๘
ริมฝีปากของเธอนุ่มเหมือนกลีบดอกไม้ แล้วก็หวานปะแล่มเหมือนน้ำหวาน
เขาแตะลิ้นลงไป อยากจะทำมากกว่านั้น แต่สุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิด ชายหนุ่มค่อยๆ ถอนใบหน้าออก
อีกฝ่ายไม่ยอม ยังโน้มใบหน้ารุกเข้ามา ครั้นเขายืดคอหนี รายนั้นก็ก้มลงไปพรมจูบที่ซอกคอ
เขาค่อยๆ ใช้ฝ่ามือดันเธอออก ‘อึอือ แค่จูบพอ’
‘ทำไม’ เสียงเธอกระซิบสั่นดื้อ ‘ก็อยากทำมากกว่าจูบอะ’
‘นีน่า’ เขาลงเสียงชัดเจน คราวนี้ถึงกับคว้าต้นแขนเธอทั้งสองข้างยึดให้อยู่กับที่ จ้องตามั่นคง ‘มันยังไม่ถึงเวลานะ’
‘เวลาอะไร’
‘เวลาที่เราแต่งงานกันไง’
ดนีย์นาถหน้าง้ำ ‘เค้าไม่ได้ถือว่าความบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นสิ่งสำคัญนะ!’
‘แต่เค้าถือนี่นา’
‘ถือ แต่ตัวเองก็ไปเที่ยวมีอะไรกะคนอื่น เว้นเค้าไว้คนเดียวเนี่ยนะ’
‘เพราะเค้าให้เกียรตินีน่า’
‘มันเป็นเกียรติตรงไหน’ หน้าง้ำเปลี่ยนเป็นเง้า เสียงเริ่มแผด ทั้งที่จริงปกติเธอไม่เคยแผดเสียงใส่ใคร ‘เกียรติหรือรังเกียจกันแน่ เค้าไม่สวยพอรึไง!’
ดวงตากลมโตอันมักสะแววสดใส บัดนั้นกลับระริกไหวและเอ่อน้ำ
ดนตรีรู้ มันเต็มไปด้วยคำถาม ตกลงเขาคบเธอเพราะอะไร ถึงกระนั้นไม่มีใครพูดคำใดออกมา
หรือนี่คือเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ท้ายสุด นีน่าเงียบหาย…
ถ้าชีวิตของเขาคือดนตรี มันก็คือบทบรรเลงที่ใครๆ ชื่นชมว่าช่างเป็นเพลงที่สมบูรณ์แบบ และแสนโดดเด่น เฉพาะคนที่ ‘หูดี’ มากพอ จึงจะสัมผัสว่ามีบางโน้ตขาดหายไปเสมอ
ท่ามกลางฉากหน้าเฉกเจ้าชาย การเงินของบ้านเขาเริ่มคลอนแคลนตั้งแต่ดนตรีอายุได้แค่สิบกว่า พ่อแม่ยังพยายามชูให้เขาอยู่ในจุดสูงที่สุด ห่างไกลจากปัญหามากที่สุด ถึงกระนั้นบรรยากาศในบ้านประกาศทุกสิ่ง ดนตรีเพียรทำให้พ่อแม่ชื่นใจ ทำให้บ้านรื่นรมย์ แต่บนหน้ากากรอยยิ้มของพ่อแม่ ดวงตาของพวกท่านรานระทม
เมื่ออยู่ในห้องนอน เขากอดตัวเองไว้ หวาดหวั่นกับชะตากรรมจนน้ำตาไหลเงียบงัน มันจะเป็นยังไงถ้าเขาถูกยึดบ้าน ถ้าพ่อแม่ไม่มีงานทำ คำว่ารัฐประหารดูเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ ไกลตัว แต่เมื่อเกิดขึ้น มันได้ส่งแรงกระเพื่อมจนธุรกิจส่งออกของพ่อแม่ถึงกับชะงัก จากนั้นรายรับดิ่งเหว ตลาดยุโรปและอเมริกาใช้มันเป็นสารต่อต้านการก่อการดังกล่าว ซึ่งเขากับคนทั้งบ้านไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยซ้ำ
จบ ป. ๖ ดนตรีถูกส่งเข้าเรียนต่อ ม. ๑ ในโรงเรียนที่ดีที่สุดเช่นเคย เขาเหนื่อยจะยิ้มหรือทำความรู้จักเพื่อนใหม่ เพราะตลอดเวลานั้น หัวใจคล้ายถูกคว้านลึก มันทำให้รู้สึกแปลกแยก รู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบพ่อกับแม่ รู้สึกอับอายเพื่อนๆ เมื่อเขาปฏิเสธไม่ออกไปกินข้าวกับพวกมัน ซื้อของแบบเดียวกับพวกมัน เพียงเพราะการประหยัดคือสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวเขา
ก่อนที่ดนตรีจะยื่นข้อเสนอพ่อกับแม่ ขอลาออกมาเรียนโรงเรียนที่มีค่าใช้จ่ายรอบด้านน้อยกว่า เขาก็ได้พบกับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ไม่ค่อยสนใจโลก...หมายถึง สังคมโลกรอบตัว แต่สนใจไปในโลกที่กว้างกว่านั้น
‘เปล่า มันก็ไม่เชิงประหยัด แต่การเอากระติกน้ำมาเอง มันทำให้เราไม่ต้องเพิ่มขยะพลาสติกนะ’
คำอธิบายของเธอดูน่างงงวย ทำไมเราจะต้องไม่เพิ่มขยะพลาสติก พลาสติกก็เอามารีไซเคิลได้ไม่ใช่เหรอ เขาเข้าใจแบบนั้น ด้วยโลกทัศน์ของตัวเอง ดนตรีจึง ‘เข้าใจ’ ต่อไปว่า เจ้าของแก้มนุ่มย้อยคงจะเผชิญปัญหาแบบเดียวกับเขา เป็นคนแบบเดียวกันกับเขา
นั่นคือเหตุผลที่ดนตรีเปิดใจ และสนิทใจกับดนีย์นาถมากกว่าเพื่อนส่วนใหญ่ แม้ใครๆ จะหาว่าเธอเพี้ยน และคนเฉิดฉายอย่างเขาไม่ควรไปเกี่ยวข้องจนพลอยแปดเปื้อน
เขาชอบที่เธอเข้มแข็ง ไม่อินังถ้อยคำหรือสายตาใคร ทว่าซื่อสัตย์กับความมุ่งมั่นสนใจของตัวเอง มันกลายเป็นความชอบที่เหนือกว่าแค่ชอบที่เธอเป็นพวกเดียวกับตัวเขาเองด้วยซ้ำ เพราะในเวลาต่อมา แม้จะรู้ว่าดนีย์นาถเป็นทายาทของบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ที่ห่างไกลจากความแคลนคลอน ดนตรีก็ยังปักใจอยู่ที่เธอ
เพื่อนๆ ล้อเธอกับเขา การทำตัวเป็นเงาของกันและกันกำเนิดความสัมพันธ์อีกขั้น ขั้นที่พาเขาก้าวสู่บ้านของนีน่า ได้พบกับพิภพ และแล้วเขากลายเป็นดนตรีที่มีตัวโน้ตดังกังวานมานานจวบบัดนี้
ตลอดเวลานั้น เขาไม่สามารถคบหาแฟนสาวอย่างเปิดเผย ชั้นต้นมันเป็นความเห็นของพิภพ และลึกๆ ก็เป็นความต้องการของเขาเอง กระทั่งต่อมา ในเวลาที่ดนตรีคิดว่าตัวเองพร้อม นีน่ากลับเห็นว่าไม่จำเป็น เธอขยาดความยุ่งยากเพราะอาจพลอยกลายเป็นที่จับตา
มันน่าจะง่าย เพื่อนหนุ่มๆ ที่สนิทต่างพากันอิจฉา ‘แม่งจะเอาใครก็ได้ ไอ้นีน่าไม่เคยว่าอะไรซักแอะ’
ดนตรีเข้าใจมาตลอดว่าแฟนสาวเข้าใจ และนั่นเพราะเขาให้เกียรติเธอ ไม่ใช่แค่ยกเธอไว้สูงที่สุด แต่เธออยู่ในจุดที่เขาป้องปรามตัวเองไม่ให้ทำเธอมัวหมองก่อนวันอันควรด้วยซ้ำ
นานๆ ทีดนีย์นาถจึงจะโกรธ ตอนที่เธอโกรธเพราะเขาไม่ยอม ‘แตะต้อง’ ดนตรียังนึกว่ามันเป็นเรื่องเล็ก เป็นเรื่องน่าตลก เขาแค่กระซิบข้างหูเธอ ‘ปีนี้ยี่สิบสี่ เค้าพร้อมแล้วนะ รอแต่ตัวเองตกลงนี่ละ’
‘เซ็กซ์กับการแต่งงานมันไม่ได้เกี่ยวกันเลย!’ อีกฝ่ายกะบึงกะบอน เขารู้ว่านีน่าไม่ชอบเวลาตัวเองกะบึงกะบอน เจ้าตัวจึงสะบัดหลบไปที่อื่นเพื่อสงบอารมณ์
แล้วมันก็จบลงแค่นั้น เขายังปฏิบัติตัวแบบเดิม ยิ่งเมื่อต้องมาอยู่ลำพังในเมืองหนาวเหน็บ ท่ามกลางการทำงานขะมักเขม้น การมีใครสักคนไว้ให้ปลดปล่อยความเครียดไม่น่าใช่เรื่องเสียหาย เพราะในที่สุด เมื่องานออกมาดี ผลกำไรก็จะวนกลับไปยังนีน่าโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรเองเลย
แล้วเธอยังจะโกรธอะไรกับแค่ผู้หญิงคืนเดียวของเขา
ตอนที่แสดงภาพรีสอร์ตเกาะช้างให้ดู ผู้หญิงคนนั้นร้องอยากตามมา แต่ดนตรีบอกว่าไม่ได้ เขามีคนสำคัญที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาด้วย
คนสำคัญคนเดียวเท่านั้น
แต่วันนี้เธอไม่แม้แต่อ่านแชตเขาด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงสายโทรศัพท์ที่เธอไม่รับ โซเชียลเน็ตเวิร์กที่กดเลิกเป็นเพื่อนและเลิกติดตาม นี่ถ้าแต่ต้นเธอไม่ได้ระวังตัวจนไม่ยอมลงรูปใดๆ อันจะแสดงถึงสถานะเป็นแฟนกัน เขาก็เชื่อว่าเธอคงจะตามลบมันทั้งหมดนั้นด้วย
ชายหนุ่มกัดกราม ถอนสายตาจากอาหารจานแนะนำบนโต๊ะออกไปยังชายหาดด้านนอก แดดยังจัดจนต้องหยีตา
ก่อนหน้านี้ศิลปินหนุ่มเซ็นเอกสารเข้าพักแล้วให้คนขนสัมภาระไปเก็บที่ห้อง ส่วนตัวเองจะเดินสำรวจสถานที่ก่อน บัตเลอร์ที่ชื่อปภังกรกระวีกระวาดขออาสาเป็นผู้นำเขาไปเยี่ยมชมจุดต่างๆ ที่จริงดนตรีอยากเดินลำพังมากกว่า แต่ก็คร้านเกินจะปฏิเสธ จะว่าไป ระหว่างเดิน เขาก็ไม่ได้จดจ่อ จนบางครั้งแทบจะไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่าย
‘คุณโดดูจะเริ่มเหนื่อยแล้ว เราไปที่ห้องพักกันเลยดีมั้ยครับ’
‘ผมหิว ไปหาอะไรรองท้องก่อนดีกว่า เมื่อกี้ผมเห็นมีร้านที่ริมหาดด้วยใช่มั้ย’
‘ใช่ครับ แต่ตอนนี้อากาศจะร้อนหน่อย ถ้าให้แนะนำ ผมว่าร้านในตัวอาคารจะนั่งสบายกว่า อาหารเรียกเสิร์ฟจากครัวเดียวกันได้ครับ’
‘ไม่เป็นไร มาทะเลทั้งที ผมอยากนั่งริมหาด’
รายนั้นพยักรับด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม แต่สำหรับคนที่ช่ำชองอยู่ในแวดวงการแสดงเช่นกัน เขาบอกได้ว่า ปภังกรรู้สึกไม่คล้อยตามอย่างไรชอบกล
“นั่นเรือลำที่มาส่งผมเมื่อกี้ใช่มั้ย” เขาถามทั้งยังหยีตามองผ่านหาดทรายกับผืนน้ำที่ดูจะเรืองแสงขึ้นได้รุนแรง
บัตเลอร์ร่างอ้อนแอ้นตอบว่า “น่าจะใช่ครับ” แต่เพราะตำแหน่งที่ยืนเยื้องๆ ไปทางเบื้องหลัง ดนตรีจึงไม่มีทางเห็นว่า คนพูดเหลือกตาออกมาเล็กน้อยด้วยความวิตก
เพราะเก้าอี้ที่คุณโดนั่งอยู่นั้น ตั้งชิดริมราวไม้ซึ่งกั้นระหว่างตัวร้านอาหารกับชายหาด ชายหาดจุดที่เรือเจ้ากรรมลำนั้นจะเข้ามาหยุดจอดอย่างพอดิบพอดี! ถ้าคนบนเรือก้าวลงมา ไม่มีทางเลยที่คุณโดจะมองไม่เห็นว่า ใครผู้นั้นคือคนคนเดียวกับที่เพิ่งยุ่มย่ามแทบจะทำมิดีมิร้ายใส่เมื่อราวชั่วโมงก่อน ครั้นจะคาดหวังให้ยายเพลงทรายเปลี่ยนกลับเป็นชุดแม่บ้าน ปภังกรก็ทันนึกได้ว่าตอนดันเจ้าหล่อนขึ้นเรือ เขาไม่ได้โยนเสื้อฟอร์มตามลงไปด้วย
เอาไงดี คุณโดเห็นแล้วต้องจำได้แน่ ถ้าเขาถามเราว่าทำไมแขกคนนั้นกลับมา เราจะตอบว่าอะไร!
คำตอบที่พอจะเป็นไปได้ก็เช่น แขกอาจลืมของไว้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ทางรีสอร์ตก็อาจถูกมองในแง่ลบเหมือนกัน ว่าทำไมไม่คอยดูแลให้ดี ปภังกรในฐานะตัวแทนรีสอร์ตไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้
เรือใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที ขณะที่กระแสความคิดของเขายิ่งอลหม่านเกินจะนึกอะไรออก
จังหวะที่เรือจอด แล้วเริ่มเห็นเงาคนผลุบโผล่จะก้าวลงมา ก็พอดีเสียงอืดๆ ดังขึ้นในกระเป๋ากางเกง
ไม่ต้องหยิบดูก็รู้ว่าใคร คุณเงินยวงคงโทร. เข้ามาอีกเป็นรอบที่ล้าน!
แขกห้องพักเอหนึ่งต่อสายมาตลอดเวลาระหว่างที่ปภังกรพาคุณโดเดินทัวร์ ด้วยมารยาทเขาไม่อาจต่อสายกลับ ได้แต่ฉวยโอกาสขณะที่แขกรายใหม่สนใจมองอะไรเพลิน แอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความ ‘พาคุณโดทัวร์ครับ’
คนได้รับควรจะเข้าใจ แต่กลับไม่เข้าใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับแขกระดับนี้ ราวกับว่าพอคนเรามีอันจะกินขึ้นมา ก็ขาดตรรกะบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการรอคอยไปเสียฉิบ!
ถ้าเป็นคนทั่วไปคงคิดในใจ ‘จะให้กูทำยังไงล่ะอีบ้า!’ ทว่าคนเป็นบัตเลอร์กลับมีแต่คำ ‘แขกกำลังช่วยเราต่างหาก ด้วยการต้องการความช่วยเหลือจากเรา!’
ป่านนี้คุณเงินยวงคงแอบเข้าไปรอในห้องน้ำบังกะโลเอสองนานสองนาน ไม่เห็นคุณโดไปซะทีเลยโทร. ตามมาจิกปภังกรไม่รู้แล้ว เขาพยายามแล้ว แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าหาทางเรียกคุณโดหันกลับมาจากชายหาด ก่อนที่ยายแม่บ้านตัวแสบจะนวยนาดลงมา และก่อนที่คุณโดจะไล่เราไปให้พ้น เพราะแจ้งมาแต่ต้นแล้วว่าไม่ได้ต้องการบัตเลอร์!
อืด…อืด…
นั่นไง ยายเพลงทรายลงมาแล้ว!...
“รับก่อนก็ได้นะคุณ”
ปภังกรสะดุ้ง
ปรากฏว่าคุณโดเบนสายตามาที่เขาก่อนจะเห็นยายเพลงทรายแบบฉิวเฉียด เห็นเขาทำหน้างงก็ยังบอกซ้ำ “ผมได้ยินโทรศัพท์คุณสั่นตลอดทางเลย รับก่อนเถอะครับ คนโทร. เขาอาจจะมีธุระด่วน”
“หมะ…ไม่เป็นไรครับ”
แขกเลิกคิ้วพลางเม้มปากกึ่งๆ จะยิ้ม แต่ก็ไม่เชิงยิ้ม ทำท่าจะหันกลับไป
แต่ยายเพลงทรายยังกระย่องกระแย่งไม่พ้นหาด แถมเจ้าหล่อนเผอิญเห็นเขา จึงหยุดยืนทื่ออยู่!
“คุณโดครับ!”
“หืม?” ผู้ถูกเรียกหันคืนมาอีกที ฉิวเฉียดกว่าเมื่อกี้นี้อีก
ด้วยท่าทางของปภังกร ยายเพลงทรายจึงดึงสายตาไปหาแขกที่เขาคุยด้วยอยู่ เท่านั้นเจ้าหล่อนก็ไหล่ตั้งเล็กน้อยละม้ายผวา รีบยกหมวกปีกกว้างของคุณเงินยวงขึ้นบังหน้าจนผู้ชายที่เดินลงเรือมาด้วยกัน - คุณคามินทร์? - หันมองงง
แล้วทำไมคุณคามินทร์ถึงขึ้นไปอยู่บนเรือลำเดียวกับยายนี่ได้
พยายามสงบใจ และแล้วเขาพูดด้วยเสียงนิ่มกับแขกคนข้างๆ “ถ้าอิ่มแล้วจะต่อของหวานอีกสักหน่อยมั้ยครับ วันนี้ที่ร้านมีอะไรน่าสนใจบ้างครับคุณ...” เขาหันถามผู้จัดการร้านที่ยืนรับรองแขกคนสำคัญอยู่ติดกัน
รายนั้นหยิบเมนูเปิดส่งให้คุณโด พินอบพิเทาอย่างรู้งาน อันที่จริงเกินกว่า ‘งาน’
พวกนี้ก็อย่างนี้ เห็นดาราทีไรเป็นขยันกว่าปกติ โดยเฉพาะดาราผู้ชายหล่อๆ
ระหว่างที่คุณโดจดใจกับเมนู ยายเพลงทรายก็รีบดุ่มดั้นไปยังโซนบังกะโลสวีตซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทิ้งให้คุณคามินทร์ยืนเสยผมเก้ๆ กังๆ และแล้วหันมาที่เขาราวกับรู้ว่าคนข้างๆ เมื่อครู่สื่อสารกับใครอยู่แต่แรก
ปภังกรรีบเบนสายตาหลบ ปั้นยิ้มให้คุณโดที่ไม่คุยกับเขาด้วยซ้ำ
ในที่สุด ศิลปินหนุ่มว่า “ไม่อยากอะไรเลย ผมขอน้ำมะพร้าวถือกลับไปกินที่ห้องดีกว่า เริ่มร้อนมากแล้วด้วย”
บัตเลอร์ลอบกลืนน้ำลาย กะอยู่ในใจว่าป่านนี้ยายเพลงทรายเดินไปถึงไหนแล้ว แต่ปากยิ้มตอบ “ดีครับ ในห้องจะเย็นสบายกว่า”
ตอนที่กระหืดกระหอบมาถึงบังกะโลเอหนึ่ง ดนีย์นาถพบว่าคุณเงินยวงไม่อยู่ที่นี่ มีแต่เจ้าชาโตบริยองด์ที่กระโดดตะกายอยู่หลังผนังกระจกอย่างระริกระรี้เมื่อเห็นเธอ
หญิงสาวหอบตัวเองในชุดรุ่มร่ามปรี่ไปที่ประตู เท้าเกือบสะดุดชายกระโปรงอีกหน เพราะจู่ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น “เพลง!”
หันขวับ ประตูหลังสำหรับพนักงานซึ่งซ่อนอยู่ตรงมุมสระว่ายน้ำส่วนตัวแง้มออก มองทะลุเห็นศรีตรังกำลังสอดสายตาเข้ามาลับๆ ล่อๆ
“ตกลงคุณเงินยวงจะให้คลีนห้องมั้ย”
“ไม่ต้องๆ” เธอโบกมือ
จังหวะเดียวกัน ใครบางคนตัวสูงโย่งโผล่หน้ามาข้างหลังศรีตรัง
งามจิตหน้าย่น “นี่เธอใส่ชุดแบบนี้ในเวลางานได้ยังไง! แล้วชุดแพงๆ แบบนี้…ขโมยของแขกเหรอ!”
“ไม่ใช่นะ!” ดนีย์นาถเสียงหลง
ศรีตรังไม่สนใจชุดเธอ แน่ใจแล้วว่าคุณเงินยวงไม่อยู่ จึงวาดประตูกว้างแล้วก้าวมาหา “วันนี้มันอะไรกันวะ ห้องนี้ก็ไม่คลีน แล้วเมื่อเช้าก็เร่งให้ทำห้องคุณโดทั้งที่เขาจะเช็กอินสิบเอ็ดโมง”
วันนี้ตอนเข้างาน ดนีย์นาถตรงมาที่ห้องพักเอหนึ่งเลย ไม่ได้ไปห้องรวมพลแม่บ้านประจำโซนก่อน แต่ที่นั่น หัวหน้าแม่บ้านคงแจกแจงแก่ทุกคนเรียบร้อยแล้วว่าจะมีแขกคนสำคัญมาที่นี่ คือดนตรีนั่นเอง
หญิงสาวไม่ได้ตอบเพื่อน เพราะเสียงอืด…ดังขึ้นอีกครั้งจากในกระเป๋าเสื้อ
“คุณเงินโทร. มาอีกแล้ว” เจ้าตัวกระหน่ำกดหาเธอตั้งแต่อยู่บนเรือ “ไว้ค่อยคุยกันนะ”
ขณะที่แตะคีย์การ์ดก่อนผลุบหายเข้าไปในห้อง ดนีย์นาถยังทันได้ยินแม่บ้านทั้งสองที่ก้าวออกไปทางประตูเดิม “มันไม่รู้รึไงว่าเขาไม่ให้แม่บ้านรับสายระหว่างทำงาน”
“แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นแม่บ้านนี่พี่ แล้วนั่นก็แขก!...”
ประตูห้องปิด หญิงสาวกดรับสาย ไม่ทันออกคำทัก ปลายทางก็ชิงพูดก่อนด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “แก้มใหญ่ ฉันโทร. หาเธอเป็นครั้งที่เท่าไหร่จ๊ะ”
“หมะ...ไม่ทราบค่ะ” ตอบพลางกันเจ้าหมาสีน้ำตาลที่พยายามตะกายหา ใช้นิ้วมือจุปาก คว้าชุดแม่บ้านของตัวเองแล้วรีบหลบเข้าห้องน้ำ
“คุณพังก็คงเหมือนกัน” เสียงเล็กเสียงน้อยจบแค่นั้น เพราะประโยคต่อไปคล้ายระเบิดลง “นี่ - มัน - เกิด - อะ - ไร - ขึ้น!”
ดนีย์นาถตกใจสะดุ้ง โทรศัพท์หลุดมือลอยขึ้น เธอพยายามสลับคว้าไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ระหว่างนั้นเสียงแว้ดยังเล็ดลอดออกมาได้ยินถนัด
“ทุกคนเพิกเฉยใส่ฉัน อีตาพังเอาฉันมาขังไว้ในส้วม แล้วมีรูปปั้นยกมือไหว้ฉัน ทำให้ฉันต้องยกมือไหว้ตอบตลอดเวลา ทำไมคนเราต้องไหว้กันในส้วมด้วย ฉันเมื่อย”
“คุณปภังกรน่าจะกำลังพาคุณโดไปหา...” ดนีย์นาถจับโทรศัพท์ประกบหูได้แล้ว กำลังเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความยากลำบาก
แน่นอน ปลายทางไม่ทันสังเกตใดๆ ทั้งสิ้น “เธอต้องมาเอาหุ่นนี่ออกไปก่อนที่แขนฉันจะเป็นตะคริว”
“หุ่นมัน...” คำพูดสะดุดแค่นั้นเพราะวิญญาณแม่บ้านทำงานโดยอัตโนมัติ “โอเคค่ะ!”
วางสาย ใช้เวลาอีกแค่ไม่กี่อึดใจ หญิงสาวก็กลับมาอยู่ในชุดแม่บ้านที่ทะมัดทะแมงกว่า หันรีหันขวางหลบเจ้าหมาชาโตบริยองด์เพื่อก้าวไปเปิดประตูห้อง แต่ทันทีที่ช่องประตูแง้ม ร่างเปรียวสีน้ำตาลก็ปรู๊ดแซงหน้าออกไปทันที
“คุณชาโตบริยองด์!”
ไม่ทันแล้ว เจ้าหมานั่นอาจจะปวดเบา ปวดหนัก หรือโหยหาอิสรภาพอะไรสักอย่าง มันโจนพรวดออกไปทางบันไดหน้าชาน ดนีย์นาถวิ่งตามมาชะโงกดูก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
ช่างมัน! บอกตัวเองแล้วเธอโกยอ้าวมาอีกทาง ทางบังกะโลเอสอง!
ด้วยคีย์การ์ดแม่บ้าน เธอสามารถไขเปิดประตูห้องนี้
เข้ามาได้ก็ถลันไปยังห้องน้ำ “ว้าย!”
คุณเงินยวงกำลังนั่งยกมือประนม ขณะที่ท่อนล่างเปลือยอยู่บนคอห่าน มีเสียงปู้ด! ลั่นออกมา
รีบปิดกลับตามเก่า แต่เจ้าตัวยังแผดเสียงตาม
“ทำไมเธอไม่เคาะประตู!” ปู้ด!
“แต่นี่เราอยู่ในห้องคุณโดนะคะ” ดนีย์นาถหันหลังพิงประตูห้องน้ำไว้ ราวกับกลัวว่าถ้าหันกลับไปจะเห็นภาพอุจาดตาเหมือนเมื่อครู่
“พวกเธอให้ฉันอยู่ในนี้นานมาก จะให้ฉันทำยังไง”
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ”
สองนาทีต่อมา เสียงเคลื่อนบานประตูดังขึ้นข้างหลัง ดนีย์นาถหมุนตัวกลับไปละล้าละลัง
ค่อยยังชั่วที่คุณเงินยวงแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เจ้าหล่อนยังยกมือไหว้พลางพยักพเยิดไปด้านในห้อง “มาเอาหุ่นนั่นออกไปได้แล้ว”
“ค่ะ คุณเงิน”
หุ่นที่ว่าคือหุ่นไม้สลักและแต่งสีเป็นรูปหญิงสาวเกล้าจุก สวมชุดไทยประนมมือ ขนาดเกือบเท่าคนจริง น้ำหนักค่อนข้างมากจนต้องกึ่งยกกึ่งลากทุลักทุเล ระหว่างอ้อมไปยังประตูห้องน้ำ ดนีย์นาถถามแขก “คุณเงินได้ดูสัมภาระของคุณโดแล้วใช่มั้ยคะ”
คนที่ยืนมองเฉยข้างคอห่านตอบ “ยัง”
“อ้าว!”
“เธอหาว่าฉันโง่เหรอที่รัก” เสียงเริ่มไล่ไปสู่แปดหลอดอีกครั้ง แต่กลับสะดุดเสียก่อน “เออ แล้วทำไมฉันไม่ออกไปดู...”
ปรารภจบลงแค่นั้นเพราะมีเสียงดังใหม่ เสียงเปิดประตูข้างนอก!
“เชิญครับคุณโด” นั่นเสียงคุณบัตเลอร์ปภังกร
แขกคงหยุดยืนตรงช่องประตูขณะตอบ “แค่นี้ก็พอ ขอบคุณมาก ผมอยากพักผ่อนสักหน่อย”
“โดมาแล้ว!” คุณเงินยวงกระซิบตื่นเต้น “ฉันจะต้องออกไป!”
ไม่ต้องรอให้จบคำ ประตูก็ถูกเจ้าหล่อนดึงเปิด หัวใจดนีย์นาถตกวูบไปใต้ตาตุ่ม เพราะถ้าคนข้างนอกได้ยินเสียงผิดปกติย่อมต้องหันมา และเสี้ยววินาทีที่เธอไม่ทันตั้งตัวนี้ โดจะสามารถมองทะลุเข้ามาเห็นเธอแจ่มแจ้ง!
แต่โดไม่ได้หันมา หัวใจเต้นเป็นส่ำขณะหญิงสาวเพ่งเห็นว่า ที่หูเขามีหูฟังแบบไร้สายเสียบอยู่ แล้วเจ้าตัวก็หมุนไปฝั่งตรงข้ามเพื่อก้าวต่อไปด้านในห้องพัก
ดนีย์นาถรีบวาดประตูคืน เหลือไว้เพียงช่องแคบพอสอดส่องสถานการณ์
“คุณโดคะ” คุณเงินยวงตามหลังรายนั้นต้อยๆ “ขอโทษนะคะที่เข้ามาอยู่ในนี้ พอดีว่า...” คำขาด เพราะเดินไปถึงส่วนนั่งเล่นแล้ว แต่อดีตคนรักของดนีย์นาถยังไม่หันหา แถมหมุนตัวไปอีกทางหนึ่ง
คุณเงินยวงพยายามก้าวอ้อมตามเพื่อจะไปอยู่ต่อหน้า ทว่าเมื่อโดหมุนตัวกลับอีกที สตรีร่างมหึมาก็ยังไม่ถูกเห็น
สำหรับคนที่เคยแต่ได้รับการตามใจ ในที่สุดคุณเงินยวงหันหาดนีย์นาถ คิ้วยับยู่หากัน ปากก็คว่ำพลางขยับส่งข้อความไร้เสียงที่อ่านได้ว่า ‘แม้แต่โดก็เพิกเฉยฉัน!’
ดนีย์นาถเบิกตา กดบานประตูเข้าหากรอบอีกนิดเพราะดนตรีหันกลับมาพอดี
“เฮ้ย!” พอชายหนุ่มสะดุ้งร้อง พลางยกมือปะอกตกใจที่เห็นคุณเงินยวง รายหลังก็ผงะร้องบ้าง
“ฮิแม่ร่วง!”
พอได้สติ โดจึงเป็นฝ่ายบอก “คุณนั่นเอง!”
คุณเงินยวงน่าจะพอใจที่ดาราในดวงใจจำตัวเองได้ เสียงเล็กเสียงน้อยตอบว่า “ขะ...ขอโทษค่ะ พอดี…เมื่อเช้ามีคราบในห้องน้ำที่ยังคลีนไม่สะอาดดี ดิฉันกับเพื่อนเลยเอาน้ำยาเข้ามาแก้ไขใหม่”
คุณเงินยวงจำบทที่เธอคิดไว้ให้ได้
ใช่ จริงๆ มันก็คือบทที่เธอจับพลัดจับผลูใช้ตอนเข้าไปในห้องคามินทร์แล้วโป๊ะแตกนั่นแหละ
คงเพราะโดยังทำหน้างงๆ แม่บ้านร่างบึ้กจึงลนลานเพิ่มบท “จริงๆ นะคะ ลองเปิดดูได้ คราบหาย แต่กลิ่นยังอยู่อยู่เลยค่ะ”
ว่าพลางคนพูดก้าวมากระชากประตูเปิด ดนีย์นาถโดดเข้าหลบหลังมุมด้านในได้ทัน
โดคงไม่ได้เตรียมใจไว้ จึงมีสภาพผงะไปนิดหนึ่ง หน้าตึงเหมือนสัมผัสรสขม
“เหม็นมากจริงด้ว...” คำสุดท้ายหายไปเพราะคนพูดมีอาการคล้ายจะขย้อน
“แต่กินแค่หมูทอดกับข้าวเหนียวเองนะคะ”
“หา?” โดงง
คุณเงินยวงยิ้มเขิน พยายามรวมสติพูด “คือ…ดิฉันขอโทษจริงๆ ไม่คิดว่าคุณโดจะกลับเข้ามาไว เลยไม่ได้แขวนป้ายไว้หน้าห้องค่ะ”
แขกหนุ่มยกมือเชิงไม่เป็นไร ตั้งใจจะเดินหนี แต่เพราะยังไม่ได้พูดไดอะล็อกสำคัญ คุณเงินยวงจึงคว้าข้อมือนั้นไว้ รั้งให้เขาหันกลับมาฟัง
“น้ำยาใหม่ที่ว่านี่ จริงๆ ไม่ใช่สารเคมีอันตรายต่อโลกเลยนะคะ ดิฉันใช้น้ำส้มสายชูผสมกับเบกกิงโซดาค่ะ”
โดทำท่าหงึกหงัก พยายามจะดึงตัวออก ริมฝีปากรีดแบนเป็นเส้นเล็ก คอย่น หน้าแดง สภาพเหมือนคลื่นสงครามพุ่งจ่อคอหอยแล้ว
“ทราบมาว่าคุณโดมีแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดิฉันเลยลองใช้วิธีนี้ดู ปรากฏว่าได้ผลดีจริงๆ นะคะ” เห็นหน้าตาคู่สนทนาแล้วเจ้าหล่อนจึงว่าต่อ “อาจจะมีกลิ่นเหลือนิดหน่อย เดี๋ยวดิฉันจะเอาน้ำหอมปรับอากาศแบบ ‘อีโค-เฟรนด์ลี’ เหมือนกันมาฉีดให้ค่ะ” คนพูดยกนิ้วทำเป็นเครื่องหมายคำพูด โดอาศัยจังหวะนั้นสลัดมือหลุดแล้วรีบเดินหนีไปที่อีกฝั่งห้อง ทันเวลาพอดีที่เสียงปุ๊ด! เบาๆ ดังจากด้านหลังคุณเงินยวง
ร่างบึกบึนในชุดแม่บ้านถลันกลับมาหน้าห้องน้ำ ยื่นหน้าบอกดนีย์นาถ “ไปสิ น้ำหอมปรับอากาศ!”
“ค่ะๆ”
ดนีย์นาถพยัก แต่ยังไม่กล้าก้าวออกไป
ถึงโดจะยืนห่าง แต่ยังไงก็ยังเห็นกันชัด
“เร็วสิจ๊ะที่รัก!”
โอ๊ย เอาไงดี!
ทันทีที่กระชากม่านเปิด มือขาวราวกับมือผู้หญิงก็รีบพุ่งเข้าผลักบานหน้าต่างกระจกให้เปิดกว้าง ดนตรียื่นหน้าออกไปสูดอากาศนอกห้อง
เสียงกึกกักดึงความสนใจของเขาคืนไป ชายหนุ่มเบิกตาเล็กน้อยเมื่อพบว่าท่อนไม้สลักรูปผู้หญิงยกมือไหว้กำลังขยับเดินออกมาจากห้องน้ำ!
“หุ่นตัวนี้ใช้สีที่อาจเป็นสารเคมีอันตราย แถมวัสดุที่ใช้แกะเนื้อไม้ก็อาจจะมีคาร์บอนฟุตพรินต์สูงมากด้วย ดิฉันจะให้คนเปลี่ยนตัวใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่านี้มาให้นะคะ”
แม่บ้านคนเดิมยังเจื้อยแจ้วด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยขัดกับขนาดรูปร่าง ดนตรีกะพริบตา คราวนี้เห็นถนัดขึ้นว่าหุ่นนั่นไม่ได้เดิน มีแม่บ้านอีกรายประคองลากอยู่ข้างหลัง เพียงแต่หุ่นบังแทบมิด
“มันหนักอยู่นะ เรียกคนมาช่วยดีกว่ามั้ย” ศิลปินหนุ่มถลันเข้าไปหาเมื่อเห็นว่าการเคลื่อนที่นั้นทุลักทุเลยิ่ง
“หมะ…ไม่เป็นไรค่า ไม่เป็นไร” เสียงคนลากถึงกับทำเขาหยุดปลายเท้า มันแหบๆ แบนๆ เหมือนเป็ด ยังกะคนจมูกบี้! นี่ไม่น่าใช่เสียงคนจริงๆ หรอก ดูแต่แม่บ้านร่างใหญ่ที่น่าจะเป็นเพื่อนกันก็ยังหันมองด้วยสีหน้าแปลกใจ
“เสียงเป็นอะไรน่ะ” เจ้าหล่อนถาม เสียงกลับมาใหญ่สมตัวเหมือนลืมตัว
จากจุดที่ยืนอยู่ไม่ไกลหุ่นตัวนั้นนัก ดนตรีพยายามชะเง้อซ้าย ชะเง้อขวาเพื่อมองคนที่ถูกบังอยู่ข้างหลัง แต่อย่างกับแกล้ง พอเขาโยกซ้าย รายนั้นก็เบี่ยงซ้าย เขาโยกขวา รายนั้นก็เบี่ยงขวา
“แบบนี้ไม่น่าเวิร์กนะ คุณเพลงทราย”
ไม่รู้เพราะอะไร สิ้นคำท้ายที่เขาเรียก แม่บ้านทั้งสองรายกลับขาน “คะ?” พร้อมเพรียง
หุ่นตรงหน้ามีลักษณะชะงักกึก ดนตรีมุ่นคิ้วฉงน หันบอกคนข้างหลัง “เนี่ย หุ่นมันไม่หนักไปเหรอ เดี๋ยวคนยกจะบาดเจ็บนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันทำเองบ่อยๆ” เสียงแหบหลังหุ่นดังตอบ “คุณเพลงทรายจะอยู่ดูแลคุณโดนะคะ เดี๋ยวดิฉันเอาหุ่นมาเปลี่ยนให้ใหม่”
“ที่จริงหุ่นนี่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรขนาดนั้น ผมว่า...”
“ไม่ต้องเกรงใจค่า” แม่บ้านที่ชื่อเพลงทรายปราดเข้ามาขวางเขา นมทั้งเต้ากระเพื่อม “คุณโดพักให้สบาย ทุกอย่างจะเรียบร้อย นะคะ”
ความคิดเห็น |
---|