2

บทที่ 2


2

 

บรรยากาศภายในห้องประชุมประจำแผนกออกแบบโครงสร้างของบริษัทเมธตระกูลทวีกรุ๊ปนั้นไร้เสียงพูดคุยจอแจผิดกับเวลาทำงานปกติลิบลับ มีเพียงเสียงการนำเสนองานของทีมสถาปนิกผู้รับผิดชอบยืนพูดอยู่ที่บริเวณด้านหน้า โดยมีฉากหลังเป็นภาพจำลองอาคารสูงสามสิบชั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการใหญ่ของบริษัทถูกฉายขึ้นบนโพรเจกต์เตอร์ประกอบคำอธิบาย และบริเวณโต๊ะด้านหน้ามีอาคารจำลองที่สร้างขึ้นด้วยกระดาษชานอ้อยวางตั้งอยู่

ผู้ร่วมงานคนอื่นนั่งฟังอย่างตั้งใจ บ้างก็จดรายละเอียดสำคัญลงในสมุดโน้ตที่เตรียมมา บ้างก็บันทึกลงไอแพด มีเพียงร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กเนื้อดีที่นั่งบนโซฟาตัวใหญ่เท่านั้นที่นั่งนิ่งมองการนำเสนองานอยู่เงียบๆ แต่ปฏิกิริยานั้นทำเอาสมาชิกในแผนกคนอื่นนั่งเกร็งไปตามๆ กัน เพราะชายหนุ่มคนนั้นคือ คีริน เมธตระกูลทวี ผู้บริหารหนุ่มของบริษัทเมธตระกูลทวีกรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้านายใหญ่ของทุกคนนั่นเอง

แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ได้มีท่าทีเกร็งจัดเฉกเช่นคนอื่น นั่นคือบารมีที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีน ผู้เป็นเพื่อนสนิท ควบตำแหน่งหัวหน้าแผนกที่นั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีผ่อนคลาย หมุนปากกาในมือเล่นไปพลางๆ ขณะนั่งฟังรุ่นน้องในแผนกนำเสนองาน นานๆ ทีถึงจะจดปากกาลงบนสมุดโน้ตที่กางอยู่ด้านหน้าเพื่อเก็บข้อมูลด้วยลายมือที่ไม่เป็นระเบียบนัก

“สำหรับการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ ทีมเราออกแบบตามที่โครงการบรีฟมา โดยเน้นการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ประหยัดพื้นที่ในสไตล์มินิมอล คือ เรียบหรูและดูดี แต่เฟอร์นิเจอร์บางอย่างเราจะใช้งานบิลต์อิน แต่ยังคงเน้นที่ฟังก์ชันและประโยชน์ในการใช้สอย ส่วน...”

หนึ่งในทีมสถาปนิกอธิบายอย่างคล่องแคล่ว โดยมีคนที่เป็นทั้งเจ้าของบริษัทและเจ้าของโครงการนั่งนิ่งฟังการนำเสนอของลูกน้องอย่างประเมิน ซึ่งท่าทีนิ่งๆ และไม่ซักถามอะไรสักคำนั้นนำมาซึ่งอาการเกร็งจัดของผู้ใต้บังคับบัญชา จนพูดผิดพูดถูกไปหลายครั้ง เช่นเดียวกับผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นที่นั่งนิ่งอย่างตั้งอกตั้งใจฟัง แต่ไม่ใช่กับชายร่างสูงติดจะบอบบางในชุดทำงานเรียบร้อยที่กำลังนั่งจ้องรอยแดงตรงลำคอของรุ่นพี่นานนับสิบนาทีด้วยแววตาใคร่รู้ ก่อนจะยื่นหน้าไปถามเมื่อความสงสัยล้นอก

“พี่แบงค์”

คนถูกกระซิบเรียกขยับตัว ก่อนยื่นหน้าไปหาคนเป็นรุ่นน้องเล็กน้อย ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่กับการนำเสนองานตรงหน้า

“มีอะไร” บารมีถามเพราะคิดว่าอีกฝ่ายสงสัยเรื่องงาน แต่รุ่นน้องหนุ่มเจ้าสำอางกลับจิ้มนิ้วลงบนคอเขาอย่างถือวิสาสะ

“นี่รอยอะไรอ้ะพี่”

“รอยอะไรวะ”

“รอยแดงๆ ตรงคอเนี่ย”

“ยุงกัดมั้ง”

“ยุงอะไรปากเท่าปากขวด มันเป็นจ้ำๆ เลยนะพี่”

บารมีตัวเกร็งขึ้นเล็กน้อยยามได้ยินคำบอกเล่าของรุ่นน้อง แล้วก็ต่อว่าตัวเองในใจที่ดันเลือกใส่เสื้อยืดคอวี แทนที่จะเป็นเสื้อเชิ้ตมีปกอย่างเช่นทุกวัน เพราะเขาไม่คิดว่ารอยที่ผ่านมาหลายวันแล้วจะยังคงอยู่

“มันเหมือนรอยคิสมาร์กเลยว่ะพี่ เหมือนรอยโดนดูด”

“ดูดเดิดบ้าอะไร” เขาบอกปัดพร้อมกับยกมือขึ้นลูบรอยเจ้าปัญหานั้นนิดๆ ซึ่งท่าทีนั้นส่อแววมีพิรุธ ทำเอารพี

หรี่ตามองอย่างจับสังเกต

“แน่ะ อย่ามาเสียงสูงกลบเกลื่อน รอยจากสาวที่หิ้วขึ้นคอนโดวันนั้นหรือพี่”

“เสือก”

“แปลว่าใช่แน่เลย” คนถูกว่ายิ้มกรุ้มกริ่ม ไม่ได้เกรงกลัวรัศมีอึมครึมจากคนเป็นรุ่นพี่สักนิด กลับชอบใจด้วยซ้ำที่กวนอารมณ์บารมีให้ขุ่นได้เพราะรุ่นพี่เป็นคนดูยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“แล้วน้องเขาเป็นไงพี่ สูง ขาว ผมยาว สเปกพี่เลยไหม”

“ทำตัวเหมือนเมียกูเลยนะมึงอ้ะ ขี้เสือก”

“โด่ เสือกนิดเสือกหน่อยก็ไม่ได้”

อีกฝ่ายทำเสียงกระเง้ากระงอด ก่อนหันไปนั่งฟังการนำเสนองานของเพื่อนร่วมแผนกตามเดิม ปล่อยให้บารมีนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แล้วก็ไพล่นึกไปถึงใบหน้าสะสวย ริมฝีปากนุ่มนิ่มที่ฝากร่องรอยไว้บนร่างกายของเขาในราตรีหนึ่ง ก่อนทิ้งไว้เพียงความทรงจำเบาบางราวกับความฝัน แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่

‘เจ็บหรือ’ เสียงกระซิบห้าวสั่นพร่ายามเข้าครอบครองตัวตนอ่อนหวาน

คนใต้ร่างทำหน้าเหยเก ขณะที่มือเล็กวางแปะอยู่บนอกกว้าง ก่อนออกแรงผลักไสยามเขาขยับตัวตน ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อย ก่อนโน้มใบหน้าลงจูบขมับชื้นเหงื่อ แล้วกระซิบบอกเสียงเบา

‘ทนนิดนะครับ นิดเดียว’

‘อื๊อ’ คนตัวเล็กหลุดเสียงครางเมื่อร่างสูงใหญ่ผลักตัวตนเข้าลึกล้ำหลังสิ้นคำปลอบประโลม ก่อนขยับกาย กระแทกกระทั้นตามแรงปรารถนาที่ลุกโชน

‘เรียกพี่แบงค์สิครับคนเก่ง เรียกชื่อพี่’

“พี่แบงค์”

บารมีสะดุ้ง เมื่อมือเรียวของรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ แตะลงบนต้นแขนเขาพร้อมกับกระซิบเรียกเสียงเบา เขาจึงต้องดึงสติที่แตกกระเจิงให้กลับมา

“มึงจะกระซิบเสียงกระเส่าทำไม”

“ก็พี่อ้ะแหละเหม่ออะไร แม่พี่โทร. ไลน์มาสองครั้งแล้วนะ” รพีบอกพร้อมกับพยักพเยิดไปยังสมาร์ตโฟนหรูที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งกำลังแสดงสายเรียกเข้าผ่านโปรแกรมแชตชื่อดัง

คนนั่งเหม่อก้มลงมองเห็นภาพใบหน้าใจดีของมารดา แล้วจึงกดตัดสาย ก่อนกดเข้าโปรแกรมเพื่อพิมพ์ข้อความแจ้งมารดาว่ากำลังติดประชุม

 

B_Baramee : ผมติดประชุมอยู่ เดี๋ยวโทร. กลับครับ ทันทีที่เขากดส่งข้อความบอกไป ปลายสายก็พิมพ์ข้อความตอบกลับมา

คุณแม่ : วันนี้กลับมากินข้าวที่บ้านหน่อยสิ แม่ทำของโปรดเราเยอะเลย

B_Baramee : ผมคงต้องดูงานก่อน

คุณแม่ : ไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว ยังจะลังเลอีกหรือ แม่แทบจะลืมหน้าเราไปแล้วนะ

 

บารมีชะงักไปเล็กน้อยกับข้อความกึ่งตัดพ้อจากมารดา ก่อนกดตอบรับเมื่อคิดแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้กลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ตามที่อีกฝ่ายทักท้วงมาจริงๆ

 

B_Baramee : งั้นก็ได้ครับ

คุณแม่ : ดี งั้นเดี๋ยวแม่จะรอ

B_Baramee : ครับ

 

คนร่างสูงรัวนิ้วกดข้อความตอบกลับ ก่อนคว่ำมือถือลงบนโต๊ะ แล้วหยัดตัวนั่งหลังตรงพร้อมกับหันไปให้ความสนใจการนำเสนองานตามเดิม ซึ่งมีรุ่นน้องคนสนิทอย่างชานนท์และศราเป็นส่วนหนึ่งในทีมรับผิดชอบโพรเจกต์ใหญ่ของบริษัท นั่นคือโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมหรูในย่านที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงเคลื่อนผ่าน

“ตกลงว่าเจ้าของรอยบนคอพี่คือใครหรือพี่ บอกหน่อยไม่ได้เหรอ”

“...” คนถูกถามนั่งเงียบ ขณะที่คนช่างสงสัยยังคงไม่ละความพยายาม

“พี่จะบอกเองหรือว่าให้ผมสืบเองล่ะ ถ้าให้ผมสืบเองนะ...โอ๊ย” รพีพูดไม่ทันขาดคำก็ต้องอุทานเสียงดัง เมื่อปากกาในมือของรุ่นพี่เขกโป๊กลงบนศีรษะของเขาอย่างไม่ออมแรง เรียกให้ผู้บริหารอย่างคีรินและเพื่อนร่วมงานคนอื่นหันมามอง รพีจึงต้องรีบก้มศีรษะและส่งยิ้มแหยๆ อย่างขอลุแก่โทษ ก่อนขยับนั่งหลังตรงเพื่อตั้งใจฟังการนำเสนองานอีกครั้ง

ส่วนบารมีตีเนียนทำเป็นนั่งนิ่งฟังการนำเสนองานอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำเหมือนไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้คนขี้เสือกได้แต่นั่งค้อนปะหลับปะเหลือกอยู่อย่างนั้น และพอลับตาคนอื่น คนเป็นรุ่นพี่ก็หันมายักคิ้วใส่อย่างยียวน จนรพีได้แต่นั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันรอเวลาเอาคืน

 

การประชุมนำเสนองานมาราธอนที่ดำเนินมาตั้งแต่บ่ายโมงเสร็จสิ้นตอนเวลาสิบเจ็ดนาฬิกา ด้วยข้อสรุปที่เป็นที่พอใจของผู้บริหารอย่างคีริน ซึ่งตอนที่เขาบอกว่างานชิ้นนี้ผ่าน เตรียมก่อสร้างได้เลย ก็ทำเอาทีมผู้รับผิดชอบถึงกับร้องอย่างยินดี หลังจากต้องนั่งทำโอทีดึกดื่นติดต่อกันมาหลายคืน

“เย็นนี้เจอกันที่ร้านเมาตอนหนึ่งทุ่มนะ บอกว่าโต๊ะพี่ได้เลย”

สิ้นเสียงของคีริน บรรดารุ่นน้องที่นั่งฟังอยู่ก็ส่งเสียงเฮลั่นอีกรอบอย่างถูกอกถูกใจ

“เยี่ยมเลยพี่ กำลังเปรี้ยวปากอยู่พอดี” โอ๊ต หนึ่งในรุ่นน้องและพนักงานในแผนกบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างชอบใจ

“ถ้ารู้ว่าพี่คีจะเลี้ยงนะ ผมไม่กินข้าวกลางวันมาหรอก”

“ไอ้พวกตะกละ” บารมีที่นั่งฟังอยู่เอ่ยขึ้น ทำเอาคนเป็นรุ่นน้องหันขวับมามองพร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างพร้อมเพรียงกัน

“แหม พี่ไม่ตะกละเลยว่างั้น”

“แน่นอนอยู่แล้ว ใครจะไปตะกละอย่างพวกมึงล่ะ” บารมีแย้งอย่างไม่จริงจังนัก ด้วยรู้ว่าไม่มีใครหน้าไหนเชื่อน้ำคำของเขาสักนิดเดียว ภาพลักษณ์ของเขาคือไอ้ขี้เมาคออ่อนดีๆ นี่เอง

บารมีปิดสมุดโน้ตที่กางอยู่ลง ก่อนบอกเพื่อนที่กำลังรัวนิ้วลงบนโทรศัพท์ คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังส่งข้อความแจ้งภรรยา

“วันนี้กูขอบายนะคี คงไม่ได้ไปด้วย”

“อ้าว ติดธุระเหรอ” คีรินเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนอย่างแปลกใจ เพราะไม่มีงานไหนที่บารมีจะพลาด โดยเฉพาะงานรวมกลุ่มรวมแก๊งแบบนี้ นั่นทำเอาบรรดารุ่นน้องแปลกใจไม่แพ้กัน

“อือ ว่าจะกลับบ้านสักหน่อยน่ะ พอดีแม่ส่งข้อความมาตาม ถ้าไม่กลับต้องได้กลายเป็นลูกอกตัญญูแน่ๆ”

“ไม่ได้กลับบ้านนานแค่ไหนแล้ววะ ถึงขั้นแม่ต้องโทร. ตามเนี่ย” คีรินถามอย่างสงสัย ขณะที่คนฟังก็ชะงักไปเล็กน้อย แสร้งนับนิ้วมั่วๆ แล้วจึงตอบ

“ประมาณสามเดือนได้มั้ง”

“โห สมควรแล้วมึง” คีรินแค่นเสียงอย่างไม่เข้าข้างเพื่อนสักนิดเดียว

รพีซึ่งรอเวลาเอาคืนบารมีอยู่ก็รีบพูดโพล่งขึ้นมาเสียงดัง

“พี่แบงค์ไม่ได้กลับบ้านเพราะมัวหิ้วสาวขึ้นคอนโดอยู่น่ะพี่ รอยแดงเต็มคอเลย”

“ว่าไงนะ” คีรินถามอย่างแปลกใจอีกคำรบ ไม่แพ้คนอื่นๆ ที่หันมามองคนเป็นหัวหน้าเป็นตาเดียว เพราะบารมีไม่ค่อยมีข่าวเรื่องควงผู้หญิงนัก

“มึงหิ้วผู้หญิงขึ้นคอนโดจริงเหรอ”

“ไอ้รพีพูดมั่ว” บารมีบอกปัด แต่อีกฝ่ายกลับยืนยันแข็งขันอย่างไม่ยอมแพ้

“มั่วที่ไหน รอยแดงเต็มคอ”

“เดี๋ยวมึงโดนเตะ” บารมีหันไปเข่นเขี้ยวรุ่นน้อง

คนถูกขู่หัวเราะชอบใจ ไม่ได้เกรงกลัวที่จะถูกเตะสักนิดเดียว

“แหม หยอกๆ น่ะพี่” คนหยอกแสร้งทำสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมพร้อมกับยกมือไหว้ท่วมหัวด้วยท่าทีทะลึ่งทะเล้น เรียกเสียงหัวเราะได้จากบรรดาคนมอง

“งั้นก็แยกย้ายกันได้เลยนะ เดี๋ยวเจอกันที่ร้าน” คีรินสรุป เป็นการอนุญาตให้บรรดาลูกน้องที่ยังคงยืนกระจัดกระจายอยู่ในห้องขยับตัว ก่อนทยอยกันเดินออกจากห้องประชุมทีละคนสองคน เหลือเพียงคนที่สนิทเท่านั้น

“โอ๊ตกับซันไปยังไง ไปกับพี่ไหม” คีรินหันไปถามความคิดเห็นสองรุ่นน้องหนุ่มขี้เมา ที่หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนพยักหน้ารับ หลังตัดสินใจว่าคืนนี้จะเมาให้หัวทิ่ม

“ไปครับพี่”

“โอเค แล้วเต้ล่ะ จะไปกับพี่หรือขับรถไปเอง”

“เดี๋ยวผมเอารถไปเองดีกว่าพี่ เผื่ออยู่ดึกไม่ได้” พ่อลูกติดอย่างชานนท์ตอบ ก่อนถูกบารมีที่นั่งฟังอยู่ขัดขึ้น

“แหม เผื่ออยู่ดึกไม่ได้ จะรีบกลับไปกกเมียหรือไงมึง”

“ก็ยังดีที่ผมมีเมียให้กกนะพี่ ไม่เหมือนพี่ที่หิ้วสาวที่ไหนมากกก็ไม่รู้”

“นั่น เข้าตัวกูอีก” บารมีว่า ทำเอาบรรดารุ่นน้องหัวเราะลั่น

รพีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หันมาเกาะแขนรุ่นพี่แน่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าบารมีขอบาย “ว่าแต่พี่แบงค์จะไม่ไปจริงๆ เหรอพี่”

“เออ กูจะกลับบ้าน”

“ไปเหอะนะ ข้าวบ้านไปกินเมื่อไหร่ก็ได้”

บารมีหันไปมองหน้ารุ่นน้อง ที่แสร้งกะพริบตาปริบๆ แล้วกล่าวหา

“นี่มึงกำลังเสี้ยมให้กูเป็นคนอกตัญญูนะไอ้รพี ถ้ากูถูกตัดออกจากกองมรดกร้อยล้านขึ้นมาจะทำยังไง”

“แหม ยังกับว่าพี่กลับบ้านไปตอนนี้จะทันยังงั้นแหละ ไม่ได้กลับมาหลายเดือน มรดกสามหมื่นบาทก็มากเกินพอสำหรับพี่แล้ว”

“กวนตีน” เขากระแทกเสียงใส่หน้ารุ่นน้อง แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะชอบใจไม่แพ้คนอื่นๆ เพราะทุกคนรู้ว่าบารมีและรพีเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนหนึ่งชอบกวน ส่วนอีกคนก็หัวร้อนตามสิ่งเร้าง่ายเหลือเกิน

 

บารมีเดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนซึ่งเตรียมออกไปแฮงก์เอาต์กันที่ร้านนั่งชิลร้านหนึ่ง โดยมีผู้บริหารหนุ่มกระเป๋าหนักเป็นเจ้ามือ ก่อนเดินไปขึ้นรถปอร์ตญี่ปุ่นที่จอดอยู่ แล้วเคลื่อนรถออกจากที่จอดรถชั้นสามของบริษัท ขับมุ่งหน้าสู่บ้านที่ไม่ได้กลับไปนานนับสามเดือน ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลกว่าคอนโดที่พักและงานมากมายที่รัดตัว รวมทั้งงานเลี้ยงสังสรรค์ที่มีติดกันแทบทุกคืน ทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวนัก นี่ถ้าคนเป็นมารดาไม่โทร. ตาม บารมีก็คงยังไม่ได้ฤกษ์กลับบ้านอีกแน่นอน

กริ๊ง!

มือใหญ่เอื้อมไปกดรับสายโทรศัพท์ตรงปุ่มบริเวณคอนโทรลหน้ารถซึ่งเชื่อมต่อสัญญาณกับมือถือ หลังมีสายเรียกเข้าจากมารดา

“ครับแม่” เขากรอกเสียงลงไป พร้อมกับหักพวงมาลัยเลี้ยวออกนอกเส้นทางหลัก มุ่งหน้าสู่ที่ตั้งของบ้านในแถบชานเมือง

“ถึงไหนแล้วแบงค์ หวังว่าคงไม่ได้อยู่ที่ร้านเหล้านะ” มารดาเอ่ยดักคอมาตามสาย

บารมีหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนโอดครวญ “โธ่...แม่ครับ แม่เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย”

“เป็นคนขี้เหล้าเมายาน่ะสิ”

“โธ่...นี่ผมแบงค์ลูกแม่ไงครับ แม่จำผมไม่ได้เหรอ” บารมีเล่นลิ้นเสียงกลั้วหัวเราะอย่างนึกขันที่มารดาพูดคำจำกัดความนิสัยของเขาได้ตรงประเด็น

“แล้วนี่ถึงไหนแล้วล่ะ แม่จะได้เตรียมตั้งโต๊ะรอ”

“อีกสักสิบห้านาทีครับแม่”

“หือ?” ปลายสายทำเสียงแปลกใจ “ช้าไปหรือเปล่า ปกติเราเหยียบแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว”

“โธ่...รถมันติดครับแม่ อีกอย่าง ผมขับรถยนต์นะครับ ไม่ใช่รถมอเตอร์ไซค์ จะได้ขับซิกแซกได้”

“จ้ะๆ รีบมาก็แล้วกัน อย่าให้เกินสิบห้านาที”

“คร้าบ” บารมีลากเสียงยาว ก่อนคนเป็นมารดาจะกดวางสายไป ชายหนุ่มจึงหันกลับมาสนใจการจราจรบนท้องถนนตามเดิม

ครอบครัวโชติสถาพัฒน์ เป็นครอบครัวนักธุรกิจ บิดาของบารมีเคยนั่งเก้าอี้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ของตระกูล ก่อนแยกตัวออกมาเพื่อให้น้องๆ ได้ก้าวขึ้นไปบริหารงานแทน และผันตัวมาเปิดโชว์รูมนำเข้ารถยนต์หรูที่เกิดจากความชอบส่วนตัว ซึ่งปัจจุบันมีอยู่สองสาขาใหญ่ๆ โดยที่คนเป็นบิดาวางมือให้ลูกชายคนโตอย่างบวรเวทเข้าไปบริหารงานแทน ส่วนตัวบารมียังคงทำงานเป็นวิศวกรซึ่งขึ้นตรงต่อเพื่อนสนิทอย่างคีริน จนคนเป็นพี่ชายเร่งเร้าให้กลับไปช่วยบริหารงานเสียที แต่บารมียังคงอิดออด เพราะคิดว่าสายงานของตัวเองไม่เหมาะกับการเป็นผู้บริหาร และยังคงสนุกกับงานที่ทำ แต่ด้วยกิจการที่บิดาปูพื้นฐานไว้ให้เป็นมรดกตกทอดของเขาและพี่ชาย ทำให้บารมีรู้ว่าเขาเหลือเวลาหลบเลี่ยงบิดาได้อีกไม่นาน

บารมีถอยรถเข้าจอดในโรงจอดรถอย่างคล่องแคล่ว ก่อนเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไป และเดินเข้าตัวบ้าน ทันเห็นแผ่นหลังบอบบางของคนตัวเล็กซึ่งปล่อยผมยาวสลวยยืนวุ่นอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหาร

“ทำอะไรอยู่น่ะ”

เสียงเข้มของบารมีที่ดังแหวกความเงียบทำเอาหญิงสาวเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์สะดุ้งโหยง ก่อนหันขวับมามองด้วยใบหน้ายับยุ่งพร้อมกับต่อว่าเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่เต็มตา

“โธ่ พี่แบงค์น่ะเอง ฝันตกใจหมดเลย”

“ขวัญอ่อนจริง” บารมีเย้ายิ้มๆ พลางชะโงกมองคนตรงหน้าที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่บนโต๊ะ

“แล้วทำอะไรอยู่น่ะ”

“ช่วยคุณแม่จัดโต๊ะค่ะ” คนตัวเล็กเอ่ย ก่อนหันไปตะโกนเรียกชื่อพี่ชายของเขาเสียงดังลั่นบ้าน

“พี่บอสขา พี่แบงค์มาแล้วค่ะ”

“ทำไมต้องตะโกนเรียกเฮียเสียงดังขนาดนั้นด้วย”

“ก็พี่บอสอยากเจอพี่แบงค์น่ะสิคะ” ทอฝันบอกแจ้วๆ ขณะที่มือก็จัดจานบนโต๊ะรับประทานอาหารอย่างคล่องแคล่วว่องไว

บารมีนั่งลงบนเก้าอี้ว่างแล้วหยิบขนมกินเล่นอย่างกระทงทองใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ

“เฮียมันอยากเจอพี่เพราะเรื่องงานอีกละสิท่า”

“ใช่แล้วค่ะ”

“งั้นพี่หนีกลับก่อนดีกว่า” บารมีแกล้ง

ทอฝันรีบคว้าแขนเขาหมับ แล้วตะโกนเรียกชื่อพี่ชายเขาด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม

“พี่บอสขา พี่แบงค์จะหนีกลับก่อนแล้วค่ะ พี่บอสขา”

“ขี้ฟ้องจังนะเตี้ย” บารมีว่าขำๆ ทำเอาคนตัวเล็กหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม ก่อนเถียงเสียงขุ่น

“ฝันตัวเล็ก ไม่ได้เตี้ย”

“เตี้ยต่างหาก เดินข้างเฮียที เหมือนพ่อกับลูก”

“แง พี่บอสขา...” ทอฝันร้องลั่น วางมือจากงาน เตรียมเดินเข้าไปฟ้องบวรเวทซึ่งอยู่ภายในห้องครัว เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงเดินสวนออกมาเสียก่อน หญิงสาวจึงโผเข้าไปเกาะแขนแฟนหนุ่มอย่างรวดเร็ว

“เป็นอะไรคะ”

“พี่แบงค์ว่าฝันค่ะ พี่แบงค์ว่าฝันเตี้ย” ทอฝันฟ้องคนรักเสียงขุ่น ขณะที่ใบหน้าสะสวยหงิกงออย่างขัดใจ ซึ่งบวรเวทเองก็รีบเออออตามคนรักอย่างเอาใจ

“เตี้ยที่ไหนกันครับ ไม่เห็นเตี้ยเลย กำลังน่ารัก”

บารมีทำปากยู่อย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชาย “เฮียแทบจะก้มหน้าคุยอยู่แล้ว ยังไม่เรียกเตี้ยอีกเหรอ”

“ไอ้แบงค์” บวรเวทปรามน้องชายที่หลุดหัวเราะอย่างขบขัน เมื่อแหย่ให้คนรักของเขาอารมณ์เสียได้ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าบารมีจะสำนึก

“ระวังน้าฝัน พนักงานที่โชว์รูมยิ่งสวยๆ สูงๆ อยู่ด้วย ระวังเฮียจะเจ้าชู้”

“อย่าไปฟังมันพูดนะครับ พี่ไม่ใช่คนแบบนั้น” บวรเวทบอกให้คนรักคลายกังวล แต่ท่าทีของคนตัวเล็กที่ช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างตัดพ้อทำเอาเขาใจคอไม่ดี

“ทำไมมองพี่แบบนั้นล่ะ”

“ฝันเคยเห็นพี่บอสไปเดินห้างกับคุณเมทินีแค่สองคน”

“อ้าว” บารมีอุทานอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าคำแซวเล่นๆ ของตัวเองจะทำให้พี่ชายซวยขึ้นมาจริงๆ ซึ่งเขาจะไม่ยอมซวยด้วยแน่นอน จึงผุดลุกขึ้นแล้วเดินหลบออกมาทันที ปล่อยให้คู่รักได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันตามลำพัง

ร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซนติเมตรเดินตรงไปยังห้องครัว เห็นคนเป็นมารดากำลังยุ่งอยู่ในนั้นจึงส่งเสียงร้องทักออกไปก่อนตัว ดึงสายตาของมารดาให้มองมา

“มีอะไรกินบ้างครับ หิวจัง”

“อ้าวแบงค์ มาได้จังหวะพอดีเลย มาชิมนี่หน่อยสิลูก ว่ากลมกล่อมหรือยัง” นาถลดาเรียกบุตรชายพร้อมกับตักอาหารใส่ช้อนยื่นให้บารมีที่เดินเข้าไปหาได้ชิม

“แกงอะไรอะครับ” ชายหนุ่มถามพลางชะโงกหน้ามองอาหารในหม้อที่กำลังเดือดปุดๆ

“แกงส้มไหลบัวของชอบเราน่ะสิ ชิมสิลูก ถูกปากหรือยัง”

ชายหนุ่มชิมตามคำสั่งมารดาอย่างไม่อิดออด ก่อนพยักหน้าพอใจ “อร่อยแล้วครับ รสมือแม่นี่ไม่ตกเลยจริงๆ”

“แหม มาถึงก็ปากหวานเชียวนะพ่อตัวดี รีบชมตัดหน้า กลัวแม่ด่าเรื่องไม่กลับบ้านใช่ไหมล่ะ” นาถลดาว่าดักคอ

บารมีหลุดหัวเราะหึๆ ก่อนถอยไปยืนพิงเคาน์เตอร์ มองมารดาหยิบจับเครื่องครัวอย่างคล่องแคล่วว่องไว ส่วนเขาหยิบขนมกินเล่นอย่างข้าวตังหน้าหมูหย็องที่วางอยู่ในจานเข้าปากเคี้ยวไปพลางๆ

“แล้วนี่พ่อไปไหนล่ะครับ”

“นั่งทำงานอยู่ข้างบนนั่นแหละ แบงค์ทักพอดีเลย...” นาถลดาเอ่ย ก่อนหันไปหาเด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ศรีขึ้นไปตามคุณผู้ชายให้ลงมาทานข้าวทีไป”

“ได้ค่ะคุณผู้หญิง” สาวใช้รับคำ ก่อนรีบเดินออกไปตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว

“แล้ววันนี้เราไม่มีแฮงก์เอาต์กับเพื่อนหรือไง ถึงรับปากมากินข้าวกับแม่ได้”

“มีครับ แต่ผมปฏิเสธ”

“ตายแล้ว แม่คงต้องมอบโล่รางวัลให้เราเสียแล้วละมั้ง นานทีปีหนไม่เคยเห็นเราปฏิเสธเพื่อนๆ ได้” นาถลดาเย้าบุตรชายเสียงสูง เพราะไม่ค่อยเห็นบารมียอมพลาดนัดสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน

คนร่างสูงยักไหล่แล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบเรื่อย “ก็ผมไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว เลยเลือกกลับบ้านดีกว่า”

“แล้วตาคีไม่ว่าเอาหรือที่เราไม่ไปคุมรุ่นน้อง”

“ก็ไม่เห็นมันว่าอะไรนี่ฮะ แถมมันยังด่าผมอีกที่ไม่ค่อยกลับบ้านจนแม่ต้องโทร. ตาม”

“ดีจริง ใครๆ ก็เข้าใจแม่ มีแต่แบงค์นั่นแหละที่คอยแต่จะหายหน้า จนแม่แทบจะลืมไปแล้วว่ามีลูกชายชื่อบารมี”

บารมีหัวเราะเบาๆ ยามคนเป็นมารดาทำหน้างอ

“แม่ใครน้า ขี้ประชดประชันเหลือเกิน” เขาว่าก่อนดันข้าวตังชิ้นเล็กในมือใส่ปาก ตบมือปุๆ ลงบนกระเป๋ากางเกงยีน และควักเอาโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นออกมากดรับสาย

“บารมีพูดครับ” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไปด้วยถ้อยคำที่สุภาพกว่าปกติ เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับหมายเลขสิบหลักที่แสดงอยู่บนหน้าจอ

“แบงค์คะ นี่ลินีเองนะ”

“ครับ?” คิ้วเข้มขมวดมุ่น ยามปลายสายเอ่ยแนะนำตัวเองเสียงใส

นาถลดาซึ่งกำลังตักอาหารหันไปมองบุตรชายที่ชะงักไปเล็กน้อย

“ทำไมเงียบไปล่ะคะ จำลินีไม่ได้แล้วหรือไง” ปลายสายตัดพ้อด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ขณะที่คนฟังใจกระตุกไปวูบหนึ่ง ก่อนความทรงจำก่อนเก่าจะหวนกลับเข้ามาในความคิด

วาลินีเป็นลูกสาวคนสวยของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ซึ่งเป็นนักธุรกิจกลุ่มเดียวกับบูรพา บิดาของเขา และเป็นอดีตคนรักที่เลิกรากันไปหลายปีด้วยเหตุผลเก่าๆ นั่นคือเขาไม่มีเวลาให้ เนื่องจากช่วงนั้นบารมีเรียนอย่าง

หนักและต้องเตรียมตัวเข้าฝึกงานที่บริษัทเมธตระกูลทวีกรุ๊ป วาลินีจึงหันไปคบกับไฮโซหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ในคณะเดียวกันแทน และแต่งงานกันไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ซึ่งบารมีก็ไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไร เพราะยอมรับในเหตุผลของหญิงสาวได้ ซ้ำยังนับเป็นเพื่อนคนหนึ่งเรื่อยมา แม้ว่าระยะหลังๆ ฝ่ายนั้นจะห่างเหินกับเขาไปก็ตาม

“ครับ โทร. มามีอะไรหรือเปล่า”

“อย่าทำเสียงห่างเหินกับลินีแบบนั้นสิ ไม่ค่อยชินเลย”

“ก็เราห่างกันจริงๆ นี่” บารมีพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง เมื่อปลายสายทำเสียงอ่อย “ว่าแต่จู่ๆ โทร. มามีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ถ้าบอกว่าคิดถึงจะได้ไหม ลินีคิดถึงแบงค์นะ”

“ไม่ได้คุยกันนาน ปากหวานขึ้นเยอะเลยนะ” บารมีแซว และได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ ดังลอดมา ซึ่งท่าทีผ่อนคลายของลูกชายทำให้คนเป็นแม่ชะงัก และหรี่ตามองอย่างสงสัยใคร่รู้

“แค่คิดถึงหรือ มีอย่างอื่นอีกไหม”

“ลินีอยากเจอแบงค์น่ะค่ะ เย็นนี้ออกมาดินเนอร์ด้วยกันหน่อยได้ไหม” ปลายสายทอดเสียงอ้อนอ่อนหวาน เหมือนที่เขาเคยได้ยินบ่อยครั้งในช่วงเวลาหนึ่ง “แบงค์ว่างหรือเปล่าคะ”

“วันนี้ผมไม่ว่างน่ะครับ” บารมีปฏิเสธพลางหยิบชามกระเบื้องมายื่นให้มารดา

“ติดนัดกับสาวที่ไหนหรือไง”

“พอดีผมมีนัดทานข้าวกับครอบครัวน่ะครับ ไว้ครั้งหน้านะ” เขาตอบตามมารยาท ขณะที่อีกฝ่ายก็รีบรับคำเสียงใสอย่างเข้าใจ

“อ๋อ ได้ค่ะ ครั้งหน้าก็ได้ ยังไงลินีฝากความคิดถึงถึงคุณลุงคุณป้าด้วยนะคะ ไว้วันหลังจะแวะเข้าไปเยี่ยม”

“ได้ครับ” เขารับคำ และรอจนกระทั่งปลายสายกดวาง จึงหันไปหามารดาที่กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ บารมีเก็บโทรศัพท์มือถือยัดลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มารดาเปิดปากถามอย่างอยากรู้ทันที

“สาวที่ไหนโทร. มาจ๊ะ”

“ลินีน่ะครับ” บารมีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่ทำเอานาถลดาตาโตอย่างแปลกใจ

“หนูลินี แฟนเก่าเราน่ะหรือ”

“ครับ” เขาตอบแล้วหยิบขนมใส่ปาก พลางคิดถึงเหตุผลที่จู่ๆ วาลินีก็ติดต่อมาในรอบหลายปีที่เลิกรากันไป ซ้ำยังพูดจาสนิทสนมเหมือนเมื่อครั้งที่เธอและเขายังรักกันดีไม่มีผิด ซึ่งนั่นทำให้บารมีแปลกใจ

“แล้วทำไมจู่ๆ หนูลินีถึงโทร. หาแบงค์ได้ล่ะ เราไม่ได้ติดต่อกับเขานานแล้วนี่นา”

“เขาโทร. มาชวนผมออกไปทานข้าวด้วยน่ะครับ”

“หือ?” นาถลดาทำเสียงประหลาดใจ “จู่ๆ ก็โทร. มาชวน ทั้งที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วเนี่ยนะ”

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับทั้งที่รู้สึกแคลงใจเช่นเดียวกัน

“หรือว่าหนูลินีจะหวนกลับมาหาแบงค์ แม่ได้ข่าวว่าฝ่ายนั้นหย่าร้างกับสามีไปแล้วนี่”

“อะไรนะครับ!” คิ้วเข้มขมวดมุ่นทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าจากมารดา “ลินีเลิกกับสามีแล้วหรือครับ”

“อือ เห็นว่าฝ่ายนั้นมีบ้านเล็กบ้านน้อยน่ะ แม่ก็ไม่รู้รายละเอียดมาก”

บารมีเงียบลงอย่างครุ่นคิด นึกห่วงใยอีกฝ่ายขึ้นมาวูบหนึ่ง เพราะไม่คิดว่าชีวิตครอบครัวที่แสนสมบูรณ์ของอีกฝ่ายจะจบลงแบบนั้น อย่างน้อยเขาและเธอก็เคยมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกัน

“แล้วหนูลินีโทร. หาแบงค์แบบนี้ แม่จะมีสิทธิ์ลุ้นไหมนะ”

“โธ่...แม่ครับ เรื่องของผมกับลินีจบไปนานแล้ว เราเป็นแค่เพื่อนกัน” บารมีตอบเสียงหนักแน่นอย่างที่ใจคิด แม้ว่าครั้งหนึ่งเขาจะเคยรักวาลินีมากก็ตาม แต่ทุกอย่างเป็นเพียงอดีตไปแล้ว

“แต่แบงค์เองก็ไม่มีใครเป็นตัวเป็นตนตั้งแต่เลิกกับหนูลินีไปนี่นา แม่เองไม่รังเกียจสะใภ้ที่เป็นแม่ม่ายหรอกนะ”

นาถลดาเอ่ยขึ้นอย่างเปิดทาง ด้วยอยากให้ลูกชายที่อายุเลยเลขสามไปหลายปีแล้วมีครอบครัวสักที และยังจำได้ว่าลูกชายมีความสุขมากแค่ไหนยามที่คบกับวาลินี แถมยังเคยนึกเสียดายหญิงสาวอีกด้วย

“แต่ผมไม่ได้รักลินีแล้ว แม่จะมาชงให้ผมแบบนี้ไม่ได้”

บารมีรีบดักคอมารดา กันอีกฝ่ายคิดหาแผนการจับคู่ให้เขา พลันภาพใบหน้าอ่อนหวานของหญิงสาวอีกคนก็ซ้อนทับใบหน้าของอดีตคนรักขึ้นมา สาวสวยที่เป็นอดีตเด็กแก้มป่องในวันวาน

“ทำไมล่ะ ครั้งหนึ่งแม่ก็เห็นแบงค์เข้ากับหนูลินีได้ดีนี่นา”

“มันเป็นแค่อดีตไปแล้วน่ะครับ” เขาตอบโดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม

“งั้นถ้าไม่ใช่หนูลินี แบงค์ก็หาแฟนให้ได้สักทีสิ แม่กับพ่ออยากมีหลานจะแย่แล้ว” มารดายังคงคะยั้นคะยอ ขณะที่บารมีโอดครวญ

“ลูกสะใภ้ดีๆ ใช่ว่าจะหากันง่ายๆ ซะที่ไหนเล่าครับ”

“มันไม่ได้ยากอะไรหรอก แค่เรามีเวลาให้แม่สักนิด” นาถลดาเอ่ยเสียงใสด้วยแววตาหมายมาด เนื่องจากรู้จักบุตรสาวหน้าตาสะสวยของเพื่อนๆ อยู่พอสมควร

“หนูนิด ลูกสาวคุณหญิงแสงจรัส เพิ่งจบปริญญาโทมาจากเคมบริดจ์ หน้าตาน่ารัก หุ่นดี เรียนเลิศ ทำงานก็เก่ง แบงค์อยากไปทำความรู้จักกับน้องสักหน่อยไหมล่ะ”

“ไม่ละครับ ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น” บารมีส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

นาถลดาขึงตาดุ แล้วบ่นลูกชายอย่างไม่พอใจ “ก็เราเล่นแต่งกับงานเสียแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนกันล่ะ”

“ผมยังไม่รีบ”

“เราน่ะไม่รีบ แต่แม่รีบ” นาถลดาขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนยื่นคำขาดเมื่อไม่ได้ดั่งใจ

“ถ้าภายในปีนี้แบงค์ยังหาสะใภ้ให้แม่ไม่ได้ แม่จะจับคู่ให้เอง”

“นี่มัน พ.ศ. ไหนแล้ว แม่จะมาจับผมคลุมถุงชนแบบนี้ไม่ได้นะครับ”

“ก็ในเมื่อเรายังทำตัวเฉื่อยชาอยู่แบบนี้ แม่ก็จะเป็นธุระให้เอง”

“เมียผมทั้งคน ผมควรมีสิทธิ์เลือกสิ”

“ถ้าแบงค์ยืนยันแบบนั้น ก็ลงมือหาเมียให้ได้ภายในปีนี้ก็แล้วกัน เพราะไม่อย่างนั้นแม่จะหาสะใภ้ตามใจตัวเอง”

นาถลดาสรุป ก่อนหันไปจัดแจงให้สาวใช้ยกอาหารออกไปตั้งโต๊ะรวมกับอาหารบางส่วนที่ยกออกไปวางแล้ว และหมุนตัวเดินนำออกไปอย่างไม่สนใจลูกชายอีก

บารมีถึงกับหลุดหัวเราะอย่างขบขันท่าทางจริงจังเรื่องลูกสะใภ้ของมารดา ก่อนจะเดินตามออกไปยังโต๊ะอาหารที่มีบิดา พี่ชาย และคนรักตัวเล็กของพี่นั่งรออยู่แล้วด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้น เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามบวรเวทที่หันมาสบตาเข้าพอดี ซึ่งฝ่ายนั้นก็พยักหน้ารับ เป็นอันว่าเคลียร์กับคนรักเรียบร้อยแล้ว

“ไม่เจอกันนานเลยนะคุณบารมี นึกว่าลืมทางกลับบ้านไปแล้วซะอีก” ชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยค่อนขอด

ขึ้นยามที่บุตรชายคนเล็กเดินเข้ามาในระยะสายตา

บารมีต้องรีบแก้ต่างเสียงแข็งขัน “งานผมเยอะน่ะพ่อ ไม่ได้เกเรเสียหน่อย” เขาตอบพร้อมกับทรุดนั่งลงบนเก้าอี้

“งั้นหรอกหรือ ฉันนึกว่าแกเมาหัวทิ่มจนกลับบ้านไม่ไหวเสียอีก”

“งานผมเยอะจริงๆ” เขายืนยันเสียงหนักแน่น แต่รู้ว่าบิดาไม่เชื่อ เพราะฝ่ายนั้นเอาแต่หรี่ตามองหน้าเขาอย่างจับผิด

“งานที่แกว่านี่เป็นหุ้นส่วนร้านเหล้าหรือไง ถึงได้โผล่เข้าผับนู้นผับนี้เป็นว่าเล่น”

“คนเรามันก็ต้องมีสังคมบ้างสิครับพ่อ” บารมีแก้ต่าง ขณะที่ในใจก่นด่าบรรดารุ่นน้องเวรอย่างรพีที่ชอบเช็กอินในเฟซบุ๊กพร้อมกับแท็กชื่อเขาหราทุกครั้ง จนบิดาที่เป็นเพื่อนกันในโปรแกรมนั้นทราบความเคลื่อนไหวของเขาไปด้วย พอเขาถูกด่าทีก็มักจะดิ้นไม่หลุดและหาข้อโต้แย้งมาเถียงไม่ได้

“มันก็จริงอย่างที่แกว่า แต่เพลาๆ ลงหน่อย สงสารตับไตไส้พุงแกบ้าง ถ้าขืนดื่มหนักแบบนี้นานๆ สักวันมันคงจะวายหมดพอดี” บูรพาเตือนลูกชายคนเล็กเสียงเรียบ และบารมีก็ทำได้แค่รับคำเสียงเบา

“เอาเถอะค่ะคุณ อย่างน้อยวันนี้ลูกเราก็ลดอัตราเสี่ยงเป็นโรคตับแข็งไปได้หนึ่งวันแล้ว มาลงมือทานกันดีกว่า อาหารยังร้อนๆ อยู่เลย” นาถลดาขัดขึ้นด้วยประโยคที่ทำเอาใบหน้าหล่อเหลาของลูกชายงอง้ำ

“เอ้า ผมนึกว่าแม่จะพูดเข้าข้างผมซะอีก”

“แล้วนี่แม่พูดไม่เข้าข้างเราตรงไหนจ๊ะ แม่ก็ปรามพ่อให้แล้วไง”

นาถลดาอธิบายเพิ่มเติมอย่างออกขัน แต่นั่นไม่ได้ทำให้บารมีรู้สึกดีขึ้นเลย ขณะที่ทอฝันซึ่งนั่งเคียงข้างบวรเวทหลุดหัวเราะที่นานๆ ทีจะได้เห็นมุมเด็กๆ ของคนตัวสูงขี้แกล้งอย่างบารมี

“ขำอะไรเตี้ย”

หญิงสาวไม่ตอบ แต่ทำหน้ายุ่งปากยื่นใส่เขาเป็นการตอบโต้พลางเอนศีรษะไปซุกซบต้นแขนของคนรักคล้ายกับประกาศให้บารมีรู้ว่าตนเองมีผู้พิทักษ์ จนนาถลดาต้องห้ามศึก

“หยุดแกล้ง หยุดแหย่น้องก่อนเถอะจ้ะ มาลงมือทานข้าวกันดีกว่านะ” นาถลดาว่าแล้วตักอาหารใส่จานสามีก่อนเอ่ยเอาใจ

“นี่ค่ะคุณ หมูทอดแดดเดียวรสเด็ดที่คุณชอบ”

“ขอให้ผมด้วยสิครับ” บารมีร้องขอ นาถลดาจึงรีบตักหมูทอดสีน้ำตาลเข้มใส่จานลูกชายตามด้วยกับข้าวชนิดอื่นๆ

“นี่จ้ะ กินเข้าไปเยอะๆ เผื่อมันจะได้เข้าไปทดแทนแอลกอฮอล์ในกระเพาะของลูกบ้าง”

“คร้าบแม่” บารมีรับคำเสียงเบา คิดในใจว่าไม่น่าหาเรื่องเข้าตัวเลยจริงๆ ทำเอาบวรเวทและทอฝันซึ่งนั่งมองอยู่หลุดหัวเราะเบาๆ

“แล้วเรื่องงานเป็นไงบ้างเจ้าแบงค์ โอเคดีไหม” บูรพาชวนคุยโดยการเอ่ยถามเรื่องของลูกชายคนเล็กที่นานๆ ครั้งจะโผล่หน้ามาให้เห็นสักที

“ก็เรื่อยๆ ครับ”

“เรื่อยๆ ก็แปลว่าไม่ยุ่ง งั้นแกจะเข้าไปเรียนรู้งานที่โชว์รูมได้เมื่อไหร่” ประมุขแห่งบ้านโชติสถาพัฒน์ถามเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม และไม่เปิดโอกาสให้บารมีได้ตั้งหลักเลยสักนิด

ชายหนุ่มอึกอักเพราะไม่ได้เตรียมคำตอบที่ดีพอเอาไว้ “คือผม...”

“พ่อไม่ได้บังคับให้แกเข้าไปบริหารที่นั่นวันนี้เดี๋ยวนี้ แค่อยากให้แกแวะเข้าไปเรียนรู้งานกับพี่แกก่อน เวลาลงมา

บริหารงานจริงจะได้ไม่ติดขัด เพราะไม่ว่ายังไงที่นั่นก็ต้องเป็นของแก”

“แต่ผมยังสนุกกับงานวิศวกรอยู่เลยครับ”

“พ่อให้เวลาแกสนุกมาหลายปีแล้ว เจียดเวลามาเรียนรู้งานหน่อย” บูรพาบอกเสียงเรียบ แต่นั่นเปรียบเสมือนคำประกาศิตแกมบังคับกลายๆ ซึ่งบารมีทำอะไรไม่ได้นอกจากรับคำ

“เสาร์หน้าจะมีการถ่ายแบบโฆษณาใช่ไหมบอส” บูรพาหันไปถามบุตรชายคนโตที่กำลังตักอาหารใส่จานให้คนรักอย่างเอาใจใส่ ซึ่งบวรเวทก็รีบหันมาตอบคำถามของบิดาทันที

“ครับพ่อ พอดีมีรถตัวใหม่เข้ามา ผมเลยกะจะทำโฆษณาโพรโมต”

“ดีเลย งั้นแบงค์เข้าไปช่วยพี่แกดูหน่อยละกัน ไม่ติดนัดที่ไหนใช่ไหม” บูรพาถามหยั่งเชิง

บารมีตอบอย่างไม่มั่นใจนัก “ผมไม่แน่ใจ ต้องขอดูตารางงานก่อน”

“ก็ลองไปเช็กดู แต่ถ้าติดนัดที่ไม่สำคัญก็แคนเซิลไปก่อน เข้าใจไหม”

“ครับ” บารมีรับคำเพราะไม่สามารถพูดคำอื่นได้นอกเหนือจากการน้อมรับคำสั่งของบิดาโดยดุษณี สุดท้ายเขาก็จนมุม ต้องเรียนรู้การเป็นผู้บริหารจากพี่ชายในที่สุด

“เอาละจ้ะ เลิกคุยเรื่องงานเครียดๆ บนโต๊ะอาหารได้แล้ว ทานข้าวกันดีกว่า” นาถลดาชวนคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศพลางตักอาหารให้คนนู้นคนนี้อย่างเอาใจ

“หนูฝันทานทอดมันกุ้งนี่สิลูก อร่อยนะ”

“ขอบคุณค่ะคุณแม่” ทอฝันฉีกยิ้มรับพร้อมกับใช้ช้อนและส้อมตัดทอดมันสีทองสวยเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจิ้มเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ “อร่อยจังค่ะคุณแม่”

“อร่อยก็กินเยอะๆ เลยนะจ๊ะ” นาถลดายิ้มรับคำชมจากว่าที่ลูกสะใภ้อย่างยินดี

บารมีหันไปกระซิบกับคนเป็นพี่ชาย “งั้นผมรบกวนเฮียส่งเมลเกี่ยวกับรายละเอียดรุ่นรถให้ผมด้วยละกัน ผมจะได้อ่านทำความเข้าใจไปก่อน”

“ได้ๆ เดี๋ยวฉันให้คุณเมย์ส่งให้” บวรเวทรีบรับคำอย่างยินดี เมื่อการที่บารมีเอ่ยปากก่อนถือเป็นสัญญาณที่ดีในการทำงาน ด้วยเขารู้ดีว่าน้องชายไม่ชอบงานบริหาร แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อคนเป็นบิดาปูงานเตรียมไว้หมดแล้ว ซ้ำยังวางมือขาด หันไปเล่นหุ้นเพียงอย่างเดียว

เขาซึ่งเป็นลูกชายคนโตจึงหยุดฝันที่อยากทำร้านกาแฟเล็กๆ กับคนรักเอาไว้ เพื่อรอให้บารมีเข้ามาบริหารงานที่โชว์รูมได้ลงตัวก่อน จากนั้นก็จะสานฝันของตัวเองต่อ ซึ่งบวรเวทก็ได้แต่ภาวนาให้น้องชายหลงรักงานบริหารสักนิด เพื่อที่ตัวเองจะได้ผันตัวไปทำงานที่รักได้อย่างเต็มตัว แต่ดูวี่แววแล้วก็ไม่ง่ายเลย เพราะบารมีเองก็ดูจะรักการเป็นวิศวกรไม่แพ้เขาที่อยากเป็นบาริสตาเลย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น