บทนำ
“นะคะ มันจะทำให้ล็อบบีดูโล่งขึ้นเยอะเลย เชื่อแพรวสิ” คนออกแบบเท้าสะเอวบอกวิศวกรระบบประจำโครงการที่เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธท่าเดียว แต่คนพูดก็ไม่ย่อท้อ พยายามทำเสียงหวานใส่อีกคนทั้งๆ ที่จริงๆ เป็นคนแข็งๆ เสียด้วยซ้ำ
“แพรวขอแค่เจาะคานเพื่อซ่อนสายไฟที่ต้องตัดผ่านโถงล็อบบีแค่นิดเดียวเองนะคะ เพื่อความสวยงามและสบายตา เชื่อแพรวเถอะค่ะ มันจะออกมาดีจริงๆ”
คุณหญิงคนสวยพยายามเล่นเสียงสองอ้อนวอนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการจากอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ในใจเริ่มเดือดกรุ่นไปหมด เพราะรู้สึกว่าอีกคนเจรจาด้วยยากเหลือเกิน ชี้มือชี้ไม้ให้อีกคนดูในแบบว่าสิ่งที่หล่อนร้องขอไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย
“ไม่ได้ ผมไม่เห็นด้วยเลย เหตุผลแค่เพื่อความสบายตา แต่มันจะทำให้คานมีประสิทธิภาพลดลง แล้วนี่มันคานชั้นล่างสุด ต้องรับน้ำหนักเยอะ ผมคงให้คุณทำแบบนั้นไม่ได้หรอก อยากซ่อนสายไฟเพื่อความสวยงามเหรอ เต็กอย่างคุณน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมาแตะโครงสร้างของพวกผมได้ไหม”
ศักดาบอกคนอ่อนประสบการณ์กว่า อ่อนวัยกว่าด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์
“แล้วคุณจะมาไม่เห็นด้วยเรื่องอะไร ก็เจ้าของเขาบอกมาแล้วว่าอยากให้ล็อบบีมันโล่งๆ ที่แพรวทำมันก็ตอบโจทย์เขาไหม”
หม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายในชุดเรียบร้อยของหล่อน แต่ดูเซอร์ไม่เหมาะสมกับเชื้อสายราชสกุลในสายตาคนอื่นเท้าสะเอวมองหน้าศักดา วิศวกรรุ่นพี่ที่ไม่เคยร่วมงานกัน แต่เห็นหน้าค่าตาในบริษัทรับเหมาก่อสร้างของญาติคนสวย จับพลัดจับผลูต้องมาร่วมงานกันในโพรเจกต์รีโนเวตโรงแรมวันซ์ ริวาระดับห้าดาว ซึ่งอย่างอื่นก็ดีอยู่หรอก เพิ่งจะมาขัดแย้งกันก็ตอนที่หล่อนจะขอเจาะคานเพื่อให้โรงแรมได้รับการตกแต่งใหม่ออกมาดั่งใจ รู้ยังงี้ตามไปทำโพรเจกต์ที่วโรตม์ วิศวกรเพื่อนรักคุมอยู่ก็ดี จะได้เจรจากันง่ายๆ
“ใช้วิธีอื่นทำให้โล่งสิ ไปเล่นเรื่องสีหรือเทคนิคอย่างอื่นก็ได้ แต่โครงสร้างมันเป็นเรื่องของความปลอดภัยด้วยยังไงผมก็มีอำนาจการตัดสินใจเรื่องนี้มากกว่าคุณ และผมไม่อนุญาต”
“โอ๊ย ทำไมเรื่องมากแบบนี้ เป็นเจ้าของโรงแรมก็ไม่ใช่”
“นี่คุณหญิง อย่าคิดว่าเป็นญาติคุณลูกพลับแล้วจะเหวี่ยงได้นะครับ โอเคครับ ผมไม่ใช่เจ้าของโรงแรม ผมยอมรับก็ได้ว่าถ้าคุณอยากเจาะคาน วิศวกรอย่างผมทำให้คุณได้ แต่มันยุ่งยากและเสียเวลา เพราะฉะนั้นคนที่จะสั่งให้ผมทำอย่างที่คุณต้องการได้มีแค่เจ้าของโรงแรมนี้คนเดียวเท่านั้น”
เขากระตุกมุมปากเล็กน้อยเหมือนท้าทายเธอ “ถ้าผมได้สายตรงจากคุณฌอนฤทธิ์เมื่อไหร่ ผมจะสั่งลูกน้องเจาะคานให้คุณทันที เข้าใจตรงกันนะครับ”
พูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องประชุมที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้เป็นออฟฟิศชั่วคราวของทีมงานจากบริษัทก่อสร้าง ซึ่งประกอบไปด้วยวิศวะ สถาปนิก รวมไปจนถึงผู้ประสานงานโครงการต่างๆ ไม่สนใจสตรีหน้าตาสวยจัดแต่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเพราะทึ้งหัวตัวเองทันทีที่ไม่ได้ดังใจ อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ ด้วยซ้ำ แต่ยังพอมีมารยาทเหลืออยู่จึงได้แต่กัดฟันดังกรอดๆ ในขณะที่มือกำแน่นเป็นหมัดพร้อมชกคน ถอนหายใจสูดหายใจสลับกันให้วุ่น กดความไม่พอใจที่มีต่อเพื่อนร่วมงานลงไป แต่ยังไม่หายรั้น ใช่ว่าอีตาหน้าดุคนนั้นบอกแล้วหล่อนต้องฟัง ในเมื่อท้าทายว่าเรื่องนี้ต้องถึงหูคนเป็นเจ้าของ คุณหญิงแพรวพรรณรายถึงจะได้งานสมใจ คนอย่างหล่อนก็ไม่มีถอยเรื่องดื้อ
ด้านหน้าด้าน ขอให้เชื่อมือเถอะว่าไม่มีใครชนะได้ คิดได้แบบนั้นหญิงสาวก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกรอบ ไม่ใช่เพื่อเรียกความมั่นใจ แต่เพื่อระงับจิตใจไม่ให้ปรี๊ดแตกใส่คนที่มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่แห่งนี้
“อีตาบ้า...ไม่ง้อหรอกย่ะ คนอย่างแพรวพรรณรายอยากได้อะไรต้องได้ กะอีแค่เจ้าของโรงแรม คิดว่ากลัวหรือไง โด่!!!”
หญิงสาวต้นเรื่องที่เพิ่งตีกับวิศวกรเสียงดังเดินเร่งรีบขึ้นมาที่ชั้นผู้บริหารด้วยความมั่นใจ ไม่เกรงสายตาของพนักงานที่มองมาอย่างทั้งสงสัยทั้งดูถูกว่า คนที่ใส่เสื้อยืดย้วยยับยัดชายไว้ในกางเกงยีนเอวสูงแบบสกินนีไม่พอยังขาดรุ่ยไปหมดทั่วตัวทั้งเสื้อทั้งกางเกง มาทำอะไรที่นี่ แม้แต่แม่บ้านผู้ซึ่งมีหน้าที่แค่เพียงยกน้ำเสิร์ฟกาแฟยังแต่งตัวดีกว่าคนมีฐานันดรศักดิ์อย่างหล่อน
ตาหวานปราดตามองทั่วพื้นที่ ไม่วายถลึงตาใส่คนที่มองหล่อนอยู่ตามซอกหลืบ ก่อนจะพยายามประเมินความเป็นไปได้ว่าห้องทำงานของคนที่ตนตั้งใจมาหาอยู่ที่ไหน แต่แล้วก็เหมือนโชคช่วยเพราะมีเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาชี้ทางสว่างทันใด
“คุณฌอนครับแล้วเรื่อง...”
แพรวพรรณรายไม่ทันฟังแล้วว่าใครกำลังเอ่ยเรื่องสำคัญแค่ไหน หล่อนปรี่ถลาเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าผู้ชายสองคนที่ยืนทำหน้าตกใจ ประเมินเอาเองจากทีท่าและหน้าตา ก่อนจะยกนิ้วเรียวไร้การตกแต่งสีที่ปลายเล็บเหมือนผู้หญิงคนอื่นขึ้นชี้หน้าหล่อเหลาของคนตัวโตที่ขมวดคิ้วทำท่าไม่พอใจ ชายหนุ่มปราดตามองหล่อนตั้งแต่หัวจดเท้า
“นี่เจ้าของโรงแรม เอ่อ...ฉันหมายถึงคุณฌอนฤทธิ์ใช่ไหมคะ”
คุณหญิงแพรวพยายามทำเสียงให้สุภาพ แต่ ณ จุดนี้ความร้อนอกร้อนใจเรื่องงานทำให้หล่อนควบคุมอารมณ์ไม่ได้เท่าที่ควร และยิ่งต้องร้อนหัวมากขึ้นไปอีกเมื่อคนตรงหน้ามองหล่อนคล้ายเป็นอากาศธาตุ ไม่ให้ราคา ไม่มีความสำคัญเหมือนเป็นก้อนกรวดที่ไร้ค่าใดๆ
“นี่ใคร”
คนที่แพรวพรรณรายตู่เอาเองว่าต้องเป็นเจ้าของโรงแรมเอ่ยเสียงเนือยๆ พูดเป็นประโยคคำถาม แต่ดันไม่ได้พูดกับหล่อน เพราะทั้งสายตาและน้ำเสียงเบนประเด็นไปยังคนที่ยืนกอดแฟ้มอยู่ข้างๆ เขา
“ไม่ทราบสิครับ เอ...ไม่ทราบคุณผู้หญิงจะติดต่อใครครับ”
อันที่จริงแล้วอยากจะหันไปถามยามที่รักษาความปลอดภัยหน้าลิฟต์ด้วยซ้ำว่า นังผู้หญิงกะเร้อกะรังคนนี้เป็นใคร ถึงปล่อยให้วิ่งทะเล่อทะล่ามาชี้หน้าเจ้านายแบบนี้
“เจ้าของโรงแรมค่ะ”
“เอ่อ...ต้องนัดก่อนนะครับ เดี๋ยวผมให้นามบัตรติดต่อไป ผมชื่อดนัยครับ เป็นเลขาฯ ของคุณณอน”
“ใครอนุญาตให้คุณผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาที่ชั้นนี้” ชายร่างสูงที่สวมสูทดูภูมิฐานยังคงหันไปพูดกับเลขาฯ ของเขา โดยไม่สนใจอีกสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอจึงยกแขนขึ้นเท้าสะเอว
“โอ๊ย จะลีลากันไปไหนคะ ตกลงคุณน่ะใช่คุณฌอนใช่ไหม ถ้าใช่แล้วทำไมต้องให้นัดใหม่ให้ยุ่งยาก ดิฉันมีเรื่องจะถามสั้นๆ แป๊บเดียว สัญญาว่ารบกวนเวลาอันมีค่าของคุณไม่นานหรอก”
ฌอนฤทธิ์ไม่ตอบด้วยคำพูด แต่กวนประสาทคนเหวี่ยงด้วยการยกข้อมือดูเวลาจากนาฬิการาคาแพง ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองร่างเล็กที่บางส่วนไม่ได้เล็กเหมือนร่าง หรี่ตามองหล่อนคล้ายจะประเมินว่าหญิงจะแสดงออกอย่างไรอีก
แพรวพรรณรายทำท่าไม่สบอารมณ์ มองคนหน้านิ่งตรงหน้าให้เต็มๆ ตาอีกครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้เลยว่าหล่อนไม่ได้มองด้วยความชื่นชมหน้าหล่อ แต่อยากจะตะกุยหน้านั้นต่างหาก ขนาดพี่ชายทั้งคู่ของหล่อนหล่อฟ้าดินสะเทือนยังไม่ทำให้แพรวพรรณรายหวั่นใจได้เลย
“อะแฮ่ม สามนาที” ฌอนฤทธิ์เอ่ยต่อสั้นๆ “ผมมีเวลาให้คุณแค่สามนาทีเท่านั้น พูดธุระของคุณมา เริ่ม!”
ได้โอกาสดังนั้นแพรวพรรณรายก็ไม่รอช้า ทั้งๆ ที่ไม่พอใจ อยากจะด่าความท่ามากของคนคนนี้ด้วยซ้ำ แต่เรื่องงานต้องมาก่อน ขอเจรจาสิ่งที่ต้องการแล้วค่อยสอนมารยาทผู้ชายคนนี้ก็ยังไม่สาย จากนั้นเสียงหวานก็บรรยายศัพท์เทคนิคทั้งทางวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยศาสตร์ออกมา ตีกันจนมั่วไปหมด ในขณะที่มือไม้ก็กางแบบที่ถือขึ้นมา พร้อมสะกิดให้ฌอนฤทธิ์ดูตามที่หล่อนอธิบาย
เวลาล่วงไปกว่าสิบห้านาที เจ้าตัวถึงงับลมเข้าปาก ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดหวังคำตอบ แต่แล้วก็ต้องช็อกเพราะนอกจากจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว อีกคนยังทำท่าทางเหมือนรำคาญหล่อนเสียเต็มประดา เอ่ยตอบเสียงเนิบนาบนิ่งเรียบไร้อารมณ์เป็นที่สุด
“ถ้าผมได้คำตอบแล้วผมจะให้คนโทร. ไปบอกคุณ” พอเขาพูดจบก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์เปิดกว้างออกพอดี ร่างสูงที่มือทั้งสองข้างยังล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ก้าวเข้าไปในลิฟต์ ยังไม่ทันที่แพรวพรรณรายจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธเขา เธอก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยกับเลขาฯ แว่วๆ ว่า “ดนัยให้คนเชิญผู้หญิงคนนั้นลงไปอยู่ในพื้นที่ของเธอด้วย บนชั้นนี้ไม่ใช่ที่ทำงานของเธอ”
“ครับคุณฌอน”
ได้ยินแบบนั้นแพรวพรรณรายก็อยากจะพุ่งไปกระชากหัวเขา แต่ก็ทำได้แค่ตะโกนใส่ประตูลิฟต์ที่ปิดลงตรงหน้าเธอพอดี “ไอ้...ไอ้...ไอ้...” คุณหญิงคนสวยอ้าปาก ตั้งท่าจะด่าเสียงดัง แต่ยังพอเหลือสติอยู่บ้างจึงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว “ไอ้ขี้เก๊ก คิดว่าเท่นักหรือไงวะ ฝากไว้ก่อนเหอะ ไว้จะเอาให้นิ่งไม่ออกเลย!”
ฌอนฤทธิ์เดินหน้านิ่งผ่านพนักงานทุกคนที่ยกมือไหว้เขา ชายหนุ่มไม่มีรอยยิ้มให้ใคร เขาเพียงสบตากับทุกคนเพียงเสี้ยววินาทีแทนการตอบรับ อย่างมากที่สุดก็แค่พยักหน้าเล็กน้อย ซึ่งพนักงานทุกคนของที่นี่รู้ดีว่านายของพวกเขาไม่ได้อยู่ในโหมดเครียดหรือดุอย่างที่คนนอกมักจะคิด แต่ฌอนฤทธิ์เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เขาเป็นเจ้านายที่นิ่งๆ ไม่คุยเล่นกับพนักงานคนไหนเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดเกินกว่าเหตุ ออกจะทำงานด้วยได้ง่ายเสียด้วยซ้ำ
ร่างสูงก้าวเข้าไปในห้องอาหารของโรงแรม ส่วนนี้เป็นส่วนที่รีโนเวตเสร็จไปแล้วเมื่อเดือนก่อน และเปิดให้บริการตามปกติแล้ว ขณะที่ฌอนฤทธิ์กำลังมองหาคนที่เขานัดเอาไว้ ในหัวของชายหนุ่มก็คิดถึงเรื่องที่หญิงสาวคนเมื่อตะกี้นี้พูดไปด้วย
เจาะคานอย่างนั้นเหรอ เรื่องแบบนี้มันควรจบตั้งแต่การทำงานของวิศวกรไม่ใช่หรือ ทำไมหล่อนถึงต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเอาเรื่องนี้มาโยนให้เขาด้วย
สายตาของเขาหยุดที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ในโซนสวนดอกไม้ กดมุมปากคล้ายจะยิ้มเมื่อเห็นว่าคนที่เขานัดเอาไว้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ฌอนฤทธิ์จึงหันไปเอ่ยกับเลขาฯ ส่วนตัวที่เดินอยู่ข้างกาย “ดนัย เสร็จมื้อเที่ยงแล้วติดต่อวิศวกรให้ผมด้วย”
“ครับคุณฌอน”
สั่งงานเสร็จ ร่างสูงก็ตรงดิ่งไปยังโต๊ะที่เขาวางสายตาเอาไว้ ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปถึง คนที่นั่งหันหน้ามาทางนี้ก็ทักเขาขึ้นเสียก่อน
“อ้าว ฌอนมาพอดีเลย”
คนเพิ่งมาถึงค้อมศีรษะให้ “มานานรึยังครับพี่ชัย พี่ญาณี”
“เพิ่งมาถึงนี่แหละฌอน นั่งก่อนสิ”
ฌอนฤทธิ์นั่งลงตรงที่ว่างข้างชัยฤทธิ์ ชายวัยห้าสิบกว่าผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเขา อันที่จริงจะพูดว่าพี่ชายก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะชัยฤทธิ์อายุห่างกับเขาเกือบยี่สิบปีได้ ใครหลายคนเคยเข้าใจผิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของชัยฤทธิ์เสียด้วยซ้ำ ทว่าจริงๆ แล้วชัยฤทธิ์เป็นเพียงญาติผู้พี่ที่เกิดจากลูกชายคนแรกของคุณปู่ ในขณะที่เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของลูกชายคนสุดท้ายของคุณปู่ นั่นละสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองอายุห่างกันจนเกือบจะเป็นพ่อลูกกันได้
“เรื่องรีโนเวตไปถึงไหนแล้วฌอน”
“นี่คุณชัยฤทธิ์ น้องเพิ่งมาถึง แทนที่จะให้สั่งอาหารทานข้าวกันก่อน ไหงพูดเรื่องงานก่อนเสียอย่างนั้น”
“ไม่เป็นหรอกครับพี่ญาณี ทานไปคุยไปก็ได้”
“ใช่ ยังไงเสียเรื่องงานก็เป็นเรื่องต้องห้ามที่บ้านอยู่แล้ว คุยกันบนโต๊ะอาหารที่โรงแรมนี่แหละถูกต้องที่สุดแล้ว”
คนอายุน้อยสุดยิ้มเล็กน้อยตอบคำหยอกของญาติผู้พี่ ทำเอาภรรยาของผู้สร้างกฎห้ามพูดเรื่องงานที่บ้านขึ้นมาค้อนขวับ
ฌอนฤทธิ์มักจะแสดงออกทางสีหน้ามากขึ้นเมื่ออยู่กับคนในครอบครัว ถึงกระนั้นเขาก็ยังถูกมองว่าเป็นคน ‘นิ่งๆ’ อยู่ดี
ผู้บริหารหนุ่มหันไปส่งสายตาบอกพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ห่างให้ส่งเมนูให้หญิงเดียวในโต๊ะ ก่อนจะปล่อยให้พี่สะใภ้ของเขาสั่งอาหารไปพร้อมกับที่เขาคุยงานกับพี่ชาย นี่คือสิ่งที่ทำเป็นปกติอยู่แล้วเวลาที่พวกเขามาร่วมโต๊ะอาหารกันที่โรงแรม ญาณีจะเป็นฝ่ายเลือกอาหารให้คนอื่นๆ ที่สนใจเรื่องงานมากกว่า
“ฌานล่ะครับ ไหนพี่ญาณีบอกว่าวันนี้ฌานจะมาด้วย”
คนที่เขาถามถึงคือฌานธิษณ์ ลูกชายคนเดียวของชัยฤทธิ์และญาณี หลานชายที่เรียนจบมาหลายปีแล้ว แต่สนใจจะทำงานอาสากู้ภัยมากกว่าธุรกิจโรงแรม
“เจ้าฌานน่ะเหรอ อย่าไปสนใจเลย มีแววว่าจะเบี้ยวอีกแล้วละ” ชัยฤทธิ์ว่าพลางส่ายหน้า ก่อนที่ญาณีจะเสริม
“โทร. หาก็ไม่รับ สงสัยยุ่งอยู่ ขอโทษด้วยนะฌอน ลูกชายตัวแสบของพี่เบี้ยวตลอดเลย”
“ไม่เป็นไรครับ”
สิ้นการสนทนาได้ไม่นาน อาหารก็เริ่มถูกทยอยมาเสิร์ฟ การพูดคุยเรื่องงานจึงเบาบางลง เปลี่ยนเป็นเรื่องสัพเพเหระมากขึ้น
ไม่ถึงชั่วโมงดีดนัยก็เดินมายืนรอนายอยู่ใกล้ๆ อย่างรู้หน้าที่ ฌอนฤทธิ์จึงขอตัวแยกออกมาเพื่อไปจัดการเรื่องที่ค้างเอาไว้ต่อ แล้วปล่อยให้ผู้ร่วมโต๊ะทั้งคู่รอการมาของลูกชายของพวกเขาต่อเพียงลำพัง
ดนัยต่อโทรศัพท์ถึงวิศวกรผู้ควบคุมงานให้ทันทีที่นายเดินไปถึงตัว ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้ “วิศวกรอยู่ในสายแล้วครับ”
ฌอนฤทธิ์พยักหน้าพร้อมรับโทรศัพท์มาแนบหู เขาก้าวเดินออกไปทางสวนด้านนอกที่อยู่ต่อจากห้องอาหาร หูก็ฟังการอธิบายของวิศวกรที่อยู่ในสายไปด้วย เพราะดนัยสอบถามคนปลายสายให้เขาอยู่ก่อนแล้ว ฌอนฤทธิ์จึงไม่ต้องถามย้ำอีก และไม่ถึงสิบนาทีเขาก็กดวางสาย ก่อนจะเดินไปยื่นโทรศัพท์ให้เลขาฯ ส่วนตัว
“โทร. บอกผู้หญิงคนนั้นทีนะว่าผมไม่อนุญาตให้เจาะคาน เหตุผลของเธอไม่สมเหตุสมผลพอ นอกจากประสิทธิภาพของโครงสร้างจะลดลงแล้ว เรายังต้องเสียเวลาเพิ่มอีก ผมต้องการให้ล็อบบีโซนนั้นเสร็จให้เร็วที่สุด เรากำลังจะมีทัวร์จากยุโรปมาในอีกไม่กี่เดือน พื้นที่ตรงนั้นต้องพร้อมสำหรับการรองรับแขกของเรา” ชายหนุ่มว่าเสียงเรียบก่อนจะแอบเหยียดมุมปากขึ้นนิดๆ เมื่อสมองดันคิดว่าเธอต้องวีนแตกแน่ๆ แต่ก็ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจ “บอกเธอด้วย...ว่าถ้าเก่งจริง...เรื่องแค่นี้ไม่ควรเป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำ”
“รับทราบครับคุณฌอน”
ฝ่ายแพรวพรรณรายที่โดนทิ้งทุ่นก็ไม่ยอมลงไปทำงานในส่วนล็อบบีที่ค้างอยู่เสียดื้อๆ เพราะถือว่าตัวเองยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ และเลี่ยงไปตรวจสอบความเรียบร้อยในส่วนอื่นที่พร้อมจะส่งมอบพื้นที่ เหลือแค่การเก็บรายละเอียดของงานเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นหล่อนเลยถือวิสาสะสั่งช่างทั้งหมดให้ไปพักเสียดื้อๆ ส่วนตัวเองก็เดินอ้อมผ่านส่วนที่ปิดปรับปรุงไปทางด้านหลัง กะว่าจะไปหาส้มตำร้านรถเข็นที่มักมาขายในช่วงเวลานี้กิน จินตนาการเอาเองว่าตำปูปลาร้าแซ่บๆ คงช่วยให้อารมณ์ขุ่นมัวดีขึ้น ซึ่งจะว่าไปตอนนี้ก็เริ่มเย็นลงหน่อยๆ เพราะได้เห็นต้นไม้สีเขียวๆ ของสวนที่เพิ่งจัดแลนสเคปใหม่ มีต้นไม้ตัดแต่งเป็นรูปทรงต่างๆ ให้เจริญตาเจริญใจ แต่แล้วความเย็นใจก็เกิดขึ้นกับแพรวพรรณรายได้ไม่นานเพราะเสียงโทรศัพท์คู่กายดังขึ้น
“ใครวะ”
หญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างสะโอดสะองหยุดเดินเสียดื้อๆ ตาก็จ้องหน้าจอมือถือที่กำลังแสดงเบอร์ไม่คุ้นตา แต่เสียงคุ้นหูอยู่ ยอมละความสงสัยแล้วกดรับสายทันที
“ฮัลโหล อ๋อ...ค่ะ คุณดนัยมีอะไรหรือเปล่าคะ”
คนสวยเบิกตาหวานเป็นประกายทันทีที่รับรู้ว่าคนที่โทร. มาเป็นเลขาฯ ของเจ้าของโรงแรมหน้าหล่อแต่ไร้มารยาทในการรับแขกที่หล่อนเจอเมื่อครู่นี้ คาดหวังว่าสิ่งที่ชายหนุ่มผู้ช่วยโทร. มาแจ้งจะเป็นสิ่งที่ตนเองอยากฟัง แต่แล้วเรื่องราวที่ได้รับการถ่ายทอดมากลับทำให้คุณหญิงคนสวยกำโทรศัพท์แน่น เท้าเรียวแทบจะกระทืบพื้นเร่าๆ ระบายความขัดใจ แต่หล่อนกลับทำได้แค่กัดฟันตอบรับอีกฝ่าย
“คุณหญิงแพรวคงเข้าใจนะครับ” ดนัยบอกเสียงเรียบแทบจะไม่ต่างจากเจ้านาย “คุณณอนไม่อยากเลื่อนกำหนดเปิดตัวล็อบบีใหม่ อยากให้เปิดใช้งานได้เร็วที่สุด อย่างที่ทราบว่าจะปีใหม่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของเรา ถ้าต้องมาเจาะมาเปลี่ยนอะไรเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์ ตามนี้นะครับคุณหญิง”
คำพูดสุภาพใจเย็นถูกถ่ายทอดมาตามสาย แต่แปลได้ง่ายๆ ว่าสิ่งที่หล่อนอธิบายไปเป็นวรรคเป็นเวรไม่ได้เข้าหูใครสักคน ทำเอาแพรวพรรณรายปรี๊ดแตกไม่ออก เพราะอีกฝ่ายพยายามเจรจาด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเหลือเกิน จนหล่อนทำได้แค่รับคำสั้นๆ พยายามขุดวิชามารยาทที่หม่อมแม่พร่ำสอนมาใช้ในวินาทีคับขัน บังคับตัวเองไม่ให้เอ่ยวาจาไม่น่าฟังไว้ เพราะอีกฝ่ายดันตอกย้ำเรียกฐานันดรติดตัวราวกับจะเตือนสติว่าทำอะไรให้คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงราชสกุลเสียบ้าง
“ค่ะแพรวเข้าใจ ขอบคุณค่ะ”
แค่นั้น...แพรวพรรณรายกลั้นใจตอบดีๆ เหมือนมนุษย์ปกติได้แค่นั้น เพราะทันทีที่วางสายเจ้าตัวก็ยกมือขึ้นขยี้หัวที่มวยผมเป็นทรงโดนัทยุ่งๆ โวยวายเสียงไม่เบา ไม่เกรงว่าจะมีใครมาเห็นมาได้ยินทั้งนั้น เพราะพื้นที่ส่วนนี้ยังไม่เปิดให้บริการ ไม่มีแม้กระทั่งพนักงานจะเดินผ่าน มีเวรยามเดินตรวจเฉพาะเวลาที่กำหนดไว้ตามตารางตรวจสอบการรักษาความปลอดภัย
“กรี๊ด! จะหวงบ้าหวงบออะไร กะอีแค่คาน คาน คานนน” แพรวพรรณรายลากเสียงยาวด่าทอเจ้าของโรงแรมอย่างไม่คิดเลยว่ากำลังยืนอยู่ในอาณาบริเวณของเขา “รำคาญชะมัด ทั้งไอ้พวกวิศวะ พวกเจ้าของ ปากก็บอกอยากได้ฟีลใหม่ ลุคใหม่ แต่ไม่อยากจ่ายเยอะ อยากให้เสร็จเร็ว ไม่อยากลำบากคำนวณคำนวณนั่นคิดนี่ โอ๊ย! วันหลังก็เปลี่ยนแค่วอลเปเปอร์เอาสิ หวงนักคานเนี่ย แค่เจาะนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้ ไม่ได้ขอจับไข่ซะหน่อย จะอะไรนักหนา หวงซะอย่างกับเป็นกล่องดวงใจ ไอ้บ้าเอ๊ย!”
พ่นความในใจเสร็จก็ยังอารมณ์ไม่ดีขึ้น อดใจไม่ไหวถึงขั้นยกมือเหนือหัวสาปแช่งอีกฝ่ายทั้งๆ ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาตลอดว่าอย่าเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาล้อเล่น ภาวนาต่อหน้าไม้ดัดที่ตัดแต่งด้วยความประณีตเป็นรูปช้าง
“สาธุ ลูกช้างขอให้อีตาหน้านิ่งนั่น...” ภาพหน้านิ่งไร้อารมณ์ของฌอนฤทธิ์ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงทันทีโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม “...ไม่ได้โชว์ไข่ใครไปจนกว่าจะใจอ่อนให้ลูกช้างเจาะคาน ถ้าลูกช้างสมปรารถนา...” เสียงหวานชะงักค้างไปครู่หนึ่งเพราะนึกถึงสินบนไม่ออกว่าควรจะยื่นข้อเสนออะไรดี แต่มา ณ จุดนี้ซึ่งหล่อนวาดฝันว่างานนี้จะเป็นหน้าเป็นตา เป็นชื่อเสียงในการทำงานต่อไปเป็นสำคัญ จึงพลั้งปากพูดออกไปทั้งๆ ที่เป็นการทรยศญาติสนิทที่เป็นเจ้าของโรงแรมเช่นกัน
“...ลูกช้างสัญญาว่าถ้าแต่งงานจะใช้บริการโรงแรมนี้แบบเต็มรูปแบบเลยค่ะ!”
คนที่กำลังถูกพูดถึงไม่คิดว่าเขาจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากผู้หญิงที่เรียกได้ว่าเป็นถึงราชนิกุลผู้มีฐานันดรศักดิ์ ฌอนฤทธิ์กอดอกมองคนกำลังยกมือไหว้ปลกๆ จากทางด้านหลังของเธอ ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะออกมาเดินสำรวจพื้นที่ด้านหลังสักนิด ไม่คิดว่าจะมาได้ยินใครบางคนกำลังพูดถึงตนในทางเสียหายอยู่
แม้ว่าแพรวพรรณรายจะมีฐานันดรศักดิ์สูงกว่าเขา แต่พื้นที่ตรงนี้ในโรงแรมวันซ์ ริวาแห่งนี้ คนที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดคือเขา เขาเป็นเจ้านาย และเธอเป็นลูกจ้าง แล้วการที่ลูกจ้างที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่เท่าไร แถมยังเพิ่งเจอเขาเป็นครั้งแรกพูดถึงเขาแบบนี้ เห็นทีคงจะต้องสอนงานให้ลูกจ้างคนใหม่ของเขาซะหน่อยแล้ว
ความคิดเห็น |
---|