บทที่ ๕
แทนจันทร์กระชับแว่นตาดำให้เข้าที่ กวาดตามองถนนรอบๆ ตัวที่แม้จะเป็นตอนกลางวันแต่ก็ไร้ผู้คนราวกับเมืองร้าง จากที่เธอมาตั้งป้อมสังเกตการณ์อยู่หลายวัน แทบไม่น่าเชื่อว่าในซอยใจกลางเมืองซึ่งวันธรรมดาเต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศและเหล่าพ่อค้าแม่ขายตั้งร้านรวงกันคึกคักจะเงียบเป็นซอยร้างได้ขนาดนี้ในวันเสาร์ เธอกังวลเล็กน้อยกับความเงียบในขณะนี้ เพราะมันทำให้เธอดูเด่นเป็นสง่า ซึ่งดูเป็นสภาวะที่ไม่เหมาะเท่าไรนักสำหรับการเฝ้าสังเกตการณ์
‘ถ้ามีใครช่วยเรา เราก็ต้องช่วยเหลือเขาตอบ’
คำพูดของผีลักกี้ทำให้สมองเกิดความคิดบางอย่างที่ทำให้เธอมาอยู่ที่นี่
แม้จะยังหาความสัมพันธ์ระหว่างลักกี้กับดอกเตอร์หน้าหินนี่ไม่ได้ แต่การได้ลองทดสอบทฤษฎีคำพูดนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย อีกอย่างแม้คำพูดคำจาท่าทางจะดูต่างกัน แต่ก็แอบหวังว่าความคิดความอ่านของพวกเขาจะถอดแบบกันมาเหมือนหน้าตาบ้าง จึงคิดว่าถ้าเธอได้มีโอกาสช่วยเหลือดอกเตอร์สักครั้ง แม้จะด้วยวิธีไหนก็ตาม เขาก็อาจจะเห็นความดีเล็กๆ น้อยๆ และโมโหเธอน้อยลง บางทีถึงขั้นโชคดี เขาอาจจะเปลี่ยนใจช่วยพูดให้เธอได้กลับไปทำงานอีกครั้ง
แม้จะรู้สึกตงิดๆ กับตัวเองที่เลือกทำเช่นนี้ เพราะเป็นตำรวจมาหลายสิบปี ช่วยตั้งแต่คนเดือดร้อนไปจนถึงหมู หมา กา ไก่ ก็ไม่เคยทำโดยหวังผลตอบแทน แต่คราวนี้ได้แต่ขอโทษขอโพยจรรยาบรรณและความตั้งใจของตนเอง ต้องตัดใจเพราะสถานการณ์มันไม่ปกติเสียแล้ว
แต่ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้เธอจะถูกผีหลอกรึเปล่า
แม้ไม่รู้อนาคต แต่ก็ยังพยายามชะเง้อชะแง้มองข้ามรั้วของศูนย์วิจัย FORT ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ชื่อดังของประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์และสร้างนวัตกรรมเกี่ยวกับเซรุ่ม วัคซีน และยาต้านไวรัสหลายประเภท ความมีชื่อเสียงและนำสมัยสื่อมาถึงตัวอาคารที่เป็นอาคารกระจกสี่เหลี่ยมสีดำสนิทดีไซน์แปลกตา ดูสมกับการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ตัวอาคารตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางสวนที่กินพื้นที่กว้างพอสมควรกว่าจะมาถึงรั้วสีขาวซึ่งปิดแน่นหนาเพราะเป็นวันเสาร์ ไม่มีพนักงานหรือผู้คนเดินผ่านไปมา
แต่ที่เธอยังมาตามเฝ้ายามที่นี่ในวันหยุด ก็เพราะได้ข้อมูลจากวงในว่าดอกเตอร์วีร์ เจ้าของศูนย์วิจัยจะอยู่ทำงานที่นี่ตลอดวันเสาร์ แต่พอมารอแล้วรอเล่า รอตั้งแต่เช้าจดบ่าย เธอก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา จนทำให้ความอดทนที่เคยตั้งไว้เต็มร้อยโดนบั่นทอนลงเรื่อยๆ จนแล้วจนรอดก็ได้แต่นั่งมองหลังคาตึกอย่างไร้ความหวัง
‘นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่’
เสียงจากจิตสำนึกฝ่ายอธรรมกระซิบถามข้างหู สะกิดใจให้ใจหนึ่งอยากจะตบเกียร์รถเดินหน้าและขับไปจากที่นี่
‘ใจเย็นสิแทนจันทร์ เธอต้องอดทนเพื่อหน้าที่การงานนะ’
‘คิดว่าหน้าอย่างเธอจะไปช่วยอะไรเขาได้ แทนจันทร์ ยังไม่เข็ดที่โดนครั้งที่แล้วเหรอ’
‘แต่ถ้าไม่มีใครดูแลคดี ชีวิตคนที่ชุมชนจะเป็นยังไง เธอต้องช่วยพวกเขานะ และดอกเตอร์วีร์คือคนเดียวที่จะช่วยเธอได้’
ฝ่ายธรรมะรีบเข้ามาเหยียบเบรก เตือนสติให้เธอรำลึกถึงคดีค้ายาเสพติดของกษิณที่ใช้วิถีชีวิตของคนในชุมชนสะพานดำเป็นแหล่งทำเงิน ภาพเยาวชนของชาติที่ต้องเสียอนาคตเพราะยาเสพติดและสภาพแวดล้อมเลวร้ายในสังคม ถ้าโครงการใช้เซรุ่มพูดความจริงกับนายชาติประสบความสำเร็จ เธอก็จะได้ข้อมูลมาจัดการล้างบางพวกมันได้ทั้งหมด
อยากจะเอาหัวโขกพวงมาลัยให้รู้แล้วรู้รอด เพราะเสียงในหัวเริ่มทำสงครามกัน เธอตัดใจผลักประตูลงจากรถเพื่อออกมาเปลี่ยนบรรยากาศก่อนที่ในสมองจะต่อสู้กับตัวเองจนเป็นโรคประสาทตายไปเสียก่อน ลงมาได้ก็บิดแขน ยืดขา คลายอิริยาบถ สะบัดหัว สะบัดไหล่คลายความเมื่อย สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ยังไม่ทันได้ครึ่งทางก็ต้องรีบย่นคิ้ว หลังจากจมูกสัมผัสได้ว่าอากาศที่หายใจเข้าไปนั้นไม่ใช่อากาศที่ดีเลยสักนิด
ใครเผาอะไร...
กลิ่นควันไฟที่เข้าไปเต็มปอดทำให้ต้องหันขวับมาไล่มองหาต้นเหตุของควันด้วยความขุ่นเคืองใจ หันซ้ายหันขวาทำจมูกฟุดฟิดไล่ดมในอากาศจนเหลือบไปเห็นกลุ่มควันดำที่ลอยออกมาจากอาคารตรงหน้า ทั้งที่เมื่อครู่ที่เธอจับตาดูอยู่ยังไม่มีกลุ่มควันพวกนี้เลยสักนิด
เท่าที่มองดู ภายในรั้วศูนย์วิจัยแห่งนี้ก็ไม่น่ามีทุ่งหญ้าหรือกองขยะขนาดใหญ่ที่เผาไหม้แล้วจะเกิดควันโขมงได้ขนาดนั้น เมื่อยืนดูอยู่สักพักก็ยิ่งรู้สึกว่ากลุ่มควันนั้นหนาแน่นขึ้นทุกที จมูกได้กลิ่นควันไฟ แต่สัญชาตญาณได้กลิ่นเรื่องไม่ดี ยืนดูอยู่นานก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จึงตัดสินใจเดินตรงไปที่ป้อมยามด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลนัก บางทีพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ประจำอยู่อาจเข้าไปช่วยตรวจสอบได้ถ้าเกิดเหตุอะไรด้านในจริงๆ
“ขอโทษนะคะ” แทนจันทร์ส่งเสียงนำไปก่อน “มีคนอยู่มั้ย”
คิ้วขมวดกับความเงียบผิดปกติ ถึงแม้จะเป็นวันเสาร์อาทิตย์ แต่ตามหลัก สถานที่ที่เป็นทางการแบบนี้ควรมีพนักงานรักษาความปลอดภัยทำงานทุกวัน แม้เธอจะส่งเสียงเรียกอยู่หลายครั้งหน้าประตู แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ แทนจันทร์จึงเดินไปจนติดตัวป้อมยามพร้อมชะโงกหน้ามองผ่านบานกระจกเล็กๆ
“เฮ้ย!”
หญิงสาวผงะกับภาพที่เห็น รู้สาเหตุของความเงียบนั้นทันที ไม่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยคนไหนตอบเธอได้ เพราะว่าพวกเขานอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น กลางอกมีมีดเล่มยาวเสียบคาไว้น่าสยดสยอง
แย่แล้ว...
แทนจันทร์ไม่รออะไรอีกแล้ว เธอถอยออกมามองประตูรั้วสูงที่ปิดสนิท แต่ก็รู้ว่ามันกั้นไม่ได้ถ้าต้องการจะเข้าไป เธอตัดสินใจทันทีโดยไม่ต้องรอคำสั่งใคร
ร่างเล็กคล่องแคล่วกึ่งวิ่งกึ่งเดินเลาะมาตามแนวอาคารอย่างมีเป้าหมาย เธอเดินอ้อมสวนด้านข้างตรงเข้าไปยังจุดที่คิดว่าตัวเองเห็นควันไฟก่อน ทันทีที่พ้นมุมตึกเข้ามาถึงด้านหลังที่เป็นลานจอดรถ ก็รู้ว่าไม่ได้มีการเผาหญ้าหรือเผาขยะอะไรทั้งนั้น ควันโขมงพวกนั้นมาจากชั้นบนของตึก พวยพุ่งออกมาตามร่องหน้าต่างที่เป็นกระจก ทำให้ท้องฟ้าด้านหลังดำทะมึนไปหมด
ประตูอัตโนมัติด้านหน้าปิด แต่ประตูทางเข้าด้านหลังเปิดทิ้งอ้าซ่า สิ่งที่ทำให้ผู้หมวดสาวรู้ว่าเธอช้าไม่ได้อีกแม้แต่วินาทีเดียวคือร่างของพนักงานรักษาความปลอดภัยอีกคนที่นอนฟุบอยู่ที่โต๊ะหน้าประตู เมื่อมองไปที่ลานจอดรถหลังอาคารก็เห็นรถยุโรปหรูสีดำจอดอยู่เพียงคันเดียว
และวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ เป็นวันที่ดอกเตอร์วีร์จะเข้ามาทำงานที่นี่
สิ่งที่เห็นทั้งหมดทั้งมวลทำให้ไม่สามารถคิดเรื่องดีได้จริงๆ
ไม่เคยกลัวโจรผู้ร้าย ไม่เคยกลัวไฟ ไม่เคยกลัวอันตรายใดๆ สิ่งที่กลัวอย่างเดียวตอนนี้คือกลัวว่าจะเข้าไปช่วยคนที่กำลังเดือดร้อนไม่ทัน
แทบไม่ต้องคิด แทนจันทร์พุ่งผ่านประตูตรงเข้าไปในตัวอาคาร เข้ามาถึงชั้นล่างซึ่งจัดไว้เป็นโซนต้อนรับแขกทั่วไปที่ตอนนี้ไร้ผู้คน มีเพียงเสียงกรีดร้องโหยหวนของสัญญาณเตือนไฟไหม้ จำได้ว่าจากที่มองด้านนอก ต้นเหตุเพลิงไหม้น่าจะอยู่ประมาณชั้นสามของอาคาร แม้กลิ่นควันไฟจะเริ่มแรงจนแสบจมูก แต่หญิงสาวก็รีบสาวเท้าขึ้นบันไดไปทันที
ควันไฟเริ่มหนาตาเมื่อบันไดมาจบที่ชั้นสามซึ่งมีทางเดินแยกเป็นทางซ้ายและขวา มองดูแล้วไม่ว่าทางไหนก็เป็นทางเดินแคบที่ขนาบไปด้วยประตูนับสิบบาน ขณะที่ยังยืนสับสน เลือกไม่ถูกว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือขวาดี เสียงหนึ่งที่ดังชัดเจนขึ้นท่ามกลางเสียงโหยหวนของสัญญาณเตือนไฟไหม้ก็ทำให้เธอหันขวับ
ปัง!
มันเป็นเสียงของกระสุนปืนที่วิ่งผ่านปลอกเก็บเสียง แต่ด้วยความแคบของอาคารและความใกล้มากจึงทำให้ได้ยินชัดเจน ไม่เคยมีความกลัวปืนผาหน้าไม้ในประสาทรับรู้ของผู้หมวดแทนจันทร์ สัมมาอาชีพที่ฝึกมานานทำให้เธอรู้ว่านี่คือเวลาที่ต้องตั้งสติ ไม่ใช่ตกใจ การที่บุกมาโดยไม่ได้เตรียมการทำให้อาวุธที่พกมามีเพียงสองมือเปล่า จึงต้องเปิดประสาทรับรู้และทักษะทั้งหมดเพื่อเตรียมรับเหตุการณ์เฉพาะหน้า ดวงตาสีดำหรี่ลงขณะวิเคราะห์ทิศทางของเสียง แล้วค่อยๆ เดินตามเสียงไปยังทางเดินด้านขวาที่มองเห็นควันไฟหนาทึบสุดทางเดิน
เสียงปืนที่ยังดังต่ออีกหลายนัดบีบหัวใจให้เต้นระรัว แต่สองเท้าก็ยังก้าวไปช้าๆ อย่างรักษาระดับความเร็วและเงียบกริบ ไม่กล้าแม้แต่จะไอทั้งที่เริ่มแสบคอแสบจมูกจากควันที่หนาทึบขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดเมื่อเจอทางแยก และคราวนี้ก็ไม่มีเสียงปืนดังให้เธอตามได้ว่าควรไปทางไหนต่อ
นี่มันศูนย์วิจัยหรือเขาวงกตกันแน่เนี่ย
อดบ่นไม่ได้อย่างขัดใจความซับซ้อนของสถานที่ที่ไม่รู้เลยว่าเดินมาถึงแยกไหนมุมไหนแล้ว สองข้างทางมีแต่ประตูห้องเหมือนกันไปหมด ทางเดินก็มีแต่มุมอับที่จะทำให้ตกอยู่ในอันตรายได้ทันทีหากเลือกผิดทาง อย่างเช่นตอนนี้ที่เดินมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจเลือกอีกครา
เมื่อกี้เลี้ยวขวาแล้ว ครั้งนี้ไปซ้ายละกัน
ตัดสินใจแบบไม่อยากจะคิดมาก คิดแล้วก็ก้าวพรวดออกไปทันที
“เฮ้ย!”
โดยไม่ตั้งตัว จังหวะที่ก้าวออกไปนั้นเธอชนตึงเข้ากับวัตถุบางอย่างอย่างแรงจนเซถอยกลับไปที่เดิม ยกมือคลำหน้าผากป้อยๆ ด้วยความเจ็บ ขณะที่ยังสับสนว่าตัวเองเดินชนอะไรตัวก็ถูกผลักเซไปกระแทกผนังอย่างจัง
“แก!”
เพราะได้ยินเสียงคนจึงรู้ว่าสิ่งที่ชนแถมผลักเธอหน้าหงายไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นคน และเมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็สบตากับร่างสูงนั้นพอดี
เห็นแวบแรกก็จำได้ทันทีว่าเขาคือใคร นัยน์ตาสีอัลมอนด์เบิกกว้างอย่างตกใจ สีหน้าลุกลี้ลุกลนราวกับกำลังหนีอะไรมา
“ดอกเตอร์วีร์!”
แทนจันทร์ร้องอย่างยินดี ไม่คิดว่าจะได้เจอคนที่ตั้งใจตามหาโดยบังเอิญขนาดนี้ แต่สำหรับอีกฝ่าย สายตาที่มองมานั้นตรงข้ามกับเธอสิ้นเชิง ขณะที่เธอก้าวเข้าไปหาเขา เขาก็รีบขยับหนี ดวงตาสีอัลมอนด์ไม่ส่อแววดีใจหรือต้องการเป็นมิตรใดๆ กับเธอ
“คุณเป็นใคร”
“ฉันเอง ฉันไง ฉัน...ที่...” แทนจันทร์พยายามหาคำจำกัดความให้ตนเอง “ฉันเป็นตำรวจจากกองปราบปราม ทีมเดียวกับผู้กองจิณณ์ เราเคยเจอกันที่โรงพยาบาลไง คุณจำได้มั้ย”
พอพูดจบประโยค ไม่รู้ว่าจะรู้สึกดีหรือไม่ดีที่ทันทีที่เขาจำเธอได้ เขาก็เปลี่ยนจากสายตาไม่เป็นมิตรมามองเธอเหมือนตัวประหลาดแทน ดูไม่ได้มีอาการดีอกดีใจหรืออุ่นใจที่มีตำรวจเข้ามาช่วยเหลือตัวเองในสถานการณ์แบบนี้ ซึ่งนั่นก็ทำให้คนที่อุตส่าห์ฝ่าควันเข้ามาหน้าบูดเล็กน้อย แต่ก็พยายามไม่โทษสายตาแบบนั้น เพราะเหตุการณ์พบกันครั้งแรกของเธอกับเขาก็ยังทำตัวเองหน้าชาอยู่ ยิ่งบวกกับครั้งนี้ที่เธอโผล่เข้ามาในที่ทำงานเขาโดยไม่มีสาเหตุ จึงยิ่งไม่สามารถหาเหตุผลดีๆ เกี่ยวกับการปรากฏตัวของเธอมาอธิบายได้เลย
ปัง!
ทั้งตำรวจทั้งดอกเตอร์ก้มตัวลงพร้อมกันโดยอัตโนมัติ แทนจันทร์ซึ่งไวกว่าจากการถูกฝึกมาตามหน้าที่คว้าตัวสูงๆ นั้นให้เข้ามาหลบข้างตัว คราวนี้ได้ยินเสียงปืนชัดเจนว่าดังมาจากทางซ้ายมือที่ชายหนุ่มเพิ่งวิ่งสวนออกมา
“มันมีกันกี่คน” เธอกระซิบถามโดยเร็ว
“ผมเห็นแค่คนเดียว” วีร์ตอบทั้งที่ยังก้มตัวอยู่ “มันจะมาเอาเซรุ่ม”
เซรุ่มที่ว่าคงหนีไม่พ้น Truth serum หรือเซรุ่มพูดความจริง ผลงานที่ศูนย์วิจัยร่วมมือกับกองปราบปรามยาเสพติดวิจัยและผลิตขึ้นมาเพื่อสนับสนุนงานสอบสวนให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเคสแรกที่มีกำหนดการใช้ก็คือคดีของนายชาติ มือขวาของนายกษิณ เจ้าพ่อค้ายาที่กระจายยาเสพติดในชุมชนแออัด ซึ่งพวกเธอทำงานกันอย่างหนัก
จากการที่ดอกเตอร์วีร์ เจ้าของศูนย์วิจัยซึ่งเป็นตัวหลักในการวิจัยเซรุ่มถูกลอบทำร้ายและทำราวกับว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อครั้งที่แล้ว มาจนถึงครั้งนี้ที่เขาถูกตามไล่ยิงจนถึงที่ทำงาน คนที่จะทำเรื่องเลวทรามได้ขนาดนี้ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากพวกนายกษิณแน่ๆ
“รีบหนีกันก่อนคุณ”
“ไม่ได้!”
แทนจันทร์หันขวับไปมองเสียงค้านแบบไม่เข้าใจ เห็นแววตาของชายหนุ่มที่จริงจังยิ่งกว่าน้ำเสียง
“ต้นแบบเซรุ่มยังอยู่ในห้องทดลอง จะให้พวกมันเอาไปไม่ได้” ดอกเตอร์หนุ่มกล่าวอย่างร้อนรน “ผมต้องไปเอาเซรุ่มก่อน”
การไปเอาเซรุ่ม ดูจากสถานการณ์แล้วแน่นอนว่าต้องฝ่าทั้งไฟและดงกระสุน ซึ่งหมายความว่าต้องเสี่ยงถึงชีวิต แต่ดูท่าทางมุ่งมั่นแล้วดอกเตอร์หนุ่มก็คงไม่มีทางยอมออกไปจากที่นี่มือเปล่าเช่นกัน และด้วยความที่ตนเองก็เป็นคนทำงานทุ่มเทเกินพันเปอร์เซ็นต์มาตลอดชีวิตการเป็นตำรวจ จึงเข้าใจดีว่าเซรุ่มนั้นสำคัญต่อเขาและองค์กรของเธอมากเพียงใด แทนจันทร์จึงตัดใจก่อนพยักหน้าถาม
“แล้วห้องทดลองไปทางไหน”
ทางเดินของที่นี่สับสนยิ่งกว่าเขาวงกตจริงๆ อย่างที่เธอเปรียบ ถ้าไม่ได้เจ้าของสถานที่เป็นผู้เดินนำ แทนจันทร์มั่นใจว่าเธอคงหลงทางตายเป็นผีเฝ้าหลอดทดลองอยู่ที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะทางไปห้องทดลองซึ่งตั้งอยู่ลึกสุดเพราะมีข้อมูลที่เต็มไปด้วยความลับมากมาย ยิ่งเดินใกล้มากเท่าไร ควันก็ยิ่งหนาจนแทบมองไม่เห็นทาง ไอร้อนปะทะร่างราวตัวเองเป็นขนมปังในเตาอบ
แทนจันทร์เองยอมรับว่าเห็นประกายเพลิงตรงหน้าแล้วก็หวั่นกับความร้อนไม่ได้ แต่คนที่เดินอยู่ข้างกายยังคงก้าวต่อไปอย่างมุ่งมั่น บุกทะเลควันตรงหน้าเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างคนมีเป้าหมายชัดเจน แค่นี้ก็ทำให้รู้เลยว่าต้นแบบเซรุ่มนั้นมีความสำคัญสำหรับเขามากเพียงใด
“ระวัง!”
ไอร้อนปะทะวาบจนต้องหันหน้าหนีเมื่อวีร์เลื่อนประตูบานหนึ่งออก มันเป็นประตูของส่วนที่เป็นเหมือนห้องอาหารขนาดกว้างที่เป็นพื้นที่พักผ่อนของพนักงานก่อนจะเข้าไปยังห้องทำงานหรือห้องทดลองด้านใน มันเป็นห้องสีขาวขนาดกว้าง เพดานสูง มีโต๊ะเก้าอี้สำหรับรับประทานอาหารตั้งไว้เป็นชุดๆ และมีอุปกรณ์ที่ใช้ในครัววางเรียงกันอยู่ตามเคาน์เตอร์ ดูแล้วห้องนี้น่าจะเป็นส่วนที่ติดกับต้นเพลิงมากทีเดียว จึงทำให้เริ่มมีไฟลามเข้ามาบางส่วนแล้ว
“มีคนมา”
ขณะที่เดินเข้ามาได้ไม่ถึงครึ่งห้อง ยังไม่ทันทะลุอีกประตูออกไป หางตาก็เหลือบเห็นเงาคนที่ประตูทางเข้าที่พวกเธอเพิ่งจะผ่านเข้ามาเมื่อครู่ แทนจันทร์ร้องเตือนคนข้างตัวสั้นๆ ในวินาทีเดียวกับที่ประตูบานนั้นเปิดออก มือเล็กก็กระชากอย่างเร็ว แรง และลืมตัว ให้คนมาด้วยกันเซเข้าไปหลบหลังมุมเคาน์เตอร์ครัวทางซ้ายมือซึ่งเป็นที่กำบังเดียวที่พอจะหาทันในจังหวะนี้
หากประกายเพลิงตรงหน้าเปรียบดั่งมัจจุราชที่พวกเธอต้องก้าวเข้าไปหา มันก็ยังไม่น่ากลัวเท่ามัจจุราชสองเท้าที่ไล่ล่าตามติดมาราวกับเงาแบบนี้ ทำให้ต้องหลบชนิดที่เรียกได้ว่าถลาหัวซุกหัวซุนไม่รู้ทิศทาง รู้เพียงอย่างเดียวคือต้องทำตัวให้ลีบที่สุด แนบกายไปกับเคาน์เตอร์และปิดปากเงียบท่ามกลางสิ่งของที่กำลังมอดไหม้เพราะเปลวเพลิง สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือเฟอร์นิเจอร์ซึ่งทำจากไม้และเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีกำลังถูกเพลิงลุกท่วมอยู่ตรงหน้าพวกเขาห่างไปเพียงไม่กี่ช่วงตัว อากาศร้อนระอุจนรู้สึกว่าไอร้อนที่กระทบผิวกำลังจะเผาเนื้อหนังให้ละลายไปด้วย
ท่ามกลางเสียงปะทุของการเผาไหม้ ก็มีอีกเสียงที่ทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น คือเสียงรองเท้าบูตหนักกระทบพื้นดังก้อง แต่ละก้าวเหมือนเหยียบขยี้ลงมาที่หัวใจ แทนจันทร์กลั้นลมหายใจเมื่อมันขยับเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที เม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้มีเสียงใดหลุดออกมา เหงื่อเม็ดเล็กผุดพราวเต็มหน้าด้วยความร้อนและความกดดัน ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าตอนนี้เธออยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมีทีมงานและอาวุธครบมือ จะไม่มีแทนจันทร์คนที่แอบซุกอย่างไม่มีทางสู้แบบนี้เด็ดขาด คงจะมีการปะ ฉะ ดะ ถึงพริกถึงขิงกันไปแล้ว แต่ในขณะนี้มันกลับกัน เธอไม่มีอาวุธสักชิ้น แถมยังมีชีวิตของคนสำคัญระดับประเทศอยู่ในมืออีกต่างหาก
มือบีบแน่นตอนที่เสียงฝีเท้าดังอยู่ไม่ไกล เปลวเพลิงทำให้มองเห็นเงาสีดำของผู้ชายร่างหนาสูงใหญ่ ในมือมีวัตถุสีดำที่ติดกระบอกยาวไว้ตรงปลาย ก้าวเดินช้าๆ ใกล้พวกเธอเข้ามาทุกที
สัญชาตญาณของการปกป้องและการเอาตัวรอดทำให้แทนจันทร์เริ่มคิดถึงสารพัดสิ่งที่จะรับมือหากมันรู้ตำแหน่งว่าเขาและเธอซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ดวงตากลมที่คมกริบด้วยประสบการณ์อันโชกโชนมองเก้าอี้เหล็กที่อยู่ไม่ไกล มันคงพอจะเป็นอาวุธชิ้นเดียวที่อาจจะคว้าทัน แต่ทางที่ดีที่สุดคือต้องภาวนาอย่าให้มันเจอพวกเธอในตอนนี้ เพราะอย่างไรเก้าอี้ก็ไม่มีทางไวกว่าลูกกระสุนแน่นอน
เธอกลั้นหายใจฟังเสียงฝีเท้าแต่ละก้าวที่เหมือนจะขยี้ลงบนหัวใจ มันก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนเหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าว ถ้ามันเดินต่อไปก็จะพ้นมุมเคาน์เตอร์และหันกลับมาเห็นพวกเธอได้ไม่ยาก
‘ทำยังไงดีแทนจันทร์ ทำยังไงดี’
หัวใจบีบ กดดันสมองให้ลงมือทำอะไรสักอย่าง แทนจันทร์ตัดสินใจในเสี้ยววินาทีขณะที่เงานั้นขยับ ตกลงกับตัวเองว่าหากมันก้าวอีกก้าวเดียว เธอจะกระโดดออกไปคว้าเก้าอี้ตัวนั้น เมื่อเตรียมคิดไว้แล้วเช่นนั้น สองขาก็ดันตัวขึ้น พร้อมเทน้ำหนักพุ่งไปข้างหน้าจังหวะเดียวกับที่มันก้าว
โครม!
ถ้าฟ้าถล่มได้เสียงก็คงดังประมาณนี้ เสียงโครมดังสนั่นกลบทุกสิ่งทุกอย่างจนหมด
แทนจันทร์เบิกตากว้าง อากาศร้อนจนเหมือนได้กลิ่นผมตัวเองไหม้และผิวหนังที่แขนด้านชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว เธอหอบหายใจถี่รัว ใจร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม เก้าอี้ที่เธอกำลังจะกระโดดไปคว้านั้นหายไปแล้ว มันกลายเป็นซากกองเพลิงที่ลุกท่วมจากตู้ไม้ด้านบนที่ร่วงลงมาเพราะถูกไฟเผาจนหมดแรงยึดเกาะผนัง ดวงตากะพริบปริบๆ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าไม่ใช่เก้าอี้พวกนั้นแต่เป็นร่างของเธอป่านนี้จะมีสภาพเป็นเช่นไร
หลังจากเสียงฟ้าถล่มสงบลง เสียงที่ดังที่สุดที่ได้ยินตอนนี้ก็คงจะเป็นเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นราวกับจะทะลุออกมานอกอก แต่อัตราการเต้นและความถี่รัวนั้นเร็วเกินกว่าที่หัวใจดวงเดียวจะเต้นได้ จนเมื่อฟังดีๆ ก็รู้ว่ามีจังหวะหัวใจอีกดวงเต้นแทรกอยู่ด้วยความเร็วไม่แพ้กัน ได้ยินชัดเจนเพราะหูแนบอยู่กับแผ่นอกใกล้หัวใจดวงนั้นเพียงแผ่นเนื้อกั้น สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่รินรดหน้าผาก ยังเจ็บแปลบที่ข้อมือที่ถูกเขากำไว้แน่น คงเป็นมือนี้เองที่ดึงเธอออกมาจากการถูกย่างทั้งเป็น
ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทัก ไม่กล้าแม้แต่ขยับหนีกองไฟกองใหญ่ที่ลุกไหม้อยู่ตรงปลายเท้า ในสถานการณ์จวนตัว สองใบหน้าหันหนีความร้อนซุกเข้าหากันแน่น ลมหายใจหล่อหลอมด้วยความเป็นความตายจนแทบจะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน รู้สึกเหมือนจะขาดใจเมื่อต้องนั่งเฝ้ารอแต่ละวินาทีให้ผ่านไป
ได้ยินเสียงฝีเท้านั้นย่ำไปย่ำมา ต่อให้อึดโหดแค่ไหน มันก็ยังเป็นมนุษย์ที่ต้องยอมถอยให้ความร้อนร้ายกาจของธรรมชาติที่เข้าขั้นอันตรายมากขึ้นทุกทีในห้องนี้ สักพักเสียงฝีเท้านั้นจึงค่อยๆ ถอยห่างออกไป เงาที่พาดผ่านไปมาก็หายไปด้วย
น่าจะ...ไปแล้ว
เมื่อเงี่ยหูฟังว่าเงียบสนิท ไม่มีเสียงสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากพวกเขาสองคนอีก แทนจันทร์ก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ขยับปลายเท้าหนีกองไฟอย่างขยาด ตะเกียกตะกายโผล่หัวออกไปพ้นขอบเคาน์เตอร์ พอแน่ใจว่าไม่เห็นใครก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“มันไปแล้วดอกเตอร์” เธอบอกอย่างโล่งอก “ไปเร็ว!”
แทนจันทร์เอ่ยปากเร่ง ไฟเริ่มลามจนไม่คิดว่าจะปลอดภัยหากยังอยู่ที่นี่ต่อไป จะเดินออกไปแต่ก็ไม่เห็นเขาขยับตามมา เมื่อเร่งไปกี่รอบก็ไม่เห็นมีปฏิกิริยาตอบกลับจากการเรียกนั้นจึงหันหลังกลับไปดู
“คุณ! ลุกขึ้นมาเร็ว”
เหมือนคำพูดเธอหายไปกับสายลมร้อน ชายหนุ่มยังคงนั่งชันเข่าอยู่กับพื้นนิ่งไม่ไหวติง ทั้งที่ไม่มีทางที่เขาจะไม่ได้ยินเสียงเรียกของเธอ จะเรียกดังกว่านี้ก็ไม่กล้า ต้องเดินย้อนกลับไปใกล้ๆ ก่อนย่อตัวลงเขย่าไหล่หนานั้นพร้อมเรียก
“คุณวีร์!”
“ทำอะไรน่ะ!”
คนตากลมหน้าเหลอเมื่อจู่ๆ เสียงดุก็ลั่นใส่หน้า สบตาเขาก็เจอกับรังสีอำมหิตที่ทำให้มือเล็กๆ ต้องขยับออกแบบงงๆ
“เป็นอะไรของคุณ ก็ฉันเรียกตั้งนานคุณก็ไม่ได้ยิน” คนโดนดุอดแหวกลับไม่ได้ “แล้วจะเสียงดังทำไม ตกอกตกใจหมด”
แทนจันทร์เก็บสีหน้าตกใจและความเป็นห่วงกลับมาแทบไม่ทัน กลายเป็นหงุดหงิดน้อยๆ เมื่อโดนสายตาอำมหิตแผ่รังสีใส่ คิดขึ้นมาได้ว่าไม่น่าเผลอเป็นห่วงคนที่ดุอย่างกับสุนัขแบบนี้เลย
“ผม...ผมไม่เป็นไร”
“เออ ไม่เป็นไรก็ดี” เมื่อเจ้าตัวตอบเช่นนั้น แทนจันทร์ผู้ซึ่งไม่ชอบจุกจิกก็ไม่อยากรบเร้า บวกกับความหมั่นไส้ท่าทางเชิดๆ นั้น เธอจึงลุกขึ้นยืนและเลิกสนใจไยดี
“จะไปต่อได้รึยังล่ะ ห้องทดลองของคุณอยู่อีกไกลมั้ยเนี่ย”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วตอบเบาๆ
“ทะลุแคนทีนไปก็ถึงแล้ว”
ถ้านรกมีจริง หนทางลงไปสู่นรกก็คงจะร้อนประมาณนี้
แทนจันทร์คิดขณะเดินฝ่าเปลวเพลิงที่หนาและใกล้ตัวมากขึ้นทุกที หลังออกจากส่วนห้องอาหารก็ตรงเข้าสู่ส่วนด้านในที่เป็นห้องทำงานของพนักงาน ซึ่งดูจะเป็นต้นเพลิงของไฟไหม้ครั้งนี้
“ห้องนี้”
วีร์ผลักประตูห้องทางซ้ายมือ แวบแรกก็ถึงกับผงะเพราะไอร้อนหลังบานประตูตีใส่หน้า ทำเอาทั้งสองคนเซกันไปคนละทิศ แต่เลือดนักวิจัยก็ข้นใช่ย่อย เมื่อตั้งตัวได้วีร์ก็ก้าวฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปในห้องทดลองอย่างไม่เกรงกลัว สำหรับคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยได้มีโอกาสทำงานด้านวิจัยหรือทดลองวิทยาศาสตร์อย่างตำรวจสาว ห้องทดลองของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ระดับประเทศนี่ก็มีหน้าตาผิดจากที่คิดไว้มาก มันเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่ แต่ยาวลึกไปเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงกลางห้องเป็นเคาน์เตอร์ปฏิบัติงานตั้งยาวแบ่งครึ่งห้อง อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์หน้าตาแปลกประหลาดมากมายวางอยู่บนชั้นสูงถึงเพดานที่เรียงยาวติดผนังไปสุดลูกหูลูกตา
วีร์ตรงเข้าไปที่โต๊ะใหญ่กลางห้องอย่างคุ้นเคย ก่อนจะคว้าอุปกรณ์หลายอย่างที่เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร เก็บใส่กระเป๋าคล้ายกระเป๋าเอกสารสีดำขนาดไม่ใหญ่
“เร็วหน่อยคุณ”
แทนจันทร์ไม่ได้อยากเร่ง แต่เธอรู้สึกว่าความร้อนที่มากขึ้นกำลังทำให้เธอหายใจไม่ได้ ยิ่งเมื่อเข้ามาในห้องนี้มันไม่ได้มีแค่กลิ่นควันไฟ แต่ยังมีกลิ่นสารเคมีสารพัดอย่างตีกับกลิ่นควันไฟ ทำให้เธอรู้สึกแสบคอ แสบจมูก และเริ่มไอไม่หยุด
“กลั้นหายใจไว้ก่อน ห้องนี้มีสารเคมีเยอะ กลิ่นมันเป็นพิษ”
เจ้าของสถานที่ส่งเสียงเตือน แต่ดูจะช้าไปเสียแล้ว แทนจันทร์แสบคอและเริ่มจะแสบตามากขึ้นเรื่อยๆ พอไล่มองไปยังชั้นวางของที่เต็มไปด้วยขวดทดลองหลากหลายแบบทั้งทรงสูงทรงต่ำ ก็ทราบสาเหตุของอาการแสบหูแสบตานี่ ขวดบางขวดแตกกระจาย ทำให้สารเคมีข้างในไหลนองพื้น บางขวดนอนกลิ้งอยู่กลางไฟส่งกลิ่นเหม็นและควันดำฟุ้ง บางขวดที่สถานะทางเคมีไม่เข้ากับความร้อน สารด้านในก็กลายเป็นของเหลวหนืดข้นสีดำไหม้ไม่น่ามอง ยังไม่นับของแข็งนับร้อยๆ ก้อนที่เก็บอยู่ในกล่องใสๆ นั่นอีก
“เสร็จแล้ว”
ทันทีที่ปิดกระเป๋าลง วีร์ก็รีบเดินนำหน้าตรงไปที่ประตูทางออก แทนจันทร์รีบก้าวตาม และเพราะเป็นคนเดินตามหลังจึงทำให้เธอมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ตาค้าง ราวกับภาพช้าในภาพยนตร์ที่เธอเห็นร่างสูงกำลังก้าวนำไปข้างหน้า สายตาของเขามุ่งตรงไปแต่ที่ทางออก จึงไม่ได้ใส่ใจมองด้านข้างที่เป็นชั้นวางสารเคมีหลากสีชั้นใหญ่
แต่สำหรับเธอ...ที่สังเกตเห็นชัดเพราะว่ามันเป็นประกายไฟสีเขียวซึ่งแตกต่างจากไฟสีส้มทั่วไป คงเพราะเป็นไฟที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาทางเคมี สัญชาตญาณตำรวจที่ถูกฝึกมาล้วนๆ บอกว่าอันตราย ทันทีที่เห็นมันเป็นสีเขียวสว่างวาบ คนตัวเล็กก็กระโดดโถมเข้าใส่คนข้างหน้าสุดตัว แรงผลักของเธอทำให้ดอกเตอร์วีร์ซึ่งไม่รู้ตัวถลาเสียหลักหน้าทิ่มออกไปทางประตู จากนั้นเสียงระเบิดก็ดังสนั่นหวั่นไหว
ภาพตรงหน้ามืดลงชั่วขณะ!
ได้กลิ่นของความพังพินาศ รู้สึกสัมผัสความตายได้แค่ปลายนิ้ว
เป็นครั้งแรกที่ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจ
‘ไม่...ยังตายไม่ได้’
ได้ยินเสียงในหัวพร่ำบอกตัวเองสลับกับเสียงระเบิดที่ดังอีกหลายระลอก แทนจันทร์ซุกแขนตัวเอง ยังงุนงงอยู่ว่าภาพที่เห็นคือความฝันหรือความจริง ราวกับภาพสโลว์โมชันในภาพยนตร์ที่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เป็นภาพห้องเอียงกระเท่เร่ ไม่รู้หัวรู้ท้าย รอบตัวเต็มไปด้วยเศษกระดาษติดไฟที่ปลิวว่อน เพลิงจากการระเบิดที่โหมลุกทั้งห้องเปลี่ยนพื้นที่รอบตัวให้กลายเป็นทะเลเพลิง
ท่ามกลางการทำลายล้างของธรรมชาติ มนุษย์ตัวเล็กที่นอนคุดคู้ไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ได้เพราะมันจุกจนพูดไม่ออก เมื่อขยับตัวก็รู้สึกร้าวไปทั้งแขนข้างขวาที่กระแทกกับพื้น หูสองข้างอื้ออึงด้วยเสียงหวีดหวิวจากเสียงระเบิดราวกับโลกถล่ม แม้จะร้อนจนแทบไหม้ แต่ก็จำต้องนอนนิ่งๆ เพื่อรอให้ร่างกายค่อยๆ ปรับสภาพ
ยังสัมผัสได้ถึงสติและรับรู้ลมหายใจของตัวเอง ทำให้รู้ว่านรกอาจจะยังไม่ต้องการเธอตอนนี้ แต่ความร้อนราวกับจะเผาไหม้ทุกอย่างให้เป็นจุณนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับอยู่ในนรกเลยแม้แต่น้อย ไฟนรกกำลังจะแผดเผาเธอทั้งเป็นถ้าเธอยอมแพ้อยู่ตรงนี้
แทนจันทร์ค่อยๆ ขยับตัวอย่างยากลำบาก เพราะการกระแทกพื้นเมื่อครู่ทำให้รู้สึกสะเทือนไปทั้งตัว รวดร้าวไปทั้งร่างจนต้องกัดฟันทนความเจ็บ พยุงตัวลุกขึ้นมานั่งจนได้และเริ่มสำรวจตัวเอง นึกดีใจที่อวัยวะยังอยู่ครบสามสิบสอง ไม่มีส่วนใดหายหรือบกพร่องไป ต้องขอบคุณเคาน์เตอร์ปฏิบัติงานกลางห้องที่เป็นตัวกันไฟไม่ให้เธอถูกย่างสด เมื่อหันไปทางประตูก็มองเห็นร่างของอีกคน ทำให้ต้องเรียกสติกลับคืนมาไวกว่าเดิมเพื่อกระเสือกกระสนขยับตัวไปหาวีร์ที่นอนตะแคงคุดคู้อยู่หน้าประตูทางออก
“คุณวีร์...”
เมื่อส่งเสียงเรียกแล้วแต่ไม่เห็นเขาขยับ แม้ใจจะฝ่อ แต่หญิงสาวก็รีบกัดฟันลากสังขารตัวเองไปดึงตัวเจ้าของสถานที่ขึ้นมาจากพื้น แต่เพราะตัวเองก็ยังระบมไปทั้งตัว จึงทำให้เสียหลักล้มไม่เป็นท่า ทั้งที่เจ็บจนร้าวไปถึงกระดูก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ พยายามฮึดทั้งลากทั้งดึงจนวีร์ทรงตัวลุกขึ้นมานั่งได้
หมับ!
แทนจันทร์สะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ มือถูกคว้าหมับ สัญชาตญาณที่ไม่ชอบถูกใครแตะต้องตัวทำให้เธอดึงกลับทันที แต่คราวนี้มือเธอไม่ได้กลับมาตามแรงดึง เพราะโดนอีกคนบีบไว้แน่น
“ดอกเตอร์!”
กำลังจะแหกปากต่อว่า แต่ก็ต้องหยุดเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ แทนจันทร์รู้สึกว่าแรงที่บีบข้อมือเธอนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และมากเกินไปจนเหมือนจะบีบข้อมือเธอให้แหลกคามือเขา เมื่อหันไปมองใบหน้านั้นก็ต้องขมวดคิ้ว ใจหล่นวูบทันทีที่เห็นแววตาคู่นั้น ดวงตาสีอัลมอนด์คู่เดิมเปลี่ยนไป ไม่ใช่แววตาของดอกเตอร์วีร์ที่เคยเห็น ตอนนี้มันเบิกโพลง แข็งค้าง จ้องเขม็งไปข้างหน้าอย่างน่ากลัว
เกิดอะไรขึ้นกับเขา
ทั้งเรียกชื่อ ทั้งถามหลายประโยค แต่เหมือนเขาจะไม่ได้ยินเสียงเธอเลยสักนิด ความน่ากลัวคือสังเกตได้ว่าทั้งคอ ไหล่ แขน และเนื้อตัวของเขาแข็งทื่อราวกับท่อนไม้และเริ่มมีอาการสั่น มือที่บีบข้อมือเธอไว้เย็นเฉียบทั้งที่อุณหภูมิตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับอยู่กลางทะเลเพลิง เหงื่อเม็ดโตผุดพราวขึ้นเต็มใบหน้าได้รูป แทนจันทร์รู้ว่าเขาคุมสติตัวเองไม่ได้เลยจากแรงบีบที่ข้อมือซึ่งเพิ่มขึ้นทุกที ไม่ว่าเธอจะพยายามทั้งแกะ ทั้งบิด เพื่อให้มือตัวเองหลุดจากพันธนาการ แต่มันก็ยากเหลือเกินเมื่อมือข้างนั้นเพิ่มแรงบีบจนมือตัวเองสั่น ข้อนิ้วปูดโปน เกร็งแน่นราวกับไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังทำอะไรอยู่
“ผมขอโทษ”
“ขอโทษอะไร” แทนจันทร์รีบย้อนเสียงตื่น ตอนแรกนึกว่าเขาได้สติแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ เพราะแรงบีบนั้นยังลงมาที่มือเธออย่างไม่ปรานี “ดอกเตอร์! คุณเป็นอะไร คุณวีร์”
ทั้งเจ็บ ทั้งตกใจ ใจฝ่อจนลีบ เพราะแม้จะเรียกชื่อเขาหลายต่อหลายรอบ แต่ดวงตาคู่นั้นก็ยังคงแข็งค้าง มองตรงไปข้างหน้าราวกับไม่เห็นการมีตัวตนของเธอ ตำรวจสาวผู้เผชิญเหตุการณ์อันตรายมามาก ทั้งถูกผู้ร้ายลอบยิง ลอบวางระเบิด สกัดขบวนการขนส่งยาเสพติด แต่ทุกครั้งเธอรู้ที่มาที่ไปของเหตุการณ์และมั่นใจว่าควบคุมมันได้ เพราะเตรียมแผนการในหัวมาดักทุกทาง แต่สำหรับอาการประหลาดของชายหนุ่มตรงหน้า เธอยอมรับจริงๆ ว่าทำอะไรไม่ถูก สมองไม่รู้จะเอาแผนการไหนมารับมือนอกจากตะโกนเรียกชื่อเขาซ้ำๆ และพยายามจ้องเข้าไปในตาสีอัลมอนด์ที่เบิกโพลง คล้ายกับว่าร่างเขานั่งอยู่ตรงนี้ แต่จิตใจกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดอะไรสักอย่าง ไม่ได้อยู่กับสถานการณ์เป็นตายตรงหน้า
“คุณเป็นอะไร บอกฉันสิ”
ทำได้แค่ถามแม้รู้ว่าจะไม่ได้คำตอบ มือเล็กอีกข้างประคองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อนั้นให้หันมามองหน้าตัวเอง ตบเบาๆ รัวๆ หวังจะช่วยเรียกสติได้
“คุณ...เฮ้ย!”
เพราะไม่ได้ตั้งหลักดีๆ แทนจันทร์จึงเกือบเสียหลักหน้าทิ่มอีกรอบ เมื่อจู่ๆ มือที่ถูกกำไว้โดนกระตุก และอีกมือของเขายกขึ้นมาคว้าตัวเธอเข้าไปแนบกายไว้แน่น
“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
ตำรวจสาวหน้าเหลอ ตะลึงพรึงเพริด ทำอะไรไม่ถูก แวบแรกคิดจะผลักหนี แต่ใจที่ละล้าละลังสั่งให้ร่างกายทำไม่ลง มันไม่กล้าปฏิเสธ เพราะสัมผัสได้ว่าแรงกอดนั้นไม่ได้มาจากความประสงค์ร้าย เพราะคนที่อยากฉวยโอกาสคงไม่ตัวสั่นเทิ้มและเย็นชืดแบบนี้ สองมือเขากอดเอวเธอไว้ราวกับเด็กน้อยที่กลัวจนต้องยึดเกาะเธอไว้เป็นที่พึ่ง เสียงที่พร่ำพูดเรื่องที่เธอไม่เข้าใจอยู่ข้างหูนั้นสั่นเครือ อีกทั้งแรงที่รั้งตัวเธอไว้ก็แน่นผิดปกติจนเธอเกือบหายใจไม่ออก
ราวกับเขากำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างอย่างถึงที่สุด...
แทนจันทร์ฉุกใจคิด สงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้ดอกเตอร์ที่เคยเปล่งรัศมีโหดเหี้ยมใส่คนอื่นหวาดกลัวได้ขนาดนี้
“คุณวีร์ คุณใจเย็นก่อนนะ ใจเย็นๆ”
ทั้งที่ปกติเธอถนัดการสรรหาคำพูดเจ้าเล่ห์แสนกลมาแถในยามที่ต้องการความช่วยเหลือหรือเอาตัวรอด แต่พอเจอเหตุการณ์แบบนี้ คนแถเก่งกลับตะกุกตะกัก พูดอะไรไม่ออกนอกจากคำพูดพื้นๆ ที่ไม่ได้ผ่านสมอง แต่ออกมาจากหัวใจจริงในวินาทีที่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะได้มีลมหายใจอยู่ถึงเมื่อไร
“ไม่มีอะไรนะ ไม่มีอะไร ไม่ต้องกลัว”
แม้จะเป็นในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมที่สุด ท่ามกลางกองไฟที่ลุกโหมแผดเผาทุกสิ่งอย่างไม่ปรานี ชีวิตเล็กๆ สองชีวิตเปรียบเสมือนแค่ก้อนกรวดก้อนดินที่พร้อมจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน มือเล็กๆ ของตำรวจสาวที่มักถือแต่ปืนได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำให้ใครมาก่อนในชีวิต คือกอดเขาตอบและลูบหลังคนในอ้อมกอดเบาๆ
“คุณตั้งสติก่อนนะ” แทนจันทร์ปลอบทั้งที่ตัวเองก็เริ่มหวั่น นอกจากปลอบเขาแล้วก็บอกตัวเองว่าเธอเองก็ยังไม่อยากตายอยู่ที่นี่ เธอต้องออกไปจากที่นี่ และไม่ต้องการหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวด้วย ซึ่งทางเดียวที่เธอจะออกไปได้คือต้องเรียกสติเขากลับมาก่อน
“รีบตั้งสตินะ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”
“ผม...”
ทั้งที่โดนบีบข้อมือเจ็บจนแทบหัก หญิงสาวก็ยังทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่ต้องการให้เขาตกใจกลัวไปมากกว่านี้ เธอขยับจากอ้อมกอด ถอยออกมามองใบหน้าซีดเผือดนั้นอีกครั้ง ดวงตากลมใสสีดำสนิทสบกับตาสีอัลมอนด์ ใจชื้นขึ้นมาบ้างที่เห็นเขาเหมือนจะเริ่มสบตาและฟังเสียงเธอ
“ฉันเป็นตำรวจ ฉันช่วยคนมาเยอะแล้ว ตอนนี้คุณต้องตั้งสติก่อน แล้วเราจะออกไปจากที่นี่กัน โอเคมั้ย”
ดวงตากลมโตสีดำสนิทพยายามสื่อสารกับดวงตาสีอัลมอนด์นั้น ถ่ายทอดความเชื่อมั่นทั้งหมดลงไป แสดงเจตจำนงที่ตนตั้งมั่นว่าต้องพาเขารอดออกไปจากที่นี่ให้ได้
“ไม่ว่าคุณจะมองเห็นภาพอะไร เอามันออกไปก่อน แล้วไปจากที่นี่กันนะ”
ไม่เข้าใจสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับดอกเตอร์ผู้นี้ และไม่เข้าใจด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองถึงได้พูดและทำแบบนี้ มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่ว่าอยากเอาตัวเองรอดไปจากที่นี่ แต่ท่ามกลางความน่ากลัวที่ความตายคืบคลานเข้ามาทุกลมหายใจ เธออยากให้เขารู้สึกมั่นใจและออกมาจากภาพในหัวที่เขาเห็น และออกไปจากที่นี่พร้อมเธอให้ได้
“เราจะไปด้วยกัน ฉันจะไม่ทิ้งคุณ”
เธอเชื่อว่าวีร์ได้ยินเสียงที่เธอพูด ปาฏิหาริย์ยังมีเมื่อเห็นชัดเจนว่ามีการต่อสู้ในดวงตานั้น ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สีหน้าบิดเบี้ยว ก้มหัวแล้วหลับตาลงเหมือนเขากำลังพยายามจะต่อสู้กับบางสิ่งในตัว
“เราจะออกไปจากที่นี่ด้วยกันนะ”
ทุกวินาทีที่เห็นเขาทรมาน เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบเค้นให้อึดอัดไปด้วย แทนจันทร์รู้ว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกปกติ แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์จวนตัวขนาดไหน เธอก็ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแบบนี้ เธอไม่รู้และไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกแย่ไปกับเขาขนาดนี้
ความรู้สึกแบบนี้ไม่ควรเป็นความรู้สึกที่มีต่อคนที่แทบไม่เคยได้เกี่ยวข้องหรือรู้จักกันมาก่อนแม้แต่น้อย
สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการให้กำลังใจด้วยการลูบหลัง ลูบไหล่นั้นอย่างอ่อนโยนที่สุด สุดท้ายไม่ใช่แค่ชายหนุ่มที่ได้รับพลังบางอย่างจากการกระทำนั้น แต่คนปลอบเองก็ราวกับได้เติมพลังความมุ่งมั่น ดิ้นรนที่จะรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้
เพราะสัมผัสเพียงชิดใกล้ สักพักแทนจันทร์จึงรู้สึกว่าร่างนั้นค่อยๆ ลดอาการสั่นและคลายความเกร็งลง สัมผัสได้จากการที่มือที่กำข้อมือเธออยู่เริ่มคลาย ในที่สุดเขาก็พยักหน้าเหมือนได้ยินสิ่งที่เธอสื่อสาร
และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกที แววตายามสบตาหญิงสาวก็กลับมาเป็นแววตาของดอกเตอร์วีร์คนเดิม ดวงตากะพริบถี่ๆ ไม่เบิกค้าง แต่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นแววตาประหลาดใจ ประหลาดใจกับดวงตากลมโตที่อยู่ห่างเพียงแค่เอื้อม สัมผัสได้ถึงอ้อมกอดและฝ่ามือที่กำลังปลอบโยน และเมื่อเห็นสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ซึ่งก็คือการเกาะเอวและจับมืออีกคนไว้แน่น เขาก็รีบปล่อยราวกับต้องของร้อน
“กระเป๋าเซรุ่ม”
ไม่ใช่แค่วีร์ที่ได้สติ ประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากนั้นกระชากตำรวจสาวกลับสู่ความเป็นจริงเหมือนกัน หญิงสาวหน้าเหลอไปพักหนึ่ง เนื่องจากทำหน้าไม่ถูกกับสภาพล่าสุดของตัวเองที่ยังประคองเขาไว้ แต่หลังจากได้สติก็รีบลุกพรวดขึ้นมายืน เพราะทำตัวไม่ถูกเลยตัดสินใจทำแข็งขันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแทน
“ใช่! กระเป๋า” แทนจันทร์กระวีกระวาดลุกขึ้นมองหาของสำคัญทันที
“อยู่นั่น” วีร์ชี้ โงหัวลุกขึ้นมาได้ก็โซซัดโซเซตรงไปคว้ากระเป๋ายอดดวงใจที่ตกอยู่ไม่ห่างตัวขึ้นมา แต่พอชายหนุ่มหันหน้ากลับมาอีกครั้ง เขาก็ต้องชะงักค้างกับภาพตรงหน้า
ไม่ใช่แค่ชายหนุ่มที่นิ่งอึ้ง แทนจันทร์เองก็ตัวชาตั้งแต่หัวจดเท้าเมื่อหันมาเห็นภาพตรงหน้า ตกใจยิ่งกว่าการเจออาการประหลาดของดอกเตอร์เมื่อครู่ สมองคิดเพียงอย่างเดียวว่า ถ้ารอดออกไปจากที่นี่ได้ เธอคงต้องไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ครั้งใหญ่เสียแล้ว สถานการณ์จวนตัวที่ผ่านมาทั้งหมดคงจะยังไม่สะใจเบื้องบน นรกจึงกลั่นแกล้งด้วยการส่งหมายักษ์ที่กัดไม่ปล่อยตัวนี้มา
“ส่งเซรุ่มมา ไม่งั้นยิง”
ปืนจ่ออยู่ตรงหน้าชนิดไม่ต้องเสียเวลาวิ่งเพราะไม่ทัน นิ้วแตะอยู่บนไกเป็นหลักฐานว่าพร้อมเหนี่ยวไกได้ทุกเมื่อ ไอ้โม่งยักษ์ในชุดดำหัวจดเท้าปิดบังหน้าตาไว้มิดชิด มันคงอาศัยช่วงที่พวกเธอไม่ได้ตั้งตัวตามมาทันถึงที่นี่
สมองของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ผ่านสมรภูมิเดือดมาแล้วหลายครั้งประเมินแล้วว่ารูปร่างใหญ่หนาของมันใหญ่กว่าตนเป็นสองเท่า ไม่มีทางเลยที่เธอจะสู้มือเปล่ากับมันได้ และไม่มีทางที่ตัวเธอจะไวกว่ากระสุนปืนเช่นกัน
ท่ามกลางความเงียบของมนุษย์ที่ถูกกลบด้วยเสียงปะทุของเพลิงมหากาฬ หญิงสาวหรี่ตาลงพลางใช้สมองคำนวณอย่างรวดเร็ว สมกับประสบการณ์ของตำรวจปราบปรามยาเสพติดชุดปฏิบัติการที่ออกปฏิบัติภารกิจเสี่ยงมาแล้วหลายงาน
“ก็บอกแล้วไงว่าให้ส่งเซรุ่มมา”
หญิงสาวตัวเล็กระเบิดเสียงท่ามกลางความตึงเครียดโดยไม่สนใจใคร จากนั้นเธอก็คว้าแขนดอกเตอร์หนุ่มข้างที่ถือกระเป๋าอยู่และบิดข้อมือนั้นพลิกกลับ รวบอีกมือมาไว้ด้วยกันโดยใช้ท่าเดียวกับที่ตำรวจทำเวลารวบตัวนักโทษ
“โอ๊ย!” วีร์ร้องลั่นก่อนโวย “ทำบ้าอะไรเนี่ย”
ตำรวจสาวไม่ได้สนเสียงนั้น เธอปลดกระเป๋าออกจากมือเขาอย่างง่ายดาย ก่อนผลักร่างนั้นให้ถลาหน้าทิ่มไปทางประตู
“ชักช้ายืดยาดอยู่ได้ เสียเวลาจริงๆ”
คนตัวเล็กที่สุดในห้องส่ายหัวก่อนทำหน้าแบบแสนระอาใจ จากนั้นจึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับไอ้โม่งพร้อมแหวใส่เสียงดังลั่นแข่งกับเพลิงที่กำลังปะทุ
“มัวแต่ไปอยู่ไหนมา ทำไมช้านัก รู้มั้ยว่าฉันต้องเสียเวลากับไอ้ดอกเตอร์ปากดีนี่นานแค่ไหน”
‘ไอ้ดอกเตอร์ปากดี’ ทำหน้าเหลอ พอกับร่างยักษ์ที่ถือปืนชะงักค้างอย่างนึกไม่ถึงเช่นกัน
“เจ้านายสั่งให้ฉันเอาเซรุ่มนี่ไปทำลายทิ้งซะ ถ้าแกทำงานช้าแบบนี้ก็ไม่ทันทำมาหากินหรอกนะ” หญิงสาวว่า “ยังจะยืนน่ารำคาญอยู่อีก จะอยู่ให้เป็นเนื้อย่างรึไง รีบไปสิ!”
แทนจันทร์ซ่อนสีหน้าจนตรอกไว้อย่างมิดชิด หยิบหน้ากากตัวร้ายขึ้นมาสวม ใจชื้นที่เห็นท่าทีงุนงงจนทำให้ทิศทางของปืนเริ่มเป๋ไปมา ทั้งที่หัวใจเต้นดังยิ่งกว่าเสียงระเบิด แต่ยังแกล้งทำสีหน้าเรียบเฉยปนรำคาญ จงใจเดินผ่านกระบอกปืนไปอย่างไม่สนใจไยดี ในใจได้แต่หวังว่าแผนการเล่นละครนี่จะสำเร็จ ถ้ามันได้ผล อย่างน้อยเธอก็จะได้ไปทั้งกระเป๋าเซรุ่มและตัวดอกเตอร์วีร์ที่อุตส่าห์ตั้งใจผลักจนหน้าหงายให้พ้นวิถีกระสุนไปทางประตูเพื่อที่จะวิ่งแจ้นได้ทัน
“ไม่ต้อง ฉันจะถือกระเป๋าเอง” ไอ้โม่งขัดจังหวะ “ส่งกระเป๋ามา”
แล้วถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ...
“มันจะอะไรกันนักหนาฮะ” ลูกพี่ของแก๊งตัวแสบแห่งกองปราบปรามหยุดเดินแล้วยืนเท้าเอว ทำสีหน้ารำคาญยิ่งกว่าเดิม “ก็ฉันได้รับคำสั่งมาแบบนี้ จะให้ฉันขัดคำสั่งเจ้านายรึไง”
“ฉันไม่สนว่าแกจะได้คำสั่งใครมา แต่ถ้าไม่เอากระเป๋ามา ฉันยิง!” มันตวาดเร่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังนิ่ง
‘ทำยังไงดีแทนจันทร์’
แทนจันทร์กำกระเป๋าแน่นเมื่อเริ่มรู้ว่าแผนการแถไม่ได้ผล คราวนี้ไม่ใช้สมอง แต่เริ่มใช้ใจถามตัวเอง มั่นใจแน่ๆ ว่าแม้มันจะได้ของไป ก็ไม่ได้มีอะไรรับประกันว่าหัวของเธอและดอกเตอร์วีร์จะหนีไม่พ้นรูอยู่ดี
เสียงสับนกปืนดังกริ๊กดังยิ่งกว่าเสียงระเบิดเมื่อครู่
“เออๆ น่ารำคาญจริง อยากได้นักใช่มั้ย”
มือที่กำกระเป๋าแน่นเริ่มคลายออกอย่างยอมจำนน น้ำเสียงนั้นราวกับรำคาญแบบสุดจะทน แล้วยื่นกระเป๋าพรวดไปข้างหน้า
“ถ้าอยากได้ ก็ไปเอาในกองไฟละกัน!”
กระเป๋าใบเล็กลอยละลิ่วข้ามหัวย้อนกลับเข้าไปในห้องทดลองที่ไฟลุกท่วม ทันทีที่เห็นว่าสายตาภายใต้ไอ้โม่งนั้นเปลี่ยนเป้าหมายและปืนละออกจากศีรษะตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ แทนจันทร์ก็กระโดดทีเดียวถึงตัวชายร่างยักษ์และถีบมือที่ถือปืนเต็มแรงจนปืนกระเด็น ด้วยตัวที่เล็กกว่าสองเท่าทำให้ชายร่างยักษ์เซไปนิดเดียว แต่เป้าหมายของเธอไม่ใช่การต่อสู้กับมัน และเป้าหมายหลักของมันก็ไม่ใช่เขาและเธออีกต่อไปแล้ว ขณะที่มันพุ่งเป้าไปที่กระเป๋าเซรุ่มด้านใน เธอก็อาศัยจังหวะนั้นกระชากตัวคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูแล้วออกคำสั่งคำเดียวว่า
“วิ่ง!”
ความคิดเห็น |
---|