4

บทที่ 4


4


“หญิงไปกับพ่อละกัน”

หม่อมเจ้าโชติรัตน์ตรัสกับธิดาองค์เล็กที่ทำหน้าเหลอหลากลางโต๊ะอาหารกลางวัน ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งลงมาร่วมรับประทานเป็นมื้อแรกของวัน ข้ามมื้อเช้าไปหน้าตาเฉยเพราะตื่นไม่ไหว เนื่องจากกว่าจะกลับมาถึงวังวิริยาก็เกือบตีสอง ไม่ได้สังเกตเลยว่าในวันหยุดเช่นนี้ทำไมถึงเหลือแต่หล่อนร่วมโต๊ะเสวยกับท่านชายเล็กแต่เพียงผู้เดียว

“ทำไมไม่ให้หญิงพราวตามเสด็จล่ะเพคะ ไม่กลัวหญิงทำขายหน้าหรือ หญิงกระโดกกระเดกจะตาย”


พูดไปอย่างนั้นละ แต่กิริยามารยาทในการออกสมาคมของหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายก็งดงามไม่ต่างจากพี่สาวฝาแฝด แค่เจ้าตัวไม่ค่อยชอบออกงาน เอาเป็นว่าไม่ชอบกันทั้งบ้านเลยจะดีกว่า แต่หลายงานก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่นงานฉลองสมรสในวันนี้ที่ท่านพ่อเคยเสด็จเป็นประธานตอนงานหมั้น พอมาตอนแต่ง บิดามารดาของคู่บ่าวสาวที่คุ้นเคยกับหม่อมเจ้าโชติรัตน์ดีก็ทูลเชิญเป็นประธานอีก ในขณะที่หม่อมมธุรสเดินทางไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนพ้อง ถ้าหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายไม่ตามเสด็จ หม่อมเจ้าโชติรัตน์ก็คงต้องฉายเดี่ยว


“หญิงพราวไปฮ่องกงไม่รู้หรือไง”


“หือ...จริงหรือคะ ทำไมหญิงไม่รู้”


“ก็เรามัวแต่ยุ่งๆ กับงาน กลับบ้านกี่โมงกี่ยามล่ะ จะรู้ไหมว่าใครเขาไปไหนมาไหนกันบ้าง”


“เพคะ”


สาวงามรับคำเสียงอ่อย ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อทรงแดกดันเรื่องเมื่อคืน หรือบ่นไปตามความจริงหลังจากทราบว่าหล่อนได้รับช่วงคุมโพรเจกต์ใหม่ หลังจากทำงานประจำออฟฟิศมาระยะเวลาหนึ่ง ความรับผิดชอบก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว พลางนึกถึงชุดที่มีอยู่ในตู้ ไม่รู้ว่าจะตรงกับรูปแบบการจัดงานหรือไม่


“มีตีมไหมเพคะท่านพ่อ ไม่รู้หญิงมีชุดหรือเปล่า”


อย่างที่ทราบกันดีว่าแพรวพรรณรายแทบจะไม่แต่งตัว ผิดกับพี่สาวฝาแฝดที่ช่างประดิดประดอย ซึ่งจะให้ไปยืมเสื้อผ้าของคนที่ตัวเท่ากันมาใส่ก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะมีสไตล์ที่แตกต่างกันมากเหลือเกิน ทางที่สะดวกที่สุดสำหรับคนขี้งกอย่างหล่อนในกรณีที่ไม่มีเสื้อผ้าตรงตามความต้องการของเจ้าภาพ ก็คือไปยืมชุดพี่สะใภ้คนโตอย่างปวรศาที่เชื่อได้ว่าน่าจะมีเสื้อผ้าครบตรงตามความต้องการของทุกวาระโอกาสในโลกนี้


“เห็นแต่ว่าแบล็กไท แต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงมีกำหนดตีมสีไหม การ์ดอยู่ในห้องทำงานพ่อ ออกจากวังสักหกโมงก็ทัน โรงแรมแค่นี้เอง”


แพรวพรรณรายพยักหน้ารับคำบิดา ไม่ได้สนใจฟังท่านที่ตรัสว่างานจัดที่ไหนอย่างไร ด้วยเหตุที่วังวิริยาอยู่เสียกลางเมืองจนไม่ว่าจะไปโรงแรมไหนๆ ก็เรียกได้ว่าใกล้ไปหมด


“ไม่ช้า ไม่เลต อย่าให้พ่อต้องตามนะ พิธีการเสร็จแล้วพ่อมีกินข้าวกับเจ้าของโรงแรมด้วย ไม่ต้องริอ่านไปนัดเพื่อนไปไหน วันนี้คงเสร็จดึก เสร็จแล้วก็กลับมาพักผ่อนด้วยกัน ไม่ต้องไปเตร่นอกบ้านล่ะ”


ตรัสจบหม่อมเจ้าโชติรัตน์ หรือท่านชายเล็กก็เสด็จกลับขึ้นห้องทรงงาน ถึงแม้ว่าจะมอบหมายผ่องถ่ายธุรกิจให้ลูกชายคนโตดูแลแล้ว แต่ท่านยังทรงสนุกกับการลงทุนเล็กๆ น้อยๆ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ฝึกคิดคำนวณกำไรวันละนิดละหน่อยป้องกันอัลไซเมอร์ ปล่อยให้หม่อมราชวงศ์คนเล็กสุดของราชสกุลรับประทานอาหารต่อไปเพียงลำพัง และไม่ต้องลุกไปดูรายละเอียดของงานด้วยตนเอง เพราะท่านทรงพิมพ์บอกมาในกรุ๊ปแชตของครอบครัวทันทีที่ประทับทรงงานต่อ


เมื่อแพรวพรรณรายเห็นข้อความก็เบาใจเพราะรู้ดีว่าตนเองมีอะไรในตู้เสื้อผ้าบ้าง ก่อนจะคำนวณเวลาในหัวตัวเองเร็วๆ โชคดีที่หล่อนมีพรสวรรค์ในการแต่งหน้าทำผมอย่างดี เลยไม่ต้องโทร. หาใครให้มาเสริมความงามให้ในช่วงเวลาเร่งด่วนที่ไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าแบบนี้ คิดไปคิดมากินข้าวกลางวันเสร็จขึ้นไปนอนอีกสักตื่นค่อยแต่งตัวก็ยังทันถมเถ คิดแบบนั้นแล้วเจ้าตัวก็รวบช้อนทันใด เพราะความหิวถูกบรรเทาไปด้วยอาหารที่ฝืนอาการคลื่นไส้รับประทานกับท่านพ่อเมื่อครู่เรียบร้อย


หญิงสาวคอนร่างที่ใกล้หมดแรงเดินสะโหลสะเหลขึ้นชั้นสองของตำหนักกลาง พลางไถมือถือดูความเป็นไปในอินสตาแกรมเรื่อยเปื่อย อดคลิกไลก์รูปของเพื่อนๆ ในฟีดไม่ได้ เพราะมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนที่หล่อนติดตามก็รวมตัวอยู่ด้วยกันเมื่อคืน แต่แล้วก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อไถเจอรูปเดียวกันกับที่เพื่อนหลายคนอัปโหลดไปแล้ว ต่างตรงที่บัญชีผู้ใช้ของตฤณ เพื่อนร่วมคณะที่กลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานโพสต์พร้อมแคปชันที่หล่อนไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร


ในที่สุดก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน


“สวยเชียวลูกสาวพ่อ”


หม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายยิ้มรับคำชมจากท่านพ่อที่ประทับรออยู่ในห้องนั่งเล่น จนต้องเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ให้แน่ใจว่าหล่อนมาตรงเวลา และก็แน่ใจว่าไม่ได้สายจริงๆ


“พ่อลงมาก่อนเอง หญิงแต่งแบบนี้สวยจริงๆ นะ” ท่านชายเล็กยังทรงยืนยันทั้งคำพูดและแววตา


แพรวพรรณรายยิ้มเผล่รับคำก่อนจะเดินเร็วๆ ไปเกาะพระกัประของหม่อมเจ้าโชติรัตน์ แล้วเขย่งขึ้นหอมพระปรางค์พระบิดา


“หญิงทราบเพคะ แต่แต่งแบบนี้หญิงจะทำงานยังไง”


หญิงสาวก้มมองร่างบอบบางของตัวเองในชุดราตรีแขนยาวปาดไหล่ผ้ากำมะหยี่สีเบอร์กันดี ด้านหน้ามัดปมกับจับเดรปรัดรึงช่วงเอวคอด ผ่าหน้าเพิ่มความสะดวกในการเดิน ไม่ได้เปิดเผยมากมาย แต่ก็รู้จักดึงจุดเด่นออกมาให้ยิ่งน่าดูชม


“ก็เวลาไม่ได้ไปทำงานก็แต่งหน้าทำผมแบบนี้ ก็สบายตาดีนะ”


แม้เนื้อแท้ของหม่อมราชวงศ์คนเล็กจะสวยจัด ได้ยีนเด่นจากผู้ให้กำเนิดมาไม่ต่างกับทายาทคนอื่นๆ ในครอบครัว แต่กลับไม่ใส่ใจที่จะแต่งเนื้อแต่งตัวเสริมราศีตัวเองแต่อย่างใด ทำตัวเรียบง่าย สวมเสื้อตัวกางเกงตัวจนคนอื่นคร้านที่จะติติง ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย เพราะก็จริงอย่างที่คุณหญิงแพรวว่า ทั้งสายงานทั้งเนื้องานที่ต้องรับผิดชอบไม่เหมาะกับการแต่งตัวกรุยกรายเลยแม้แต่น้อย


“แหมมม...แต่งหน้าไปเข้าไซต์ก็ไม่น่ารอดเหมือนกันนะเพคะท่านพ่อ มันเยิ้มแน่ๆ เสียดายค่าเครื่องสำอางเปล่าๆ ”


น่าแปลกทั้งที่หล่อนหน้าตาเหมือนกับหม่อมราชวงศ์เพชรพรรณรายผู้เป็นพี่สาว แต่รายนั้นให้ความรู้สึกหวานเย็น ในขณะที่สาวงามคนนี้ให้รสชาติเผ็ดร้อนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ขยับเขยื้อนเรือนกาย เลยทำให้คนเป็นพ่ออดห่วงไม่ได้ว่าฟีโรโมนแบบนี้ เสน่ห์แบบนี้จะดึงดูดเพศตรงข้ามจนเกิดเรื่องเกิดราว ยิ่งเจ้าตัวปากไวใจเร็วแบบนี้ก็ยิ่งทรงกังวล นึกแล้วก็ถอนพระปัสสาสะอีกรอบ เพราะอายุอานามของธิดาก็ไม่น้อย ยี่สิบเจ็ดเข้าไปแล้ว แต่ยังไม่เห็นมีคู่รักคนดูแล ในขณะที่พี่สาวฝาแฝดมีคนตามประคบประหงมเป็นที่ชัดเจน จนหมดห่วง เหลือก็แต่ตัวร้ายประจำวังที่ยังไม่รู้ว่าจะมีใครอาสากำราบหรือไม่


“ก็ไม่ได้หมายถึงต้องเต็มที่แบบเวลาออกสังคม แต่ก็ผัดป้งผัดแป้งบ้าง เป็นผู้หญิงเสียเปล่า หัดดูหญิงพราวเป็นแบบอย่างบ้าง เราน่ะโตเป็นสาวจนจะสามสิบแล้วนะ”


“เพคะ ต่อไปหญิงจะปรับปรุงตัวเพคะ”


แสดงว่าตอนนี้สังขารของหล่อนเหลือรับจริงๆ ท่านพ่อถึงทรงออกปากเช่นนี้ น้อมรับคำติเตือนก่อนจะประคองท่านชายเล็กขึ้นรถตู้อเนกประสงค์คันใหญ่ที่ท่านทรงใช้เป็นประจำ


“ดี พ่อก็ไม่ได้ชอบให้แต่งเยอะแยะอะไร หญิงก็รู้ แต่บางที่เราปล่อยตัวไม่ได้ ราชสกุลเราอยู่ในสังคม มีคนจับตาตลอด ต่อให้หญิงจะไปทำงานในวงการของหญิง แต่ก็ต้องคิดถึงเวลาคนนอกมองด้วย”


“เพคะๆ หญิงทราบแล้วเพคะ ต่อไปนี้จะไม่หน้าโล้นหน้าเปลือยให้ท่านพ่อเคืองพระเนตรอีกแล้วเพคะ เอ๊ะ ว่าแต่ท่านพ่อบอกว่าเดี๋ยวเจ้าของโรงแรมจะร่วมโต๊ะเหวย เขาจะรอเราไหวหรือคะ กว่างานแต่งจะเสร็จ”


หญิงสาวคะเนเวลาเอาเองในหัวว่าอย่างน้อยกำหนดพิธีการคงไม่เร็วไปกว่าสองทุ่มอย่างแน่นอน กว่าจะทรงล่ำลาคนที่เข้าเฝ้า กว่าจะได้นั่งโต๊ะเสวยอาหารค่ำ ไม่ปาเข้าไปสามทุ่มแล้วหรือไร


“เจ้าของงานเขาก็มาร่วมงานแต่งกับเราด้วย พ่อคุ้นเคยกับตัวพี่ชายคนโตดีทีเดียวแหละ ลูกค้ารายแรกๆ รายหลักๆ ของวิริยะทรัพย์ ส่วนคนน้องสุดที่เป็นคนบริหารโรงแรมตอนนี้เคยเจอสองสามครั้ง หน่วยก้านดีเชียวนะ”


ตรัสจบก็ทรงเหลือบมองธิดาที่ง่วนอยู่กับมือถือ แต่ปากเอ่ยรับคำเป็นระยะ จนไม่แน่ใจว่าเข้าใจสิ่งที่ทรงต้องการจะสื่อหรือไม่ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะอีกไม่เกินสี่ชั่วโมงหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายก็จะต้องล่วงรู้เรื่องที่ท่านชายตั้งพระทัยและทรงปรึกษากับคู่ชีวิตอย่างหม่อมมธุรสไว้อย่างแน่นอน


“เพคะ”


“ว่าแต่หญิงเคยเจอไหม”


“เจอใครเพคะ”


ถามเพราะสงสัย ได้ยินทุกอย่างที่ท่านพ่อตรัส แต่ไม่เข้าใจเสียทีเดียว ตายังจับจ้องอีเมลจากบริษัทที่มีหล่อนอยู่ในลูป ซึ่งแจ้งเรื่องการประชุมที่สำนักงานใหญ่ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ หมายความว่าหล่อนต้องเข้าไปที่ไซต์งานในช่วงบ่าย แปลว่าพรุ่งนี้อาจจะต้องแวะเข้าไปที่โรงแรมเพื่อตรวจสอบว่าผู้รับเหมาปิดกั้นพื้นที่ได้ตามสั่งหรือเปล่า


“เจ้าของโรงแรมไง”


ได้ยินแบบนั้นแพรวพรรณรายก็จำต้องละสายตาจากเครื่องมือสื่อสารเพื่อสบพระเนตรบิดา แต่กลับเห็นว่าอาคารที่รถของวังวิริยากำลังจะจอดเทียบคือโรงแรมวันซ์ ริวาที่หล่อนทำงานมาตลอดสัปดาห์ และเพิ่งคิดว่าจะเข้ามาอีกในวันพรุ่งนี้ ปากก็เอ่ยถามสิ่งที่ค้างในใจเมื่อครู่


“โรงแรมไหนเพคะ แล้วนี่เรามาทำอะไรที่นี่”


เวรกรรมหรือไรแต่ปางไหนนั่น ชีวิตของแพรวพรรณรายจะหนีโรงแรมนี้ไม่พ้นแม้ในวันพักผ่อนเลยใช่ไหม ตาหวานเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าอาคารที่รถที่ประทับกำลังเลี้ยวเข้าไปคือที่ใด


“ก็โรงแรมนี้ไงที่เรามางานแต่ง หญิงทำงานให้ที่นี่ไม่ใช่หรือ”


พูดเลยว่าตั้งแต่ปะติดปะต่อเรื่องได้ว่าหล่อนจะต้องร่วมมื้ออาหารกับอีตาบ้าปากหมาที่หาเรื่องหล่อนมาหลายวัน เล่นเอาปวดประสาทไม่น้อย แพรวพรรณรายก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หวาดระแวงว่าเขาจะโผล่มาหาเรื่องตอนไหน ยิ่งท่านพ่อตรัสว่าฝั่งโน้นจะมาร่วมงานแต่งในวันนี้ด้วย หล่อนเลยสติหลุด หันรีหันขวางจนท่านพ่อต้องปราม


“เป็นอะไรเรา อยู่ไม่สุข”


หญิงสาวที่นั่งข้างๆ ท่านพ่อซึ่งประทับที่โต๊ะวีไอพียิ้มแหย จะให้บอกได้อย่างไรว่าคนที่บิดาถือหางนักหนาเป็นคู่กัด คู่ปรับที่หล่อนเหม็นขี้หน้าเป็นที่สุด เลยได้แต่ส่ายหน้าสวยและยิ้มหวาน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงทุ้มไม่คุ้นหูก็ดังขัดขึ้น ทำให้แพรวพรรณรายต้องละเรื่องที่จะตอบบิดาไปให้ความสนใจแก่ผู้มาใหม่ ก่อนจะพบว่าบุรุษสูงวัย แต่อาวุโสน้อยกว่าท่านชายเล็กกับสตรีวัยใกล้เคียงกันเดินเคียงข้างกันมา หญิงสาวเลยยกมือขึ้นไหว้อย่างที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาโดยไม่ต้องมีใครแนะนำ ทั้งคู่ก็รีบวาดมือขึ้นรับไหว้หล่อนเป็นอย่างดี


“ขอประทานอภัยกระหม่อมที่มาช้า”


“ไม่เป็นไร คุณชัยฤทธิ์ ผมก็เพิ่งถึง ผิดที่ผมเอง ไม่ได้โทร. บอกก่อน นั่งๆ นั่นน้องชายใช่ไหม”


ตามที่หม่อมเจ้าโชติรัตน์ตรัส ชัยฤทธิ์และญาณีทราบจากทีมงานของโรงแรมว่าท่านชายเสด็จแล้ว จึงรีบห้อลงมาจากออฟฟิศของน้องชายกันทั้งสามคน


“กระหม่อม นี่ฌอนฤทธิ์ น้องชายคนเล็ก เคยเข้าเฝ้าสองสามครั้งแล้ว”


ชายหนุ่มที่เพิ่งแยกจากแพรวพรรณรายไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดียกมือไหว้ทำความเคารพราชนิกุลชั้นหม่อมเจ้าที่ทรงไม่ถือองค์แม้แต่น้อย แต่แม่คนสวยข้างๆ กลับเชิดหน้าใส่เขา เบ้ปากก่อนจะทำท่าเหมือนหนักใจ แล้วหันมาไหว้ชายหนุ่มแบบเสียไม่ได้


“กระหม่อมฌอนฤทธิ์”


“จำได้ๆ” ท่านชายบอกด้วยความเอ็นดู ก่อนจะปรายพระเนตรไปยังธิดาที่นั่งอยู่


“หญิงแพรว นี่คุณชัยฤทธิ์กับญาณี แล้วนั่นคุณฌอนฤทธิ์ นี่ลูกสาวคนเล็กผม แพรวพรรณราย ฌอนเคยเจอน้องไหม”


“เคยกระหม่อม”


ชายหนุ่มรับคำท่าทางสุขุม ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แพรวพรรณรายตามการเชื้อเชิญของหม่อมเจ้าโชติรัตน์ คนตัวบางก็สะดุ้งโหยงเพราะเขาตั้งใจให้หัวเข่ากระแทกกับขาของหล่อน


“แล้วเป็นไง ทำงานใช้ได้ไหม นี่ชัยฤทธิ์ทราบหรือเปล่าว่าหญิงแพรวมารับช่วงต่อดูโพรเจกต์ที่โรงแรมของคุณกำลังปรับปรุงนะ”


ถึงจะชอบตรัสว่าสาขาวิชาที่แพรวพรรณรายเลือกเรียนนั้นไม่สมตัว ต้องคลุกคลีกับผู้ชาย ต้องอยู่นอกบ้านเป็นหลัก แต่เอาเข้าจริงก็ทรงภูมิใจในตัวธิดาไม่น้อย


“พอทราบครับ แต่ไม่เคยพบตัวจริง สวยแบบนี้ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะลุยงานไหว”


ได้ยินแบบนั้นแพรวพรรณรายก็แอบถอนใจเพราะประโยคดูแคลนที่ได้ยินมาจนชิน แต่ก็ฝืนยิ้มหวานให้อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตเห็นว่าในช่วงเวลานั้นฌอนฤทธิ์ก็เหลือบมามองหล่อน จับอาการทุกอย่างที่สาวงามแสดงออกได้


“ค่ะ หญิงก็พอไหวค่ะ ยังต้องฝึกมืออีกเยอะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงงานของวันซ์ ริวาก็จะออกมาดีที่สุด”


“อย่าถ่อมตัวไปเลยคุณหญิง ถ้าไม่เก่งจริงคุณพรรณพัตราเขาจะให้มาทำงานใหญ่แบบนี้หรือ”


เออ...ดี เมื่อกี้ตบหัว ตอนนี้ก็มาลูบหลัง แต่หล่อนจะทำอะไรได้ นอกจากยิ้มรับคำพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณที่อีกฝ่ายอวย เลือกที่จะไม่พูดอะไรให้มากความเพราะเห็นแก่ท่านพ่อและมารยาทที่มีในสายเลือด แต่คนข้างๆ หล่อนกลับไม่ปล่อยผ่าน ก้มลงพูดเบาๆ แค่พอได้ยินกันสองคน


“ทำไมนิ่ง กินยาผิดก่อนออกจากบ้านเหรอ” ฌอนฤทธิ์ถามหน้านิ่ง


หญิงสาวก็ได้แต่ถลึงตาและกระแทกปลายส้นสูงลงบนหลังเท้าเขา เล่นเอาคนตัวโตสะดุ้ง ก้มลงมองเท้าเรียกความสนใจจากผู้ใหญ่


“เป็นอะไรกันสองคนนั่นน่ะ”


ท่านชายเล็กตรัสถามขึ้น ทรงมองหน้าธิดาทีมองหน้าชายหนุ่มที


“ไม่มีอะไรกระหม่อม ชายกระโปรงคุณหญิงพันกับขาเก้าอี้ ผมเลยจัดการให้”


เอาความดีใส่ตัวชัดๆ ผู้ชายคนนี้หน้าทนอะไรเบอร์นี้ แต่จะให้หล่อนอาละวาดแล้วเขาดูเป็นผู้ดีอยู่คนเดียวก็ไม่ได้หรอก เจ้าตัวเลยรีบฉีกยิ้มหวานหยีตามองหน้าฌอนฤทธิ์แบบเสแสร้งสุดเดช โดยไม่รู้เลยว่าอาการแสร้งทำของหล่อนทำเขาตาพร่า


“ขอบคุณนะคะคุณฌอน ใจดีจัง”


“อืม”


ตอบได้แค่นั้น เพราะกลัวเสียงที่เปล่งออกไปจะสั่นจนคนจับอาการได้ว่าเขาหวั่นไหว แล้วทำไมเขาต้องหวั่นไหว ปกติก็ไม่เคยมีใครทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้ ชายหนุ่มคิดได้ก็ยิ่งต้องระงับอาการเพราะบางอย่างมันชัดขึ้นเรื่อยๆ จนตัวเขาเองก็หวั่นใจ


“จะว่าไปก็ทำงานด้วยกันตลอด ฌอนดูแลน้องดีๆ นะ” คนเป็นพี่อย่างชัยฤทธิ์เอ่ยบ้างเพื่อหาทางให้น้องชายได้มีช่องใกล้ชิดหล่อน โดยไม่ได้รู้เลยว่าท่านชายเล็กต่อสายตรงหาน้องชายเป็นที่เรียบร้อยเพื่อฝากฝังให้ช่วยดูแลแพรวพรรณราย


เมื่อสัปดาห์ก่อนที่เขาได้เข้าเฝ้าท่านชาย คุยไปคุยมาท่านก็ตรัสถึงความหนักใจเรื่องธิดาคนเล็กที่เฮี้ยวเอาเรื่อง ฟงแฟนก็ไม่มี ทางเขาเองก็ออกปากเรื่องเดียวกันว่าน้องชายคนสุดท้ายที่มีก็ไร้คู่รักคู่คิด ถึงจะเก่งงานรอบด้าน แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เปรยไปเปรยมาก็เห็นตรงกันว่าหากสองคนนี้ได้พบปะเจอะเจอกันก็คงเป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อไม่น้อย


“ไม่ต้องห่วงครับพี่ชัย เมื่อวานผมก็เลี้ยงอาหารเช้าคุณหญิงก่อนเริ่มงาน มื้อเช้าสำคัญที่สุด จริงไหมครับ”


ตอนพูดท้ายประโยคคนหน้านิ่งหันกลับมามองหม่อมราชวงศ์คนสวย ยิ้มมุมปากแค่พอสุภาพ ก่อนจะหันไปสบตาผู้ใหญ่ทางฝั่งตนและเจ้านายผู้ใหญ่ที่มองมา เห็นรอยยิ้มประดับสองใบหน้ากับหนึ่งพระพักตร์ก็หนาวๆ ร้อนๆ แปลกๆ


“ดี มีคุณฌอนคอยดูแลหญิงแพรวแบบนี้พ่อก็หมดห่วง นี่เห็นว่างานงวดต้องอยู่ดูที่ไซต์ดึกๆ ดื่นๆ ใช่ไหม”


“กระหม่อม แต่...”


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลกลใดชายหนุ่มถึงตัดสินใจพลั้งปากเอ่ยสิ่งที่ตัวเองอาจจะคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป


“ผมกำลังจะขอประทานอนุญาตให้คุณหญิงมาพักที่โรงแรมในช่วงนี้ จะได้ไม่ต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ให้ไม่สบายพระทัย เรื่องความปลอดภัย ท่านชายทรงไม่ต้องเป็นกังวล กระหม่อมจะจัดห้องพักของคุณหญิงไว้ใกล้กับห้องกระหม่อม”


“อ้าว แล้วถ้าเช่นนั้นจะปลอดภัยอย่างไรคุณฌอน นี่กลายเป็นว่าหญิงแพรวต้องย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นเชียวนะ”


อาบน้ำร้อนมาก่อนทำไมจะไม่รู้ว่าฌอนฤทธิ์คิดอ่านอย่างไร แต่ในฐานะที่เป็นฝ่ายหญิงก็ต้องไว้เชิงสักหน่อย


“ก็ไม่ต้องไปมาตอนกลางคืนกระหม่อม อยู่ที่นี่ผมจะจัดคนไว้คอยดูแล พักผ่อนเมื่อไหร่ก็ได้ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด”


พูดจบก็ก้มหัวให้คนเลือดสีน้ำเงินเข้ม หลับตาสูดลมหายใจ ไม่กล้ามองหน้าใครทั้งนั้น นึกก่นด่าตัวเองในใจว่าไม่รู้ผีห่าซาตานตนไหนเจาะปากเขาให้พูดออกไปแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกันบางส่วนของหัวใจก็กลับเต้นระรัว


“จะว่าไปก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินทางตอนกลางคืน รถราก็ไม่ชอบขับเอง ว่าแต่ไอ้งานที่มันต้องมาคุมงานเนี่ย มันควรจะเริ่มสักเมื่อไหร่เหรอ”


“เอ่อ ท่านพ่อเพคะ ไม่จำเป็นเลยเพคะ ยิ่งดึกๆ รถไม่ติด หญิงก็เอารถหญิงมาได้ ขับกลับวังแป๊บเดียวเองเพคะ” คนที่นั่งงงเป็นไก่ตาแตกรีบแทรกขึ้นมา เพราะถ้าท่านพ่อแย้มพระโอษฐ์แบบนี้แปลว่ามีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้สูงที่จะต้องมาอยู่ที่โรงแรมตามที่อีตาผีบ้าแนะนำ


“เอางั้นหรือ” พระเนตรเหยี่ยวทอดมองธิดา “แต่พ่อว่าดีนะ หญิงแพรวงกนอนอย่างกับอะไร”


หม่อมเจ้าโชติรัตน์เย้าบุตรสาว ก่อนจะปรายพระเนตรมองเจ้าภาพที่ตั้งท่าจะทูลเชิญขึ้นอวยพร เลยยุติบทสนทนาไว้เพียงนั้น ตรัสให้ธิดาคนเล็กคลายใจว่าไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไรกับบทสนทนาเมื่อครู่ ทรงรู้นิสัยหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายดีกว่าใครในโลกนี้ เพราะถอดลักษณะเด่นลักษณะด้อยจากพระบิดาอย่างพระองค์มาเสียหมด แต่น้อยคนนักจะรู้ เพราะยามออกสมาคม หม่อมเจ้าโชติรัตน์ วิริยา วางท่าได้สมศักดิ์ศรีราชสกุลยิ่ง


“แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ถ้าหญิงว่าไหว พ่อก็ไม่ว่าอะไร ตอนนี้พ่อไปคล้องมาลัยให้บ่าวสาวก่อนดีกว่า หญิง เดินไปเป็นเพื่อนพ่อหน่อยสิ”


ได้ยินเช่นนั้นคนที่ใหญ่ที่สุดในโรงแรมแห่งนี้ก็ยืนขึ้นเช่นกันทั้งๆ ที่ท่านชายมิได้ตรัสชวนให้ตามเสด็จ เขาไม่ได้คิดจะเดินเคียงข้างใครแต่อย่างใด แต่เพราะเป็นสิ่งที่ควรทำในฐานะเจ้าของโรงแรม ก่อนก้มหัวผายมือให้หม่อมเจ้าสูงวัยที่ยังดูแข็งแรงกว่าอายุมาก


 

“ท่านชาย เชิญเสด็จ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น