2

กระโปรงร้อยปักษา


สอง

กระโปรงร้อยปักษา

 

สามชั่วยามก่อนหน้านั้น

หวีแรกลงศีรษะ มั่งคั่งร่ำรวยสุข”

หวีสองลงศีรษะ ไร้ทุกข์โศกโรคา”

หวีสามลงศีรษะ ลูกมากชีวียืนยาว”

หวีลงจดปลาย เคารพให้เกียรติกัน...”

พอแล้ว” เว่ยอิงลั่วตัดบท “ป้าอาจิน ท่านดูสารรูปข้าตอนนี้เหมือนจะเคารพให้เกียรติใครได้หรือ”

กระจกทองเหลืองบานหนึ่งที่ตั้งไว้บนโต๊ะสะท้อนเงาคนสองคนซึ่งอยู่ในห้อง

เว่ยอิงลั่วอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงตั้งแต่หัวจดเท้า ผัดแป้งบางเบาราวกับละอองหิมะ ทาชาดแดงเรื่อดุจแสงยามเย็น แต้มสีแดงที่ริมฝีปากอิ่ม งามจรัสจนมิอาจหาใดเทียบ หากเจ้าบ่าวบ้านไหนได้เจ้าสาวเช่นนี้ไปครองย่อมปีติยินดีเป็นแน่

ทว่ามีเจ้าสาวบ้านไหนเหมือนนาง ที่มีเชือกป่านมัดไว้อีกสามชั้นรอบชุดแต่งงานกันเล่า

นางช่างไม่เหมือนคนจะแต่งงานเอาเสียเลย กลับคล้ายกำลังถูกจับไปถ่วงน้ำบูชายัญราชามังกรในธารา เพื่อให้ครอบครัวและหมู่บ้านผาสุก สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีกว่าเดิม

ป้าอาจิน” เว่ยอิงลั่วพูดเบาๆ “เล่าเรื่องในวังให้ข้าฟังหน่อยสิ”

ป่านนี้แล้วท่านยังจะถามเรื่องนี้อีกทำไมเจ้าคะ” หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังทอดถอนใจ หวีผมให้นางพลางพูดปลอบ “ทำใจแต่งงานออกเรือนไปไม่ดีหรือเจ้าคะ ข้าไปสืบมาให้ท่านแล้ว ถึงเจ้าบ่าวจะไม่มีอันใดโดดเด่น แต่ก็เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ตอนนั้นถ้าข้าเลือกได้ ข้ายอมแต่งงานกับคนแบบนี้ยังจะดีกว่า ดิ้นรนเข้าวังไปเป็นนางกำนัล ล้มลุกคลุกคลานหลายปี รูปโฉมก็มีแต่โทรมลง จนกระทั่งออกจากวัง มิอาจเห็นพระพักตร์ฝ่าบาท”

เว่ยอิงลั่วเงียบไปนานก่อนถามเสียงแผ่ว “ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรรึ”

ไม่รู้สิเจ้าคะ” อาจินยิ้มอย่างจนใจ “ข้าคุกเข่าก้มหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ ได้เห็นแต่รองพระบาท ไม่กล้าเงยหน้ามองพระพักตร์ของพระองค์หรอกเจ้าค่ะ”

ตาไม่เห็น แต่หูก็น่าจะได้ยินนะ” เว่ยอิงลั่วพูดต่อ “ป้าอาจิน คนในวังพูดถึงพระองค์อย่างไรบ้าง ท่านยังจำได้หรือไม่”

อาจินหยุดคิดแล้วพูดยิ้มๆ “คนที่ควบคุมปากตัวเองยังไม่ได้น่ะ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเห็นรองพระบาทด้วยซ้ำ เอาละๆ เลิกขมวดคิ้วได้แล้วเจ้าค่ะ ระวังจะเป็นรอยย่น ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งที่ข้าเคยเห็นกับตาก็แล้วกัน”

เล่ามาสิ” เว่ยอิงลั่วตั้งใจฟังทันที “ข้าฟังอยู่”

เรื่องเกิดขึ้นประมาณสี่ปีก่อน มีกุ้ยเหริน1 คนหนึ่งเสียชีวิต” อาจินเล่าอย่างเนิบนาบ “เหตุเพราะกระโปรงตัวหนึ่ง...”

ถ้อยคำบอกเล่าของนางนำพาแผ่นกระเบื้องแดงและอิฐสีดำของพระราชวังต้องห้ามมาปรากฏตรงหน้าเว่ยอิงลั่ว กำแพงด้านในสามชั้น ด้านนอกสามชั้น ดั่งเชือกที่มัดอยู่บนตัวนางตอนนี้ รัดนางไว้ในกรงที่ชื่อว่าวังหลัง

สตรีที่เดินสวนกันไปมาในที่แห่งนี้ บ้างก็งามจนมัจฉาจมวารี บ้างก็สะคราญจนบุปผาละอาย ล้วนแล้วแต่มีจุดเด่นและจุดงามแตกต่างกัน ไปอยู่ที่ใดก็เป็นยอดบุษบง บัดนี้มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว ต่างก็อวดโฉมแข่งขันประชันความงาม สร้างสีสันสดชื่นทั่วบริเวณ ทว่าผู้ที่ชื่นชมหมู่ผกาเหล่านี้กลับมีเพียงหนึ่งคือ... ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

บุปผามีวันผลิบานฉันใด ก็ย่อมมีวันร่วงโรยฉันนั้น

กรี๊ด...!”

เสียงกรีดร้องเรียกให้คนกลุ่มใหญ่มามุงดู รวมถึงอาจินด้วย

เมื่อเบียดฝูงชนเข้าไปดู อาจินก็ยกสองมือขึ้นปิดปากโดยไม่รู้ตัว พลางส่งเสียงกรีดร้องออกมาเบาๆ

ตรงหน้านั้นคือบ่อน้ำที่เหล่านางกำนัลมักมาตักน้ำล้างหน้าให้เจ้านายของตน

แต่บัดนี้เมื่อชะโงกหน้าลงไปดูในบ่อ สิ่งที่สะท้อนในดวงตากลับเป็นศพขึ้นอืดของหญิงสาวนางหนึ่ง

ใบหน้านางบวมอืดขาวซีดจนจำเค้าเดิมไม่ได้เลย” อาจินเล่าด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แต่ข้าจำเสื้อผ้าบนตัวนางได้ มันเป็นกระโปรงร้อยปักษาหันหน้าแลหงส์ ผู้ตายคือหยุนกุ้ยเหรินแห่งสวนกล้วยไม้”

ทั้งที่เป็นวันเฉลิมฉลองงานมงคล เสียงประทัดและเสียงอวยพรดังเข้ามาจากด้านนอกเป็นระยะ ทว่าเว่ยอิงลั่วกลับรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว

ความเยือกเย็นจากเสียงของอาจินผ่านเรื่องราวของหญิงสาวในบ่อน้ำแผ่ซ่านเข้าสู่กระดูกของนาง

เว่ยอิงลั่วกลืนน้ำลาย “ทำไมนางถึงกระโดดบ่อน้ำล่ะ”

เพราะกระโปรงที่นางสวมน่ะเจ้าค่ะ” อาจินพึมพำเล่า “กระโปรงตัวนั้นงดงามมากจริงๆ ตอนนี้ข้ายังจำท่าทางของนางยามที่สวมกระโปรงตัวนั้นเดินเข้ามาในอุทยานหลวงได้อยู่เลย รัศมีเปล่งปลั่งเรืองรองนัก แยกไม่ออกว่าเป็นแสงตะวันสาดส่องที่กายนาง หรือว่าตัวนางเปล่งแสงออกมา...”

เว้นวรรคไปนิดหนึ่ง อาจินก็หลุดหัวเราะแห้งๆ “แต่พอฝ่าบาททอดพระเนตรเท่านั้น ก็กริ้วขึ้นมายกใหญ่ ด่าทอนางต่อหน้าผู้คนจนนางไม่กล้าเงยหน้าเลยทีเดียว”

คำตอบนี้เกินความคาดหมาย เว่ยอิงลั่วจึงถามอย่างตะลึง “ฝ่าบาทไม่โปรดปรานหญิงงามรึ”

ในใต้หล้ามีชายใดบ้างที่ไม่ชอบหญิงงาม” อาจินส่ายหน้า “ฝ่าบาทโปรดปรานนาง มิเช่นนั้นคงไม่แต่งตั้งสตรีชาวฮั่นที่เกิดจากชาวบ้านธรรมดาขึ้นเป็นกุ้ยเหรินหลังจากได้เข้าเฝ้าแค่สองครั้ง เพียงแต่นางละโมบเกินไป อยากได้มากกว่าที่ควรได้ก็เลยทำเรื่องเกินเลยไป”

แต่นั่นก็แค่กระโปรงตัวหนึ่ง...” เว่ยอิงลั่วเอ่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

สิ่งที่ฝ่าบาทไม่โปรดก็คือกระโปรงตัวนั้นนั่นละ” อาจินพูดเสียงขรึม “มันคือกระโปรงร้อยปักษาหันหน้าแลหงส์ที่เลียนแบบองค์หญิงอันเล่อในสมัยราชวงศ์ถัง ราคาสูงลิบลิ่ว ใช้เวลาตัดเย็บนาน ในวังย้ำให้ประหยัดมัธยัสถ์ แม้กระทั่งฮองเฮาก็ยังไม่ให้คนตัดอาภรณ์เช่นนี้ ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงต่อว่านางที่ใช้อาภรณ์หรูหรามาประจบประแจง รับสั่งลดตำแหน่งนางลงมาเป็นนางกำนัลทันที”

ที่แท้ก็แบบนี้เอง...” เว่ยอิงลั่วพึมพำ เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักฮ่องเต้ผู้สูงส่งซึ่งยังไม่เคยพบหน้ากัน

โอรสสวรรค์พระองค์นั้นโปรดปรานหญิงงาม และก็ระวังหญิงงามในคราเดียวกัน

เหมือนว่าเขาจะมิได้ใส่ใจในฐานะชาติกำเนิดของสตรีมากนัก ฉะนั้นสตรีธรรมดาชาวฮั่นก็สามารถขึ้นเป็นกุ้ยเหรินได้ หรือกล่าวอีกอย่างว่า อันที่จริงเขาค่อนข้างชอบสตรีที่ไม่มีใครหนุนหลังมากกว่า บริสุทธิ์ไร้ลับลมคมใน มีเขาในใจแต่เพียงผู้เดียว หาใช่เพื่อผลประโยชน์เบื้องหลังไม่

เขามิได้รังเกียจกระโปรงร้อยปักษาหันหน้าแลหงส์ตัวนั้น แต่รังเกียจสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมันมากกว่าอย่าง... ความทะเยอทะยาน

ในวังน่ะ หากเดินผิดพลั้งเพียงก้าวเดียวก็มิอาจหวนกลับได้แล้ว จนถึงวันนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าหยุนกุ้ยเหรินกลัดกลุ้มที่ถูกฝ่าบาทตวาดใส่จนตัดสินใจกระโดดบ่อน้ำ หรือว่ามีใครอาศัยเรื่องนี้เป็นข้ออ้างกำจัดนางทิ้ง” อาจินพูดเกลี้ยกล่อมหญิงสาวอีกครั้ง “อิงลั่วเอ๋ย แต่งงานออกเรือนไปเสียเถิดนะเจ้าคะ เลิกคิดถึงเรื่องในวังได้แล้ว พี่สาวท่านก็อีกคน...”

ป้าอาจิน” เว่ยอิงลั่วโพล่งขัดคำพูดนาง จากนั้นก็หันหน้ามาอย่างเชื่องช้า แววตาหม่นทึบราวกับบ่อน้ำลึกสองบ่อ แค่เพียงสบตา อาจินก็ขนลุกซู่ ชั่วขณะนั้นคล้ายย้อนไปเมื่อหกปีก่อน ตอนที่นางยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ กลิ่นอับชื้นและกลิ่นศพลอยขึ้นมาจากบ่อ

สายตาของเว่ยอิงลั่วในยามนี้ช่างเหมือนบ่อน้ำนั้นเหลือเกิน

เรื่องที่ข้าขอร้องท่านก่อนหน้านี้ ท่านได้ไปทำหรือไม่ เว่ยอิงลั่วจ้องหน้าขณะถามนาง

สายตาของนางจับจ้องจนน่าหวาดหวั่น อาจินพยักหน้าอย่างไม่อาจควบคุมได้

อย่างนั้นก็ดี” เว่ยอิงลั่วยิ้มเล็กน้อย สีหน้าน่ากลัวเลือนไปจากใบหน้า ชั่วพริบตาเดียวก็กลับกลายมาเป็นเจ้าสาวที่งามชดช้อยคนหนึ่ง

ทว่าอาจินที่อยู่ด้านหลังกลับเหงื่อซึม นางพอจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่า เหตุใดคนบ้านสกุลเว่ยถึงได้คัดค้านไม่ให้เว่ยอิงลั่วเข้าวังถึงเพียงนั้น อีกทางก็นึกเสียใจที่ช่วยนางทำเรื่องนั้นลงไป หากผู้หญิงเช่นนี้เข้าวังไปละก็...

ป้าอาจิน” เว่ยอิงลั่วส่งเสียงเรียก “ท่านคงไม่เสียใจที่ทำเรื่องนั้นให้ข้าหรอกนะ”

มะ...ไม่เจ้าค่ะ” อาจินลนลานปฏิเสธแล้วอึกอักอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็อดเตือนเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้ “แต่ท่านทำแบบนี้... เกรงว่าต่อไปคงจะกลับบ้านไม่ได้อีกแล้ว”

ไม่รอให้นางพูดจบ ประตูห้องก็ถูกเว่ยชิงฉินเปิดเข้ามากะทันหัน “ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว เตรียมตัวเสร็จหรือยัง”

นายผู้เฒ่า” อาจินหันไปมองเขา ทำท่าจะพูดอะไรแต่ก็ยั้งไว้ ขณะเดียวกันเว่ยอิงลั่วก็เอ่ยแทรกขัดจังหวะสิ่งที่นางคิดจะพูด

เสร็จแล้ว”

ภายในกระจกทองเหลืองสะท้อนภาพเจ้าสาวที่ถูกมัดมือไพล่หลังกำลังลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ระหว่างที่หันไป ริมฝีปากก็แนบชิดใบหูของอาจินแล้วกระซิบเสียงเบา “ของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้ากับพี่หญิง ข้าใส่เอาไว้ในกล่องขนมแต่งงานหมดแล้ว ให้พี่เฉี่ยวเอากลับไปกินแล้ว”

พี่เฉี่ยวคือลูกสาวบุญธรรมของอาจิน เป็นดั่งยอดดวงใจของนาง

คุณหนู...” อาจินได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง

ข้าไปคราวนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร เกรงว่าคงจะไม่ได้เห็นวันที่พี่เฉี่ยวออกเรือน” เว่ยอิงลั่วยิ้มน้อยๆ เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็ขออวยพรให้นางได้แต่งงานกับคนดีๆ ล่วงหน้า ไม่เจ็บไม่ไข้ ไร้วิตกกังวล มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง อายุมั่นขวัญยืนนะ”

สิ่งของที่มารดาผู้ล่วงลับเก็บไว้ให้เว่ยอิงลั่วกับพี่สาว นอกจากของเหล่านั้นที่ถูกคนแย่งชิงไปแล้ว ยังมีกำไลหยกคู่หนึ่ง ห่วงคอรูปกิเลนหนึ่งเส้น ต่างหูทำจากหินโมรารูปโบตั๋นหนึ่งคู่ รวมถึงปิ่นทองคำบริสุทธิ์สองอัน

คุณหนู...” อาจินมีสีหน้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก

นางมิได้ปรารถนาความร่ำรวยมั่งคั่ง เพียงแค่เป็นห่วงอนาคตของลูกสาวบุญธรรม

เวลาที่อยู่ในวังผลาญช่วงชีวิตของอาจินไป เจ้านายที่เคยติดสอยห้อยตามก็เป็นผู้ที่ไม่ได้รับการโปรดปราน ไม่มีกำลังจะตกรางวัลแก่ผู้ใต้บัญชา อาจินอยู่ในวังจึงมิได้รับเงินทองมากมายเท่าใด กระทั่งออกจากวังกลับบ้านเดิม ก็พบว่าคู่ครองที่หมั้นหมายไว้ตั้งแต่เด็กถอดใจล้มเลิกสัญญาไปแล้ว ฝ่ายชายรอให้นางออกจากวังไม่ไหว ไปแต่งงานกับคนอื่น และตอนนี้ก็มีลูกแล้ว...

ถ้าเทียบกับแต่งงานไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่น สู้อยู่คนเดียวอย่างสงบย่อมดีกว่า หลายปีต่อมานางได้รู้จักเด็กหญิงกำพร้าคนหนึ่งจึงรับเป็นลูก ทั้งกายใจล้วนทุ่มเทให้ลูกสาว หวังจะให้ได้กินดีอยู่ดี แต่งงานกับคนดีๆ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ต้องใช้เงิน...

บอกตามตรง... ข้าอิจฉาพี่เฉี่ยวมากเลย” เว่ยอิงลั่วคอตก เสียงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ “ถ้าท่านแม่ข้ายังอยู่ ถ้าพี่สาวข้ายังอยู่ คงจะปกป้องข้าอย่างที่ท่านปกป้องพี่เฉี่ยวเป็นแน่ ไม่มีทางยอมให้ข้าถูกมัดมือไพล่หลัง กล้ำกลืนน้ำตาขึ้นเกี้ยวบุปผาเป็นแน่...”

สิ้นคำพูดน้ำตาก็ร่วงพรูเป็นสายแล้วหยดลงบนพื้น

อาจินสูดลมหายใจเข้าลึก รู้ว่าตัวเองถูกกล่อมจนใจอ่อนแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้นางใจอ่อนคือน้ำตาหยดนั้น หรือเป็นคำพูดของเว่ยอิงลั่วกันแน่

นางไม่รู้สึกเสียใจแล้วที่ทำเรื่องนั้นให้เว่ยอิงลั่ว

คุณหนู” สาวใช้ยกถาดไม้เข้ามาถาดหนึ่ง อาจินหยิบผ้าคลุมสีแดงที่วางอยู่บนถาดขึ้นมาคลุมบนเครื่องประดับศีรษะของเว่ยอิงลั่วเบาๆ แล้วพูดอย่างแฝงความหมาย “อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ ท่าน... จะต้องสมปรารถนาแน่”

นางพูดจบแล้ว ผ้าคลุมสีแดงก็ปิดลง ริมฝีปากสีแดงสดหยักยิ้มขึ้นราวกับมั่นใจในชัยชนะ

ถึงฤกษ์แล้ว ขึ้นเกี้ยว!”

 

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ขบวนเจ้าสาวก็เดินผ่านถนนฉางผิง ซึ่งมีโรงน้ำชารายล้อมรอบด้าน คนบนระเบียงโรงน้ำชาต่างละทิ้งเมล็ดแตงและน้ำชา พากันเกาะรั้วชะโงกหน้าไปมอง และจดจ้องตามขบวนรับเจ้าสาวสีแดงสดที่ทอดยาวเคลื่อนไปข้างหน้าท่ามกลางเสียงประทัดอึกทึกครึกโครม

ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ

คนเดินถนนที่อยู่ใกล้กับเกี้ยวบุปผาบ่นด้วยความสงสัย “เสียงอะไรน่ะ ตุ้บๆๆ...”

เขามิได้หูแว่ว เพราะคนที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้นก็พูดขึ้น “เจ้าก็ได้ยินด้วยหรือ ข้าได้ยินเหมือนกัน เสียงตุ้บๆๆ แปลกๆ เหมือนว่า... จะดังมาจากเกี้ยวบุปผานะ”

ยิ่งเป็นเรื่องน่าพิศวงเท่าไร ก็ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนมากขึ้นเท่านั้น และแล้วคนเดินถนนก็เบียดเข้ามามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ มีอันธพาลใจกล้าหลายคนเบียดผ่านฝูงชนเข้ามาแล้วยื่นมือไปดันประตูเกี้ยว

“ทำอะไรน่ะ!” เว่ยชิงฉินพาบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง “ไปๆ ไปๆ พวกชั้นต่ำจากไหนกัน แม้กระทั่งเกี้ยวเจ้าสาวก็ยังกล้ายุ่งสุ่มสี่สุ่มห้า ประเดี๋ยวข้าก็จับไปแจ้งทางการเสียหรอก”

ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ

เสียงประหลาดดังอยู่ด้านหลังเขาไม่หยุด เว่ยชิงฉินอดหันไปมองไม่ได้ แล้วกดเสียงต่ำพูดกับคนที่อยู่ในเกี้ยว “เจ้าจะทำบ้าอะไรน่ะ”

เสียงตุ้บๆ เงียบหายไปสักพัก จากนั้นก็เป็นเสียงที่ดังกว่าตอนแรกมาก... ตุ้บ!

“ว้าย!”

“เลือด! เลือดเต็มเลย!”

“ท่านแม่ นางมีเลือดออกเต็มหัวเลย!”

เว่ยอิงลั่วเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า โลหิตไหลลงมาตามหน้าผากของนางไม่หยุด เปื้อนใบหน้าที่ผัดแป้งแต่งจนงาม ที่แท้เสียงตุ้บๆ นั้นคือเสียงกระแทกเกี้ยว แล้วนางใช้อะไรกระแทกเล่า ร่างกายถูกมัดแน่นหนา สองแขนไพล่หลัง มีอย่างเดียวคือใช้หน้าผากกระแทก!

แม้ว่าศีรษะจะแตกจนเลือดไหล สภาพกึ่งผีกึ่งคนดูไม่ได้ แต่นางก็ไม่เสียใจที่ทำลงไป

น่าจะได้เวลาแล้ว

ตั้งแต่ขึ้นเกี้ยว เว่ยอิงลั่วก็เริ่มคำนวณเวลาในใจ เกี้ยวเดินทางมาครึ่งชั่วยาม... ถึงถนนหงเหยียน เกี้ยวเดินทางมาหนึ่งชั่วยาม... ถึงถนนฉางผิง

ในยามนี้ สถานที่นี้ อาจินน่าจะพาคนมาถึงแล้ว

หญิงสาวกวาดตามองไปท่ามกลางฝูงชน ในที่สุดก็หยุดนิ่งที่ทิศทางหนึ่ง

ระหว่างที่นางกวาดตามองไปทั่วบริเวณนั้น ชาวบ้านที่อยู่รายล้อมก็วิพากษ์วิจารณ์นางไม่หยุดหย่อน

“ไอหยา ดูนั่นสิ ทำไมนางถึงถูกเชือกมัดแบบนั้นเล่า”

“โหดร้ายจริงๆ มีอย่างที่ไหนทำกับลูกสาวแบบนี้”

“คงไม่ใช่แต่งลูกสาวแล้ว แบบนี้ขายลูกสาวกระมัง”

“ขายลูกสาวอะไรกัน! อย่ามาพูดจาเหลวไหลนะ! ก็แค่เกี้ยวโคลงเคลงไปหน่อย หัวเจ้าสาวก็เลยกระแทก” เว่ยชิงฉินหน้าเขียวคล้ำ พยายามระงับสถานการณ์พลางกวักมือเรียกเจ้าบ่าว “เจ้ามัวมองอะไรอยู่เล่า ยังไม่รีบมาช่วยพยุงนางขึ้นมาอีก”

เจ้าบ่าวที่มีพุ่มผ้าแดงห้อยที่หน้าอกกุลีกุจอลงมาจากหลังม้า ขณะจะดึงเว่ยอิงลั่วขึ้นมา ก็เห็นนางหันกลับมามองแล้วพูดด้วยเสียงกราดเกรี้ยว

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าบ้านสกุลเว่ยของข้าเป็นไพร่ในกรมวัง ข้าอยู่ในรายชื่อคัดเลือกเป็นนางกำนัล! เจ้าดึงดันจะแต่งงานกับนางกำนัลที่รอคัดเลือก ไม่ใช่แค่ตัวเจ้าที่จะถูกตัดหัว ทั้งตระกูลก็จะเสียหัวไปด้วย!”

เจ้าบ่าวตกใจจนแทบจะปล่อยมือทันที ทำให้เว่ยอิงลั่วล้มลงกับพื้นอีกครั้ง เขาไม่ได้เข้าไปประคองนางอีก แต่ถอยหลังสองก้าวเหมือนหนีสัตว์มีพิษ ก่อนหันไปมองเว่ยชิงฉินอย่างตื่นๆ “อะไรกัน! ไหนท่านบอกว่านางถูกคัดชื่อทิ้งแล้วอย่างไรล่ะ”

เว่ยชิงฉินถลึงตาใส่เว่ยอิงลั่วอย่างดุร้าย พลางเค้นสมองคิดหาคำอธิบาย “เจ้าดูท่าทางนางสติฟั่นเฟือนแบบนี้ก็ต้องถูกคัดชื่อทิ้งอยู่แล้ว...”

มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นด้านหลัง จากนั้นก็เป็นเสียงอ่อนหวานของเว่ยอิงลั่ว “ใต้เท้าจั๋วหลิ่ง ท่านคิดว่าข้าเหมือนคนสติฟั่นเฟือนหรือไม่”

จั๋วหลิ่ง?

เว่ยชิงฉินใจหายวาบ เห็นผู้คนตรงหน้าแยกออกเป็นสองทาง จั๋วหลิ่งนามว่าเจิ้งหวงฉีผู้ทำหน้าที่คัดเลือกนางกำนัลก้าวยาวๆ เข้ามา

“เว่ยชิงฉิน!” สีหน้าเขาเยือกเย็นดุจน้ำค้างแข็ง พร้อมกับชี้ไปที่เว่ยอิงลั่ว “นี่มันอะไรกัน!”

1 ตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น