บทนำ
“อื๊อ...” เสียงครางผะแผ่วดังลอดออกมาจากริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนของหญิงสาวร่างบาง ที่นอนจมอยู่บนเตียงนอนหนานุ่มภายในห้องนอนกว้างขวางของคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุง ใบหน้าสะสวยเลอะเครื่องสำอางส่ายสะบัดไปมาจนผมยาวสีน้ำตาลอ่อนสยายยุ่งเต็มหมอนนุ่มยามเมื่อชายร่างสูงใหญ่เปลือยเปล่าเบียดเรือนกายแน่นหนั่นเข้าแนบชิด คลุกเคล้าหนักหน่วงตามแรงอารมณ์ที่ลุกฮือ ไม่แพ้มือและริมฝีปากที่กำลังทำงานสัมพันธ์กันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ริมฝีปากหยักเต็มสีเข้มแสนร้ายกาจไล่จูบดะไปทั่วใบหน้าหวานละมุนและซอกคอหอมกรุ่น ก่อนพรมจูบซ้ำๆ ลงบนหัวไหล่กลมมนเปลือยเปล่าราวกับจะปัดเป่าความหวาดกลัวให้จางหายไป ยามรับรู้ได้ถึงอาการเกร็งของร่างนุ่มนิ่มใต้อก
“คุณ...” เสียงหวานท้วงผะแผ่ว พร้อมกับออกแรงดันไหล่บึกบึนของชายหนุ่มเหนือร่างเบาๆ เพื่อหยุดยั้งการกระทำของอีกฝ่าย ซึ่งคนที่กำลังมัวเมาในสัมผัสหวานละมุนก็ยอมผละออกแต่โดยดี ก่อนยันตัวขึ้นมองสบดวงตากลมโตสั่นระริก
“คะ...คุณเมาหรือเปล่า”
“หือ?” คนฟังเลิกคิ้วคมเข้มขึ้นสูงเป็นเชิงถามอย่างแปลกใจ กวาดตาฉ่ำเยิ้มเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ไปทั่วใบหน้าเรียวสวยอย่างสำรวจ ทั้งคิ้วทรงตรงสีน้ำตาลอ่อนเหนือดวงตากลมสีอัลมอนด์ล้อมกรอบด้วยแพขนตาเส้นเล็ก ไล่เรื่อยมายังสันจมูกโด่ง และริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูที่กำลังเผยออยู่น้อยๆ อย่างพึงพอใจ
“สวย”
“คุณเมา?” หญิงสาวยังคงย้ำคำเดิม ดวงตาฉายความลังเลไม่แน่ใจ คนฟังจึงพยักหน้ารับส่งๆ
“อือ คงเมามั้ง”
คนเสียงห้าวตอบรับสั้นๆ ก่อนฉกริมฝีปากลงปิดปากอิ่ม ใช้ความเชี่ยวชาญเปิดกลีบปากนุ่มออกอย่างง่ายดาย แล้วแทรกปลายลิ้นอุ่นเข้าไปสำรวจโพรงปากนุ่มหวานเพื่อดูดดึงปลายลิ้นสีชมพูเล็กให้โต้ตอบกลับมาด้วยกิริยางกเงิ่น ขณะที่ฝ่ามือใหญ่ลากไล้เคล้นคลึงไปทั่วร่างอิ่มอย่างหนักมือ และนึกภูมิใจยามที่คนใต้ร่างแอ่นกายขึ้นรับทุกสัมผัสจากเขาด้วยท่าทีสุขสมกึ่งทรมาน
“เจ็บ” เสียงร้องประท้วงดังขึ้น ยามที่เขาดูดดึงจุดอ่อนไหวอย่างมันเขี้ยว ใบหน้าคมสันจึงผละออกจากทรวงอกอวบสล้างเพื่อเงยขึ้นมองสบตาหญิงสาว ทันได้เห็นนัยน์ตาวิบไหวเจือด้วยริ้วแห่งความสิเน่หาอยู่ชั่ววินาทีหนึ่ง เขาจึงหยัดตัวขึ้นมอบจุมพิตแผ่วเบาให้แก่ท่าทีน่ารักน่าใคร่นั่น
“เชื่อใจพี่นะ ไม่ต้องกลัว”
เขากระซิบปลอบเสียงแผ่ว มองแววตาอ่อนเดียงสาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและความอยากรู้อยากลองอย่างเอ็นดูเสียจนอดหยัดตัวขึ้นจูบหน้าผากมนไปอีกหนึ่งทีไม่ได้ ก่อนเขาจะเริ่มต้นบทเรียนแรกรักอย่างหนักหน่วงจริงจัง ทำเอาคนอ่อนประสบการณ์ถึงกับส่งเสียงร้องครวญ
“อ๊ะ! เจ็บ”
“นิดเดียว” คนปลอบบอกเสียงสั่นพร่า เมื่อถูกความรัญจวนโอบล้อมไปทั่วทุกอณูความรู้สึก
“คุณ...”
“พี่แบงค์ เรียกว่าพี่แบงค์” ร่างใหญ่เค้นเสียงบอกแกมสั่ง ใบหน้าคมสันบิดเบ้เมื่อถูกความอ่อนนุ่มโอบรัดแน่นหนับ จนต้องผ่อนลมหายใจยาวเพื่อระงับอารมณ์รุ่มร้อนที่พุ่งพรวดซึ่งเกิดจากความรู้สึกอยากกระหน่ำรักคนใต้ร่างอย่างรุนแรง
“ฮื้อ”
“เรียกสิครับ เรียกพี่แบงค์สิ” เขาบอกย้ำเมื่อคนดื้อรั้นไม่ยอมเอ่ยปาก แกล้งเบียดกระแซะตัวตนเข้าล้ำลึก ทำเอาหญิงสาวถึงกับหลุดเสียงครางกระเส่า ขณะที่มือเล็กยกขึ้นทุบไหล่หนาเป็นพัลวัน
“หนูเจ็บนะ...”
“ก็เรียกพี่แบงค์ก่อนสิ” เขาย้ำพลางมองสบดวงตากลมฉ่ำน้ำอย่างเป็นต่อ เห็นหญิงสาวส่ายหน้าเม้มปากน้อยๆ อย่างดื้อดึง ชายหนุ่มจึงเสือกกายเข้าหาอีกครั้งอย่างหน่วงหนัก และนั่นทำให้คนใต้ร่างแพ้ราบคาบอย่างสมบูรณ์ เมื่อหลุดเสียงร้องเรียกชื่อเขาอย่างจำนน
“ฮื้อ พี่แบงค์ขา...”
ติ๊ง!
เสียงข้อความจากโปรแกรมแชตที่เปิดทิ้งไว้ดังขึ้น เรียกให้ร่างสูงใหญ่ที่นั่งงัวเงียอยู่บนเตียงนอนหลุดจากภวังค์ ตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดศีรษะและพบว่าหญิงสาวข้างกายที่เขาพามาด้วยหายตัวไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกายหอมละมุนที่ยังคงกำจายอยู่ตามหมอนและผ้าห่มนวมผืนใหญ่ พร้อมด้วยรอยเลือดสีจางบนผ้าปูที่นอนสีเทาอ่อนยับยุ่ง ซึ่งเป็นภาพจำที่ยังคงฉายชัดในความรู้สึก ราวกับว่าเรื่องราวเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเพิ่งจะผ่านพ้นไป
ติ๊ง!
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงพร้อมกับยกมือใหญ่ขึ้นเสยผมตัดสั้นสีดำสนิทของตัวเองลวกๆ ก่อนเอี้ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงขึ้นมาเปิดดู พบว่าเป็นข้อความจากบรรดาเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องที่ส่งเข้ามารัวๆ ด้วยเนื้อหาคล้ายคลึงกัน ใจความคือถามว่าเขาอยู่ที่ไหนและให้รีบๆ หน่อย ซึ่งข้อความพวกนั้นทำเอาคิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างแปลกใจ แต่ก่อนที่เขาจะนึกสงสัยมากไปกว่านี้ สมาร์ตโฟนในมือก็ส่งเสียงดังขึ้น นิ้วเรียวแข็งแรงจึงกดรับอย่างรวดเร็ว
“ว่าไง”
“ว่าไงอะไรของพี่วะ อยู่ไหนแล้วเนี่ย” เสียงกึ่งวีนอย่างเอาเรื่องของรุ่นน้องดังลอดมาตามสาย ทำเอาคนฟังงงหนักขึ้นไปอีก
“อยู่ไหนอะไรของมึงวะ”
“อย่ามาตลก เข้ามาที่ห้องประชุมด่วนเลย เขารอพี่กันอยู่เนี่ย” อีกฝ่ายยังคงย้ำเรื่องเดิมเสียจนคนฟังต้องสะบัดศีรษะแรงๆ ไล่ความมึนงงที่เข้าเกาะกุมประสาทส่วนสั่งการแล้วถามอย่างไม่มั่นใจนัก
“เดี๋ยวนะ ห้องประชุมอะไรวะ มึงพูดให้ชัดๆ สิ”
“ก็ห้องประชุมแผนกไงพี่ วันนี้เรามีประชุมแผนงานกับซีอีโอใหญ่ นี่อย่าบอกนะว่าพี่ลืม”
“ฉิบหายแล้ว!” ชายหนุ่มสบถเสียงดังลั่นพลางยกมือขึ้นยีผมตัวเองจนยุ่งเหยิง ทำเอาปลายสายอุทานลั่นอย่างตกใจไม่แพ้กัน
“เฮ้ย! นี่พี่ลืมจริงดิ”
“เออน่ะสิ บอกไอ้คีให้รอกูแป๊บ”
“โห ลูกน้องกิตติมศักดิ์ บอกให้เจ้าของบริษัทรอได้ด้วย” ปลายสายแค่นเสียงมาตามสายอย่างไม่จริงจังนัก ด้วยรู้ว่าบารมีสนิทสนมกับเจ้าของบริษัทเมธตระกูลทวีกรุ๊ปมากแค่ไหน
“เออน่ะ กูขอเวลาครึ่งชั่วโมง”
“ตื่นสายแบบนี้ เมื่อคืนหิ้วใครไปนอนที่ห้องหนุ่มโสดหรือไงพี่”
“อย่ามารู้ดี” เขากระแทกเสียงว่า แต่ปลายสายกลับผิวปากแซวเสียงระรื่น
“งั้นแปลว่าจริงน่ะสิ”
“แค่นี้ กูจะไปอาบน้ำ”
“แน่ะๆ รีบเปลี่ยนเรื่องเชียวละ” อีกฝ่ายแซวเสียงกลั้วหัวเราะ
บารมีหัวเราะหึเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะกดตัดสายแล้วก้าวลงจากเตียงนอนหลังใหญ่ ร่างสูงเดินตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่ทำจากไม้โอ๊กเนื้อดีฝังด้วยกระจกบานใส และนั่นทำให้เขาได้เห็นรอยฟันซี่เล็กตรงหัวไหล่และคิสมาร์กสีชมพูเข้มตรงลำคอที่สะท้อนกลับมา
มือใหญ่แตะร่องรอยเหล่านั้นอย่างเผลอไผลพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากอย่างพึงพอใจ หญิงสาวอาจจะคิดว่าเขาเมาเกินกว่าจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ แต่ในความเป็นจริงเขากลับสามารถจำทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นได้ขึ้นใจ จำได้ดีอย่างที่เธอคาดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ
น้องแก้มป่องคนดี...
ความคิดเห็น |
---|