณสร้อยที่กำลังกวาดตามองไปทั่วด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่บุษบงรู้ดีว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่หล่อนจะไว้วางใจได้เลย

 “มีเท่านี้เองหรือ”

 “เจ้าค่ะ” หล่อนตอบ ภาวนาให้คุณสร้อยเลิกรา ไม่ทำในสิ่งที่กำลังกลัว แต่ดูเหมือนคำภาวนาของหล่อนจะไม่เป็นจริง คุณสร้อยเรียกบ่าวประจำตัวเสียงหวานเหมือนกับทุกครั้งที่จะใช้กลอยมาเล่นงานหล่อน 

“กลอยเอ๋ย...กลอย มาใกล้ข้าทีเถอะ”

 “เจ้าค่ะ คุณสร้อยมีอะไรให้บ่าวรับใช้หรือเจ้าคะ” กลอยขานรับเสียงหวานราวลูกคู่ของเจ้านาย ทั้งที่เมื่อครู่กำลังทำหน้ายุ่งเพราะแดดร้อนจัด

 “ข้ารู้สึกขวางหูขวางตาผักพวกนี้เหลือเกิน เอ็งช่วยจัดการให้มันพ้นหูพ้นตาข้าทีได้ไหม” 

คุณสร้อยกล่าวเสียงหวานกับบ่าวคู่ใจ แต่เสียงนั้นไม่ต่างจากคมมีดที่กรีดลงในหัวใจของบุษบงเลย

 “จัดการยังไงดีเจ้าคะ”

 “ถอนให้หมดแล้วจุดไฟเผา”

 “คุณสร้อย!” บุษบงครางออกมาเมื่อแปลงผักที่ไร้ความผิดถูกพิพากษาเช่นนั้น “บ่าวขอคุณท่านแล้ว” 

บุษบงหมายถึงคุณหญิงแข ซึ่งท่านก็เห็นดีเห็นงาม ในตอนเย็นบางวันท่านก็เดินลงมาชมสวนผักอย่างเบิกบาน 

 “นี่เอ็งกล้าเอาคุณแม่มาอ้างอย่างนั้นรึ อย่านึกว่าข้าไม่กล้านะ อีกอย่างคุณท่านของเอ็งก็แค่คนอยู่อาศัย จะมามีสิทธิ์อนุญาตได้อย่างไร”

 เมื่อคุณสร้อยกล่าวเช่นนั้นหล่อนก็จนปัญญาจะเถียง เพราะหากต่อปากต่อคำ นอกจากคุณสร้อยจะไม่หยุดแล้ว ยังอาจจะลามปามไปถึงคุณหญิงแขผู้ใหญ่ที่หล่อนนับถือ และหากจะพูดให้ถูก สิ่งที่รกหูรกตานั้นไม่ใช่แปลงผัก แต่เป็นหล่อนต่างหาก แต่เมื่อไม่อาจทำลายหล่อนได้ คุณสร้อยจึงลงกับอย่างอื่นแทน

 “ข้าไม่ต้องการให้บ่าวหรืออ้ายอีคนไหนมาใช้ที่ดินของข้าทำมาหากิน ถ้าจะปลูกก็ต้องจ่ายค่าเช่ามา”

 “แต่แปลงผักนี่บ่าวปลูกไว้กินในบ้าน เหลือเท่านั้นถึงจะเอาออกขาย” บุษบงพยายามอธิบาย มองแปลงผักด้วยความอาลัย หล่อนทำทุกอย่างมากับมือ ไม่ว่าจะขุดดิน หว่านเมล็ด รดน้ำ จนผักงอกงามเก็บเกี่ยวได้ ความรักความผูกพันก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อีกทั้งเงินที่คุณสร้อยให้มาใช้จ่ายเป็นค่ากับข้าวนั้นน้อยนัก ถ้ามีสวนผักเป็นของตัวเองก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก และยังเอาเงินที่ขายผักได้มาซื้อเนื้อหมูเนื้อไก่แทน

 คำอธิบายของหล่อนไม่มีความหมายเลย เพราะผู้เป็นเจ้านายไม่คิดที่จะฟัง

 “นังกลอย ไปเรียกบ่าวคนอื่นมาช่วยถอนด้วย จะได้เสร็จเร็วๆ ข้าร้อนเต็มที”

 “เจ้าค่ะ” กลอยรับคำแล้ววิ่งไปทางโรงครัว เพื่อเกณฑ์คนมาทำลายแปลงผักตามที่เจ้านายสั่ง

 เมื่อรู้ว่าแปลงผักจะต้องพินาศเพราะความอคติ บุษบงจึงหันหน้าไปทางอื่นซ่อนความเจ็บช้ำไม่ให้คุณสร้อยเห็น เวลานี้หล่อนอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เลย ทำได้เพียงมองสิ่งที่ตนรักถูกทำลาย หัวใจถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไร้ความปรานี หลายครั้งที่หล่อนอยากลุกมาสู้ปกป้องตนเอง แต่ก็เกรงว่าหากทำเช่นนั้นแล้วเรื่องร้อนใจก็จะไปถึงคุณหญิงแขอย่างไม่จบไม่สิ้น จึงต้องกล้ำกลืนต่อไป

 เสียงฝีเท้าคนกลุ่มใหญ่ดังใกล้เข้ามา ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นบ่าวที่ถูกเกณฑ์มา หล่อนรู้ดีว่าไม่มีใครอยากทำเพราะสีหน้าเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนแต่ขัดคำสั่งไม่ได้

เพียงชั่วพริบตาแปลงผักก็เหลือแต่กองดิน ต้นไม้ถูกเหยียบย่ำแหลกลาญไม่ต่างจากหัวใจ

 ปกติคุณหญิงแขซึ่งมักนั่งเอนหลังอยู่ในเรือนหลังเล็กของตนจะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่วันนี้นางกลับมีท่าทางทุกข์ร้อนเพราะยังไม่เห็นหน้าบุษบง ประกอบกับมีเสียงเอะอะดังขึ้นที่ท้ายเรือนจึงเกิดความสงสัย ครั้นจะเดินไปดู ความร่วงโรยของสังขารก็เป็นอุปสรรค จึงเรียกต้นห้องให้เป็นธุระ

 “ไปดูซิจำปาว่าเสียงอะไร”

 สิ้นคำสั่งจำปาก็คลานออกไป สวนกับยายเจียมที่ประคองถาดสำรับเข้ามาพอดี ร่างอวบอ้วนของหญิงชราเต็มไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้าหน้าตามันย่องเพราะอยู่แต่หน้าเตา นางทรุดลงตรงหน้าคุณหญิงแข หอบแฮกๆ แล้วบอกเหตุด้วยเสียงขาดๆ หายๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย

 “คุณท่านเจ้าขา เกิดเรื่องอีกแล้วเจ้าค่ะ แม่บุษเจ้าค่ะ...แม่บุษ”

 “บุษมันเป็นอะไร” คุณหญิงแขถามด้วยความร้อนใจ สังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก

 “คุณสร้อยเจ้าค่ะ เรียกแม่บุษขึ้นไปพบบนเรือน แล้วบ่าวก็เห็นเดินลงมากันก็ไม่ได้คิดอะไร กระทั่งนังกลอยมันวิ่งมาที่ครัว มาเกณฑ์บ่าวไพร่ไปทำลายแปลงผักแม่บุษ”

 ใบหน้าของคุณหญิงแขบึ้งตึงเมื่อได้ฟังเช่นนั้น เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นควันไฟพวยพุ่งขึ้นมา นางรู้ทันทีว่าผู้เป็นลูกสะใภ้คงทำร้ายจิตใจบุษบงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 “คุณหญิงเจ้าขา ไปช่วยแม่บุษกันเถอะเจ้าค่ะ” จำปากล่าวด้วยความสงสารบุษบง เพราะแปลงผักนั้นหญิงสาวลงทุนลงแรงไปมาก อีกทั้งผักกำลังงอกงามให้เก็บเกี่ยวได้

 คุณหญิงแขยังคงนั่งนิ่ง มองกลุ่มควันที่ลอยขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะถอนใจออกมา ใช่ว่าเวลานี้ท่านจะไม่มีโทสะ แต่ท่านก็รู้น้ำใจของสะใภ้ตนเองว่าหากยื่นมือไปช่วยเมื่อไร บุษบงก็จะยิ่งโดนเล่นงานมากขึ้น 

 “อย่าเลย ปล่อยไว้อย่างนั้นละดีแล้ว”

 ทั้งจำปาและยายเจียมต่างมีสีหน้าผิดหวัง จนจำปาอดรนทนไม่ได้ ตัดพ้อเบาๆ พอให้ได้ยิน “คุณท่านไม่สงสารแม่บุษหรือเจ้าคะ ปล่อยให้คุณสร้อยข่มเหงอยู่ได้ร่ำไป”

 คุณหญิงแขผินหน้ามาด้วยท่าทีสงบเช่นเดิม แต่ในแววตาท่านมีความวิตกทุกข์ร้อนไม่แพ้ใคร “ใช่ว่าไม่อยากจะช่วย แต่ขืนออกไปคนที่จะเดือดร้อนที่สุดก็คือแม่บุษ”

 คำกล่าวนั้นไม่ผิดเลย เพราะคุณสร้อยใจคอคับแคบ จำปากับเจียมจึงได้แต่นั่งเวทนาหญิงสาวอยู่แต่ในเรือน

 “ไม่รู้คุณสร้อยเธอจงเกลียดจงชังอะไรแม่บุษหนักหนา บ่าวไพร่ก็มีเต็มบ้าน กลับจงใจกลั่นแกล้งแม่บุษคนเดียว” เจียมตั้งข้อสงสัย

ไม่ใช่เพียงแค่เจียมคนเดียวเท่านั้น บ่าวไพร่คนอื่นก็มีข้อกังขาเรื่องนี้เช่นกัน ต่างก็โจษจันกันไปต่างๆ นานา จนถึงกระทั่งว่าคุณสร้อยอาจจะกลัวว่าคุณหญิงแขจะยกสมบัติให้บุษบงเพราะเป็นผู้ที่อยู่รับใช้ใกล้ชิด แทนที่จะยกให้หลานทั้งสองที่ไม่เคยมาเหลียวแลเลย

 คุณหญิงแขยิ้มออกมา แต่เป็นยิ้มอย่างเวทนาชะตากรรมของหญิงสาวที่ตนอุปการะมากกว่า ท่านรู้ดีว่าเหตุใดคุณสร้อยถึงได้เกลียดบุษบงมาก หากกล่าวไปทั้งหมดก็เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อหญิงสาว จึงกล่าวเพียงสั้นๆ “คนอย่างแม่สร้อยเก่งอยู่อย่างหนึ่ง คือสัญชาตญาณดี”

 คำตอบนั้นไม่ได้ให้ความกระจ่างแก่ใคร ยายเจียมหันมามองจำปาอย่างงวยงง ส่วนจำปาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

 “หรือว่าคุณสร้อยอิจฉาแม่บุษของเราเจ้าคะ” เจียมถาม สาเหตุเดียวที่น่าจะทำให้คุณสร้อยเกลียดบุษบงก็คือความอิจฉา “แม่บุษของเราสวยกว่า สาวกว่า กิริยามารยาทเรียบร้อยกว่า คงกลัวว่าเจ้าคุณจะจับเอาไปเป็นเมียอีกคน”

 “ยายเจียมพูดอะไรอย่างนั้น ใครคิดอย่างนี้นรกจะกินกบาลเอา” จำปาแหวออกมาอย่างตกใจ 

 “อ้าว ก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนก็เห็นกันอยู่ว่าตอนหนุ่มๆ เจ้าคุณธรรมเจ้าชู้แค่ไหน มีเมียตั้งหลายคน จนเกิดเรื่องนั้นถึงได้หยุด ไม่อย่างนั้นป่านนี้คุณสร้อยคงไม่ได้มีอำนาจอยู่คนเดียวอย่างนี้หรอก” เมื่อกล่าวจบก็นึกได้ว่ากล่าวในสิ่งที่ไม่ควรออกไป จึงรีบเอามือปิดปาก แล้วมองไปยังคุณหญิงแขที่ยังนิ่งอยู่ “คุณท่านเจ้าขา บ่าวขออภัย ปากไวไปหน่อย”

 คุณหญิงแขส่ายหน้าอย่างไม่ถือโกรธ กล่าวด้วยเสียงเนือยๆ “ถ้าพ่อธรรมหันมาสนใจแม่บุษสักนิด ฉันก็คิดว่าน่าจะดี จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”

 “หมายความว่าคุณหญิงสนับสนุนให้แม่บุษเป็นเมียเจ้าคุณหรือเจ้าคะ!” เจียมถาม ตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่ตนเองเข้าใจ

 “ฉันไม่สนับสนุนเรื่องนั้นหรอก และฉันก็คิดว่าแม่สร้อยคงไม่ได้กลัวเรื่องนั้น แต่กลัวเรื่องอื่น”

 “เรื่องอื่น? เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ หรือว่าคุณสร้อยอิจฉาแทนคุณแสงจันทร์ กลัวว่าแม่บุษจะได้ดีกว่า” ยายเจียมเดาอีกครั้งด้วยความอยากรู้เต็มที

 คราวนี้คุณหญิงแขยิ้มออกมา ยายเจียมจึงคิดว่าตนเดาถูก

 ยายเจียมถอนหายใจออกมาอย่างเวทนาหญิงสาว หากให้พิจารณากันตามความเป็นจริง บุษบงเหนือกว่าแสงจันทร์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา กิริยามารยาท นิสัยใจคอ ความฉลาดหลักแหลม ไหวพริบหรือแม้กระทั่งความสามารถ สิ่งเดียวที่ด้อยกว่าก็คือชาติกำเนิดเท่านั้นซึ่งไม่มีใครเลือกเกิดได้ 

 “เรื่องอิจฉาริษยาของคุณสร้อยไม่มีใครเกินเลยนะเจ้าคะ นี่ยังอุตส่าห์อิจฉาแทนลูก แล้วชีวิตนี้จะหาความสุขได้หรือ” ยายเจียมบ่นออกมาอย่างเหลืออด ด้วยผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร เห็นอะไรมามากจนพอรู้ว่าชีวิตคนนั้นเมื่อถึงระยะหนึ่งก็ควรสำนึกได้ว่ามาตัวเปล่าก็ควรจะไปตัวเปล่า

 “ของพรรค์นี้ไม่ใช่ของที่จะเลิกกันได้ง่ายๆ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ปกป้องแม่บุษได้นานแค่ไหน”

 เสียงคุณหญิงแขคล้ายปลงตกด้วยสังขารที่ร่วงโรย นางจึงกลัวเหลือเกินว่าจะจากไปก่อนที่จะส่งบุษบงไปถึงฝั่งฝัน

 ทุกคนที่ได้ยินต่างหน้าเสีย ระยะหลังมานี้คุณหญิงแขเจ็บออดๆ แอดๆ ไม่แข็งแรงเหมือนดังก่อน อีกทั้งดูเหมือนกำลังใจของท่านจะถดถอย เมื่อทั้งลูกชาย ลูกสะใภ้และหลานทั้งสองไม่สนใจไยดี

 “อย่าพูดอย่างนั้นซิเจ้าคะ บ่าวใจคอไม่ดี” จำปาที่นั่งเงียบมานานท้วง 

 “ไม่มีใครหนีความตายพ้นหรอก ห่วงแต่แม่บุษ หากฉันเป็นอะไรไปแม่สร้อยคงไม่เอาแม่บุษไว้ จะฝากฝังไว้กับใครก็ยังมองไม่เห็น”

 บ่าวทั้งสองต่างนิ่ง สีหน้าหนักใจไม่แพ้กัน ด้วยรู้ว่าแรงเกลียดชังที่คุณสร้อยมีต่อบุษบงนั้นมากมายนัก และก็เป็นจริงอย่างที่คุณหญิงแขกล่าว หากไม่มีท่านบุษบงคงลำบาก เพราะพระยาธรรมานุรักษ์นั้นเห็นทุกอย่างตามคุณสร้อยทั้งสิ้นจึงไม่สามารถที่จะพึ่งพาได้

 “เอาเถอะ ยังไงแม่บุษก็คงไม่ลำบากนักหรอก พอมีวิชาความรู้ติดตัวอยู่บ้าง ฉันเองก็ทำหน้าที่ของฉันได้ดีที่สุดเท่านี้เอง”

 แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าท่าทางของคุณหญิงแขยังแสดงออกถึงความห่วงใย ในใจก็คงครุ่นคิดถึงทางออกสำหรับเรื่องนี้ ด้วยรู้ว่าหากไม่จัดการอะไร...เรื่องบางเรื่องอาจจะสายเกินไป

 “แต่ยังไงคุณหญิงก็ต้องอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้บ่าวไพร่ทั้งหมดกับแม่บุษก่อน ไม่มีคุณหญิงพวกบ่าวคงเดือดร้อนกว่านี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า นี่เจ้าค่ะสำรับ แม่บุษตั้งใจทำให้คุณหญิงอย่างสุดฝีมือทุกวันเลยนะเจ้าคะ ดังนั้นเช้านี้คุณหญิงจะต้องรับข้าวมากๆ ให้สมกับที่แม่บุษถูกลงโทษอย่างไร้เหตุผลจากคนใจดำพรรค์นั้น” ยายเจียมกล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง นางไม่พอใจในการกระทำของคุณสร้อยเลย แต่เมื่อเป็นเพียงไม้ซีกจึงไม่อาจหาญไปงัดกับไม้ซุง ทำได้เพียงแต่บ่นและว่ากล่าวลับหลังเท่านั้น

 “เอาเถอะ ฉันจะพยายาม” คุณหญิงแขตัดบท รับสำรับมาวางบนตั่งและมองต้มกะทิสายบัวด้วยสายตาครุ่นคิด

 น้ำตาอาบรินแก้มนวลยามที่ทุกคนเดินจากไปหมดแล้ว บุษบงมองเศษผักที่ถูกทำลายด้วยหัวใจอันร้าวราน ที่ร้องไห้นั้นมิได้เสียดาย เพียงแต่สังเวชตนเองอย่างเหลือเกินที่ถูกทำร้ายข่มเหงน้ำใจอยู่ร่ำไป แม้แต่สวนผักที่ปลูกไว้เลี้ยงคนทั้งบ้านก็ไม่เว้นหลายครั้งที่คิดจะออกจากบ้านไปเพื่อตัดปัญหา เพราะหล่อนมั่นใจว่าพอมีวิชาความรู้ที่จะไปอาศัยอยู่ข้างนอกได้โดยไม่ต้องเดือดร้อนใคร แต่เมื่อนึกถึงคุณหญิงแขและยายจำปา หล่อนก็ทิ้งท่านทั้งสองไปไม่ลงและไม่คิดจะทิ้ง เพราะหากไม่มีหล่อน ทั้งสองก็คงจะไม่มีใครดูแลใส่ใจในเรื่องข้าวปลาอาหาร หยูกยาในยามเจ็บไข้และเรื่องอื่นๆ อีก จะหวังให้คุณสร้อยผู้เป็นสะใภ้ คุณสันติหรือคุณแสงจันทร์ผู้เป็นหลานมาทำหน้าที่นี้ก็เห็นทีจะไม่มีทาง 

เมื่อคิดได้ดังนี้ก็มีกำลังใจขึ้นมา อย่างน้อยชีวิตก็ยังมีคุณค่าที่จะอยู่เพื่อคนทั้งสอง

 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หล่อนคิดถึงฐานะของตนเอง หล่อนคือบ่าวในเรือนเหมือนกับคนอื่น เพียงแต่ขึ้นตรงกับคุณหญิงแขไม่ใช่คุณสร้อย เหตุนี้จึงนับว่าเป็นบุญอย่างหนึ่ง เพราะคุณหญิงแขเมตตาหล่อนอย่างที่สุด หล่อนจึงรักท่านมากกว่าใครในโลกนี้

 ใต้ร่มใบบุญของคุณหญิงแขก่อให้เกิดความร่มเย็นอย่างมากมายเกินกว่าที่เด็กกำพร้าจะได้รับ ท่านอบรมสั่งสอน ส่งเสียให้ร่ำเรียนจนกระทั่งหล่อนอ่านออกเขียนได้ และท่านก็เต็มใจที่จะส่งหล่อนเรียนต่อ ทว่าเมื่อคุณแสงจันทร์บุตรสาวของเจ้าคุณหยุดเรียนเนื่องจากไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา และเห็นว่าการร่ำเรียนวิชาในโรงเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย หล่อนก็ต้องหยุดเรียนด้วย เพราะคุณสร้อยยื่นคำขาดไม่ให้บ่าวอย่างหล่อนมีการศึกษามากไปกว่าบุตรสาวของตนเอง โดยอ้างว่าจะเสียการควบคุมและการปกครอง 

แม้ในตอนแรกคุณหญิงแขจะไม่ยอม แต่หล่อนมิต้องการให้คุณหญิงแขหนักใจ เพราะเชื่อว่าคุณสร้อยจะไม่เลิกราเรื่องนี้ง่ายๆ จึงขอออกจากโรงเรียนแล้วมาปรนนิบัติท่านแทน แม้จะเสียดายเรื่องการศึกษา แต่การอยู่กับคุณหญิงแขก็ทำให้หล่อนได้เรียนรู้อะไรมากมาย มากกว่าการเรียนในโรงเรียนเสียอีก ทั้งนี้ท่านก็ส่งหล่อนจนจบชั้นมัธยมซึ่งเป็นชั้นการศึกษาที่สูงกว่าคนอื่นในเรือน

 คุณหญิงแขเคยเป็นนางข้าหลวงในวังมาก่อน ท่านจึงมีความรู้หลายอย่างที่โรงเรียนไม่ได้สอน ท่านชำนาญงานฝีมือทุกด้านและถ่ายทอดให้หล่อนอย่างไม่หวงแหน โดยหวังให้หล่อนเป็นผู้สืบทอดวิชาเอาไว้ทำมาหากินในอนาคต

 ในเวลานี้บุษบงคิดว่าเป็นการดีที่ได้ออกจากโรงเรียนมาปรนนิบัติคุณหญิงแข เพราะท่านเริ่มชรา สังขารร่วงโรยไปตามวัย หูตาฝ้าฟางไม่แข็งแรงดั่งแต่ก่อน เจ็บออดๆ แอดๆ อย่างน่ากังวล ถ้าหล่อนยังคงศึกษาอยู่ก็จะเหลือแต่ป้าจำปาซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกับคุณหญิงแขคอยดูแล อะไรต่อมิอะไรก็คงไม่คล่องตัวนัก       

 เมื่อนึกถึงตอนนี้หล่อนก็มีกำลังใจมากขึ้นจึงปาดน้ำตาทิ้ง สะกดกลั้นความเศร้าไว้ การคร่ำครวญไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ อย่างน้อยหล่อนก็โชคดีกว่าเด็กกำพร้าคนอื่นที่บางคนไม่มีแม้ที่จะซุกหัวนอน


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น