สี่
ดอกบัว
เว่ยอิงลั่วแอบมองไป เบื้องหน้าก็พลันสว่างสดใสทันตา ราวกับว่าชั่วขณะนั้นมีกลิ่นหอมกรุ่นลอยในอากาศ ปทุมคลี่บานกลางสระบัว
ซิ่วหนี่ว์ในชุดสีขาวคนนั้นใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรายิ่งกว่าโฉมสะคราญนางใดที่อยู่รอบข้าง สิ่งที่หายากที่สุดคือสีหน้าอ่อนโยนยามทอดสายตามองไปข้างหน้า ท่าทางบอบบางแต่ยังคงงดงาม เห็นแล้วก็อดเอ็นดูมิได้
ทว่าที่แห่งนี้คือวังหลัง สตรีที่สามารถชื่นชมความงามของสตรีนางอื่นได้อย่างสงบใจหาได้ยากยิ่ง หนึ่งในนั้นย่อมรวมถึงซิ่วหนี่ว์นามว่าอูหย่าชิงไต้คนนี้ด้วย
“ลู่หวานหว่าน หุบปากซะ!” นางหันมาถลึงตาใส่ “ข้าไม่ได้ถามเจ้า!”
ซิ่วหนี่ว์ชุดขาวห่อไหล่เหมือนตกใจ ซิ่วหนี่ว์หน้าตาพริ้มเพราที่อยู่ข้างๆ เข้ามาดึงแขนเสื้อนางไว้ แล้วกระซิบบอก “เจ้านี่จริงๆ เลย ไม่คุ้มหรอกนะที่จะทำให้พี่อูหย่าโกรธเพียงเพื่อบ่าวไม่รู้ความคนหนึ่ง”
ลู่หวานหว่านอ้าปากทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็กลืนถ้อยคำลงท้อง
“ช่วยคนก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดสิ ช่วยแค่นี้จะทำทำไม” จิ่นซิ่วบ่นเบาๆ
เว่ยอิงลั่วปรายตามองนาง อย่างน้อยลู่หวานหว่านก็ออกปากพูดประโยคหนึ่ง แต่คนอย่างเจ้าไม่กล้าก้าวออกไปพูดแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ ยังจะมีหน้าไปค่อนแคะนางอีกหรือ
พอเห็นลู่หวานหว่านตกใจถอยไปเพราะคำพูดของตน อูหย่าชิงไต้ก็ยิ่งลำพองใจ ตวัดสายตากลับมาที่จี๋เสียงอีกครั้ง แววอำมหิตวาบผ่านในดวงตา ทว่าใบหน้ากลับยิ้มแย้มหวานละมุน “จุ๊ๆ นางกำนัลที่เพิ่งเข้าวังเองหรอกหรือ มิน่าถึงไม่รู้จักกฎเกณฑ์เช่นนี้! ในเมื่อทำเสื้อผ้าข้าสกปรกก็ต้องชดใช้ด้วยมือข้างหนึ่งของเจ้า!”
พูดจบเท้าข้างหนึ่งก็กระทืบบนหลังมือของจี๋เสียงอย่างแรง
ความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาทำให้จี๋เสียงเหงื่อไหล ภาพเบื้องหน้าวูบเป็นช่วงๆ ทว่ามิอาจหลบเลี่ยง ได้แต่หมอบบนพื้นพลางร่ำร้อง “เจ็บ! ข้าเจ็บเจ้าค่ะ! นายหญิงน้อยได้โปรดไว้ชีวิต นายหญิงน้อยได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
นายหญิงน้อยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยนางแต่อย่างใด กลับกันยังคิดว่าเสียงคร่ำครวญของนางเป็นเรื่องสนุก จึงหัวเราะพรืดอย่างชอบใจ
เสียงหัวเราะนั้นทำให้จี๋เสียงขนลุกซู่ เพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรกว่า คนบางคนสร้างความสุขของตนบนความทุกข์ของผู้อื่น
“พ่อ... แม่...” ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็ก เมื่อตกอยู่ในความลำบากก็อดไม่ได้ที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิด “ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย ฟางกูกู สี่เอ๋อร์ จิ่นซิ่ว... อิงลั่ว!”
จู่ๆ ความเจ็บปวดบนหลังมือก็อันตรธานไป
เวลาเดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าอย่างพร้อมเพรียง
เกิดอะไรขึ้นนะ...
จี๋เสียงเงยหน้าอย่างงุนงง น้ำตาทำให้สายตาของนางพร่ามัว ก่อนนางจะเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเต็มตา แล้วสะดุ้งเหมือนคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว
นางเห็นเว่ยอิงลั่วมาคุกเข่าอยู่ข้างนางตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้ ในมือกุมเท้าข้างนั้นอยู่... เท้าของอูหย่าชิงไต้
“นายหญิงน้อยอูหย่า” เว่ยอิงลั่วพูดขณะก้มหน้าต่ำ “ได้โปรดยกเท้าอันสูงส่งของท่านขึ้นเถอะเจ้าค่ะ”
อูหย่าชิงไต้เชิดหน้าพลางกดสายตามองเว่ยอิงลั่ว รอยยิ้มน่าขนลุกปรากฏบนใบหน้า “นางกำนัลต่ำต้อยเช่นเจ้ากล้าดีอย่างไรมาขอร้องข้า”
พูดจบก็กวาดตามองเว่ยอิงลั่วอย่างประเมิน ก่อนหน้านี้ก็กล่าวไปแล้วว่านางมิใช่สตรีที่จะชื่นชมหญิงงามคนอื่น แววอิจฉาริษยาวาบผ่านในดวงตาทันทีแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ก็ได้ เจ้ามาแทนที่นางสิ ว่ากระไรล่ะ”
“นายหญิงน้อยต้องการมือของบ่าว บ่าวย่อมยินดีมอบให้” ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเว่ยอิงลั่วต้องโชคร้ายเป็นแน่แท้ ก็ได้ยินนางพูดต่อ “แต่ว่า... วันนี้เป็นวันคัดเลือกหน้าพระพักตร์ของนายหญิงน้อย เป็นวันมงคลยิ่งใหญ่ มิควรแปดเปื้อนโลหิตให้อารมณ์กับโชคของนายหญิงน้อยต้องหม่นหมองนะเจ้าคะ”
อูหย่าชิงไต้ขมวดคิ้ว เหลือบตามองซิ่วหนี่ว์คนอื่นๆ
นางเองเป็นคนชอบทำร้ายคนอื่นลับหลัง จึงคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนนางด้วย
แค่เหยียบมือนางกำนัลต่ำต้อยสองคนเป็นเรื่องเล็ก กลัวก็แต่จะมีคนเอาไปฟ้องลับหลังว่านางแปดเปื้อนโลหิตเป็นอัปมงคล ไม่ควรเข้าเฝ้าเบื้องหน้าพระพักตร์...
แต่ให้ปล่อยทั้งสองคนไปเช่นนี้ก็รู้สึกขัดอกขัดใจ จึงพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เจ้ารู้จักพูดจาดีนักนะ แต่ตอนนี้รองเท้าข้าสกปรกแล้ว ข้าไม่พอใจ!”
เว่ยอิงลั่วเหลือบมองมือของจี๋เสียง
หลังมือขาวมีรอยช้ำเป็นแถบ ประทับเป็นรอยดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง ทั้งกลีบบัวและเกสรล้วนมีเลือดซึมออกมา
หัวใจของเว่ยอิงลั่วชาวาบ ทว่าสีหน้ากลับยิ่งนอบน้อมกว่าเก่า ก้มหน้าพูดกับอูหย่าชิงไต้ “นายหญิงน้อยมีความคิดสร้างสรรค์ ตั้งใจแกะสลักพื้นรองเท้าเป็นรูปดอกบัว เสียดายที่ยังขาดอะไรบางอย่าง บ่าวบังอาจขอบรรเทาความทุกข์ของนายหญิงน้อยเจ้าค่ะ”
อูหย่าชิงไต้เลิกคิ้ว “จะบรรเทาอย่างไรล่ะ”
เว่ยอิงลั่วปลดถุงหอมออกจากเอวแล้วตะโกนเรียกโดยไม่ได้หันหน้า “หลิงหลง ถุงหอมของเจ้าล่ะ”
นางกำนัลที่ถูกนางเรียกชื่อสะดุ้งโหยง
“เอามาให้ข้า” เว่ยอิงลั่วพูดพลางแกะถุงหอมออก เทผงกุหลาบข้างในลงบนพื้น
แม้ว่าจะไม่อยากออกหน้าในเวลานี้เลยก็ตาม แต่เมื่อสายตาทุกคนจับจ้องอยู่ หลิงหลงจึงได้แต่ก้าวออกไปอย่างไม่ยินดีนัก แล้วปลดถุงหอมออกมาส่งให้ “เอาไป”
ผงหอมสีเดียวกันถูกเทรวมเป็นกอง เว่ยอิงลั่วก้มลงไปกอบผงสีกุหลาบขึ้นมาด้วยสองมือ “นายหญิงน้อยอูหย่าได้โปรดยกเท้าขึ้นเจ้าค่ะ”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นรองเท้าปักลายข้างหนึ่งที่ใต้ฝ่าเท้าเปื้อนเลือดก็วางลงมาบนฝ่ามือสะอาดของนาง
เว่ยอิงลั่วประคองรองเท้าปักลายของอูหย่าชิงไต้ จากนั้นก็ใช้ถุงหอมแตะผงหอมทาเกลี่ยทั่วพื้นรองเท้าของนางอย่างตั้งอกตั้งใจ ราวกับทำเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด
“เอ?” ลู่หวานหว่านที่มองดูใบหน้าด้านข้างของนางส่งเสียงพึมพำออกมา “พี่น่าหลัน นางกำนัลน้อยคนนี้หน้าตาสะสวยทีเดียวนะ”
ผู้ที่ถูกนางเรียกว่าพี่น่าหลันก็คือ ซิ่วหนี่ว์หน้าตาพริ้มเพราที่เข้ามาห้ามนางช่วยจี๋เสียงก่อนหน้านี้ ชื่อว่าน่าหลันฉุนเส่ว์ นางโบกพัดในมือพลางพูด “สวยแล้วอย่างไรล่ะ เกิดมาในครอบครัวไพร่ เป็นบ่าวโดยกำเนิด ชะตาชีวิตก็เป็นได้แค่คนถือรองเท้าให้พี่อูหย่า”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เว่ยอิงลั่ววางเท้าของอูหย่าชิงไต้ลง พูดอย่างนอบน้อม “นายหญิงน้อยโปรดลองเดินเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะทำอะไรกันแน่...” อูหย่าชิงไต้เดินไปสองสามก้าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ถ้าบอกเหตุผลไม่ได้ ถึงข้าไม่จัดการพวกเจ้าวันนี้ แต่กลับไป...”
“วู้!” ลู่หวานหว่านไม่สนใจว่าน่าหลันฉุนเส่ว์จะพยายามห้าม ยกพัดขึ้นมาปิดปากพลางส่งเสียงชมเชย “ทุกย่างก้าวผุดดอกบัว งดงามตื่นตายิ่ง เจ้าหันกลับมาดูสิ”
อูหย่าชิงไต้ได้ยินดังนั้นก็ชะงักแล้วหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าบนพื้นหินที่ตนเพิ่งเดินผ่านทิ้งรอยประทับรูปดอกบัวเอาไว้เป็นทาง
พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงเว่ยอิงลั่วกล่าว “บ่าวร่ำเรียนหนังสือมาน้อย แต่ก็เคยได้ยินท่านอาจารย์สอนหนังสือเล่าว่า พระสนมพานเฟยผู้เป็นที่โปรดปรานยิ่งของฮ่องเต้ตงฮุนโฮ่ว เคยประทับปทุมทองบนแผ่นดิน เมื่อพระสนมพานเฟยเยื้องกรายก็เหมือนทุกย่างก้าวผุดดอกบัว งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการโปรดปราน วันนี้อิงลั่วใช้กลวิธีเล็กน้อยฝังผงกุหลาบที่พื้นรองเท้า ขออวยพรให้นายหญิงน้อยสมดั่งใจปรารถนา ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปเจ้าค่ะ”
อูหย่าชิงไต้ปรายตามองนางแวบหนึ่งแล้วโบกพัดเดินกลับไปกลับมา
บนพื้นหินสีดำปรากฏดอกบัวดอกแล้วดอกเล่า ราวกับมีดอกบัวขาวผุดผาดเบ่งบานในทะเลสาบสีดำ
ฉับพลันนั้นอูหย่าชิงไต้ก็ไม่เร่งร้อนจะลงโทษนางกำนัลทั้งสองคนอีก คิดเพียงแต่อยากจะให้ฝ่าบาททอดพระเนตรภาพนี้โดยเร็ว หากชักช้า นางจิ้งจอกเหล่านี้อาจจะเลียนแบบนางทำดอกกุหลาบหรือดอกโบตั๋นขึ้นมาอีกก็เป็นได้
“เอาละๆ” ครั้นแล้วนางก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก พูดกับเว่ยอิงลั่วที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น “เห็นแก่ความประจบสอพลอของเจ้า ข้าจะปล่อยนางไปก็ได้!”
พูดจบนางก็เหยียบดอกบัวก้าวสวบๆ ออกไปโดยไม่รั้งรอ
เมื่อนางเดินจากไป ที่แห่งนี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจให้มองอีก เหล่าซิ่วหนี่ว์ทั้งหลายต่างเดินตามออกไปทีละคน ลู่หวานหว่านเดินไปครึ่งทางก็หันกลับมาส่งยิ้มให้เว่ยอิงลั่วอย่างมีเมตตา
น่าเสียดายที่นางยืนอยู่ ส่วนเว่ยอิงลั่วคุกเข่าอยู่จึงไม่เห็นรอยยิ้มนี้
รอจนเสียงฝีเท้าห่างไปไกลแล้ว เว่ยอิงลั่วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เข้าไปหาจี๋เสียงที่ยังคงตัวสั่นไม่กล้าขยับเขยื้อน ถอนหายใจยาวพร้อมกับยื่นมือไปประคองนางขึ้นมา “จี๋เสียง ไม่เป็นไรแล้ว”
“ฮึก... ฮึก...” จี๋เสียงเหมือนยังไม่ได้สติจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ส่งเสียงตอบรับเว่ยอิงลั่วแบบสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ข้าจะพันเอาไว้ก่อน” เว่ยอิงลั่วหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดออกมาพันมือให้นางอย่างระมัดระวัง “ประเดี๋ยวค่อยพาเจ้าไปหาหมอ...”
เมื่อได้รับการดูแลด้วยความอ่อนโยนเช่นนั้น หัวใจจี๋เสียงก็ค่อยๆ สงบ ประหนึ่งถูกซัดเข้าฝั่ง ก่อนส่งเสียงตอบทั้งน้ำตา “อือ...”
“จี๋เสียง เจ้านี่ซุ่มซ่ามจริงๆ เลยเชียว!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างไม่ดูสถานการณ์ จิ่นซิ่วเดินเท้าเอวเข้ามา จีบปากจีบคอพูดจาทำร้ายน้ำใจ “เกือบทำพวกเราแย่ไปหมดแล้ว!”
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!” จี๋เสียงพองแก้มตุ่ย “เมื่อครู่ถ้าเจ้าไม่ผลักข้า คงไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก!”
“เอาละๆ เลิกเถียงกันได้แล้ว!” นางกำนัลใหญ่ปรามพวกนางทั้งสองคนแล้วสั่ง “นางกำนัลที่จะเก็บไว้ใช้งาน ต้องผ่านด่านเก็บกวาดและเย็บปักถักร้อย อย่ามัวแต่พูดมาก จงทำงานอย่างเต็มที่ เร็วเข้า!”
ทุกคนรวมถึงเว่ยอิงลั่วต่างก้มหน้าตอบ “เจ้าค่ะ”
แถวยาวที่เดินตามหลังนางกำนัลใหญ่ประหนึ่งปลาแชฮื้อว่ายตามน้ำกลับไปยังที่ที่พวกมันควรไป เดินมาถึงครึ่งทางก็มีคนดึงแขนเสื้อของเว่ยอิงลั่ว นางหันไปมองก็เห็นจี๋เสียงเหลียวซ้ายแลขวา ท่าทางระแวดระวังเหมือนหนูตัวน้อย เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้นางเสียขวัญพอควร ตอนนี้จะพูดจะจาก็ลดเสียงต่ำกว่าเดิมหลายเท่า เกรงว่าใครจะได้ยิน
“อิงลั่ว!” นางมีท่าทางไร้เดียงสาเหมือนเด็ก ก่อนต่อว่าอย่างน่าเอ็นดู “หญิงสกุลอูหย่าร้ายกาจเพียงนั้น เจ้าจะช่วยให้นางได้รับคัดเลือกทำไม”
“ได้รับคัดเลือก นางน่ะหรือ” เว่ยอิงลั่วชะงักฝีเท้า
จี๋เสียงมองนางอย่างฉงน จากนั้นก็มองตามสายตาของนางไป
พวกนางเดินมาถึงสวนกล้วยไม้ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้
ดอกกล้วยไม้ทั้งผลิบานส่งกลิ่นหอมอ่อนและกระจายเกลื่อนพื้น ทว่าสายตาของเว่ยอิงลั่วกลับมิได้จับจ้องที่กล้วยไม้ดอกใดเลย
สิ่งที่นางมองคือบ่อน้ำบ่อหนึ่ง
จี๋เสียงขนลุกซู่ขึ้นมา ไม่รู้ว่านางรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่ทั้งที่อยู่ห่างไกลถึงเพียงนี้ นางกลับสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่ลอยออกมาจากบ่อน้ำนั้น เย็นเยียบเข้าไปถึงกระดูก ราวกับลมกลางคืนที่พัดผ่านสุสานก็ไม่ปาน
...บางทีสิ่งที่เย็นเยียบอาจไม่ใช่บ่อน้ำ แต่เป็นสายตาของเว่ยอิงลั่วในยามนี้
“...จะได้รับคัดเลือกหรือตกรอบ มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้” เว่ยอิงลั่วยิ้มบาง รอยยิ้มนั้นขับไล่แววเยือกเย็นในดวงตาของนางออกไป ก่อนจะเกี่ยวแขนจี๋เสียงแล้วเดินต่อ “จริงสิจี๋เสียง ตอนที่เจ้าร้องไห้เรียกชื่อข้าเมื่อครู่นี้ เหมือนข้าเมื่อก่อนมากเลยละ”
“เอ?” จี๋เสียงตกใจ
“เมื่อก่อนข้าก็เหมือนเจ้านั่นละ เกิดเรื่องย่ำแย่บ่อยครั้ง พอตัวเองจัดการไม่ได้ก็ร้องไห้หาพี่สาว” เว่ยอิงลั่วพูดขณะหันหลังให้จี๋เสียง “นางก็มาช่วยข้าทุกครั้งเลย”
“พี่สาวเจ้าใจดีจริงนะ” จี๋เสียงพูดอย่างซื่อๆ “อิจฉาจังที่เจ้ามีพี่สาวแบบนี้”
“ไม่ ข้าต่างหากที่อิจฉาเจ้า” เสียงของเว่ยอิงลั่วเบาลงเรื่อยๆ “ตอนที่เจ้าเรียกข้า ข้ายังตอบเจ้าได้ แต่พี่สาวข้า... ไม่มีวันได้ตอบข้าอีกแล้ว”
แผ่นหลังที่อยู่ตรงหน้าช่างดูอ้างว้างโดดเดี่ยว ประหนึ่งใบไม้แห้งเหี่ยวในฤดูหนาว แม้จะไม่ปรารถนาเพียงใด แต่ก็ต้องปลิดปลิวจากต้นไม้ใหญ่ที่ตนเกิดมาอย่างจำยอม
เพียงมองเห็นเช่นนั้น จี๋เสียงก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา บีบมือที่เย็นของนางไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว หวังจะให้ความอบอุ่นแก่มือข้างนั้นและหัวใจดวงนั้น
“ไม่เป็นไรนะ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนพี่เอง” จี๋เสียงพูดเสียงแผ่วเบา “ข้าจะเป็นเพื่อนพี่... พี่อิงลั่ว”
ความคิดเห็น |
---|