บทที่ ๖

 พระอาทิตย์กำลังจะอัสดง ส่องแสงเป็นสีแดงคล้ายสีทับทิม ชายหนุ่มวัยย่างยี่สิบสองนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้หวาย เบื้องหน้าคือแก้วน้ำและขนมปังอบที่เจ้าของบ้านเตรียมมารับแขก ตรงกันข้ามคือชายต่างชาติวัยใกล้เคียงกันที่นั่งมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มขบขัน

 “อย่ามาหัวเราะ ไม่ตลก” แขกกล่าวเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ไม่ผิดไปจากเจ้าของภาษา ใบหน้ายุ่งเหยิงด้วยความขัดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

 “ก็มันตลก ตอนอยู่ที่โน่นคุณบอกว่าคิดถึงบ้าน พอกลับมาดันหนีออกจากบ้านซะนี่”

 “แล้วถ้าเป็นคุณจะทำยังไง” ชายหนุ่มถามเสียงขุ่น

 “ถ้าเป็นผม ผมก็จะดูก่อนว่าผู้หญิงที่พ่อแม่หามาให้หน้าตานิสัยใจคอเป็นอย่างไร ศึกษาให้ถี่ถ้วนแล้วค่อยว่ากันไป”

 ด้วยอาชีพของนักกฎหมาย โรเบิร์ตจึงมักจะมีเหตุผลและใจเย็น ใช้สติในการตรึกตรองเรื่องราวต่างๆ แล้วค่อยนำมาตัดสินใจอีกที

 “ผมก็อยากศึกษา แต่คุณพ่อคุณแม่ผมเร่งรัดเหลือเกิน อีกสองสามวันท่านจะไปเจรจากับฝ่ายโน้นแล้ว”

 “คุณก็เลยหนีมา” โรเบิร์ตดักคอ “ผมว่ามันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา”

 “ผมรู้ แต่ผมไม่มีทางเลือกอื่น ตอนนี้ขอประวิงเวลาไปก่อน” เกื้อกูลกล่าวถึงเหตุผลของตนเอง เขาทราบข่าวเรื่องการที่พ่อแม่หมั้นหมายตนเองกับผู้หญิงคนหนึ่งจากเพื่อนที่เจอกันบนเรือสินค้าระหว่างเดินทางจากอังกฤษกลับมาที่บ้าน หมอนั่นเข้ามาแสดงความยินดี เขานึกว่าเพื่อนล้อเล่นในตอนแรกจนกระทั่งถามไปถามมาจึงรู้ความ

 หลังจากที่รู้เรื่องเขานอนไม่หลับหลายคืน จนกระทั่งถึงปีนังเขาก็เก็บเสื้อผ้าแยกใส่กระเป๋าอีกใบนั่งรถไฟกลับมาที่พระนคร รถไฟจอดเทียบชานชาลาสถานีหัวลำโพงเมื่อเช้านี้ ตอนแรกเขาคิดจะเข้าบ้านไปถามไถ่ให้รู้เรื่องราว แต่เมื่อคิดดูอีกทีหากเข้าบ้านไปการจะออกมาอีกก็คงลำบาก จึงมาหาเพื่อนเพื่อขออาศัยและค่อยคิดแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อีกที

 โรเบิร์ตคือเพื่อนที่เขาคิดถึงคนแรก เพราะเป็นคนเดียวที่พ่อแม่ไม่น่าจะนึกถึง เขาเจอโรเบิร์ตที่อังกฤษเมื่อหกปีก่อนตอนเรียนกฎหมายด้วยกัน แต่มาแยกกันเมื่อเรียนสาขา เขาเลือกเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อจะมาเป็นทูต ส่วนโรเบิร์ตเลือกเรียนกฎหมายทั่วไป เพื่อนคนนี้รักการท่องเที่ยว และเมื่อได้รู้จักกันเขาก็แนะนำให้รู้จักประเทศสยาม เมื่อเรียนจบฝ่ายนั้นจึงเดินทางมาสยามพร้อมกับภรรยา และติดอกติดใจจนตั้งปณิธานว่าจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต

 เนื่องจากในปัจจุบันสยามมีคนที่รู้ภาษาอังกฤษน้อย โรเบิร์ตซึ่งพูดไทยได้บ้างจึงไปสมัครงานในกรมท่า โดยได้รับความช่วยเหลือเล็กน้อยจากบิดาของเขา จึงได้เข้าทำงานในตำแหน่งล่ามมีเงินเดือนพอกินพอใช้ในระดับหนึ่ง ส่วนแคทลีนเรียนมาทางศิลปะ บางครั้งก็ได้รับเชิญให้เข้าไปสอนภาษาอังกฤษและศิลปะในวังของเจ้านาย ยุคนี้เป็นยุคตื่นฝรั่ง อะไรที่เป็นตะวันตกจึงดูดีงามไปหมด 

 “ผมเข้าใจนะ เอาเป็นว่าอยู่ที่นี่ไปก่อน แก้ปัญหาได้เมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน” โรเบิร์ตกล่าวอย่างเห็นใจ เนื่องจากตนเองเติบโตในดินแดนที่มีอิสระในการเลือกคู่ครอง ผิดกับดินแดนสยามแห่งนี้ที่พ่อแม่ยังเป็นคนกำหนดเรื่องคู่ครองให้บุตรหลาน ถ้าเขาต้องแต่งงานกับคนไม่รู้จักคงอึดอัดใจไม่แพ้กัน

 “ขอบคุณมาก แต่ผมคิดว่าจะขอเช่าบ้านอีกหลังที่อยู่ติดกัน คิดว่าอาจจะอยู่นาน”

 “ดีทีเดียว พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไป บ้านเช่าแถวนี้ก็ไม่ใช่ของใครที่ไหน ของคุณองอาจเพื่อนคุณนั่นเอง”

 “ขอบคุณมากที่เอื้อเฟื้อ” เกื้อกูลกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง หากเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโรเบิร์ตก็ไม่รู้ว่าจะพึ่งพาใครได้อีก

 “อย่าได้เกรงใจ และผมยินดีมากที่คุณมาอยู่ที่นี่ ผมเหงา ไม่ค่อยมีเพื่อนคุยเอาเสียเลย คนที่นี่แปลก เวลาเห็นฝรั่งคอยแต่จะหลบหน้าหลบตาราวกับว่าผมเป็นตัวประหลาด”

 เกื้อกูลยิ้มขันคำพูดนั้น คนไทยมักจะกลัวฝรั่ง ซึ่งไม่ใช่กลัวหน้าตาทว่าเก้อเขินหากพูดด้วยไม่รู้เรื่องจึงพยายามหลบเลี่ยง ที่เขารู้เพราะลูกหลานคนไทยหลายคนที่ถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษก็มักจะเป็นอย่างนี้ บางคนที่ไม่ขวนขวาย มัวแต่อับอายและเจ้ายศเจ้าอย่าง สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรติดตัวกลับมาเลยแม้แต่ภาษาที่ใช้สื่อสาร เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

 “เขาเกรงใจคุณหรอก แต่อย่างไรก็ตาม ผมจะอยู่กับคุณ เอาให้คุยกันจนเบื่อไปเลย”

 โรเบิร์ตยิ้มรับ พลันสายตาของเขาก็สะดุดกับรอยช้ำบนศีรษะของเพื่อน ด้วยความสงสัยจึงเอ่ยถามขึ้น “แล้วนั่นหัวไปโดนอะไรมา”

 เกื้อกูลยกมือขึ้นคลำศีรษะบริเวณที่มีรอยแผล ซึ่งตอนนี้ความเจ็บปวดหายไปหมดแล้วเหลือเพียงรอยฟกช้ำเท่านั้น

 “โดนตีมา” 

เขาตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ผิดกับโรเบิร์ตที่มีท่าทางตกใจ 

 “ใครตี นักเลงแถวนี้หรือ แล้วเป็นอะไรมากไหม ไหนขอผมดูหน่อย” ไม่พูดเปล่าโรเบิร์ตลุกขึ้นไปจ้องบาดแผลบนศีรษะเพื่อนทันที พินิจพิเคราะห์อยู่นานด้วยความเป็นห่วง 

 “ไม่ใช่นักเลงหรอก ผู้หญิงคนหนึ่ง เข้าใจผิดกันนิดหน่อย” น้ำเสียงของเกื้อกูลอ่อนลงเช่นเดียวกับดวงตา และบนใบหน้าก็มีรอยยิ้มอ่อนๆ

 “ผู้หญิงที่ไหน แล้วเข้าใจผิดอะไรกัน”

 “เมื่อเช้าลงเรือผิดท่า คนพายเรือไม่รู้จักบ้านของคุณก็เลยเอาผมไปปล่อยไว้ที่ท่าใกล้ๆ บ้านพระยาธรรมานุรักษ์ เดินหลงอยู่พักใหญ่ก็ไปเจอเรือนร้างเข้าเลยหยุดพัก พอดีเจอผู้หญิงคนนี้ เขาคิดว่าผมเป็นขโมย ก็เลยหวดเข้าด้วยไม้ ได้แผลอย่างที่เห็นนี่ละ”

 “อ้อ...งั้นก็แล้วไป นึกว่านักเลงที่ไหน” โรเบิร์ตถอยไปนั่งลงด้วยสีหน้าโล่งใจ “ผมเป็นห่วง แถวนี้มีนักเลงใหญ่อยู่คนหนึ่ง ผมจึงไม่ไว้ใจนัก”

 คิ้วเข้มขยับเข้าหากัน ด้วยความสงสัย “ใครหรือนักเลงใหญ่ แถวนี้มีบ้านผู้หลักผู้ใหญ่ ใครที่ไหนช่างกล้าเหลือเกิน”

 “ก็จะใคร คุณสันติ ฝาแฝดว่าที่คู่หมั้นคุณอย่างไรล่ะ ใครๆ ก็ระอากันทั้งนั้น”

 เกื้อกูลอึ้งงันกับสิ่งที่ได้ยิน มันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย เพราะเขาไม่คิดว่าลูกพระยาธรรมานุรักษ์จะเป็นนักเลง แต่ยังไม่ทันได้ซักเรื่องของสันติ โรเบิร์ตก็ถามคำถามขึ้นมาเสียก่อน 

 “แต่เมื่อกี้คุณบอกว่าเจอผู้หญิงที่เรือนร้างอย่างนั้นหรือ”

 “ใช่” เกื้อกูลตอบรับ ครั้นพอเห็นสีหน้าอันแปลกประหลาดของเพื่อนก็ต้องถามต่อ “มีอะไรที่นั่นหรือ”

 “เอ่อ...คุณอาจจะไม่เชื่อ ผมจะพูดอย่างไรดี” โรเบิร์ตอ้ำอึ้งและซ่อนสายตาด้วยการมองพื้นแทนที่จะมองหน้าคู่สนทนา ก่อนจะกล่าวออกไป “คุณอาจจะคิดว่ามันไร้สาระ แต่มีคนบอกว่าที่นั่นผีดุ”

 เกื้อกูลแทบจะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่คิดว่าเพื่อนจะเชื่อเรื่องนี้ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นฝรั่งแท้ๆ เติบโตมากับวิชาที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ซึ่งหมายถึงสิ่งที่พิสูจน์ได้

 “อย่าบอกนะว่าคุณเชื่อเรื่องอย่างนั้นด้วย”

 “ไม่รู้ซิ ผมเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่ง มันน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก” 

แค่คำตอบเดียวก็บ่งบอกแล้วว่าเพื่อนต่างชาติของเขาคนนี้เชื่อมั่นว่า เรือนหลังนั้นมีสิ่งลึกลับอาถรรพ์ซ่อนเร้นอยู่

 “โธ่...ไม่มีหรอก แล้วผมก็มั่นใจว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคน หล่อนเอาข้าวเอาน้ำมาให้ผมกินด้วย อิ่มจนอยู่รอคุณได้ถึงตอนนี้”

 ยิ่งเกื้อกูลกล่าวเช่นนั้นโรเบิร์ตก็ยิ่งเคลือบแคลง “จะเป็นไปได้ยังไง ที่นั่นไม่มีใครผ่านไปผ่านมา”

 คราวนี้คิ้วเข้มของว่าที่นักการทูตถึงกับขมวดเข้าหากัน ก่อนที่จะหาเหตุผลมาคัดค้านทั้งที่เจ้าตัวคิดว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นสักนิด โลกนี้จะมีผีที่ไหนกัน “อ้อ...หล่อนบอกว่าชื่อบุษ อาศัยอยู่ที่เรือนพระยาธรรมานุรักษ์”

 “บุษเหรอ หน้าตาเป็นยังไง”

 “ตัวเล็กๆ สูงประมาณบ่าของผม ผิวขาว ผมยาว ตาเศร้าๆ แล้วก็สวย” ประโยคหลังเกื้อกูลกล่าวเสียงเบา ทว่าหัวใจจดจำดวงหน้าหวานอมโศกนั้นได้อย่างแม่นยำ

 “งั้นก็คงใช่ คงเป็นบุษจริงๆ”

 “คุณรู้จักผู้หญิงคนนั้นเหรอ” เกื้อกูลถามกลับทันที เขายินดีอย่างประหลาดที่โรเบิร์ตทำท่าทางเหมือนรู้จักผู้หญิงที่มีน้ำใจคนนั้น

 “รู้จักสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงจะมาที่นี่”

 “จริงเหรอ” ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของเกื้อกูลแสดงถึงอาการดีใจอย่างไม่ปกปิด 

 “จริงซิ ผมจะโกหกคุณทำไม แล้วทำไมต้องดีอกดีใจขนาดนั้น” 

ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลมองมาอย่างจับพิรุธ จนเขาต้องเสไปมองทางอื่นแล้วอ้อมแอ้มตอบ

 “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่คนบังเอิญได้รู้จักกัน ได้เจอกันอีกครั้งก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่นี่” เกื้อกูลซักต่อ ปกติเขาไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น โดยเฉพาะเรื่องของผู้หญิง แต่เขากลับอยากรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อบุษคนนี้อาจจะเป็นเพราะความมีน้ำใจที่หล่อนมีให้เขา และที่สำคัญ ต้มกะทิสายบัวถ้วยนั้นเป็นรสมือที่เขาจดจำอย่างไม่รู้ลืม

 “บุษเป็นลูกศิษย์ของแคท คุณหญิงแขแม่ของพระยาธรรมานุรักษ์ที่รับอุปการะบุษเอาไว้ท่านฝากฝังมาตั้งแต่ผมกับแคทย้ายมาอยู่ใหม่ๆ ท่านอยากให้บุษมีความรู้ภาษาอังกฤษแล้วก็ได้เปิดหูเปิดตาบ้าง จะว่าไปท่านก็หัวสมัยใหม่ไม่น้อย รู้ว่าต่อไปภาษาอังกฤษจะมีความสำคัญ รู้ดีกว่าไม่รู้ น่าเสียดายที่ไม่ได้เรียนต่อทั้งที่สอบเป็นนิสิตได้แล้ว”

 “หัวดีไม่เลว สอบเรียนมหาวิทยาลัยได้ แล้วทำไมถึงไม่ได้เรียน”

 “อย่าหาว่านินทาไปนะ” โรเบิร์ตเสียงเบาเพราะรู้สึกไม่ดีที่ตนเป็นผู้ชายแล้วเอาคนอื่นมากล่าวในทางเสียหาย แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ

“คุณแสงจันทร์คู่หมั้นของคุณไม่ยอมเรียนหนังสือ ออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุสิบสองสิบสาม คุณสร้อยแม่ของคุณแสงจันทร์ก็เลยไม่ให้บุษเรียนด้วย ใครจะอยากเห็นบ่าวไพร่ได้ดีกว่าลูกของตัวเองคุณว่าจริงไหม อีกอย่างผู้หญิงที่นี่พ่อแม่ก็ยังไม่นิยมส่งให้เข้าเรียน บางบ้านบอกว่ากลัวจะเขียนเพลงยาวส่งให้ผู้ชาย ผมว่าค่านิยมนี้ควรจะเลิกได้แล้ว อีกไม่นานผู้หญิงสยามจะมีโอกาสได้ทำงานนอกบ้าน ซึ่งบุษน่ะถือว่าได้เรียนมากแล้วเมื่อเทียบกับฐานะของหล่อนเอง และผมว่าเด็กคนนี้อนาคตไกลเพราะนิสัยดี มีความขยันอดทน เพียงแต่ต้องมีใครให้โอกาสด้วย”

 เกื้อกูลหนักใจเรื่องของแสงจันทร์ เขาเริ่มเห็นถึงความไม่เหมาะสมของว่าที่คู่หมั้นอยู่รำไร หากคู่ครองของเขาไม่มีความรู้เห็นทีจะร่วมหอกันได้ลำบาก เพราะหน้าที่การงานของเขาจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภรรยา และในอนาคตเขาอาจจะได้เป็นหน้าตาของประเทศ ดังนั้นผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วยต้องเดินเคียงข้างเขาได้อย่างสง่าผ่าเผย มีคุณสมบัติพร้อมสรรพที่ผู้หญิงควรจะมีและมีความรู้ ถึงจะเดินเคียงข้างไปด้วยกันได้

 แล้วใจก็กระหวัดคิดไปถึงบุษบง เขาไม่คิดเลยว่าพระยาธรรมานุรักษ์และภรรยาจะใจแคบกีดกันบ่าวในบ้านในเรื่องการหาความรู้ใส่ตัว และก็เกิดความสงสารหญิงสาวที่ได้พบในวันนี้ หากหล่อนใฝ่ดีรักเรียนก็น่าจะสนับสนุนไม่ใช่กีดกัน

 “แล้วตอนนี้หล่อนยังเรียนกับแคทลีนเหรอ”

 “อย่าพูดว่าเรียนเลยค่ะ เป็นเพื่อนกันมากกว่า” แคทลีนเป็นคนตอบแทน หล่อนเดินออกมาจากหลังบ้านเพราะเพิ่งทำอาหารเสร็จ “แคทกับบุษคุยกันถูกคอ บุษเป็นคนดี ฉลาดใฝ่รู้แล้วก็มีน้ำใจ สอนแคทพูดไทยสอนทำอาหารไทย สอนธรรมเนียมไทย ถ้าไม่ได้บุษก็คงแย่เหมือนกัน”

 “เก่งนะ พูดกับพวกคุณได้” เกื้อกูลเอ่ยชมอย่างทึ่งจัด 

 “ใช่ค่ะ บุษเป็นคนเก่ง พูด ฟัง อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว เพราะเป็นคนตั้งใจเรียน” แคทลีนสนับสนุนความคิดนั้น “หนังสือบนชั้นนั้นบุษอ่านเกือบหมดแล้ว”

 แคทลีนชี้ไปยังชั้นหนังสือของตนเอง ที่มีหนังสือหลายประเภทจัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ

 คำกล่าวนั้นทำให้เกื้อกูลชื่นชมเด็กสาวอยู่ไม่น้อย แม้หล่อนจะมีฐานะเป็นเพียงคนรับใช้แต่ก็ยังขวนขวายหาความรู้ นึกเสียดายที่ลูกเศรษฐีบางคนที่มีเพียบพร้อมทุกอย่างแต่กลับไม่สนใจการเรียนซึ่งจะนำประโยชน์มาสู่ตัว หนึ่งในนั้นก็คือว่าที่คู่หมั้นของเขา และเรื่องนี้ก็ทำให้เขาหนักใจอย่างเหลือเกิน

 “พรุ่งนี้หล่อนจะมาสักกี่โมง”

 “อันนี้ก็ไม่แน่ใจ บุษต้องลักลอบมาที่นี่ ไม่ใช่คิดจะมาก็มาได้เพราะถ้าคุณสร้อยรู้เข้าบุษคงโดนทำโทษ แต่บุษบอกว่าพรุ่งนี้จะมาช่วงเย็น” แคทลีนบอกช่วงเวลาที่นัดแนะกัน

 คิ้วของเกื้อกูลขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมคุณสร้อยต้องลงโทษบุษด้วย ในเมื่อบุษมาที่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายไม่ใช่หรือ แล้วคุณหญิงแขก็อนุญาตให้มา”

 “บุษเป็นเด็กกำพร้า แล้วคุณสร้อยก็ไม่ค่อยชอบนัก อีกอย่างตอนนี้หล่อนก็โตเป็นสาวแล้วคุณสร้อยคงไม่อยากเลี้ยงดูเท่าไร กิตติศัพท์ความงกเลื่องลือไปทั่ว ใครๆ ก็ส่ายหัวกับบ้านนี้” แคทลีนตอบเท่าที่รู้ หล่อนเข้าไปสอนในบ้านคหบดีหลายหลังก็พอจะได้ยินข่าวของเพื่อนบ้านหลังใหญ่มาบ้าง

 “มิน่าเล่า ตอนผมเจอหล่อน หน้าของหล่อนถึงได้เศร้านัก ดูเหมือนจะร้องไห้ด้วย”

 “ตายจริง ร้องไห้อย่างนั้นหรือ คงมีเรื่องอะไรที่กระทบกระเทือนใจรุนแรงพรุ่งนี้มาคงต้องถามไถ่ให้รู้เรื่อง สงสัยจะถูกรังแกอีกแน่” แคทลีนเป็นเดือดเป็นร้อน เพราะในประเทศอันไกลบ้านเกิดเมืองนอนนี้บุษบงคือเพื่อนที่เธอสนิทที่สุด

 เกื้อกูลไม่กล่าวอะไรอีก ความคิดวกกลับไปยังคู่หมั้นของตนเองและพี่ชายฝาแฝดของหล่อนด้วยความกลัดกลุ้ม ยังไม่เห็นทางออกว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรให้ถูกใจทุกฝ่าย

 “อย่าห่วงเลย ทุกเรื่องจะต้องมีทางออก ไปกินข้าวกันเถอะค่ะ อาหารพร้อมแล้ว” แคทลีนเอ่ยชวนเข้าไปในห้องอาหารเมื่อถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องเติมอาหารใส่ท้องกันแล้ว

 เมื่อภารกิจประจำวันเสร็จสิ้น บุษบงจึงกลับเข้าเรือนเล็ก วันนี้หล่อนกลับเข้าไปเร็วกว่าปกติ เนื่องจากไม่ต้องรดน้ำแปลงผักที่ถูกคุณสร้อยทำลายไปแล้ว หญิงสาวอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ประน้ำอบจนตัวหอมกรุ่นก็คลานเข้าไปยังห้องนอนของคุณหญิงแขเพื่อรับใช้ท่านก่อนนอนเหมือนเช่นทุกคืน

 ห้องนอนของคุณหญิงแขเป็นห้องค่อนข้างโล่ง ท่านไม่นิยมเก็บอะไรให้รกหูรกตาไว้ในห้อง จะมีเพียงก็แต่ตั่งตัวเล็กสำหรับนั่งพักผ่อนก่อนนอนกับตู้หนังสือซึ่งเป็นสมบัติที่ท่านรัก เพราะครั้งหนึ่งหนังสือเหล่านั้นเคยเป็นของพระยาเดชานุรักษ์ผู้เป็นสามี เมื่อท่านต้องย้ายลงมาที่เรือนเล็กก็ให้คนย้ายลงมาด้วย ส่วนถ้วยโถโอชามลายครามก็ทิ้งไว้ที่เรือนใหญ่ทั้งหมดโดยไม่คิดเสียดายสักนิด ทั้งที่รู้ว่าต่อไปคงไม่ได้คืน เตียงของคุณหญิงแขเป็นเตียงไม้แบบโบราณ ฟูกที่ปูนอนเย็บด้วยนุ่นซึ่งเป็นฟูกใหม่ที่บุษบงกับป้าจำปาเพิ่งเย็บเมื่อไม่นานนี้ ด้านบนมีมุ้งสีขาวตวัดไว้ 

เมื่อเข้าไปในห้อง หน้าที่แรกของบุษบงคือเตรียมที่นอนให้คุณหญิงแข เริ่มจากใช้แส้ปัดฝุ่นออกจากฟูก ตบหมอนเบาๆ ให้พองขึ้น จากนั้นก็เอามุ้งลงและไล่ดูยุงหรือแมลง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีหล่อนก็คลานลงมานั่งตรงหน้าตั่ง ซึ่งคุณหญิงแขนั่งอยู่บนตั่ง และป้าจำปานั่งอยู่บนพื้นกระดานข้างตั่งนั่นเอง

 หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้ผู้สูงวัยทั้งสองต้องเป็นห่วง แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะเก็บซ่อนความทุกข์เอาไว้ในแววตาไม่ได้ เพราะครั้งนี้คุณสร้อยตั้งใจกลั่นแกล้งหล่อนเป็นการแสดงอย่างชัดเจนว่าชิงชังจนหล่อนเองไม่รู้จะแก้ไขประการใด

 “ยังเสียใจอยู่หรือแม่บุษ” คุณหญิงแขถามเสียงเรียบเย็น ไม่ว่าอารมณ์ภายในของท่านเป็นแบบไหน ท่านก็จะรักษาสีหน้าท่าทางได้สงบเยือกเย็นเสมอ

 “เปล่าเจ้าค่ะ” หล่อนพูดปดเพราะเกรงว่าความจริงจะทำให้คุณหญิงแขไม่สบายใจ

 “ฉันเคยบอกหล่อนแล้วไม่ใช่หรือว่าหล่อนเป็นคนที่โกหกไม่เก่ง เสียใจก็บอกว่าเสียใจ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก”

 “เจ้าค่ะ บุษเสียใจ” ในที่สุดหล่อนก็ยอมรับเมื่อไม่มีประโยชน์ที่จะโกหก

 “ฉันรู้ว่าครั้งนี้แม่สร้อยทำเกินไป และฉันเองก็ไม่มีแรงที่จะปกป้องหล่อน หล่อนโกรธฉันหรือเปล่า”

 บุษบงเงยหน้าทันทีด้วยความตระหนก ความโกรธคุณหญิงแขนั้นไม่เคยมีอยู่ในความคิด ถ้าหล่อนจะโกรธก็ต้องโกรธคุณสร้อยถึงจะถูก และแน่นอนว่ามันต้องมี แต่หล่อนไม่คิดจะเก็บเอามาเคียดแค้น เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้วก็ปล่อยวางด้วยไม่อยากให้ใจเป็นทุกข์มากกว่าที่เป็นอยู่

 “ไม่...บุษไม่เคยคิดจะโกรธคุณท่าน”

 คุณหญิงแขยิ้มอย่างมีเมตตา ทว่าบุษบงกลับรู้สึกว่ายิ้มของท่านในครั้งนี้เศร้าเหลือเกิน และหล่อนก็ต้องตกใจมากยิ่งขึ้นเพราะประโยคถัดมาของผู้สูงวัย

 “ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านนี้ มีที่ดินอยู่ที่บางซื่อแปลงหนึ่ง มันคงไม่สะดวกสบายเท่าที่นี่ แต่ฉันอยากมีชีวิตสงบสุข”

 “ย้ายออกจากที่นี่ แล้วเจ้าคุณล่ะเจ้าคะ” หล่อนหมายถึงพระยาธรรมานุรักษ์บุตรชายคนเดียวของท่าน

 “พ่อธรรมน่ะหรือ คงไม่ต้องห่วงหรอก เขามีเมียอยู่ทั้งคนคอยดูแล ยังไงแม่สร้อยก็คงไม่ฆ่าแกงผัวตัวเองได้ลงคอ เป็นห่วงแต่หล่อนเท่านั้นละแม่บุษ สักวันถ้าไม่มีฉัน หล่อนคงแย่”

 คำกล่าวนั้นทำให้หล่อนร้อนใจอย่างที่สุด เหมือนตนเองเป็นต้นเหตุให้ท่านต้องย้ายออกจากที่นี่ จากบ้านที่ท่านอยู่มาตั้งแต่ออกเรือนหากให้นับระยะเวลาคงกว่าสี่สิบปี

 “อย่าทำเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ หากปัญหาทุกอย่างเกิดจากบุษ บุษมิเคยคิดว่ามันจะเหลือบ่ากว่าแรง ไม่ว่าคุณสร้อยจะทำอย่างไรบุษทนได้เสมอ”

 “แต่ฉันทนไม่ได้ ฉันไม่อยากทนเห็นหล่อนถูกรังแกอีกแล้ว” คุณหญิงแขสวนทันควัน

 แววตาของคุณหญิงแขฉายชัดถึงความรัก ความเมตตาและความสงสาร ทำให้บุษบงน้ำตาคลอ และก้มลงกราบท่านด้วยความซาบซึ้งในความเมตตาที่ท่านมีต่อเด็กกำพร้าอย่างหล่อน 

 “แต่ถ้าทำอย่างนั้นบุษเองก็ไม่สบายใจ”

 “มันไม่ใช่แค่เรื่องหล่อนหรอก อย่าคิดมากไป ฉันเหนื่อยล้ากับการที่ต้องอยู่ที่นี่แล้วต่างหาก ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตา ไม่มีอะไรผูกพันยึดเหนี่ยวฉันเอาไว้ได้อีกแล้ว”

 ความเศร้าหมองเกาะกินหัวใจทุกคน และต่างก็รู้ดีว่าคุณหญิงแขหมายถึงอะไร

 บุษบงไม่มีสิทธิ์จะคัดค้านการตัดสินใจของท่าน พลันก็รู้สึกถึงความวูบโหวงในอก หล่อนมองไปรอบๆ ด้วยความเสียดายและอาลัย ไม่ต้องการให้คุณหญิงแขทำอย่างที่กล่าวมาเลย

 “ไม่ต้องมาทำหน้าม่อยอย่างนั้นดอก ฉันไม่ได้ย้ายไปวันนี้พรุ่งนี้ กว่าจะปลูกเรือนเสร็จคงอีกหลายเดือน หล่อนกับฉันยังมีเวลาถูกราวีอีกพักใหญ่”

 บรรยากาศในห้องคลายความเศร้าหมองลงเมื่อคุณหญิงแขกล่าวแกมประชด ทำให้บุษบงยิ้มออกมาได้ และหล่อนยังนึกไม่ออกว่าหากย้ายออกจากที่นี่ไปแล้วไม่มีคุณสร้อยคอยเล่นงาน ชีวิตของหล่อนจะเป็นอย่างไร คงขาดสีสันไปไม่น้อยทีเดียว

 ทว่าเรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้น คุณหญิงแขหยิบกำปั่นไม้ลงรักปิดทองใบขนาดย่อมยื่นมาให้บุษบง

 “อะไรหรือเจ้าคะ”

 “เปิดดูซิ” คุณหญิงแขกล่าวพร้อมกับยื่นกุญแจทองเหลืองมาให้

บุษบงรับกุญแจมาไขออกดู สิ่งของที่อยู่ภายในทำให้หล่อนถึงกับตะลึงระคนแปลกใจ เพราะมันคือเครื่องแต่งตัวของคุณหญิงแขที่มีมากมายจนเต็มกำปั่น 

 “คุณท่านจะให้บุษนำไปขัดล้างหรือเจ้าคะ คุณหญิงจะไปออกงานที่ไหนบุษจะได้เตรียมชุดให้” บุษบงถามด้วยความแปลกใจ คุณหญิงแขไม่นิยมใช้เครื่องแต่งตัวเหล่านี้เมื่ออยู่บ้าน จะใช้ต่อเมื่อออกงานเท่านั้น และเท่าที่จำได้ ครั้งล่าสุดที่ท่านใช้ของพวกนี้น่าจะผ่านมาสี่ห้าปีแล้ว หลังจากนั้นไม่ว่าใครเชิญไปงานไหนท่านก็ไม่ไปทั้งนั้น อ้างว่าสุขภาพไม่ดีเกรงว่าไปแล้วจะทำให้เจ้าของงานลำบากเสียเปล่าๆ แต่บุษบงรู้ว่าเหตุผลจริงๆ คือคุณหญิงแขไม่อยากไปพบกับคุณสร้อย ไม่อยากปั้นหน้าเพื่อไม่ให้ใครติฉินนินทา

 ทว่าสิ่งที่หล่อนคิดนั้นผิดถนัด คุณหญิงแขส่ายหน้า ก่อนบอกวัตถุประสงค์ในการเอาเครื่องแต่งตัวเหล่านี้ออกมา

 “ฉันอยากให้หล่อนเก็บของพวกนี้ไว้ หากฉันเป็นอะไรขึ้นมาหล่อนคงพอตั้งตัวได้”

 คำกล่าวนั้นทำให้หญิงสาวยื่นเครื่องแต่งตัวคืนท่านทันที สงสัยระคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดท่านจึงยกสิ่งของเหล่านี้ให้หล่อนซึ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับเลยแม้แต่นิดเดียว

 “บุษรับไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ บุญคุณของคุณท่านมากมายเหลือเกิน บุษชดใช้สิบชาติก็คงไม่หมด”

 “ฉันรู้ว่าหากให้หล่อนเก็บรักษาเอาไว้มันจะไม่สูญหาย และหากจำเป็นต้องใช้เงินทองก็เอามันไปขายเถอะ อย่าต้องลำบากลำบนหาเงินเองอยู่เลย”

 เพราะการกระทำของคุณสร้อยในวันนี้เป็นแรงกระตุ้นให้คุณหญิงแขตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเพื่อบุษบง ท่านต้องเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่ทันกาล 

 เมื่อบุษบงไม่ยอมรับเครื่องประดับเหล่านั้น ท่านจึงหันมาดุ “ผู้ใหญ่ให้ของอย่ามาจองหอง”

 บุษบงหน้าเจื่อน แต่ก็ยังไม่ยื่นมือมารับอยู่ดีจนท่านต้องเอ่ยถาม

 “ทำไม มีเหตุผลอะไรที่ไม่รับ”

 หญิงสาวเงยหน้ามอง ดวงตาสีดำใสแจ๋วไร้จริต ตอบด้วยเสียงอันมั่นคงบ่งบอกถึงความจริงใจอันแน่วแน่ “ของเหล่านี้ไม่ควรเป็นของบุษ”

 “แล้วมันควรเป็นของใคร” คุณหญิงแขย้อนถาม 

 “คุณแสงจันทร์เจ้าค่ะ”

 คุณหญิงแขยิ้มอ่อนๆ มิเสียแรงที่ท่านเลี้ยงดูบุษบงมาด้วยมือของตนเอง หญิงสาวเป็นคนดี ไม่ละโมบโลภมาก แต่สมบัติเหล่านี้ท่านเห็นว่าควรเป็นของบุษบงไม่ใช่แสงจันทร์

 “แม่แสงจันทร์มีมากเกินพอแล้ว ฉันขอให้หล่อนรับไว้เพื่อความสบายใจของฉัน หากเป็นอะไรไปจะได้นอนตายตาหลับ แล้วถ้าฉันเป็นอะไรไปหล่อนจะเอามันไปทำอะไรฉันก็ไม่ว่า จะยกให้แสงจันทร์ทั้งหมดฉันก็จะไม่โกรธเคือง แต่ก่อนยกให้หล่อนช่วยเปิดจดหมายที่อยู่ในกำปั่นนี้ออกอ่านเสียก่อน ฉันเขียนถึงหล่อนเอาไว้”

 “เขียนอะไรหรือเจ้าคะ”

 “เรื่องบางเรื่องที่ฉันยังไม่อยากให้หล่อนรู้ตอนนี้ รอให้ฉันตายเสียก่อนแล้วค่อยแกะอ่าน สัญญาได้หรือเปล่า”

 บุษบงรู้สึกประหลาดใจและสงสัยที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ความเคารพในตัวคุณหญิงแขมีมากกว่าจึงยอมรับคำ   “เจ้าค่ะ บุษสัญญา”

 “ดีมาก ขอให้รักษาสัญญา เพราะหากหล่อนอ่านตอนนี้ ความรู้สึกที่หล่อนมีต่อฉันอาจจะเปลี่ยนไป แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามจงจำไว้เถิดว่าฉันรักและปรารถนาดีต่อหล่อนเสมอ”

 บุษบงน้ำตารื้นด้วยความซาบซึ้ง ตอบรับด้วยเสียงอันสั่นเทา “บุษทราบเจ้าค่ะ และหากชาติหน้ามีจริง บุษขอเกิดเป็นบ่าวรับใช้คุณท่านอีก”

 คุณหญิงแขยิ้มรับถ้อยคำนั้น “ชาติหน้าของฉันอีกไม่นานนักหรอก แต่ของหล่อนคงอีกหลายสิบปี หากฉันไม่อยู่ก็จงดูแลตัวเองให้ดี”

 ถ้อยคำที่คุณหญิงกล่าวมาทั้งหมดทำให้บุษบงใจหายไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหญิงแขเอ่ยถึงความตายซึ่งหล่อนไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้เลยตั้งแต่อยู่กับท่านมา

 “คุณท่านอย่าพูดอย่างนั้นซิเจ้าคะ บุษใจไม่ดีเลย” 

บุษบงคลานเข้าไปใกล้ แล้วซบศีรษะลงกับเข่าของท่าน ผู้สูงวัยลูบไล้ศีรษะหญิงสาวอย่างเอ็นดู 

“ฉันแก่แล้ว เป็นไม้ใกล้ฝั่งเต็มที อยากส่งเจ้าให้ถึงฝั่งเหมือนกัน ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว”

 พอถูกถามเรื่องอายุ บุษบงก็ยิ่งตกใจมากขึ้น เพราะเมื่อใดที่ผู้ใหญ่ถามเช่นนี้มีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ท่านคิด คือการออกเรือน

 “คุณท่านไม่เมตตาบุษแล้วหรือเจ้าคะ” หล่อนตัดพ้อเสียงอ่อนแรง

 “อ้าว ก็แค่ถามว่าอายุเท่าไร ทำมาเป็นตัดพ้อฉัน ไม่อยากออกเรือนหรือ สาวๆ สมัยนี้ใครๆ ก็อยากรีบออกเรือนกันทั้งนั้น ดูแม่แสงจันทร์ซิ อายุน้อยกว่าหล่อนตั้งปีกว่า ยังอยากจะออกเรือนวันนี้พรุ่งนี้”

 บุษบงส่ายหน้าจนเส้นผมกระจาย ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่เจ้าค่ะ บุษอยากอยู่กับคุณท่านไปตลอด อยากอยู่รับใช้คุณท่านอย่างนี้”

 คุณหญิงแขยิ้มด้วยความเอ็นดู บุษบงมีจริตจะก้านน้อยเต็มที ดวงตาใสแจ๋วบอกว่าคิดตามที่พูด

 “หล่อนก็ช่างประจบ ช่างอ้อนเหลือเกิน จะอยู่กับฉันจนเป็นแตงเถาตายอย่างนังจำปาจะได้อย่างไร...ผู้หญิงเราต้องออกเหย้าออกเรือน มีคนคอยคุ้มครองดีกว่าอยู่คนเดียว” กล่าวพลางท่านก็หันไปมองจำปาที่เอาแต่เงียบอย่างเดียว 

 บุษบงนิ่งตามประสาเด็กที่ไม่เคยเถียงผู้ใหญ่ แต่ในใจยืนกรานว่าจะไม่ยอมออกเรือนไปไหน จะเฝ้าคุณหญิงและป้าจำปาอยู่อย่างนี้จนกว่าทั้งสองจะขับไล่

 ดูเหมือนคุณหญิงแขจะรู้ความในใจ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างปรานี

 “เรื่องออกเรือนก็เหมือนกันไม่ใช่วันสองวันนี้หรอก ฉันจะต้องดูให้ดีเสียก่อนว่าลูกบ้านไหนที่เหมาะสม อย่าวิตกไปก่อนเลย ฉันรับรองนะว่าจะหาผู้ชายที่ดีให้หล่อน หากไม่แน่ใจฉันจะไม่ยกให้เด็ดขาด”

 แม้จะได้รับการยืนยันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ บุษบงก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี หล่อนจึงชิงเปลี่ยนเรื่องโดยการเคลื่อนตัวไปยังตู้ไม้เสาลายเกลียว ด้านหน้าบุกระจกอันเป็นตู้หนังสือ ซึ่งมีวรรณคดีหลายเล่มเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบ

 “วันนี้คุณท่านจะฟังเรื่องอะไรดีเจ้าคะ”

 คุณหญิงแขยิ้มอ่อนๆ ขันท่าทางร้อนรนกลัวการออกเรือนของเด็กสาวที่ตนเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก ทอดสายตามองบุษบงด้วยความรัก ใจจริงไม่เคยอยากผลักไส แต่เกรงว่ายิ่งหล่อนอยู่ที่นี่ก็อาจจะมีภัย ดังนั้นจะต้องหาใครสักคนที่พอจะปกป้องบุษบงได้ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วท่านก็คงนอนตายตาหลับ ทว่าทุกอย่างก็ควรจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่านจึงโอนอ่อนผ่อนตามบุษบงไปในที

หญิงชราเคลื่อนตัวไปยังเตียงนอนที่บุษบงจัดไว้ให้อย่างเรียบร้อย แล้วล้มตัวลงนอน

 “เอาละ วันนี้ฉันอยากฟังเสภาขุนช้าง ขุนแผน หล่อนลองขับให้ฟังอีกทีซิ ส่วนแม่จำปาก็ไปนอนเถอะ ไม่มีอะไรที่ฉันจะเรียกใช้อีกแล้ว” ประโยคหลังท่านหันไปสั่งต้นห้อง เพราะบุษบงจะต้องมานอนเป็นเพื่อนท่านอยู่แล้ว

บุษบงหยิบหนังสือออกมาอย่างรู้งาน แล้วเปิดหน้าที่คุณหญิงชอบให้อ่าน นั่นคือตอนกำเนิดพลายงาม เมื่ออ่านไปได้สักระยะคุณหญิงแขก็หลับ หล่อนจึงหยิบผ้าแพรปลายเตียงมาคลุมให้ท่าน 

 เมื่อคุณหญิงแขหลับแล้ว บุษบงก็ไปปูที่นอนของตนเอง แต่เมื่อเหลือบไปเห็นกำปั่นก็ครุ่นคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับสิ่งที่ได้มา 

 หล่อนยืนยันในใจอย่างหนักแน่นว่ามันเป็นของคุณแสงจันทร์ซึ่งไม่ควรหยิบฉวยมา ครั้นจะเอาไปให้เวลานี้คุณหญิงแขคงไม่พอใจแน่ อีกทั้งหล่อนเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเก็บรักษาเอาไว้กับตัวได้ หากคุณสร้อยรู้เข้าหล่อนคงมิแคล้วถูกเล่นงาน ดังนั้นควรจะเก็บให้พ้นหูพ้นตาทุกคนนับว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด

 มือเล็กคว้าผ้ามาคลุมไหล่ คอนกำปั่นออกจากห้องคุณหญิงซึ่งมันมีน้ำหนักมากพอควร แต่หล่อนไม่สนใจที่จะเปิดดูอีกครั้งว่ามีอะไรบ้างด้วยถือว่าไม่ใช่สมบัติของตัว จากนั้นก็เดินลงบันได หยิบจอบที่เคยใช้ทำแปลงผักเดินต่อไปยังเขตหวงห้ามซึ่งก็คือเรือนทาส เพราะหล่อนเชื่อว่าหากจะซุกซ่อนของมีค่าไว้ ที่นี่น่าจะปลอดภัยที่สุด


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น