10
บทที่ 10
10
“ป๊า หม่าม้า ผมมีอะไรจะบอกครับ”
“มีอะไร” ท่านเจ้าสัวอดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของบุตรชาย
“เรื่องผมกับยายปิ๊กนี่แหละครับ”
“ทำไม มีอะไรกันเหรอ หรือว่าตกลงปลงใจจะแต่งงานกันเลย” คนเป็นพ่อถามด้วยท่าทีกระตือรือร้น
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือ...ผมกับยายปิ๊กคงแต่งงานกันไม่ได้แล้วละครับ”
“แกว่าไงนะเจ้าเดียว ก็ไหนแกรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วไง จะมากลับลำทำตัวเหลาะแหละเหลวไหลอย่างนี้ไม่ได้นะ!” เจ้าสัวเจษฎาเอ็ดบุตรชายเสียงดัง เมื่อเรื่องพลิกจากที่คาดไว้ไปไกลลิบ
“ใจเย็นก่อนครับป๊า อย่าเพิ่งโมโห”
“นั่นสิคะคุณ ใจเย็นๆ ฟังลูกก่อน” โศรยาเกลี้ยกล่อมสามีอีกแรง แต่สีหน้าตัวเองก็ไม่ค่อยดีนัก เพราะรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย
“จะไม่ให้โมโหได้ไง ก็แกเหลวไหลแบบนี้ ทำอย่างนี้ป๊าจะพลอยเสียคนไปด้วยรู้ไหม ป๊ากับอาเกรียงของแกไม่ใช่เพิ่งมาคบกันวันสองวันนี้นะโว้ย!” คนเป็นพ่อโวยวายยกใหญ่
“อูย...ใจร้อนยิ่งกว่าวัยรุ่น บอกแล้วไงครับว่าอย่าโว้ย ประเดี๋ยวความดันขึ้น ฟังผมก่อนสิป๊าก็” ศารทูลปรามบิดาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เจ้าสัวเจษฎาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้จะหมั่นไส้ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองมักจะใจอ่อนกับรอยยิ้มขี้เล่นของเจ้าตัวแสบอยู่บ้าง
ปัดโธ่! ก็นี่มันลูกชายเพียงคนเดียว จะไม่ใจอ่อนได้อย่างไร จึงพยายามระงับอารมณ์ กอปรกับภรรยาดึงมือไปกุมพร้อมกับลูบเบาๆ คล้ายจะปลอบใจ โทสะจึงคลายลงบ้าง ก่อนจะถามเสียงสะบัด “เอาละ มีอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่มีเหตุผลดีๆ ละก็ ป๊าไม่ยอมให้แกยกเลิกเรื่องนี้หรอกนะ”
“ที่ผมกับยายปิ๊กแต่งงานกันไม่ได้น่ะ เป็นเพราะว่ายายปิ๊กจะแต่งงานกับคนอื่นต่างหากล่ะครับ” ศารทูลเล่ายิ้มๆ อดยินดีกับคนที่ตัวเองรักเหมือนน้องสาวอย่างบุณฑริกไม่ได้ ถึงจะค่อนข้างเหม็นขี้หน้าว่าที่เจ้าบ่าวของเธอก็ตาม
“หา! แกว่าไงนะเจ้าเดียว ยายปิ๊กน่ะเหรอจะแต่งงานกับคนอื่น แกเอาอะไรมาพูด” เจ้าสัวเจษฎาถามเสียงหลง เพราะเรื่องนี้ไม่เคยมีวี่แววมาก่อน ถ้าบุณฑริกมีคนรัก เขากับเกรียงไกรคงไม่คิดจับคู่ให้ลูกๆ อย่างที่ผ่านมาหรอก
“นั่นสิ ยายปิ๊กไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่มีใครรู้เลย ไม่ใช่ว่าเราสองคนไม่อยากแต่งงานกัน เลยหาเรื่องมาหลอกผู้ใหญ่หรอกนะ” โศรยาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ความที่รู้จักฤทธิ์เดชของบุตรชายกับบุณฑริกดี จึงพยายามดักทางไว้ก่อน
“ผมก็เอาเรื่องจริงมาพูดสิครับ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ผมจะล้อเล่นได้ยังไง” ศารทูลเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วทำไมป๊าไม่เคยรู้เลย” เจ้าสัวเจษฎาพึมพำคล้ายกำลังรำพึงกับตัวเอง ส่วนโศรยาก็พยักหน้า เพราะคิดแบบเดียวกัน
“อีกเดี๋ยวอาเกรียงคงมาเล่าให้ป๊าฟังนั่นแหละ ตอนนี้คงกำลังลำดับบทอยู่ว่าจะพูดยังไง แกคงจะเกรงใจว่าจะเป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน ความจริงผมก็บอกแล้วว่าไม่ต้องคิดมาก”
“อ้าว นี่แกคุยกับอาเกรียงเขาแล้วเหรอ” เจ้าสัวเจษฎาถามแบบงงๆ
“คุยกันแล้วครับ ก็ผมนี่แหละที่ไปช่วยยืนยันว่ายายปิ๊กกับแฟนเขารักกันจริงๆ แล้วผมก็ไม่คิดถือโทษโกรธเคืองน้องเลย ความจริงทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าผมกับยายปิ๊กไม่ได้คิดอะไรกันในแง่นั้น แกเจอคนที่รักและรักแกถือเป็นเรื่องน่ายินดีมากกว่า”
“ตกลงว่าน้องเดียวรู้จักกับแฟนยายปิ๊กด้วยเหรอ แล้วทำไมไม่บอกพวกผู้ใหญ่กันแต่แรกล่ะ ถ้ารู้ พวกเราก็คงไม่จับเราสองคนแต่งงานกันหรอก” โศรยาถามขึ้นบ้าง
“ผมก็เพิ่งรู้จักแฟนยายปิ๊กเหมือนกันครับ”
“ลูกเต้าเหล่าใคร ไว้ใจได้หรือเปล่า แกอย่าคิดแต่อยากผลักภาระให้พ้นๆ ตัว จนคิดว่าขอให้มีคนมาแต่งงานกับยายปิ๊กก็พอนะเว้ยเจ้าเดียว” เจ้าสัวเจษฎาเอ่ยต่อ เพราะยังห่วงบุณฑริกอยู่ไม่น้อย
แม้วาจาของคนเป็นพ่อจะฟังดูคล้ายๆ หมิ่นน้ำใจเขาไปบ้าง แต่ศารทูลกลับยิ่งนับถือบิดาของตัวเองมากขึ้นไปอีก แม้จะเป็นพ่อของเขา แต่ท่านก็ยังห่วงบุณฑริกอยู่มาก มิตรภาพระหว่างครอบครัวเขากับครอบครัวบุณฑริกแนบแน่นมานาน และคงจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป
ต้องนับว่าสีหราชอ่านเกมขาดจริงๆ เจ้าสัวเกรียงไกรก็คงคิดเหมือนกัน ถึงได้ไม่คัดค้านเรื่องที่จะให้เขาช่วยบริหารงานในส่วนของบุณฑริก แม้จะไม่ได้แต่งงานกันแล้วก็ตาม ทุกคนเพียงแต่ยึดมั่นในคำว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ศรัทธาในคำนั้นมากพอที่จะวางใจให้ลูกๆ ทำตามแนวทางที่ตกลงร่วมกัน
ตอนนี้สีหราชอธิบายให้ว่าที่พ่อตาเข้าใจได้แล้ว ที่เหลือก็คือเขา ที่จะต้องอธิบายให้บิดาเข้าใจว่า ต่อไปครอบครัวของพวกเขาจะใหญ่ขึ้น เพราะจะไม่มีการแบ่งแยกกันอีกแล้ว แต่หนุ่มสาวของแต่ละครอบครัวที่เกี่ยวดองกันจะร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขับเคลื่อนกิจการทั้งหมดตามความถนัดและความเหมาะสมของแต่ละคน
“ยายปิ๊กจะแต่งงานกับสีหราช ลูกชายคนโตของเจ้าของไร่ภูพญาครับพ่อ” ศารทูลบอกให้บิดาทราบว่าว่าที่เจ้าบ่าวของบุณฑริกคือใคร
“แกว่าไงนะ ลูกชายไร่ภูพญางั้นเหรอ” เจ้าสัวเจษฎาอุทานอย่างแปลกใจ เพราะไม่เคยทราบมาก่อน เขากับเกรียงไกรเทียวไล้เทียวขื่อขอซื้อที่ดินไร่ภูพญามานาน ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าบุณฑริกจะไปคบหากับลูกชายเจ้าของไร่นั้นจนถึงขั้นจะแต่งงานกัน
“ครับ ก็ที่เราแปลกใจกันว่าทำไมยายปิ๊กถึงไปโผล่อยู่ที่นั่นได้ยังไงนั่นแหละครับ”
“เออ แล้วพวกแกสองพี่น้องก็ปิดกันเงียบเชียว” คนเป็นพ่ออดต่อว่าไม่ได้
“ตอนนั้นราชกับปิ๊กเขามีปัญหากันนิดหน่อยครับ ก็เลยยังไม่อยากบอกอะไรกับผู้ใหญ่ รอให้พวกเขาเคลียร์กันได้ก่อน” ศารทูลอธิบายสาเหตุที่ตนกับบุณฑริกยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร
“แล้วเท่าที่แกเห็น นิสัยใจคอเขาเป็นยังไงบ้าง พอจะฝากฝังยายปิ๊กไว้กับเขาได้ไหม” เจ้าสัวเจษฎายังไม่วายเป็นห่วง
“เท่าที่เห็นก็นับว่าใช้ได้เลยครับ จะว่าไปก็ใจนักเลงกันทั้งครอบครัว ที่สำคัญก็คือ ดูเหมือนว่าจะรักยายปิ๊กมาก ยายปิ๊กเองก็คงจะรักเขามากเหมือนกัน” แววตาของศารทูลอ่อนโยนลงเมื่อพูดถึงตรงนี้ รู้สึกยินดีกับความรักของทั้งคู่
เจ้าสัวเจษฎาเองก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ โล่งอกอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แม้จะเคยหมายมั่นปั้นมือให้บุตรชายได้ครองคู่กับบุณฑริก แต่นั่นก็เพราะความเป็นห่วงที่มีต่อหญิงสาวคนนั้น เมื่อตอนนี้เธอมีทางเลือกที่ดีกว่า ก็ได้แต่ยินดีด้วย การแต่งงานที่มีความรักเป็นพื้นฐานย่อมดีกว่าการแต่งงานเพราะความจำเป็นอย่างแน่นอน
“อย่างนี้ก็ค่อยหมดห่วงได้บ้าง ลูกชายพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์กับแม่เลี้ยงรินรดา ก็เท่ากับหลานชายของทัศนัยวัฒน์กรุ๊ป อนาคตยายปิ๊กคงไม่ลำบากนักหรอก เขาคงจะช่วยยายปิ๊กดูแลกิจการได้สบายๆ” เจ้าสัวเจษฎาเปรยขึ้นมา
พูดถึงทัศนัยวัฒน์กรุ๊ปซึ่งเป็นตระกูลของแม่เลี้ยงรินรดาก่อนสมรสนั้น จัดว่าอยู่แถวหน้าของวงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยเลยทีเดียว
“หึ! ยายปิ๊กน่ะสบายแน่ๆ ละครับ เพราะนายราชคงจะเอาไปบูชาไว้ที่ไร่ภูพญาโน่นแหละ ส่วนผมก็ยังต้องวิ่งงกๆ ดูแลงานให้ยายปิ๊กเหมือนเดิมนั่นแหละ” ศารทูลบ่นกระปอดกระแปด
“อ้าว! ก็ไหนแกไม่แต่งงานกับยายปิ๊กแล้ว แล้วจะไปยุ่งเรื่องงานของยายปิ๊กทำไมอีก ก็ให้สามียายปิ๊กเขาดูแลไปสิ แกไปยุ่มย่ามมันจะไม่งามรู้ไหม ยังไงแกก็มีอดีตกับยายปิ๊ก เดี๋ยวผัวเมียเขาจะผิดใจกัน” เจ้าสัวเจษฎารีบขัดทันที
“นั่นสิน้องเดียว ม้าก็เห็นด้วยกับป๊านะ” โศรยาเอ่ยขึ้นบ้าง เนื่องจากเกรงว่า ว่าที่สามีของบุณฑริกอาจไม่พอใจ หากบุตรชายของเธอยังพัวพันใกล้ชิดแบบเดิม
“ก็ว่าที่สามียายปิ๊กน่ะ เป็นพี่ชายของว่าที่ภรรยาผม ตอนนี้พวกเราเอากิจการของแต่ละบ้านมาผสมๆ รวมกัน แล้วแบ่งกันไปจัดการ มันก็เลยออกมาแบบนี้แหละป๊า” ศารทูลอธิบายต่อ
“ว่าที่สามียายปิ๊ก? ว่าที่ภรรยาแก? นี่ฉันฟังหรือว่าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า แกจะมีเมียกับเขาแล้วเหรอเจ้าเดียว” เจ้าสัวเจษฎาถามแบบงงๆ คิดว่าลูกชายอาจพูดผิด หรือไม่ก็เป็นเขาที่หูฝาดหรือตีความผิด
คราวนี้ศารทูลยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันแทบครบทุกซี่ ท่าทางกระดี๊กระด๊าเหมือนปลาได้น้ำ “ใช่ครับป๊า ผมก็จะมีเมียแล้วเหมือนกัน”
“ไอ้เดียว! บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าแกแอบไปมีเมียไว้ที่ไหน ใช่พวกชะนีที่ตีกันคราวก่อนหรือเปล่า” เจ้าสัวเจษฎาแผดเสียงลั่น โมโหจนหน้ามืดเมื่อคิดว่าลูกชายคว้าผู้หญิงพรรค์นั้นมาเป็นเมีย มิน่าล่ะถึงกระดี๊กระด๊าเหลือเกินที่ไม่ต้องแต่งงานกับบุณฑริก
ส่วนโศรยา พอได้ยินสามีเรียกว่าที่ลูกสะใภ้ว่าชะนีก็อดกุมขมับไม่ได้ เพราะพอจะเดาได้ว่าผู้หญิงที่ถูกเอ่ยถึงนั้นคงไม่ถูกใจเขานัก สามีเธอเป็นคนใจกว้าง ถ้าขนาดเขายังรับไม่ได้ เธอก็รู้สึกหนักใจตั้งแต่ยังไม่ได้พบหน้าว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้เหมือนกัน
เสียงเกรี้ยวกราดของบิดาทำเอาศารทูลถึงกับทำคอย่น พอได้ยินคำถามว่าว่าที่ภรรยาของเขาคือคนที่ตบตีกันคราวก่อนหรือเปล่าก็พยักหน้ารับไป เพราะครั้งนั้นเกสรีก็มีเรื่องวิวาทกับลอร่าจริงๆ โดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าบิดาน่าจะหมายถึงจอมยุทธ์หญิงทั้งสองที่ไปตีกันที่ห้องทำงานเขา เพราะท่านไม่เคยพบเกสรี
“ไอ้เดียว! ไอ้ลูกเวร! ไอ้...ก็ไหนคราวก่อนแกบอกว่าหวงชีวิตโสดมากไง แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงจะมีเมีย หรือว่า...นี่แกทำผู้หญิงท้องใช่ไหม ไอ้ลูกเลว ฉันบอกให้รู้จักใช้ถุงยาง จำไม่ได้เหรอ ตกลงแกพกถุงไว้บูชากับเอาไว้อวดใช่ไหม ไม่ได้เอามาใช้หรือไงฮะ” เจ้าสัวเจษฎาสันนิษฐานไปใหญ่โต คิดถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกชายต้องมีเมียแบบกะทันหันแล้วก็ได้แต่โมโหจนปากคอสั่น เพราะจำได้ว่าลูกชายเคยเอาถุงยางอนามัยมาอวดแถมยังคุยโวว่ายืดอกพกถุงตลอด ไม่นึกว่าจะตายน้ำตื้นแบบนี้ แค่คิดว่าจะต้องมีลูกสะใภ้แบบหนึ่งในสองสาวนั่นก็เหมือนจะหน้ามืดเอาดื้อๆ
“ป๊า...” ศารทูลอุทานเรียกบิดาเสียงหลงเมื่อโดนด่าเป็นชุด “ท้องอะไรกันเล่า คนนะ ไม่ใช่ปลากัด แค่มองตาจะได้ท้องได้”
“แล้วคนอย่างแกเคยพอใจแค่มองตาด้วยเหรอ ฉันเห็นแต่อยากมองไปจนถึงไหนต่อไหนอยู่ตลอด”
“โธ่...รายนี้เหมือนคนอื่นซะที่ไหน ขืนผมมองซอกแซก ยายนั่นจะได้ต่อยหน้าแหกเอาปะไร”
โศรยามองสองพ่อลูกเถียงกันไปมา พยายามจะปรามให้ทั้งคู่ใจเย็นลงบ้าง แต่คนพูดช้าอย่างเธอก็หาจังหวะแทรกไม่ทัน ได้แต่บีบแขนสามีเบาๆ เป็นการเรียกสติ
“ตกลงว่าที่เมียแกนี่คนไหนกันแน่” สัมผัสจากภรรยาทำให้อารมณ์ของเจ้าสัวเจษฎาเย็นลงบ้าง ถามบุตรชายด้วยความแปลกใจ เพราะเท่าที่เขาเจอสองสาวในห้องทำงานของศารทูลครั้งนั้น พวกหล่อนไม่ได้มีทีท่าว่าจะหวงเนื้อหวงตัวอย่างที่เจ้าตัวดีของเขาเล่าเลยสักนิด เขาคิดว่าตัวเองมองไม่ผิด แต่ในเมื่อลูกชายยืนยันก็ต้องถามให้แน่ใจว่าคนไหน
“ว่าที่เมียผมก็ลูกสาวคนเล็กไร่ภูพญาไงป๊า ผมถึงบอกว่าว่าที่สามียายปิ๊กเป็นพี่ชายว่าที่เมียผมไง แล้วป๊าคิดว่าคนไหนล่ะ” ศารทูลถามพร้อมกับทำหน้าเหลอหลา เพราะคิดว่าบิดาน่าจะทราบอยู่แล้ว
“ลูกสาวไร่ภูพญา? คนไหนเหรอ วันนั้นเขาแต่งหน้าเขียวๆ แดงๆ เหมือนกัน ป๊าแยกไม่ค่อยออกว่าใครเป็นใคร” เจ้าสัวถามพร้อมกับทำหน้าปั้นยาก แม้จะดีใจที่ลูกชายไม่ได้คว้าผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเป็นเมีย แต่พอนึกถึงความประพฤติของสาวเจ้าที่ได้เห็นในวันนั้นแล้วความดีใจก็ลดลงแบบฮวบฮาบ ไม่ว่าจะคนไหน เขาก็ไม่เห็นว่าจะดีไปกว่ากันสักเท่าไร
ศารทูลขมวดคิ้วมุ่น เพราะไม่ทราบว่าบิดาไปเอามาจากไหนว่าเกสรีแต่งหน้าเขียวๆ แดงๆ จอมดุของเขาออกจะหน้าใสปิ๊ง น่าจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง
“นี่ป๊าคิดว่าคนไหนเป็นว่าที่เมียผมเหรอ”
“ป๊าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ก็วันนั้นที่ห้องทำงานแก เขาฟัดกันอุตลุดจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”
“เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่นะป๊า สองคนนั้นไม่ใช่ว่าที่เมียผมสักหน่อย” ศารทูลรีบปฏิเสธเป็นพัลวันเมื่อรู้ว่าบิดาหมายถึงใคร
“อ้าว ก็แกบอกว่าคนที่ตีกันเมื่อคราวก่อน”
“ก็ใช่ แต่ไม่ใช่คนนั้น”
“อะไรของแก เดี๋ยวใช่ เดี๋ยวไม่ใช่”
“ก็แบบ เกรซเขาเคยตีกับคนอื่นจริง แล้วยังตีผมด้วย แต่ไม่ใช่สองคนที่พ่อเห็นที่ห้องทำงานผมหรอก” ศารทูลละล่ำละลักอธิบาย
ได้ยินอย่างนั้นเจ้าสัวก็ถึงกับกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถามเหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า “เมื่อกี้แกว่าเขาตีแกด้วยเหรอ”
“เอ่อ...คือ...” ศารทูลอึกอัก เพราะเมื่อกี้ลนลานจนหลุดปากไป แถมคำพูดไม่ใช่สิ่งของที่สามารถเก็บคืนกลับมาได้ จึงได้แต่อ้ำอึ้งด้วยความอับอาย
“ว่าไงเจ้าเดียว ตกลงว่าที่เมียแก เขาเคยตีแกด้วยเหรอ” คนเป็นพ่อถามซ้ำอีกครั้ง
“เขาไม่ได้ตั้งใจหรอกครับ” ศารทูลเอ่ยเสียงอ่อย รีบแก้ตัวให้ว่าที่ภรรยาทันที “แต่เกรซเขาไม่เหมือนสองคนนั้นนะครับ เขาไม่ได้ตีกับคนอื่นเพราะแย่งผม”
เจษฎามองท่าทางเหมือนอยากปกป้องว่าที่ภรรยาไม่ให้มัวหมองของบุตรชายด้วยความสนใจ เขาไม่เคยเห็นศารทูลกางปีกปกป้องผู้หญิงคนไหนอย่างนี้มาก่อน ถึงเจ้าตัวแสบของเขาจะมีผู้หญิงมาพัวพันหลายคน แต่ก็ไม่เห็นใครสำคัญขนาดที่คอยตามแก้ตัวให้อย่างนี้ อย่างสองคนที่มาตีกันที่ห้องทำงาน ศารทูลก็ไม่เคยมาแก้ตัวให้ มีแต่บอกว่าสองคนนั้นตีกันเอง ไม่ใช่ความผิดของตัวเองสักนิด
“แล้วแกไปก่อเรื่องอะไรล่ะถึงโดนตี” คนเป็นพ่อถามต่อ ส่วนคนเป็นแม่ก็รอฟังด้วยความสนใจเช่นกัน
ศารทูลทำหน้าปั้นยาก รู้สึกว่าคำถามของบิดาฟังดูทะแม่งๆ บอกไม่ถูก เหมือนเขาเป็นเด็กที่ไปทำอะไรซุกซนจนโดนลงโทษอย่างไรพิกล จึงพยายามแก้ต่างให้ตัวเอง “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันไงป๊า เขาไม่ได้ตั้งใจทำผมหรอก”
“เหรอ” คนเป็นพ่อเอ่ยสั้นๆ แต่แววตาดูอย่างไรก็เหมือนไม่เชื่อคำพูดของลูกชายสักนิด
“จริงๆ นะครับ เกรซเขาแค่มีเรื่องกับลอร่า แล้ววันนั้นผมบังเอิญอยู่กับลอร่าพอดี ก็เลยโดนลูกหลง” ศารทูลรีบอธิบายต่อ การยอมรับว่าเกสรีเหม็นขี้หน้าเขาไม่แพ้ลอร่ามันช่างเป็นการทำร้ายจิตใจเกินทน
เจ้าสัวเจษฎาสังเกตท่าทีต่างๆ ของบุตรชาย แล้วก็ยิ่งอยากพบว่าที่ลูกสะใภ้ขึ้นมาติดหมัด คนที่ทำให้ไอ้แสบของเขาเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เป็นผู้หญิงแบบไหนนะ เขาอยากจะรู้เหลือเกิน ไม่ติดใจเรื่องที่อีกฝ่ายทำร้ายร่างกายบุตรชายตัวเองสักนิด เพราะรู้จักศารทูลดีว่ากวนประสาทแค่ไหน เขาเป็นพ่อยังทนไม่ไหวออกบ่อย แม่หนูนั่นจะทนไม่ไหวจนลงไม้ลงมือบ้างก็ไม่แปลก แค่รู้ว่าจะมีคนมาช่วยกำราบเจ้าตัวดีนี่ เขาก็ยิ่งอยากพบ
“แกไม่ต้องพูดมากหรอก เดี๋ยวเอาไว้ฉันจะถามว่าที่เมียแกเอง ว่าแกไปกวนประสาทอะไรเขา ก่อนอื่นแกไปพาเขามาพบป๊ากับม้าก่อน ว่าที่ลูกสะใภ้ป๊าชื่อเกรซใช่ไหม ที่แกเรียกเมื่อกี้” เจ้าสัวเจษฎาเริ่มเก็บข้อมูลของว่าที่ลูกสะใภ้
“ใช่ครับ เกรซ เกสรี พัฒนามนตรี” ศารทูลตอบด้วยความภาคภูมิใจ อยากประกาศให้โลกรู้ว่าเธอคือว่าที่คู่หมั้นของตัวเอง
“เกสรี งั้นเหรอ” เจ้าสัวเจษฎาพึมพำพลางยิ้มบางๆ ชำเลืองมองบุตรชายโดยอัตโนมัติ
แม้เจ้าสัวเจษฎาจะมีเชื้อชาติจีน แต่เมื่อมาลงหลักปักฐานในเมืองไทย ก็สนใจใฝ่รู้เรื่องภาษาไทยไม่น้อย กอปรกับแอบหวังว่าจะมีลูกอีกสักคน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ถึงขั้นแอบหาชื่อไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อของศารทูลซึ่งเป็นบุตรชายคนโต และหนึ่งในนั้นก็คือชื่อ ‘เกสรี’ ที่แปลว่า ‘ราชสีห์’ ด้วย ไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งศารทูลจะนำนางสิงห์มาเป็นสมาชิกครอบครัวจริงๆ อดคิดไม่ได้ว่าหญิงสาวคนนี้คงมีวาสนาผูกพันกับครอบครัวตนอยู่ไม่น้อย
ยิ่งคิดถึงสิ่งที่ลูกชายเคยบอก ตอนที่เขาถามถึงเรื่องผู้หญิงที่อยากได้เป็นคู่ชีวิต ก็ยิ่งอดขำไม่ได้
‘เกิดเป็นชายทั้งทีมันก็ต้องใช้ชีวิตให้สมศักดิ์ศรีหน่อยสิครับ ว่ากันว่าเหนือกว่าเสือก็น่าจะเป็นสิงห์ เอาไว้ผมหานางสิงห์เจอเมื่อไร จะจับมาเป็นสะใภ้ให้ป๊ากับหม่าม้าชื่นใจก็แล้วกันนะครับ...’
ไม่คิดเลยว่าเจ้าตัวแสบของเขาจะหานางสิงห์มาเป็นสะใภ้ให้พวกเขาได้จริงๆ ทำเอาเขารู้สึกถูกชะตากับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้าเสียด้วยซ้ำ
“ป๊ากับหม่าม้าไม่ขัดข้องอะไรใช่ไหมครับ” ศารทูลถามเมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของบิดา
“ป๊าไม่มีอะไรขัดข้องหรอก อยากให้แกเป็นฝั่งเป็นฝามานานแล้ว ม้าแกก็คงเหมือนกัน ใช่ไหมคุณ” เจ้าสัวเจษฎาหันไปถามคู่ชีวิตบ้าง
“จะขัดข้องได้ยังไงกัน น้องเดียวรักใคร ป๊ากับม้าก็รักด้วยอยู่แล้ว” โศรยาเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิครับ คือ...ยังไงผมก็ต้องแต่งงานกับเกรซให้ได้ แล้วก็อยากแต่งเร็วที่สุดด้วย” ศารทูลเอ่ยเสียงอ้อนเหมือนตอนวัยเยาว์
เจ้าสัวเจษฎาและโศรยามองการรบเร้าของบุตรชายแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ จนคนเป็นพ่อต้องเอ่ยปากถาม “ทำไมต้องรีบขนาดนั้น การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ควรวู่วาม อย่างน้อยแต่ละฝ่ายก็ควรได้ศึกษานิสัยใจคอกันและกันก่อน แกฟังนะเจ้าเดียว ไอ้ที่ว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคนมันก็ใช่ แต่อย่าลืมว่าพวกแกไม่ได้อยู่เพียงแค่สองคนบนโลก ยิ่งการแต่งงานด้วยแล้ว ก็ยิ่งเหมือนกับการรวมสองครอบครัวเข้าด้วยกัน ไม่ใช่แค่สองคนอย่างที่คิด เพราะฉะนั้นต้องดูกันดีๆ อย่ารีบร้อน”
“ผมทราบครับ” คนเป็นลูกรับคำหน้าม่อย
“รู้แล้วทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วย เมื่อกี้แกบอกว่าไม่ได้ไปทำใครท้องไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ได้ท้อง แต่จูบเขาไปแล้ว แถมมีคนเห็นด้วยน่ะสิ ผมก็เลยอยากรีบแต่งงานไวๆ ไม่อยากให้ใครเอาเขาไปนินทาให้เสียหาย” เสือร้ายสารภาพเสียงอ่อย
“ไอ้เดียว! นี่แกทำอะไรลงไป ไอ้ลูกบ้า ที่ว่าโดนต่อยหน้าแหกก็เพราะแบบนี้ใช่ไหม!” เจ้าสัวเจษฎาเอ็ดเสียงเกรี้ยวส่วนคนเป็นแม่ก็ถึงกับยกมือขึ้นทาบอกเมื่อทราบว่าบุตรชายไปก่อเรื่องอะไรไว้
ผู้หญิงรักสนุกบางคนอาจไม่ถือสากับเรื่องแค่นี้ แต่ผู้หญิงดีๆ ย่อมไม่ใช่แบบนั้น ยิ่งผู้หญิงจากตระกูลพัฒนามนตรีบวกกับทัศนัยวัฒน์คนนี้ ย่อมไม่ใช่ดอกไม้ริมทางที่จะให้ศารทูลเด็ดมาเชยชมส่งเดชแน่ๆ แค่โดนต่อยอาจน้อยเกินไปด้วยซ้ำ โชคดีเหลือเกินที่ฝ่ายนั้นยังไว้ชีวิตไอ้ตัวแสบของพวกเขา คนที่มีลูกเพียงคนเดียวอย่างเจ้าสัวเจษฎาและโศรยาคิดด้วยใจสั่นๆ
“แล้วทำไมไม่มาบอกให้เร็วกว่านี้ ป๊าจะได้รีบจัดการให้ ทางโน้นเขาจะได้ไม่คิดว่าเรานิ่งดูดาย” เจ้าสัวเจษฎาถามด้วยความไม่พอใจ
“นั่นสิ น้องเดียวทำแบบนี้ไม่ดีนะลูก” โศรยาที่ร้อยวันพันปีจะดุบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนสักทีก็ยังอดขมวดคิ้วไม่ได้
“โธ่ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากบอกป๊ากับหม่าม้า แต่ก็อย่างที่บอกว่าเรื่องของพวกผมมันอีนุงตุงนังไปหมด เกรซเขาไม่ยอมตกลงอะไรด้วยสักอย่าง ถ้าไม่จัดการเรื่องของราชกับยายปิ๊กให้เรียบร้อยก่อน ผมอยากหมั้นอยากแต่งอยาก
รับผิดชอบเขาใจจะขาด แต่เขาเอาแต่วิ่งหนีอยู่เรื่อย จนจัดการเรื่องยายปิ๊กเรียบร้อยแล้วนี่ละ ถึงได้คุยกันรู้เรื่องบ้าง” ศารทูลชี้แจง
“ทางพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเขาว่ายังไงบ้างล่ะ” โศรยาสอบถามด้านผู้ใหญ่ก่อน เพราะไม่อยากให้เสียไมตรีต่อกัน
“ผมบอกอารินกับอาเสือตั้งแต่แรกแล้วครับว่าพร้อมจะพาป๊ากับหม่าม้าไปเจรจา แต่ทุกคนก็รอดูท่าทีของเกรซก่อน”
“อ้อ ก็ยังดี” เจ้าสัวเจษฎาพึมพำอย่างโล่งอก ที่อย่างน้อยบุตรชายก็ยังแสดงความจริงใจให้ผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นเห็นว่าพร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง ก่อนจะถามต่อ “แล้วนี่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เมื่อไหร่ป๊ากับม้าจะได้เจอหนูเกรซล่ะ”
“เอ่อ...เร็วๆ นี้แหละครับ เดี๋ยวผมจะไปหาเขา แล้วจะชวนมาหาป๊ากับหม่าม้านะครับ” ศารทูลเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะไม่แน่ใจว่าเกสรีจะเล่นแง่อะไรอีกหรือเปล่า แต่ในเมื่อเขาช่วยจัดการเรื่องสีหราชเรียบร้อยแล้ว ยังไงก็ต้องรีบเสนอหน้าไปรับความดีความชอบ ไม่ยอมให้เธอเบี้ยวแน่ๆ
“ดีแล้ว ป๊าอยากเจอว่าที่ลูกสะใภ้เร็วๆ ใช่ไหมคุณ” เจ้าสัวเจษฎาเอ่ยกลั้วหัวเราะ รู้ดีว่าภรรยาอยากให้ลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาเช่นกัน เผื่อจะเลิกทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัย ลอยชายให้ใจหายใจคว่ำอย่างที่ผ่านมา
“ใช่ค่ะ น้องเดียวรีบพาน้องเกรซมาเลยนะลูก” คนเป็นแม่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“ผมจะพาเกรซมาพบป๊ากับหม่าม้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ” ท่าทางดีอกดีใจ รวมถึงคำพูดของบุพการี ทำให้ศารทูลรู้ว่าทั้งคู่คาดหวังเรื่องแต่งงานของเขาไว้พอสมควร จึงตั้งใจว่า จะต้องหาวิธีเกลี้ยกล่อมเกสรีให้มาพบพวกท่านให้ได้โดยเร็วที่สุด แถมการทำอย่างนั้น ยังถือว่าเป็นการมัดเธอไว้ให้แน่นหนาขึ้นอีกเปลาะหนึ่ง
เจ้าสัวเจษฎาและภรรยาพยักหน้ารับด้วยความพอใจ เมื่อได้ยินศารทูลรับรองแบบนั้น การได้เห็นบุตรชายจริงจังเรื่องการแต่งงาน อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นก็มาจากครอบครัวที่พอจะรู้จักอยู่บ้าง ไม่ใช่พวกสาวเปรี้ยวที่เคยๆ ควงมาก่อน คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างพวกเขาจึงโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ศารทูลอยู่สนทนาเรื่องสัพเพเหระกับบุพการีอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขอตัว พอใจที่พวกท่านดูจะไม่มีปัญหาที่เขาคิดอยากมีครอบครัวแบบปุบปับ ตอนนี้ปัญหาเรื่องผู้ใหญ่ดูจะไม่หนักหนาเท่าไรแล้ว ปัญหาใหญ่สุดคงมีแต่การทำให้เกสรียอมเปิดใจให้เขานั่นเอง
เฮ้อ...ถ้ารู้ว่าเจ้าชู้แล้วจะทำให้ว่าที่ภรรยาเหม็นขี้หน้า เมื่อก่อนคงทำตัวเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ไปแล้วละ
เสือร้ายได้แต่รำพันด้วยความเสียดายที่ไม่สามารถย้อนเวลาได้ อดีตแก้ไขไม่ได้ แต่อนาคตยังทำตัวเรียบร้อยทันอยู่ ได้แต่หวังว่านางสิงห์คงจะเห็นความตั้งใจจริงของเขาบ้างนะ คนที่ตั้งใจว่าจะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนเรียบร้อยคิดอย่างมีความหวัง
เกสรีที่กำลังนอนเล่นอยู่ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเด็กรับใช้ขึ้นมาแจ้งว่ามีแขกมาพบ เพราะนอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ไม่น่าจะมีใครทราบว่าตอนนี้เธอมาอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยายที่กรุงเทพฯ ความสงสัยทำให้เธอรีบเดินลงมาที่ห้องรับแขกอย่างว่องไว พอมาถึงแล้วเห็นว่าใครกำลังนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อรออยู่ก็ทำหน้าเหม็นเบื่อขึ้นมาทันที
เธอลืมไปได้อย่างไรนะว่า นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ยังมีอีตานี่อีกคนที่รู้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่
“คุณมาทำอะไรที่นี่” เกสรีถามเสียงห้วนราวกับมะนาวหน้าแล้ง ไม่มีการทักทายอะไรทั้งสิ้น
“ถามแปลกๆ ผมก็มาหาคุณน่ะสิ” ศารทูลตอบเสียงระรื่น
“มาหาฉันทำไมอีกล่ะ” เกสรีถามพลางเดินไปทิ้งกายนั่งลงที่โซฟาอีกตัวอย่างกระแทกกระทั้นชนิดที่ไม่กลัวบั้นท้ายจะช้ำ นึกถึงการถูกลบเหลี่ยมเมื่อครั้งที่พบกันคราวก่อนก็ยิ่งเหม็นขี้หน้าอีกฝ่าย
“จะมาบอกว่าผมกับพี่ชายคุณตกลงกันเรียบร้อยแล้วนะ”
“ระ...เรียบร้อยแล้วเหรอ” เกสรีถามเสียงตะกุกตะกัก ไม่แน่ใจว่าตัวเองดีใจหรือตกใจมากกว่ากัน
“ใช่ คุยกันเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องคุยกับพวกผู้ใหญ่เรื่องของเราบ้าง”
เกสรีรู้สึกฝืดคอขึ้นมากะทันหันจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่ออีกฝ่ายเริ่มทวงสัญญา แม้อยากให้สีหราชกับบุณฑริกลงเอยกันโดยเร็วที่สุด แต่ก็ไม่คิดว่าอะไรๆ จะรวดเร็วขนาดนี้ ท่าทางของศารทูลกับสีหราชเหมือนไม่กินเส้นกันขนาดหนัก ทำให้แทบไม่อยากเชื่อว่าจะตกลงกันได้ง่ายๆ แบบนี้
ท่าทางกระอักกระอ่วนของคนตัวเล็กทำให้เสือหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังลังเล จึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าไม่อยากหมั้นก็ไม่เป็นไร”
หน้าเหี่ยวๆ ของเกสรีแช่มชื่นขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าศารทูลยอมผ่อนปรน กำลังจะส่งยิ้มให้ด้วยความเต็มใจเป็นครั้งแรก แต่ก็พลันชะงักเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดต่อ
“ไม่หมั้นก็แต่งเลยแล้วกัน ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหลายรอบ แต่งพร้อมพี่ชายคุณกับยายปิ๊กเลยดีไหม”
เกสรีถึงกับอ้าปากหวอ เก็บรอยยิ้มที่ยังไม่ทันได้แย้มคืนมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถลึงตาใส่คนที่ได้ทีขี่แพะไล่ด้วยความโมโห ไม่รู้เมื่อกี้อะไรมาดลใจให้เธอไขว้เขวว่าอีตาบ้านี่พอจะมีน้ำใจอยู่บ้าง ตวาดแว้ดอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่ “จะบ้าเหรอ!”
คนบ้าไม่พูดพร่ำทำเพลง ล้วงกระดาษที่พับไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมาคลี่ออกต่อหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะชี้นิ้วไปยังข้อความสำคัญให้อีกฝ่ายดูชัดๆ อดนึกชื่นชมตัวเองไม่ได้ว่าช่างรอบคอบอะไรเช่นนี้ที่อุตส่าห์พกเจ้าสิ่งนี้ติดตัวมาด้วย คิดอยู่แล้วเชียวว่าจะต้องมีบางคนแกล้งลืม
“บ้าที่ไหนกันล่ะ อะ! ดูให้ชัดๆ ซะอีกรอบ”
อนึ่ง ถ้านายศารทูลปฏิบัติตามเงื่อนไขทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฏว่านางสาวเกสรีไม่ทำตามสัญญาดังกล่าว นายศารทูลสามารถเปลี่ยนจากพิธีหมั้นเป็นพิธีแต่งงานได้ทันที
เกสรีมองตามปลายนิ้วของอีกฝ่ายไปยังประโยคที่แสนทิ่มแทงใจแล้วอยากจะร้องกรี๊ดขึ้นมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด ตกลงอีตานี่เป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม ถึงได้พกของแบบนี้ไปไหนต่อไหนด้วย นางสิงห์คิดพลางกระชากกระดาษใบนั้นมาขยำขยี้แล้วปาทิ้งไปด้วยความหงุดหงิด
ศารทูลมองกระดาษเคราะห์ร้ายที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองคนตัวเล็กที่โมโหจนหน้าดำหน้าแดงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ถ้าการขยำมันทิ้งจะช่วยให้คุณหายหงุดหงิดได้บ้างก็ช่างมันเถอะ ถึงยังไงผมสำเนาไว้หลายร้อยใบอยู่”
“อะไรนะ!” เกสรีอุทานถามเสียงดัง
“ผมบอกว่าคุณอยากขยำสัญญาของเราทิ้งอีกกี่ใบก็ไม่เป็นไร ผมสำเนาไว้เยอะ เดี๋ยวจะส่งมาให้คุณระบายอารมณ์อีกสักปึกก็ได้” ศารทูลเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มแฉ่งให้
“นายศารทูล!” เกสรีตวาดลั่น เพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจกวนประสาท
“อะไรจ๊ะเกรซ ความจริงคุณเรียกผมว่าพี่เดียวเหมือนยายปิ๊กกับยายจุ๊บก็ได้นะ จะหมั้นกันอยู่วันสองวันนี้แล้ว จะเรียกชื่อจริงกันไปทำไม ห่างเหินชะมัด” เสือร้ายทำเสียงเล็กเสียงน้อยคล้ายว่ากำลังน้อยใจอย่างมาก
“นาย!” สิงห์สาวโมโหจนปากคอสั่น ถลึงตาใส่คนกวนโทโสราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พยายามข่มอารมณ์ด้วยการท่องขันติอยู่ในใจ
“เรียกว่าที่สามีไม่เพราะอีกแล้ว” ว่าที่สามีทำเสียงจึ๊กจั๊กเหมือนไม่พอใจ “ตกลงจะหมั้นหรือแต่ง ผมให้คุณเป็นคนเลือกเลยก็แล้วกัน” ศารทูลเอ่ยอย่างใจป้ำ ดวงตาคู่คมพราวระยับเหมือนกำลังอารมณ์ดีสุดขีด แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เป็นเช่นนั้น
หลังจากถูกกวนอารมณ์อย่างถึงขีดสุด เกสรีก็ไม่อาจถือขันติได้อีกต่อไป ขันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อใช้วิธีที่ถนัดแทน กะจะสั่งสอนเสือร้ายอีกสักหลายๆ หมัดแบบคราวก่อนให้ได้ ความโมโหที่กำลังพุ่งปรี๊ดทำให้โทสะบังตาเสียจนไม่ได้สังเกตว่าแววตาของอีกฝ่ายแพรวพราวเพียงใดเมื่อเห็นเธอหลุดการควบคุมตัวเอง
ศารทูลหรี่ตาลงด้วยความระมัดระวังเมื่อเห็นเกสรีลุกพรวดขึ้นยืนและพุ่งเข้ามาหาราวกับลูกกระสุน พอเธอปล่อยหมัดฮุกขวา เสือหนุ่มก็เอียงหลบได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนจะพลิกสถานการณ์ด้วยการกระตุกแขนที่เธอปล่อยหมัดเมื่อสักครู่แล้วดึงคนโมโหร้ายให้เซถลาเข้ามาหา ตวัดเบาๆ ร่างของนางสิงห์ก็ปลิวมานั่งอยู่บนตักกว้างอย่างไม่ยากเย็น
เกสรีถึงกับเบิกตากว้างเพราะนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเอง ตอนนี้วงแขนทั้งสองข้างของคนตัวโตรวบกอดจนเธอกระดิกกระเดี้ยแทบไม่ได้ ได้แต่ตวาดอีกฝ่ายเสียงเขียว “ปล่อยนะ!”
“จะปล่อยได้ยังไงล่ะ ขืนปล่อย คุณก็ต่อยผมน่ะสิ” เสือร้ายตอบยิ้มๆ ท่าทางดูไม่เหมือนคนที่กลัวว่าจะโดนต่อยสักนิด
รอยยิ้มและดวงตาพราวระยับของอีกฝ่ายยิ่งทำให้เกสรีหัวเสีย เมื่อใช้กำลังเอาชนะไม่ได้ก็เริ่มใช้ฝีปากเข้าข่ม “ปล่อยนะ! อีตาบ้า ฉันบอกให้ปล่อยไงล่ะ!”
คราวนี้คนตัวโตไม่ยอมแม้กระทั่งให้นางสิงห์ตีฝีปาก ศารทูลก้มหน้าลงไปสกัดกั้นถ้อยคำแสดงความกราดเกรี้ยวของคนบนตักแบบทันทีทันควัน
คนที่กำลังออกฤทธิ์เดชถึงกับชาวาบไปทั้งร่างเมื่อพบกับการตอบโต้แบบที่คาดไม่ถึง เรื่องอื่นเธอคิดว่าตัวเองยังพอต่อกรกับศารทูลได้บ้าง แต่สำหรับชั้นเชิงด้านนี้ต้องนับว่าเธออ่อนด้อยอย่างแท้จริง อาการของนางสิงห์สาวในตอนนี้จึงไม่ต่างจากครั้งแรกที่ถูกศารทูลจุมพิตเลยสักนิด คือตื่นตระหนกจนรับมือไม่ถูก ร่างกายอ่อนยวบคล้ายไม่ยอมฟังคำสั่งจากเจ้าของ ความเกรี้ยวกราดเมื่อสักครู่หายไปราวกับถูกปิดสวิตช์
เสือหนุ่มก็ไม่ยอมพลาดนาทีทองเช่นเคย เพราะถวิลหารสชาติของปากนุ่มนิ่มนี้มาโดยตลอด เมื่อสบโอกาสก็ลิ้มชิมอย่างแสนกระหาย ปลายลิ้นร้อนสอดแทรกลึกล้ำ ควานไซ้จนถ้วนทั่ว ดูดดื่มความหอมหวานจากคนบนตักอย่างแสนโหยหา
“เกรซ” ศารทูลกระซิบเรียกเสียงสั่นพร่ายามเมื่อเลื่อนริมฝีปากร้ายกาจไปขบเม้มติ่งหูนิ่ม
เกสรีสะท้านไปทั้งตัว คิดไม่ถึงว่าสัมผัสแผ่วเบาบริเวณนั้นจะทำให้ความรู้สึกปั่นป่วนได้ถึงเพียงนี้ การจู่โจมอย่างแผ่วเบานุ่มนวลของเขากลับรับมือยากกว่าหมัดหนักๆ ของคู่ต่อสู้ที่เธอเคยผ่านมาเสียอีก
สิงห์สาวคิดด้วยความปั่นป่วน พยายามตั้งสติหาวิธีรับมืออย่างสุดฤทธิ์ ยังไม่ทันจะคิดออก สติที่กำลังพยายามรวบรวมก็แตกกระเจิงไปอีกรอบเมื่อริมฝีปากร้อนรุ่มของอีกฝ่ายบดเคล้าลงมาอีกครั้ง
ความล้ำลึกของจุมพิตในครั้งนี้ทำให้เกสรีรู้สึกราวกับว่าสองครั้งก่อนหน้านี้ที่เธอคิดว่าร้ายกาจแล้วยังไม่อาจเทียบได้ ศารทูลทำราวกับว่าสามารถสูบเอาวิญญาณของเธอออกไปได้เลยด้วยซ้ำ หัวใจของเธอระทึกสั่น ร่างกายของเธอเบาหวิวราวกับไร้น้ำหนัก สุดแต่เขาจะชักเชิดไปทางไหนก็ได้ นี่เป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่าประสบการณ์พิศวาสของเธอกับเขาห่างชั้นกันจนไม่อาจเทียบได้
เกสรีเป็นนักกีฬา เธอย่อมรู้ว่าจังหวะไหนควรบุกและจังหวะในควรถอย สำหรับเกมที่รู้ว่าสู้อย่างไรก็ไม่ชนะจะดึงดันไปก็มีแต่ความเสียหาย ยอมปราชัยในวันนี้เพื่อแก้มือในวันหลังก็ยังไม่สาย แต่ถ้าดึงดันต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะตอนนี้เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังดีดดิ้นชูคออยู่แนบบั้นท้าย แม้จะไม่มีประสบการณ์พิศวาส แต่เธอก็มีพี่ชายแถมยังอยู่ท่ามกลางเพื่อนชายจำนวนไม่น้อยมาหลายปี แล้วทำไมจะไม่รู้ว่าตัวเองนั่งทับอะไรอยู่
อยากจะบ้าตาย! เธอคิดว่าอีตาบ้าศารทูลนี่น่าจะเลี้ยงอนาคอนดาไว้ในกางเกง! เพื่อรักษาตัวให้รอดพ้นจากอนาคอนดา นางสิงห์ที่แทบไม่เคยอ่อนข้อให้ใครก็ยอมใช้ไม้อ่อนที่ตนเองไม่ถนัดเข้าสู้
“คะ...คุณเดียว ปล่อยก่อนค่ะ ปล่อยเกรซก่อน” เกสรีอ้อนวอนทันทีที่ปากนุ่มเป็นอิสระ น้ำเสียงออดอ้อนแบบที่ไม่เคยใช้พูดกับอีกฝ่ายมาก่อน
ชื่อเล่นของตนเองที่ผ่านออกมาจากปากจิ้มลิ้มที่เพิ่งบดเคล้าเชยชิมมาเมื่อสักครู่ทำให้ศารทูลถึงกับสูดลมหายใจลึกด้วยความพึงพอใจ คนตัวเล็กที่เคยฤทธิ์มากตอนนี้ขดตัวนิ่งอยู่ในอ้อมแขน ใบหน้าเล็กๆ ซุกลงกับบ่าของเขาราวกับกลัวว่าหากเงยขึ้นมาแล้วจะถูกเอาเปรียบอีก ความดื่มด่ำที่ยังอบอวลอยู่ในอารมณ์ทำให้เสือหนุ่มทนไม่ไหวจนต้องก้มหน้าลงไปจุมพิตต้นคอขาวผ่องของคนที่ก้มหน้าหลีกหนีเบาๆ พวงผมยาวสลวยที่เจ้าตัวรวบมัดเป็นหางม้าคล้ายจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ริมฝีปากร้อนรุ่มของเสือหนุ่มปฏิบัติการได้ง่ายขึ้น
เกสรีสะดุ้งเฮือก แอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงตอดเล็กตอดน้อยไม่เลิก ยอมรับว่าตอนนี้ตัวเองต่อกรกับศารทูลไม่ค่อยไหวเพราะรู้สึกว่าขามันสั่นๆ จนอ่อนแรงอย่างบอกไม่ถูก คล้ายๆ เวลาโดนไฟชอร์ตอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว บางทีนี่อาจจะเป็นอาวุธลับของเขาก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นต่อไปเธอจะต้องหาวิธีรับมือให้ดี
คิดๆ แล้วก็เจ็บใจ ไม่นึกว่าจะถูกย้อนศรอย่างนี้ ครั้งก่อนเธอคิดจะใช้เครื่องชอร์ตไฟฟ้าเล่นงานเขา แต่ก็ยังไม่ทันได้ลงมือจริงๆ กลับต้องมาพลาดท่าเสียที เป็นฝ่ายโดนอีตานี่ชอร์ตเข้าเสียก่อน
ในขณะที่สิงห์สาวกำลังคิดวุ่นวายหาวิธีรับมือกับอาวุธลับอยู่นั้น เจ้าของอาวุธลับอย่างศารทูลกลับมัวเมากับเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมกรุ่นแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น บอกกับตัวเองว่าเป็นตายอย่างไรก็ต้องได้เกสรีมาเป็นของตัวเอง ถึงเธอจะแผลงฤทธิ์อาละวาดบ้างก็ไม่เป็นไร ตบแล้วก็ขอให้เขาได้จูบแบบเมื่อกี้ก็ถือเป็นอันใช้ได้ ถ้าได้แบบนี้เขาเต็มใจจะยื่นหน้าเข้าไปให้เธอตบเสียเองด้วยซ้ำไป
ในขณะที่ต่างคนต่างกำลังวุ่นวายอยู่กับความคิดของตัวเอง พลันสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินบางอย่างดังขึ้น สองหนุ่มสาวหันไปยังต้นเสียงพร้อมๆ กันก็พบว่าสาวใช้ที่ไปแจ้งเกสรีว่าศารทูลมาขอพบกำลังยืนหน้าตาตื่นอยู่ ใกล้ๆ กันนั้นมีถาดเล็กๆ และจานของว่างหล่นกระจายเกลื่อนกลาด
“ขะ...ขอโทษค่ะ พอดีป้าจันทร์ให้หนูเอาของว่างมาให้คุณๆ หนูไม่ได้ตั้งใจมาแอบดูนะคะ” เด็กรับใช้ละล่ำลักแก้ตัว