“Welcome...to Bangkok city”
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอครับไอ้ผู้กองธีร์ หน้าหงิกมาเลยนะ สงสัยเพราะคุณย่าเรียกกลับด่วนแหงๆ แล้วนี่คุณย่าเขาเรียกประชุมเรื่องอะไรแกรู้รึเปล่า” เสียงทักมาจากหนุ่มร่างสูงที่ตอนนี้ยังคงสวมชุดนอน แม้ว่าจะเป็นเวลาเลิกงานของคนทั่วไปแล้วก็ตาม และแน่นอนว่ารวมไปถึงแฝดพี่ที่กำลังเดินเข้าประตูบ้านมาด้วย
“เออ ไม่รู้เหมือนกัน เห็นบอกว่าเรื่องสำคัญด้วย พอเสร็จงานฉันรีบบึ่งมาเลยนะเนี่ย คุณย่าขู่ไว้ว่าจะไปตามถึงค่ายเลย” ธีร์ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ที่ชีวิตสันโดษในค่ายทหารของเขากำลังถูกรบกวนจากคนรอบข้างอย่างหาทางหลีกหนีไม่ได้ เพราะวันนี้คุณย่าเรียกหลานชายแฝดสามให้มากินมื้อเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้าน เนื่องด้วยคุณย่ามี ‘เรื่องสำคัญ’ จะคุยด้วย
“หมอธัชล่ะ มารึยัง”
“ยังไม่เห็นเลยนะ” ธามเอ่ยตอบก่อนจะยกแก้วกาแฟดำขึ้นดื่ม และเริ่มจับสังเกตว่าเขากำลังโดนนายทหารตรงหน้าหรี่ตามองสำรวจอย่างจับผิด
“แล้วยังไงเนี่ยแก ถึงกับต้องโดดงาน เมื่อคืนหนักเลยเหรอ”
นั่นไง เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด โดนจับผิดจริงๆ ด้วย “เหอะ เจอเด็กกวนประสาท” คนถูกถามตอบไปส่งๆ
“เฮ้ยๆๆ! อะไรวะ เดี๋ยวนี้เล่นพรากผู้เยาว์เลยเหรอ ติดคุกหัวโตนะเว้ยเฮ้ย”
“เฮ้ย! ไม่ใช่ ไปไกลแล้ว พอเหอะๆ พูดแล้วอารมณ์เสียว่ะ” คนตัวสูงในชุดนอนถอนหายใจ
ถ้าให้ต้องอธิบายเรื่องนี้ คงไม่ใช่อารมณ์เสียอย่างเดียว แต่คงเป็นมหากาพย์ที่เล่าจนถึงพรุ่งนี้ก็คงเล่าได้ไม่หมด ก็เพราะตั้งแต่เขากลับมาจากการไปติดต่อธุรกิจที่สิงคโปร์เมื่อหกเดือนก่อน ไม่รู้ว่าเป็นอะไร หลายครั้งที่เขามักเห็นใครต่อใครเป็นไอ้เด็กบ้านั่นอยู่ตลอด ตั้งแต่แอร์โฮสเตสบนเครื่องบิน พี่พยาบาลสายใจที่โรงพยาบาล คุณรสา เลขาฯ หน้าห้อง ไม่เว้นแม้แต่ฝน เด็กรับใช้ในบ้าน เขาก็เคยตาฝาดมองเห็นเป็นผู้หญิงคนนั้นมาแล้วทั้งสิ้น
ที่ร้ายที่สุด...คือบรรดาสาวๆ ที่เขาพาไป...สนุกกันต่อที่โรงแรม เขายังเคยเห็นเป็นหน้าของเธอมาแล้ว หลายครั้งถึงกับหมดอารมณ์เพียงเพราะนึกถึงวีรกรรมสุดแสบที่เธอทำเอาไว้ในตอนนั้น
สงสัยจะยังติดใจเรื่องนาฬิกาไม่หาย เลยสลัดภาพ ‘ยิ้มแสนหวาน’ กระสุนนัดสุดท้ายที่ห้องอาหารวันนั้นไม่ได้สักที นี่ยังไม่นับรวมกับที่เห็นภาพเธอเข้ามายืนส่งยิ้มให้ถึงในความฝันนะ ถ้าไอ้ธีร์รู้ว่าที่บอกไปว่า...เจอเด็กกวนประสาทนั่นน่ะ หมายถึงว่า...ถูกก่อกวนอยู่ในโสตประสาทไม่ยอมไปไหนมาร่วมครึ่งปีแบบนี้แล้วละก็ มีหวังโดนหัวเราะเยาะต่อไปอีกครึ่งปีแน่ๆ
“คุณธีร์ คุณธามคะ คุณย่าให้มาเชิญไปที่ห้องอาหารค่ะ” บทสนทนาของทั้งคู่ถูกเบรกลงด้วยเสียงของฝน เด็กรับใช้ในบ้าน
ธามหันมองตามเสียง แล้วก็นับว่าเป็นโชคดีที่ครั้งนี้เขาไม่ได้เห็นหน้าฝนเป็น...ไอ้เด็กหัวขโมยนั่นอีก
ธีร์พยักหน้าตอบรับด้วยยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ ในขณะที่แฝดน้องอย่างธาม...
“สงสัยไอ้หมอมาละ ไปเหอะธีร์ หิวแล้ว” ว่าแล้วหนุ่มในชุดนอนก็ก้าวนำออกไปสองสามก้าว ก่อนจะชะงักแล้วถอยกลับมาก้าวหนึ่ง เขาหยุดตรงหน้าเด็กรับใช้วัยยี่สิบต้นๆ ค้อมตัวลงแล้วหรี่ตามองราวกับสำรวจความเปลี่ยนแปลง
“ฝน นี่อ้วนขึ้นปะเนี่ย กินเยอะนะเรา” พูดเสร็จก็ตีหน้านิ่งเดินลิ่วออกไป ทิ้งระเบิดเอาไว้ให้สาวน้อยที่ตอนนี้ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนจะเลิ่กลั่กสำรวจความ ‘อ้วน’ ที่ว่า
คนที่เดินตามมาอย่างธีร์ได้แต่หัวเราะพลางส่ายหัวเพราะความแสบที่ไม่เคยลดระดับ แถมยังแผลงฤทธิ์ได้ทุกที่ของแฝดน้อง
“ไอ้นี่...แกล้งได้แม้กระทั่งเด็กในบ้าน”
ที่โต๊ะอาหารตัวยาวซึ่งนั่งได้ถึงสิบสองที่นั่ง แน่นอนว่าหากไม่ได้ต้อนรับแขก โต๊ะนี้จะมีเพียงสี่ที่นั่งสำหรับคนในบ้านเท่านั้น และวันนี้ก็เช่นกัน คุณย่าพริ้มเพรานั่งประจำที่หัวโต๊ะ ที่นั่งขวามือของท่านคือที่ประจำของนายแพทย์ธัช แฝดพี่คนโต ฝั่งซ้ายมือคือร้อยเอกธีร์ และถัดจากร้อยเอกธีร์คือที่ประจำของแฝดคนสุดท้องอย่างธาม
วันไหนที่ทุกคนอยู่รับประทานอาหารกันพร้อมหน้าเป็นภาพชินตาของบ้านนี้ ทว่าวันนี้บรรยากาศดูแปลกไปจากเดิม บรรดาแม่บ้านที่ปกติจะต้องคอยยืนอำนวยความสะดวกขณะรับประทานอาหารนั้น ตอนนี้ถูกสั่งให้ออกไปนอกห้องราวกับต้องการจะรักษาความเป็นส่วนตัวของครอบครัว
“อีกไม่กี่ปีย่าก็จะแปดสิบแล้วนะ ร่างกายมันก็สึกก็หรอเข้าไปทุกที ไม่รู้จะอยู่ได้อีสักกี่ปีกัน”
เมื่อเห็นว่าหลานๆ มีทีท่าจะอิ่มกันแล้ว คุณย่าพริ้มเพราก็เปิดฉากขึ้นกลางโต๊ะ ดึงสายตาของหลานชายทั้งสามให้หันไปมองเป็นตาเดียว พวกเขารู้ดีว่านี่คงเป็นจุดเริ่ม ‘เรื่องสำคัญ’ ที่เป็นเหตุให้ทุกคนต้องรวมตัวกันอยู่ตรงนี้
“คุณย่าอย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ผลตรวจสุขภาพล่าสุดของคุณย่าทุกอย่างก็อยู่ในเกณฑ์ดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คุณย่าอย่าคิดมากนะครับ” ธัชเอ่ยขึ้นเมื่อสิ้นเสียงตัดพ้อของคุณย่าผู้เป็นที่รัก
“สุขภาพกายน่ะมันก็ใช่ แต่สุขภาพใจนี่สิ” คุณย่าหันมาตอบหลานรักด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ตามด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาคนเป็นหลานถึงกับหน้าถอดสี
ธีร์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นสบตาธัชครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นบ้าง “คุณย่า...มีเรื่องกังวลใจอะไรรึเปล่าครับ”
“ก็ไม่ได้กังวลใจหรอก มันคงเป็นธรรมดาของคนแก่ที่ต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวละมั้ง...บ้านเราก็ใหญ่โต อยู่กันก็ตั้งหลายคน แต่ก็ไม่รู้ทำไมมันเหมือนย่าอยู่คนเดียวนะ มันเงียบเหงาไปหมดไม่ว่าห้องไหนมุมไหน โตๆ กันแล้ว เช้าก็ต้องออกไปทำงานกัน คงลืมคนแก่ไปแล้วละสิ เฮ้อ...อากงแกไม่น่ารีบทิ้งย่าไปเลย...” คุณย่าร่ายยาวบทที่เตี๊ยมกับนมผัน แม่บ้านคนสนิทที่อยู่กับครอบครัวนี้มานาน จนได้ชื่อว่าเป็นคนรู้ใจของคุณย่าไปแล้วมาอย่างดี และก็ดูเหมือนจะได้ผลตามคาด
พอสิ้นเสียงตัดพ้อของร่มโพธิ์ในบ้าน สามหนุ่มหันมองหน้ากันด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คุณย่าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกครั้งที่เจอกันกำลังบอกว่าท่านถูกทอดทิ้ง ให้ตายเหอะ เรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของพวกเขาเลย นี่พวกเขากำลังละเลยคุณย่าอย่างไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เหรอเนี่ย
“หมอธัชก็งานเยอะจนแทบจะไม่ได้กลับบ้าน เจ้าธีร์ก็อยู่แต่บ้านพักในค่ายทหาร ตาธามนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แทบไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากันเลย” ย่าเอ่ยต่อด้วยเสียงที่อ่อนลง เพื่อเพิ่มดีกรีความโดดเดี่ยวและน่าเห็นอกเห็นใจจนคนเป็นหลานใจแป้วไปตามๆ กัน
ธามทำอะไรไม่ถูกจนต้องยกน้ำขึ้นกระดกจนหมดแก้ว เช่นเดียวกับธีร์ที่กำลังลำเลียงน้ำลายหนืดอึกใหญ่ลงคอไป ซึ่งแน่นอนว่าความรู้สึกก็คงไม่ต่างจากพี่ใหญ่อย่างหมอธัช ที่ตอนนี้หน้าเครียดยิ่งกว่าตอนผ่าตัดคนไข้ซะอีก
จะว่าไปที่คุณย่าพูดก็ถูก พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังสนใจหน้าที่นอกบ้านจนลืมใส่ใจหน้าที่สำคัญในบ้านไป ชายทั้งสามแน่นิ่งราวกับถูกตรึงไว้ด้วยความจริงตรงหน้า...และมันจริงเกินกว่าที่พวกเขาจะโต้แย้งได้
“ผมขอโทษครับคุณย่า ผมแค่เห็นว่าคุณย่าคงจะแฮปปีมากกว่าที่มีนมผันเป็นเพื่อนคุย” ธามตัดสินใจเอ่ยขึ้นบ้าง เผื่อจะลดระดับความตรึงเครียดของเรื่องสนทนานี้ลง ทว่า...มันก็กลับไม่ได้ช่วยอะไร
“นมผันเขาก็มีงานในบ้านที่ต้องดูแล ใครจะว่างมาอยู่กับย่าทั้งวันล่ะ”
หลานชายคนเล็กคอตก ก่อนจะหันไปสบตาแฝดคนกลางที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้อย่างไรดี
“ย่าก็แก่แล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ก่อนตาย ย่าก็แค่อยากจะเห็นไอ้ตัวเล็กๆ มาวิ่งเล่นในบ้านบ้าง บ้านเราจะได้มีสีสัน ไม่เงียบเหงาเหมือนทุกวันนี้
“คุณย่าหมายความว่าไงครับ”
ธามหันมองชายในชุดทหารที่เลิกคิ้วขึ้นถามด้วยเสียงกดต่ำ และพยายามสบตาคนพูดราวกับจะเค้นความจริงจากผู้ต้องสงสัย ถ้าเดาไม่ผิดสัญชาตญาณทหารรบของธีร์น่าจะกำลังถูกปลุกให้ลุกขึ้นมารับมือกับเรื่องตรงหน้านี้แล้วแน่ๆ
เมื่อคุณย่าเห็นว่าแผนเรียกความน่าสงสารเพื่อให้อีกฝ่ายยอมทำตามแต่โดยดีในครั้งนี้ คงไม่อาจเล็ดลอดสายตาของนักรบที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีไปได้ ถ้าเป็นอย่างนี้คงต้องงัดไม้ตายสุดท้ายออกมาสู้
ถ้าย่าสั่ง หลานคนไหนก็ขัดไม่ได้!
“เอาละ งั้นย่าจะไม่อ้อมค้อมละนะ ย่าจะให้พวกเธอทั้งสามคนแต่งงาน”
“แต่งงาน!” นักธุรกิจหนุ่มโพล่งออกมาทันทีที่สิ้นเสียงของย่า “นี่ฉันเมาค้างรึเปล่าวะเนี่ย” ธามพึมพำต่อพลางใช้ฝ่ามือทุบศีรษะเบาๆ หวังจะเรียกสติ เมื่อคืนไม่น่าดื่มหนักเพื่อล้างภาพลวงตาของไอ้เด็กมิจฉาชีพจอมหลอกหลอนนั่นเลย ตื่นมาถึงได้มึนๆ ตึงๆ ฟังอะไรเพี้ยนไปหมดแบบนี้
“หึ ว่าละต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ”
ธามชำเลืองมองธีร์และกำลังสงสัยว่าสิ่งที่วิ่งเข้าหูของเขาเมื่อครู่น่าจะเป็นเรื่องจริง...ไม่ใช่เพราะเมาค้างจนหูเพี้ยนแต่อย่างใด และเมื่อเขาเลื่อนสายตาไปหาธัชที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม...
“...” แน่นอนว่าเจ้าชายเย็นชาอย่างธัชไม่มีทั้งคำพูดหรือการแสดงอาการใดๆ ต่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่เลย สีหน้ายังดูผ่อนคลายมากขึ้นด้วยซ้ำ
ไม่ได้การแล้ว! เขาต้องทำอะไรสักอย่าง อยู่ดีๆ มาพูดเรื่องแต่งงาน แค่ได้ยินก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว
“คุณย่าครับ ให้แต่งตอนนี้ผมจะไปแต่งกับใครได้ล่ะครับ คุณย่าก็รู้ว่าผมยังไม่มีแฟน”
น้องเล็กคือหน่วยกล้าตายคนแรกที่เปิดไพ่ต่อรองกับคุณย่า เรื่องอะไรจู่ๆ จะให้แต่งงาน มีเหรอที่พ่อปลาไหลแถวหน้าอย่างเขาจะยอมทิ้งอิสรภาพง่ายๆ ไม่มีวัน!
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ก็เห็นแกมีข่าวควงไฮโซคนนั้นที กินข้าวกับนางเอกคนนี้ที ไหนจะนางแบบหน้าฝรั่งที่เพิ่งเป็นข่าวกันเมื่ออาทิตย์ก่อนนั่นอีก ฉันก็นึกว่าแกมีแฟนหลายคนซะอีก” คุณย่าประชดสวนกลับหลานชายจอมแสบทันควัน จนเจ้าตัวถึงกับอ้ำอึ้ง เถียงไม่ออก
ธีร์หลุดขำวีรกรรมที่ทำให้คนในสังคมขนานนามธามว่า เป็นแคซาโนวาตัวพ่อออกมาเล็กน้อย
ธามหันไปแยกเขี้ยวใส่ ก่อนจะกระทุ้งศอกใส่ให้หยุด
“โธ่ คุณย่าครับ คุณย่าจะไปเอาอะไรกับข่าวพวกนั้น คนที่เป็นข่าวด้วยก็เพื่อนกันทั้งนั้นแหละ ผมน่ะโสดจริงๆ” ธามเถียง เสียงอ่อน
ผู้หญิงที่เป็นข่าวด้วยพวกนั้นเขาไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งกับพวกเธอเลย...นอกจากสัมพันธ์ทางร่างกายชั่วข้ามคืน ซึ่งนั่นก็เป็นข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายยินยอม ไม่มีคำว่า ‘รัก’ เกิดขึ้นระหว่างเขากับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ว่าย่อมไม่มีคำว่า ‘แต่งงาน’ เฉียดเขาใกล้ชีวิตของเขาด้วยเหมือนกัน
“ถ้าโสดก็ดี ย่าจะได้ให้ธามไปดูตัว”
“โอ๊ย! หนักกว่าเก่าอีก” ชายหนุ่มเบิกตากว้างก่อนจะขยี้ผมอย่างหัวเสีย
แต่งงานก็ว่าแย่แล้ว ยังต้องดูตัวอีก นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ยังมีคำว่า ‘ดูตัว’ หลงเหลืออยู่ในโลกอีกเหรอ มันควรจะถูกฝังไปพร้อมๆ กับการสูญพันธุ์ของช้างแมมมอธ ชีวิตอิสระของเขากำลังจะถูกลิดรอนไปด้วยคำว่า ‘ชีวิตคู่’ ที่ผู้ใหญ่ตรงหน้าพยายามจะยัดเยียดให้อย่างไม่มีเหตุผลจริงๆ เหรอเนี่ย
ขณะที่ธามถูกคุณย่าสอยร่วงให้นั่งคอตกไปหนึ่ง คนมีอำนาจเหนือกว่าจึงหันไปหาเป้าหมายต่อไป
“เจ้าธีร์ล่ะ ว่ายังไง” ย่าหันมาถามธีร์เสียงเข้มจนเจ้าตัวสะดุ้งเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว
“เอ่อ...ผม...ผม...ผมยังแต่งให้คุณย่าตอนนี้ไม่ได้หรอกครับ ผมยังมีงานต้องทำอีกเยอะ คุณย่าก็รู้ อาชีพอย่างผมต้องรับใช้ชาติ และตอนนี้ชาติก็กำลังต้องการตัวผมมาก จะให้ผมมาแต่งงานมีลูก หาความสุขใส่ตัวในขณะที่บ้านเมืองกำลังเดือดร้อนก็คงไม่ได้ คุณย่าว่าจริงไหมครับ” ชายร่างสูงในเครื่องแบบเอ่ยตอบย่าด้วยคำแก้ต่างข้างๆ คูๆ ที่เขาพอจะคิดได้ในเวลาคับขันแบบนี้ รอยยิ้มหวานถูกส่งตามไปหวังจะให้คนถามใจอ่อนลงบ้าง
“เอ๊ะ! แกนี่ เฉไฉไปเรื่อย ก็ถ้าเป็นทหารแล้วมันแต่งงานให้ย่าไม่ได้เนี่ย ย่าจะให้ออกจากราชการแล้วไปทำงานที่บริษัทกับตาธาม ดูซิ มันจะมีเวลาแต่งงานให้ย่ารึเปล่า” แล้วก็ไม่พลาด หลานชายคนรองถูกสอยให้ร่วงตามลงไปนั่งคอตกอยู่ข้างๆ แฝดน้องที่นั่งอมทุกข์ไม่พูดไม่จาอยู่
ธีร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับแล้วหันมากระซิบกับธามที่อยู่ในอาการเบื่อโลก “นี่คุณย่าเอาจริงเหรอวะเนี่ย”
ฝ่ายถูกถามกลอกตาพร้อมยักไหล่แทนคำตอบ
และเมื่อเห็นท่าว่าถ้ายังนั่งเงียบกันต่อไป มีหวังได้กอดคอกันจมน้ำทั้งสามแน่ๆ ธามจึงหันไปท้วงแฝดพี่อีกคนที่นั่งเงียบอยู่ฝั่งตรงข้าม เขามั่นใจว่าไม่มีใครในสามคนนี้ยินดีที่จะแต่งงานตามคำสั่งของคุณย่าเป็นแน่ และคำพูดที่มากไปด้วยหลักการและเหตุผลของหลานชายคนโปรดอย่างธัชจะช่วยกู้สถานการณ์นี้ได้
“ธัช พูดอะไรมั่งดิวะ”
คนถูกเรียกเงยหน้าไร้อารมณ์ขึ้นสบตาน้องชายฝาแฝดทั้งสองครู่หนึ่ งก่อนจะหันไปเอ่ยตอบคุณย่า “ถ้าคุณย่าเห็นสมควร ผมก็ไม่ขัดข้องอะไรครับ”
“เฮ้ย!” สองเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน
ธามกับธีร์ชำเลืองมองกันด้วยสายตาหวาดๆ งงยิ่งกว่าโดนค้อนปอนด์ทุบหัว สงสัยไอ้หมอมันจะผ่าตัดมากจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ อยู่ดีๆ ไปตอบตกลงแต่งงานเอาเสียดื้อๆ อย่างนี้มันก็ไม่ต่างอะไรจากฉุดให้ยิ่งจมดิ่งลงทะเลลึกชัดๆ
“ดีมากหมอธัช ไม่เคยทำให้ย่าผิดหวังเลย พวกเธอสองคนล่ะว่ายังไง” คุณย่าพริ้มเพรายิ้มปลื้มปริ่มกับคำตอบของหลานรัก ก่อนตวัดสายตามาถามเสียงแข็งกับหลานชายหัวดื้ออีกสองคนที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่ง
ธีร์หันสบตาธามอย่างขอความเห็น ก่อนที่คนน้องจะพยักพเยิดให้ทหารลาดตระเวนนำทัพหน่วยกล้าตายออกศึก
ทหารหนุ่มเป่าปากเพื่อตั้งสติ ก่อนจะหันไปตอบคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ “แต่งก็ได้ครับ แต่ผมขอเวลาอีกสักห้าปีนะครับคุณย่า”
“ไม่ได้! ก่อนจะถึงวันเกิดครั้งหน้า พวกเธอทุกคนจะต้องแต่งงาน”
เมื่อระเบิดลงกลางโต๊ะ หน่วยกล้าตายทั้งสอง...ก็จากไปอย่างสงบ...เฮ้อ
“คืนนี้ดึกเหรอคะพี่เอก ได้ค่ะ ไม่เป็นไร ช่ออยู่คนเดียวได้...ค่า ไว้เจอกันนะคะพี่เอก”
“แฟนเหรอน้องช่อ”
ช่อผกาหันมองตามเสียงที่เอ่ยถามขึ้นแทบจะทันทีหลังจากเธอกดวางสาย แล้วก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือพี่หนิง พยาบาลสาววัยไม่ใกล้ไม่ไกลกันนักที่กำลังง่วนอยู่กับเอกสารมากมายตรงหน้า
“ไม่ใช่หรอกค่ะพี่หนิง พี่เอกเป็นพี่ชายช่อเอง” หญิงสาวตอบคนสงสัยด้วยรอยยิ้ม
ไม่แปลกหรอกที่พี่หนิงจะเข้าใจผิด เพราะตั้งแต่เธอก้าวลงเหยียบแผ่นดินไทย ‘พี่เอก’ ก็กลายเป็นเหมือนญาติเพียงคนเดียวของเธอ ขนาดว่าคนรอบตัวพี่เอกเองยังเข้าใจผิดว่าหญิงสาวที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาตัวติดกับเขาไปทุกที่คนนี้ต้องเป็นแฟนของพี่เอกแน่ๆ
ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมา เอกสิทธิ์ช่วยเหลือและดูแลน้องสาวคนนี้ทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเป็นคำสั่งของป้าไหม แต่เป็นเพราะช่อผกาคนนี้น่ารัก น่าเอ็นดู ตั้งแต่วันแรกที่เขาได้เจอกับเธอ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปร่วมสองปีแล้วก็ตาม น้องช่อก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักสดใสไม่เปลี่ยนไปเลย แล้วยิ่งตอนนี้เมื่อรับรู้ว่าเธอเสียแม่ผู้เป็นครอบครัวคนเดียวของเธอไปแล้ว จะให้เขาทอดทิ้งน้องสาวคนนี้ไปได้อย่างไรกัน
“อ้าว ไหนช่อบอกว่าเป็นลูกคนเดียวไง ทำไมมีพี่ชายด้วย”
“เป็นพี่ชายที่รู้จักกันน่ะค่ะ ไม่ใช่พี่แท้ๆ” คนตัวเล็กอธิบายเสริม
“แต่อยู่บ้านเดียวกันเหรอ” พยาบาลสาวถามคำถามที่เธอคาดเดาจากบทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อครู่
“อ๋อ ใช่ค่ะ ที่จริงเป็นบ้านเช่าน่ะค่ะ พี่เอกเขาเช่าอยู่ก่อนแล้ว พอช่อมากรุงเทพฯ ช่อก็เลยขอแบ่งเช่าห้องในบ้านนั้นอีกทีน่ะค่ะ ตอนนั้นช่อไม่รู้อะไรในกรุงเทพฯ เลยด้วย จะให้ไปไหนไกลก็คงไม่ได้”
คนฟังเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร แล้วหรี่ตามองสาวร่างบางในชุดผู้ช่วยพยาบาลสีม่วงอ่อน ปกคอบัวสีขาวอย่างพิจารณา
“แน่ใจนะว่าพี่ชายน่ะ”
ช่อผกายิ้มระคนหัวเราะ “พี่ชายจริงๆ ค่าาา”
“น้องช่อจ๊ะ พี่วานอะไรหน่อยสิ” เสียงที่คุ้นหูของพี่เพ็ญ พยาบาลประจำแผนกอายุรกรรมอีกคนหนึ่งแทรกเข้ามาดึงความสนใจของคนถูกเรียกไป ก่อนเจ้าของเสียงจะเดินมาหยุดหน้าเคาน์เตอร์ที่สองสาวนั่งอยู่
“ค่ะพี่เพ็ญ” ผู้ช่วยสาวเอ่ยรับ แต่มือยังคงจัดแฟ้มเอกสารให้เข้าที่อยู่
“เดี๋ยวช่อช่วยไปอยู่ดูแลคุณย่าพริ้มเพรากับคุณนมผันที่ห้องรับรองหน่อยนะ ท่านรอให้หลานชายมารับอยู่น่ะ พอดีท่านมาเยี่ยมเพื่อนที่ห้องพิเศษชั้นห้า พี่เลยให้ใช้ห้องรับรองสองที่ชั้นห้าไปเลย เมื่อกี้พี่เพิ่งไปส่งท่านมา แต่ไม่มีผู้ช่วยเวรอยู่เลย ช่อช่วยดูแลท่านให้หน่อยสิ เดี๋ยวพี่ต้องราวนด์วอร์ดกับคุณหมอน่ะ ถ้าผู้ช่วยเวรมาเปลี่ยนแล้วก็ค่อยลงมา”
“ได้ค่ะพี่เพ็ญ” หญิงสาวยิ้มรับ ก่อนจะผละออกมาเพราะหน้าที่ที่เพิ่งได้รับมอบหมาย
แม้ว่าเธอจะเพิ่งเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ในฐานะลูกจ้างประจำได้ไม่กี่วัน แต่เพราะช่วงเวลาที่เธอเป็นนักเรียนหลักสูตรพนักงานผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งเจ้าตัวสมัครเข้าเรียนตั้งแต่ย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย เธอเคยเข้ามาฝึกงานที่นี่แล้วระยะหนึ่ง พนักงานใหม่แกะกล่องคนนี้จึงรู้ทุกซอกทุกมุมของโรงพยาบาลนี้ดีไม่น้อยไปกว่าพนักงานคนอื่นๆ เลย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ” เสียงหวานตามมาหลังจากเสียงเคาะประตู
“เชิญจ้ะ” คนในห้องเอ่ยรับสั้นๆ ก่อนประตูห้องรับรองจะถูกเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ช่วยพยาบาลสาวกับถาดของว่างรับรองในมือเธอ
สาวร่างบางส่งยิ้มทักทายหญิงสูงวัยตรงหน้า ตรงไปหาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัววางของในมือลงบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาที่ท่านนั่งอยู่
“ดื่มน้ำเก๊กฮวยเย็นๆ กับขนมก่อนนะคะ” เธอว่าพลางยกของที่ว่าออกจากถาด ก่อนจะมองหาใครอีกคนหนึ่งที่ควรจะอยู่ที่นี่ “เอ่อ...เมื่อตะกี้นี้พี่พยาบาลบอกว่ามีสองท่าน...”
“อ้อ ใช่จ้ะ แต่นมผันเขาเอาของไปให้หลานชายฉันที่ห้องพัก อีกสักครู่ก็คงจะกลับมาแล้วละ ฉันก็อยากจะไปด้วยนะ แต่คนแก่เดินมากๆ ก็เหนื่อย ก็เลยต้องรบกวนหนูเลย”
“ไม่เลยค่ะ มันเป็นหน้าที่ของช่ออยู่แล้ว” ช่อผกาส่งยิ้มตาหยีกลับไปให้ ก่อนจะเดินไปจัดผ้าม่านที่หน้าต่างเพื่อปรับแสงสว่างในห้องให้พอเหมาะกับสายตาของหญิงชรา
“หลานคุณย่าอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ด้วยเหรอคะ” ผู้ช่วยตัวเล็กเริ่มชวนคุย
“ใช่จ้ะ หมอธัชไง หนูรู้จักหมอธัชไหม ที่อยู่แผนกศัลยกรรม”
หญิงสาวหันกลับมามองคนถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “คุณย่าเป็นคุณย่าของหมอธัชเหรอคะ เมื่อก่อนตอนที่ช่อยังเรียนอยู่ ช่อเคยมาฝึกงานที่นี่สามเดือน ตอนนั้นช่อเป็นผู้ช่วยของพี่ณี พยาบาลมือขวาหมอธัชเลยนะคะ”
คุณย่าระบายยิ้มให้สาวน้อยตรงหน้า ก่อนจะทำสัญญาณให้เธอนั่งลงข้างๆ “แล้วทำงานกับหมอธัชเป็นอย่างไรบ้างล่ะหนู”
“อืม...หมอธัชไม่ค่อยพูดหรอกค่ะ แต่ก็ใจดี ยกเว้น...” ผู้ช่วยตัวบางเอนตัวเข้าไปหาคู่สนทนาเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เบาลง “ถ้าโมโหขึ้นมา...ดุมากกก” เสียงที่ลากยาวกับท่าทางคอหดทำให้คนฟังหลุดหัวเราะ
“อยู่ที่บ้านเขาก็เป็นแบบนั้นแหละ”
ช่อผกาส่งยิ้มพิมพ์ใจให้หญิงชราตรงหน้าแทนการตอบรับ ก่อนที่เสียงกุกกักที่ประตูจะดึงความสนใจจากทั้งคู่ไป
“นมผันกลับมาพอดีเลย มาทานน้ำทานขนมก่อน หนูคนนี้เขายกมาให้”
คนถูกเรียกเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา ก่อนจะรับเอารอยยิ้มจากผู้ช่วยพยาบาลสาวไป
“ว่าแต่คุยกันตั้งนานสองนาน หนูชื่อ...” คุณย่าพริ้มเพราลดสายตาลงมองป้ายชื่อที่หน้าอกของหญิงสาว “ช่อผกาเหรอ”
“ค่ะ ช่อผกา แต่เรียกว่าช่อเฉยๆ ก็ได้นะคะ”
“ชื่อไทยดีจัง หมายถึงช่อของดอกผกากรองใช่ไหม” นมผันเอ่ยถามขึ้นบ้าง
เจ้าของชื่อส่ายหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “ไม่ใช่ดอกผกากรองหรอกค่ะ แต่เป็นดอกผกาแก้วต่างหาก”
“ดอกผกาแก้วเหรอ!” นมผันเลิกคิ้วอย่างสนใจ ก่อนหันไปหาคุณย่าที่นั่งยิ้มฟังอยู่ “แปลกดีเหมือนกันนะคะคุณย่า ปกติแล้วเราจะได้ยินชื่อดอกผกากรองเสียเป็นส่วนใหญ่ นานๆ ทีจะนึกถึงดอกผกาแก้ว”
สาวอ่อนวัยผลิยิ้มเมื่อนึกถึงที่มาของชื่อที่แม่ตั้งให้ “วันที่ช่อคลอด คืนนั้นมีดาวเยอะมาก แม่บอกว่าเห็นแล้วก็นึกถึงดอกผกาแก้วที่เป็นดอกไม้รูปดาวมารวมช่อกัน แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้ให้ช่อน่ะค่ะ แต่คืนนั้นดาวคงสวยมากอย่างที่แม่ว่าจริงๆ นะคะ เพราะขนาดเด็กผู้หญิงอีกคนที่เกิดวันเดียวกับช่อยังชื่อเอสเธอร์ ที่แปลว่าดวงดาวเลยค่ะ ช่อละอยากจะเห็นจริงๆ ที่ว่าสวยเนี่ยสวยขนาดไหน”
แม้หญิงสูงวัยทั้งสองจะฟังคำตอบของสาวน้อยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่ได้ดูผิดปกติอะไร แต่ภายในใจทั้งคู่กลับรู้สึกตกใจไม่น้อยเพราะสิ่งที่สาวร่างเล็กเพิ่งจะเล่าจบไป
คุณย่าพริ้มเพราหันสบตานมผันอย่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใดๆ เพราะเรื่องราวของผู้ช่วยพยาบาลสาวคนนี้ที่เพิ่งได้พบกันครั้งแรกอย่างไม่ได้ตั้งใจ กำลังทำให้ทั้งคู่พลันคิดไปถึงคำทำนายของซินแสชื่อดังเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า
อันที่จริงตอนนั้นคุณย่าตั้งใจเชิญซินแสท่านนี้ให้มาดูฮวงจุ้ยบ้าน เพราะตั้งใจอยากจะต่อเติมเผื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ หากหลานชายทั้งสามแต่งงานมีครอบครัว จะได้ไม่ต้องมีใครแยกออกไปอยู่ที่ไหน เพราะอย่างไรเสียคุณย่าก็อยากจะใช้บั้นปลายชีวิตอยู่กับทั้งสามครอบครัวในบ้านดำรงค์สกุลพิพัฒน์...โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยว่า การได้พบซินแสครั้งนี้กลับนำมาซึ่งคำทำนายที่ไม่มีคาดคิด!
‘นี่หลานชายเหรอ’ ชายชราวัยเกือบเก้าสิบที่ยังเดินเหินได้คล่องแคล่วแบบไม่เกรงใจอายุ กล่าวทักขึ้นเมื่อเห็นรูปถ่ายขนาดใหญ่บรรจุอยู่ในกรอบรูปหลุยส์สีทองที่ประดับหราบนฝาฝนังด้านหนึ่งด้านหนึ่งของห้องรับแขก
ในรูปคือคุณย่าพริ้มเพรานั่งเก้าอี้อยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยหมอธัชในชุดเสื้อกาวน์สั้นสีขาว ผู้กองธีร์สวมเครื่องแบบทหารบก ส่วนแฝดเล็กในชุดสูทยืนข้างหลังคุณย่า ทั้งสี่คนส่งยิ้มและแววตาที่มีความสุขให้ช่างกล้อง จึงทำให้ภาพนี้เป็นภาพสะดุดตา และมักจะได้รับเสียงเอ่ยชมจากบรรดาแขกที่มาเยี่ยมเยือนเสมอๆ เว้นเสียแต่ครั้งนี้...
‘วาสนาดี...แต่มีเคราะห์’
‘มีเคราะห์เหรอคะ’ คุณย่าพริ้มเพราถามย้ำอีกครั้ง
‘เป็นคนวาสนาดี แต่เกิดในคืนเดือนมืด ชีวิตก็เลยไม่ค่อยสว่างไสวโชติช่วง เกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่พี่ไปทางน้องไปทาง ครอบครัวไม่ได้เป็นครอบครัวนะ’
ถึงตรงนี้ คุณย่าพริ้มเพราหันมองนมผันอย่างตกตะลึงกับสิ่งที่ซินแสบอก
แม้ว่าตอนนี้แฝดทั้งสามจะอยู่บ้านเดียวกันก็จริง แต่นั่นเพิ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง เพราะอันที่จริงแล้วหลังจากที่แฝดทั้งสามเกิดได้ไม่กี่วัน พวกเขาก็ต้องสูญเสียแม่ผู้ให้กำเนิดเพราะอาการเสียเลือดมากจากการคลอดบุตรแฝดสาม เป็นผลให้พ่อของพวกเขาเสียใจมากจนตรอมใจและตามแม่ไปในอีกสองปีต่อมา จากนั้นไม่นานคุณหญิงกรรณิการ์ผู้เป็นยายจึงมาขอธีร์ไปเลี้ยงที่ชลบุรีเพื่อให้เป็นเสมือนดังตัวแทนของลูกสาวที่จากไป
ส่วนธามแฝดคนสุดท้องที่เกิดมาตัวเล็กที่สุดและร่างกายไม่แข็งแรง ทำให้ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ ประกอบกับธาราผู้เป็นป้าแท้ๆ แต่งงานกับชาวอังกฤษและไม่สามารถมีลูกด้วยกันได้ คุณย่าหวังว่าหมอฝรั่งจะทำให้หลานชายคนเล็กแข็งแรงเหมือนพี่ๆ คนอื่นได้ จึงส่งให้ธามไปอยู่กับป้าธาราที่อังกฤษ จึงเหลือแต่เพียงธัชเท่านั้นที่คุณย่าเป็นผู้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก เลยทำให้ธัชมักจะโดนแซวจากแฝดน้องอีกสองคนเสมอว่าเป็นหลานชายคนโปรดของคุณย่า
แม้ว่าหลังจากที่เจ้าสัวจากไปแล้ว แฝดทั้งสามจะกลับมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันก็จริง แต่เพราะในวัยเด็กพวกเขาได้ใช้เวลาด้วยกันแค่ช่วงสั้นๆในตอนปิดเรียนเท่านั้น ความสนิทสนมจึงอาจไม่เทียบเท่าฝาแฝดที่ตัวติดกันตลอดเวลา แถมทั้งสามต่างเติบโตขึ้นมาท่ามกลางวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน จึงเหมือนเป็นตัวบ่มเพาะให้เมล็ดทั้งสามที่แม้จะถูกหว่านลงดินพร้อมกัน แต่ก็งอกงามขึ้นตามลักษณะเด่นของแต่ละคน
ธัช...หมอหนุ่มผู้เคร่งครัดในกฏระเบียบตามแบบฉบับคนจีน ธาม...นักธุรกิจที่รักอิสระเหมือนชาวตะวันตก หรือแม้แต่ธีร์...ทหารหนุ่มจากครอบครัวทหารไทยผู้เป็นเหมือนจุดกึ่งกลางระหว่างพี่น้องสองคน ความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ไม่ได้เติบโตมาด้วยกันนี้ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่แน่นแฟ้นเท่ากับพี่น้องในครอบครัวอื่นๆ แต่เส้นสายใยที่ถักทอมาตั้งแต่ในท้องแม่ ก็ทำให้ทั้งสามเป็นเหมือนเพื่อนที่จะก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน
‘แล้วแบบนี้จะมีทางแก้ไหมคะซินแส’
ซินแสหันมองนมผันผู้ถาม แล้วพยักหน้าตอบ ‘ต้องแต่งงานก่อนอายุสามสิบ’
'ก่อนอายุสามสิบ งั้นก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึงปีเอง จะทันเหรอคะคุณย่า' นมผันร้องเสียงหลงพลางหันไปมองคุณย่าพริ้มเพราที่ตอนนี้ไม่ต้องบอกก็ดูจากสีหน้าได้ว่าเครียดและกังวลใจไม่แพ้กัน
‘ไม่ใช่ผู้หญิงคนไหนก็ช่วยเขาได้นะ...ในคืนเดือนมืด ท้องฟ้าดำสนิท ดวงจันทร์หนีหาย แต่มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ยังส่องประกายคือ...ดวงดาว’
ถึงตรงนี้ซินแสละสายตาจากรูปภาพบนฝนังแล้วหันมองคุณย่าพริ้มเพราด้วยแววตาขึงขัง
‘หญิงสาวที่เกิดภายใต้อิทธิพลของละอองดาวเท่านั้น จะส่องสว่างชีวิตของพวกเขาได้ แล้วจำเอาไว้อีกอย่าง ถ้าใครคนใดคนหนึ่งไม่มีแสงดาวส่องชีวิตแล้วละก็ อีกไม่นานท้องฟ้าของเขาจะต้องดับไปตลอดกาล…’
“อ้าว ผู้ช่วยเวรมาพอดีเลย ถ้าอย่างนั้นช่อขอตัวก่อนนะคะคุณย่า คุณนมผัน” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวอีกคนที่อยู่ในเครื่องแบบแบบเดียวกับเธอผลักประตูห้องเข้ามา หญิงชราทั้งสองส่งแววตาใจดีให้กับคนพูด ก่อนคุณย่าพริ้มเพราจะเป็นคนเอ่ยตอบ
“จ้ะ เอาไว้...เราเจอกันอีกนะ หนูช่อ” คิ้วเรียวของหญิงสาวกระตุกเล็กน้อยเพราะจังหวะการเว้นวรรคของประโยคกับแววตาแปลกๆ ที่คนพูดส่งมา แต่เธอก็เลือกที่จะละความสงสัยนั้นไว้เแล้วขานรับด้วยรอยยิ้มที่ใครต่อใครต่างก็บอกว่ามันหวานจับใจ
“ค่ะ คุณย่า”
“เอ่อ...คุณย่าพริ้มเพราคะ คุณธามมาถึงแล้วนะคะ รออยู่ด้านนอกค่ะ”
ช่อผกาหันไปยิ้มให้กับผู้ช่วยเวรที่เอ่ยขึ้นต่อหลังจากการสนทนาของเธอกับคุณย่าจบลง ก่อนจะขอแยกตัวออกจากห้องเพราะหมดหน้าที่ของเธอแล้ว
หนุ่มร่างสูงในชุดสูทที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำและกำลังก้มหน้าก้มตาดูข้อความที่แฝดพี่ของเขาส่งมาให้อีกรอบเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าคนที่เขามารับรออยู่ที่ห้องไหน
“ห้องรับรองสองชั้นห้า ไหนวะ ห้องรับรองสอง” ธามบ่นพึมพำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์หมายจะสอดส่ายสายตาหาห้องที่เขาว่า แต่แล้วสิ่งที่สายตาของเขาไปสะดุดเข้าฉับพลัน กลับไม่ใช่ป้ายหน้าห้องหรืออะไร หากเป็นสาวร่างบางชุดสีม่วงอ่อนที่ยืนอยู่หน้าลิฟท์ ใบหน้าที่คุ้นตาของเธอทำให้หัวใจของเขาหล่นวูบได้ทุกครั้ง
ขายาวของชายหนุ่มหยุดชะงักทันที แต่ก็เพียงไม่นานไม่กี่นาทีเท่านั้น เพราะทรงจำในสมองแล่นออกมาย้ำเตือนบางอย่างกับเขาเสียก่อน
“ตาฝาดอีกละ เฮ้อ...เมื่อไหร่จะหายวะเนี่ย ไปไหนก็เห็นตลอด ตามเป็นเงาเลยเว้ย หลอนเป็นบ้า” ชายร่างสูงส่ายหน้าเพื่อไล่ภาพติดตาออก ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง แล้วก็พบคนที่เขาตามหากำลังเดินออกจากห้องรับรองพอดี
นักธุรกิจหนุ่มฉีกยิ้มให้กับผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ก่อนจะรีบตรงดิ่งเข้าไปหา แต่แล้วเมื่อเขาเดินมาถึงในระยะใกล้ บทสนทนาที่ติดพันของทั้งคู่ ก็ทำให้หลานชายคนนี้เดินเลยไปรับของจากผู้ช่วยเวรมาถือไว้ แล้วเดินตามหลังทั้งสองไปห่างๆ แทนการเอ่ยแทรกบทสนทนานั้น
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะตัดสินใจเลยเพราะก็เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว แต่ก็ไม่อยากจะตัดโอกาสที่จะให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันนะ เพราะถ้าหนูช่อผกาเป็นคนดี แล้วเข้ากับหมอธัชได้ ฉันก็ไม่ขัดข้องอะไร อย่างไรเสีย เขาก็รู้จักกันแล้วด้วย บอกตามตรงเลยนะนมผัน ฉันรู้สึกถูกชะตากับหนูช่อ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลย น่ารัก ยิ้มสวย คุยเก่งแบบนี้แหละฉันชอบ” เสียงที่คุณย่าพริ้มเพราพูดกับนมผัน แต่กลับกระตุกความสนใจจากคนที่เดินตามหลังให้ละจากแอพลิเคชั่นแชตตรงหน้าให้เงยหน้าขึ้นมอง
ธามอมยิ้มแกมหัวเราะเพราะสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน เดาได้ไม่ยากเลยว่าคุณย่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร “ช่อผกาเหรอ ลูกไฮโซบ้านไหนเนี่ย ไม่เคยได้ยินชื่อเลย” ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เมื่อคิดถึงประกาศิตจากคุณย่าที่ผ่าลงกลางโต๊ะอาหารเมื่อไม่กี่วันก่อน “ช่วยไม่ได้นะไอ้หมอธัช อยากไปรับปากตอบตกลงกับคุณย่าเอง หาเมียให้ทันควันเลย โดนเต็มๆ แน่งานนี้ หึ”
ช่วงเวลาหลังมื้ออาหารเย็น สมาชิกของบ้านเพิ่งจะย้ายจากห้องรับประทานอาหารมาอยู่รวมกันในห้องนั่งเล่น อันที่จริงก็ไม่ใช่ทุกครั้งหรอกที่ทุกคนจะมารวมตัวกันแบบนี้ เพราะตามกฎของบ้านแล้ว เวลาหลังอาหารเย็นถือว่าเป็นเวลาส่วนตัว หากใครอยากจะปลีกวิเวกกลับเข้าห้องของตัวเองไป ก็ไม่ได้ถือว่าเสียมารยาทอะไร เพียงแต่ว่าวันนี้ที่ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ก็เป็นเพราะคำสั่งของคุณย่าพริ้มเพรา ผู้เป็นเสมือนประมุขของบ้าน ด้วยเหตุที่ว่าวันนี้จะมี ‘สมาชิกคนใหม่’ เข้ามาอยู่ในบ้านร่วมกับพวกเขาด้วย คุณย่าเลยอยากจะแนะนำให้ทุกคนในบ้านรู้จักเธอเอาไว้
ห้องนั่งเล่นขนาดกลางตกแต่งสไตล์จีนสมัยใหม่ โซฟาตัวยาวผ้ากำมะหยี่สีขาวหม่นสองตัวที่ถูกวางต่อกันหันหน้าเข้าหาโทรทัศน์จอใหญ่ โต๊ะไม้ทรงเตี้ยเข้าชุดกันดีกับโซฟา สีน้ำตาลแดงของมันรับกับสีผนังไม้ฉลุที่ทำให้ห้องดูกว้างและโล่งสบายตามากขึ้นนั้นด้วย
คุณย่าพริ้มเพรา นมผัน และหมอธัช นั่งคุยสับเพเหระไปพลางๆ อยู่ที่โซฟาด้านหนึ่ง ส่วนโซฟาอีกตัวซึ่งเป็นโซฟาเบด กำลังรองรับการทอดกายของชายหนุ่มซึ่งเป็นน้องเล็กของบ้าน และแน่นอนว่านอกจากเขาจะครองโซฟาทั้งตัวคนเดียวแล้ว รีโมตทีวีก็ยังอยู่ในการครอบครองของเขาด้วย
ธีร์ซึ่งเดินแยกกลับห้องไปก่อนกำลังเดินกลับมาสมทบพร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาลในมือ ทหารหนุ่มเดินตรงมาหาคนที่กินพื้นที่มากที่สุด พร้อมกับใช้ของในมือตีขาแฝดน้องไปสองสามทีให้เขาแบ่งพื้นที่ให้บ้าง
คนที่กำลังเอนหลังอย่างสบายใจชำเลืองมองแฝดพี่ตาขวางที่เข้ามาขัดความสุข แต่ก็ยอมหดขากลับแต่โดยดี
“เอ่อ...คุณย่าครับ” ธีร์เอ่ยขึ้นทันทีหลังจากหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา และเสียงนั้นก็ดึงให้ธามหันความสนใจมาที่เขาเพราะเริ่มจับความจริงจังในน้ำเสียงได้
“เมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่ผมบอกคุณย่าไว้ว่า...ชาติกำลังต้องการตัวผม คือผมไม่ได้เฉไฉพูดไปเรื่อยอย่างที่คุณย่าว่านะครับ ตอนนี้ผมกำลังโดนเรียกตัวไปราชการต่างจังหวัดจริงๆ แล้วนี่ก็หนังสือราชการ ถ้าคุณย่าไม่เชื่อก็เปิดอ่านดูได้เลยครับ เขาระบุชื่อ ธีร์ ดำรงค์สกุลพิพัฒน์ มาเลย ยังไงผมก็ต้องไป ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ครับ”
คนน้องที่นั่งอยู่ใกล้หันมองตามซองสีน้ำตาลที่กำลังถูกส่งผ่านหน้าเขาไปให้คุณย่า มือหนากดลดเสียงโทรทัศน์ลงโดยไม่ต้องให้ใครบอก เพราะเขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ความความสนใจของทุกคนถูกเบนมาที่ซองสี่เหลี่ยมในมือคุณย่ามากกว่าจอสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่สุดฝาผนังอีกด้านนั่นแน่ๆ
คุณย่าพริ้มเพราดึงแผ่นกระดาษสีขาวที่มีตราครุฑประทับบนหัวกระดาษออกมา ก่อนจะขยับแว่นสายตาแล้วกวาดตาอ่านข้อความในนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื้อหาในเอกสารราชการฉบับนี้ แน่นอนว่าไม่ได้มีรายละเอียดของเนื้องานมากนักเพราะเป็นการไปปฏิบัติภารกิจลับ สิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้จึงมีแค่ชื่อของนายทหารผู้ได้รับมอบหมาย และวันเวลาเริ่มปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น
“จะไปอาทิตย์หน้าแล้วเหรอ ทำไมเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้” คนเป็นย่าเอ็ดหลานชายตัวดีทันทีหลังจากอ่านข้อความจบ
ธีร์ยิ้มแห้งๆ กลับไป ในขณะที่ธามรีบคว้าแผ่นกระดาษเจ้าปัญหาขึ้นมาดูบ้าง เมื่อคุณย่าวางลงบนโต๊ะไม้ตรงหน้า
“คือผมก็เพิ่งได้เอกสารยืนยันมาเหมือนกันครับ พอดีมันเป็นภารกิจด่วน มันก็เลย...เป็นแบบนี้แหละครับ”
หญิงชราขมวดคิ้วใส่หลานชายตัวแสบ บทจะไปขึ้นมาก็ปุบปับปัจจุบันทันด่วนเสียอย่างนั้น
“แล้วจะไปนานไหม กี่วัน” ดูเหมือนคำถามจากปากคุณย่าจะเป็นคำถามเดียวกับที่คนอื่นๆ อยากรู้ด้วย
“ยังไม่มีกำหนดกลับแน่นอนครับ
“ยังไม่มีกำหนดกลับ!” แฝดน้องที่นั่งข้างๆ โพล่งขึ้น จนพี่ใหญ่ที่นั่งอยู่อีกด้านต้องเอ่ยเตือน
“เสียงดังไปแล้วธาม”
ดูเหมือนว่าเสียงเรียบเย็นของธัชจะไม่ได้ช่วยดับความร้อนที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจน้องเล็กคนนี้ได้เลย
“แล้วเรื่องแต่งงานให้ย่าล่ะ” คุณย่าหันไปส่งคำถามให้หลานชายคนรอง แต่คนที่เอ่ยขึ้นต่อกลับไม่ใช่คนถูกถาม
“เออๆ เรื่องแต่งงานให้คุณย่าล่ะ ว่ายังไงๆ ครับ” คนใจร้อนหันไปถามพี่ชายเสริม เมื่อเริ่มตงิดๆ ว่าตัวเองกำลังจะโดนทิ้งให้รับมืออยู่คนเดียว
“เอ่อ...เรื่องนั้นขอเป็นหลังจากกลับจากราชการก็แล้วกันนะครับ”
“หลังจากกลับจากราชการ! แล้วถ้าแกไปราชการสามปีล่ะวะ” จอมโวยวายคนเดิมโพล่งขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเด้งตัวขึ้นจากโซฟาอย่างฮึดอัด จนแฝดที่นั่งข้างๆ ต้องดึงคนนั่งไม่ติดให้ลงนั่งตามเดิม
“มันไม่นานขนาดนั้นหรอก แค่ไปราชการ ไม่ได้ย้ายต้นสังกัดซะหน่อย ใครจะให้ไปนานขนาดนั้นวะ” ธามขมวดคิ้วมองคนพูดด้วยสายตาหวาดระแวง
ไม่จริง ธีร์ดูสบายใจกับเรื่องแต่งงานมากเกินไป ต้องมีอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ในการไปราชการครั้งนี้แน่ๆ
“คุณย่าคะ คุณช่อผกามาแล้วนะคะ ตอนนี้อยู่ที่ห้องค่ะ มาลีให้เอาของไปเก็บก่อนตามที่คุณย่าสั่งแล้วนะคะ” มาลี เด็กรับใช้วัยยี่สิบต้นๆ หลานสาวของลุงมิ่ง คนขับรถ คุณย่าเพิ่งจะรับเธอเข้ามาทำงานได้เพียงไม่กี่เดือน กำลังรายงานความคืบหน้าของสมาชิกใหม่ให้คุณย่าทราบ
นมผันระบายยิ้มบนใบหน้า ตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อพูดถึงสมาชิกใหม่ เช่นเดียวกับหมอธัชที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เขาเป็นอีกคนที่ทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว เพราะคุณย่าบอกกับเขาเองว่าอยากให้ช่อผกามาดูแลท่านที่บ้าน หลานชายคนนี้จึงต้องจัดแจงเรื่องทุกอย่างให้ตามความต้องการของท่าน
ในเวลาที่ทุกคนกำลังมุ่งความสนใจไปที่การมาถึงของสมาชิกใหม่ ใครบางคนกลับพุ่งเป้าไปที่เรื่องอื่นมากกว่า
“มานี่เลย มาคุยกันก่อน” ธามใช้ช่วงเวลาที่คุณย่าและคนอื่นๆ กำลังสนใจในสิ่งที่มาลีพูด สะกิดให้คนหนีเอาตัวรอดอย่างธีร์ลุกแยกตัวออกมาจากวงสนทนา
“อะไรของแกวะธีร์ อยู่ๆ ก็รับปากคุณย่าเอาดื้อๆ แกมีแผนอะไรบอกมาเลยดีกว่า” คนร้อนใจว่า เมื่อทั้งสองแยกออกมาคุยแบบส่วนตัวในอีกห้องหนึ่ง
“จริงๆ เรื่องไปราชการมันก็ไม่ใช่แผนหรอก เรียกว่างานเข้าถูกเวลาต่างหาก” คนกวนยักคิ้วตอบ แต่นั่นกลับทำให้คู่สนทนามองอย่างไม่ไว้ใจ เพราะดูคนตรงหน้าจะเบาใจกับคำสั่งชี้ตายของคุณย่าอย่างผิดปกติ
“แล้วเรื่องที่ตกลงแต่งงานหลังกลับจากราชการล่ะ เอาจริงเหรอวะ”
“เอาจริงดิ แต่...” ธีร์หยุดไปชั่วครู่ สีหน้าอมยิ้มเมื่อคิดถึงแผนในหัว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ธามจ้องเขม็งรอลุ้นคำตอบอย่างไม่วางตา “ไม่ได้บอกว่าราชการไหนซะหน่อย พอกลับมาจากราชการครั้งนี้ ฉันก็หาเรื่องไปที่อื่นอีก ไม่ก็ขอย้ายไปต่างจังหวัดเลย”
“เหอะ ชิ่งหนีอย่างงี้เลยเหรอวะ” คนน้องแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะสะบัดหน้าหนี ว่าแล้วต้องมีอะไรสัก
“เอาน่า อย่าคิดมากดิ เดี๋ยวถ้าไอ้ธัชมันแต่งงาน คุณย่าก็เลิกพูดเรื่องนี้ไปเองแหละ เชื่อดิ” แฝดพี่ว่าพลางตบบ่าน้องเชิงให้กำลังใจ “แกเป็นคนบอกฉันเองว่าคุณย่าหาผู้หญิงไว้ให้ไอ้หมอแล้วไม่ใช่เหรอวะ แกก็ช่วยให้เขาได้แต่งงานกัน เดี๋ยวอีกหน่อยคุณย่ามีเหลน เห่อเข้าหน่อยก็เลิกคะยั้นคะยอให้แกแต่งงานเองนั่นแหละ”
ธามเลิกคิ้วมองคนพูด “แกคิดงั้นจริงๆ เหรอวะ”
“ไม่อ้ะ แค่ปลอบใจไปงั้นแหละ” ธีร์เอ่ยตอบกลั้วหัวเราะ
“เหอะ ขำ ขำ ขำเข้าไป สบายใจจริงจริ๊ง” แฝดน้องผู้ถูกทอดทิ้งประชดกลับ
คนพี่เดินไปพาดท่อนแขนข้างหนึ่งบนบ่าคนน้องราวกับจะแสดงความเป็นเพื่อนตาย “เอาน่า เดี๋ยวก็มีทางออก”
ธามเอียงใบหน้ากระซิบกับคนที่หาทางหลุดออกจากบ่วงปัญหาได้ก่อน “สมัครทหารตอนนี้ทันไหมวะ”
“อืม...ม...” ทหารหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด “...รอพาลูกมาสมัครเหอะ”
“โห่ย...ย ไอ้ธีร์ บอกว่าไม่แต่งไงวะ!” ธามตะโกนไล่หลังคนที่เดินนำออกไปก่อนพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเท้าสะเอวอย่างหัวเสีย “เออ มีความสุขเข้าไป๊ อยากหนีไปราชการนักใช่ไหม ขอให้มันเจอดี”
นักธุรกิจหนุ่มเดินคอตกตามหลังแฝดพี่กลับเข้าไปรวมกับคนอื่นๆ ที่ห้องนั่งเล่นด้วยใบหน้าที่มีคำว่า ‘เซ็ง’ ตัวเท่าบ้านโชว์หราอยู่อย่างไม่คิดจะปกปิด และในจังหวะที่ไหล่กว้างของคนที่เดินอยู่ข้างหน้าเบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อย พลันสายตาของเขาก็สะดุดที่คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเดิมที่เขานั่งเมื่อครู่ ความตกใจพุ่งปรี่เข้ากระแทกหน้าอกจนความรู้สึกกระเด็นออกจากปากในเสี้ยววินาที
“เฮ้ย...ย!” เสียงร้องตะโกนลั่นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ทุกคนในห้องตกใจไม่แพ้คนพูด ทุกคนหันไปมองที่ต้นเสียงทันทีโดยไม่ได้นัดหมาย
“ตาธาม! ร้องเสียงดังทำไม เขาตกใจขวัญหนีดีฝ่อกันหมดแล้ว” เสียงแหลมที่ย่าเอ็ดหลานชายจอมป่วนไม่ได้เข้าหูคนถูกเอ่ยชื่อเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ดวงตาที่เบิกกว้างของเขากำลังถูกตรึงเอาไว้ด้วยภาพตรงหน้า
นี่มัน!...ภาพจริงหรือว่าภาพลวงตากันแน่...ชายหนุ่มเริ่มสับสน
ถ้าเป็นภาพจริง...ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่ถ้าเป็นภาพลวงตา...ทำไมเธอต้องทำหน้าตกตะลึงที่เห็นเขาขนาดนั้นด้วย ธามกะพริบตาย้ำซ้ำๆ ก่อนจะสะบัดหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่ได้เกิดจากการเห็นภาพหลอนอย่างที่เคยเป็นมาแต่อย่างใด
คนตัวสูงตั้งสติแล้วเดินอาดๆ ตามพี่ชายไปยังโซฟา แต่ก่อนที่เขาจะหย่อนตัวลงนั่งก็ล้วงสมาร์ตโฟนขึ้นมาและกดถ่ายถาพใบหน้าที่ยังฉายความตะลึงงันของหญิงสาวที่นั่งอยู่เอาไว้ ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนที่เห็น
ธามสะกิดแฝดพี่คนรองที่นั่งคั่นกลางระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้นให้หันมาสนใจรูปในมือถือของเขา “ธีร์ๆ คนในรูปนี้กับคนที่นั่งอยู่หน้าเหมือนกันไหมวะ ใช่คนเดียวกันไหม”
คำถามประหลาดสร้างความมึนงงให้ทหารหนุ่ม ก็รูปที่คนถามให้ดูมันคือรูปที่เขาเพิ่งลั่นชัตเตอร์ถ่ายต่อหน้าทุกคนเมื่อตะกี้นี้ แล้วไหนจะเสียงกระซิบที่ดูมีลับลมคำในนี่อีก ยิ่งผูกคิ้วของคนฟังเข้าไปใหญ่
“เหมือนดิวะ ก็เพิ่งถ่ายเมื่อกี้ แกบ้าปะเนี่ย”
“นี่ๆ สองคนนั่นน่ะ คนอยู่ตั้งเยอะแยะแล้วมากระซิบกระซาบอะไรกัน เสียมารยาท แล้วตาธามอีก จู่ๆ ไปถ่ายรูปหนูช่อทำไม” แล้วเสียงของคุณย่าก็แยกสองแสบออกจากกันชั่วคราว ก่อนที่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นความสนใจของใครบางคนจะถูกคุณย่าพริ้มเพราฉวยเอาไป...ด้วยคำว่า ‘หนูช่อ’
“ฮะ!? ชื่ออะไรนะ!”
ย่าส่งสายตาตำหนิคำพูดห้วนๆ ของหลานชายก่อนจะเอ่ยตอบ
“นี่หนูช่อผกา จะมาอยู่ดูแลย่าที่บ้านเรา หนูช่อจ๊ะ คนข้างๆ นั่นพี่ธีร์ ส่วนคนที่โหวกเหวกตลอดนั่นก็พี่ธาม เขาเป็นแบบนี้แหละ ไม่ต้องตกใจนะลูก” การแนะนำให้รู้จักที่ทิ้งท้ายด้วยคำตำหนิกลายๆ นั้นทำเอาทุกคนที่ได้ยินแอบยิ้ม
ยกเว้น...
‘พี่ธาม’ ...อย่างนั้นเหรอ!
น้ำลายอึกใหญ่ถูกลำเลียงลงคอ นี่มัน!...ไอ้ผู้ชายโรคจิตที่เคยเจอที่สิงคโปร์คนนั้นนี่ หน้าตาก็คิดว่าใช่ น้ำเสียงก็ใช่ ยิ่งท่าทางตีโพยตีพายแบบนี้...ยิ่งทำให้คิดถึงตอนที่เขาตะโกนไล่หลังมาจากหน้าบ้านเจ๊ไหมที่เกลังครั้งนั้นเลย...ต้องใช่เขาแน่ๆ
ช่อผกาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยหมายจะชำเลืองมองไปที่เป้าหมายเพื่อพิสูจน์ความคิดในหัวให้แน่ชัดอีกครั้ง แต่ทันทีที่สายตาของเธอประสานเข้ากับสายตาแข็งกร้าวที่กำลังเพ่งเล็งมานั้น หญิงสาวก็รีบถอยตัวกลับอย่างไม่รอช้า เป็นเขาจริงๆ ด้วย แววตาดุดันที่มองมานั้นเหมือนกับตอนที่เขาพยายามจะไล่ต้อนเธอให้จนมุมเพื่อจะเอานาฬิกาไปไม่มีผิด...ทำไมโลกต้องกลมขนาดนี้ด้วยนะ นี่เธอต้องอยู่บ้านเดียวกันเขาจริงๆ เหรอเนี่ย
“ย่าให้หนูช่อพักห้องข้างๆ กับหมอธัชนะ เห็นว่าเคยทำงานด้วยกันมาแล้ว น่าจะสนิทกันมากกว่าคนอื่นๆ แรกๆ จะได้ไม่เกร็ง จะได้ไม่เคอะเขิน ย่าฝากน้องด้วยนะหมอธัช”
หลานชายที่นั่งอยู่ข้างๆ พยักหน้ารับ แต่หลานชายที่นั่งอยู่อีกฝั่งกลับสะบัดสายตาไปทางสาวร่างบางที่นั่งอยู่ไม่ห่างมาก ด้วยแววตาที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
เขารู้ดีว่าจุดประสงค์ที่ย่าให้เธอคนนี้ใช้ห้องข้างๆ กันกับพี่ชายเขาคืออะไร แต่สิ่งที่เขาไม่รู้...คือผู้หญิงอันตรายคนนี้ใช้วิธีไหนทำให้คุณย่าตัดสินใจเลือกเธอมาเป็น...ว่าที่สะใภ้ของบ้านนี้ ไม่มีทางที่คุณย่าจะรู้จักกับเธอมานาน เพราะเมื่อหกเดือนก่อนเขายังเจอเธอ...ผู้หญิงที่กลางวันเป็นมิจฉาชีพในคราบพนักงานโรงแรม แต่พอตกกลางคือก็รับจ๊อบเป็นสาวโคมแดงอยู่ที่เกลัง
อย่างนี้แล้ว...สิบแปดมงกุฎที่ทำงานเป็นทีมอย่างเธอใช้เสน่ห์อะไรกันนะ ถึงได้ทำให้คุณย่าเอ็นดูและเชื่อใจเธอได้ขนาดนี้ในระยะเวลาอันสั้น
“ถ้าน้องช่อมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
ธามผละจากห้วงความคิดแล้วหันมองคนพูด...ไอ้หมอไม่ทันคนกำลังจะตกหลุมพรางความใสซื่อไปอีกคนแล้วเหรอเนี่ย
“ค่ะหมอธัช”
คนขี้ระแวงหันขวับไปทางต้นเสียง
ใช่! ไม่ผิดแน่ เสียงเมื่อตะกี้กำลังย้ำกับเขาอีกครั้งว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ภาพลวงตาแน่นอน เสียงนี้เขาจำได้ดี เพราะมันคือเสียงที่เคยทำให้เขา...ติดกับดักของเธอมาแล้ว
“เรียกว่าพี่หมอธัชสิหนูช่อ ย่าอยากให้เราอยู่แบบกันเอง ไม่ใช่เจ้านายลูกน้อง”
“ค่ะคุณย่า”
“เดี๋ยวๆ นี่จะอยู่นานแค่ไหน” ธามเอ่ยแทรกเพื่อเบรกคุณย่าที่กำลังพยายามจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างหลานชายคนโตกับว่าที่หลานสะใภ้ให้แนบแน่น
“ย่าทำสัญญาจ้างงานให้หนูช่อมาอยู่กับเราหนึ่งปี”
“ไม่ได้!”
“ทำไมไม่ได้วะ ไอ้ธามแกเป็นอะไรเนี่ย เดี๋ยวก็ตะโกน เดี๋ยวก็หลุกหลิกอยู่นั่นแหละ” ธีร์ที่นั่งดูสถานการณ์อยู่นานอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นบ้าง
ธามกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะหันไปพ่นลมหายใจใส่ไอ้แฝดพี่ตัวดีที่กำลังทำให้ความต้องการของเขาเป็นไปได้ยากขึ้น
“ก็...”
คนถามเลิกคิ้วอย่างรอคำตอบ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่หันมองคนโวยวายเป็นตาเดียวเพราะอยากรู้เหตุผลของเขาด้วย
“จะอยู่ทำไมเป็นปี ไม่มีผัวรึไง!” นี่คือข้ออ้างเดียวที่ชายหนุ่มคิดได้ในเวลานี้ และดูเหมือนว่ามันจะเป็นข้ออ้างที่...ไร้น้ำหนักสิ้นดี
“นี่! ดูพูดจาเข้า น้องเขาเพิ่งจะอายุยี่สิบ จะมีสามีได้ยังไง” ไร้น้ำหนักไม่พอ...แถมยังโดนคุณย่าดุข้ามฟากมาอีก
“ไม่รู้แหละ ยังไงก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีเหตุผล แต่ผมบอกเลย ยังไงก็อยู่ที่นี่ไม่ได้!”
“แต่ย่าบอกว่าอยู่ได้” เสียงแข็งของคุณย่าตอบกลับมาทันควัน ทำเอาเงียบไปทั้งห้อง “ว่ายังไงตาธาม อยู่ได้ไม่ได้”
ธามฟาดสายตาที่ร้อนไม่แพ้อารมณ์ไปทางสาวน้อยที่นั่งก้มหน้าอยู่ “เออ อยากอยู่ก็อยู่ไป อยู่จนกว่าจะได้ผัวไปเลย!” ชายหนุ่มกระแทกเสียงทิ้งท้ายใส่หญิงสาวที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่สบอารมณ์
ใบหน้าของทุกคนในห้องเต็มไปด้วยคำถาม เพราะถึงแม้ว่าปกติแล้วธามจะเป็นประเภทที่โวยวายเสียงดังไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลแบบนี้
ธีร์หันมองสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอกำลังมองแผ่นหลังของคนที่เดินออกไปด้วยสีหน้าฉายความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด ความสงสัยเข้าสะกิดใจทหารหนุ่มอย่างไม่มีเหตุผล เธอกำลังกังวลใจเพราะการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงการไม่ต้อนรับของหนึ่งในสมาชิกของบ้าน หรือที่จริงแล้วมันเป็นเพราะว่า...ระหว่างเธอกับไอ้แฝดน้องตัวแสบของเขา...มีอะไรที่มากกว่านั้นกันแน่
ช่อผการินน้ำเปล่าใส่แก้ว ก่อนจะเก็บขวดเข้าตู้เย็น แม้ว่าร่างกายของเธอจะทำงานได้อย่างไม่ติดขัด ทว่าสติของเธอกลับหาได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำไม่ เพราะตอนนี้มันกำลังวุ่นวายอยู่กับความคิดมากมายในหัว
เธอตัดสินใจตกลงรับงานนี้ หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายตลบ อันที่จริงงานที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้แย่อะไร เพื่อนๆ พี่ๆ ที่นั่นใจดีและคอยช่วยเหลือเธอทั้งนั้น แต่เพราะงานของเธอ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นผู้ช่วยพยาบาลจึงทั้งเลิกเย็น เลิกดึก เลิกเช้า แล้วแต่ตารางเวรแต่ละวันไป และถ้าไม่ใช่เพราะการที่ต้องกลับบ้านดึกของเธอทำให้พี่เอกต้องเป็นห่วงอยู่ตลอดแล้วละก็ เธออาจจะปฏิเสธงานนี้ไปแล้วก็ได้
ตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้าเธอย้ายมาอยู่ที่บ้านนี้ พี่เอกจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง แถมถ้าวันไหนที่เขาต้องอยู่ทำงานต่อที่ออฟฟิศจนดึก ก็จะได้ไม่ต้องคอยพะวักพะวนกับน้องสาวที่เขาทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวด้วย มาทำงานที่นี่ก็คงจะดีไม่น้อย แค่คอยโทร. ส่งข่าวสารทุกข์สุกดิบให้บ่อยๆ พี่ชายแสนดีของเธอก็คงจะหายห่วง และเธอก็จะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระของเขาด้วย
แต่ตอนนี้...ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้วสิ ผู้ชายที่เขาเคยคิดจะจับเธอส่งตำรวจมาแล้วครั้งหนึ่ง...เขาอยู่ที่นี่! แถมยังอยู่ในฐานะ...หลานชายเจ้าของบ้านอีกด้วย!
ช่อผกายกแก้วขึ้นดื่มน้ำจนหมด น้ำเย็นจากตู้เย็นที่ดูราคาแพงนี้ ไม่ได้ช่วยดับความฟุ้งซ่านในหัวของเธอได้เลย ใจอยากจะตัดปัญหา กลับไปทำงานที่เดิมให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่เพราะสัญญาจ้างงานที่เธอเพิ่งจดปลายปากกาเซ็นไปสัปดาห์ก่อน กำลังแปลงกายเป็นโซ่ชั้นดีที่ล่ามขาสองข้างของเธอเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้
“ไอ้ช่อเอ๊ย...ย! หนีสิงโตมาเจอเสือชัดๆ แล้วเจอที่ไหนไม่เจอ ดันมาเจอในถ้ำเสืออีก จะรอดไปได้ซักกี่น้ำกันล่ะเนี่ย เฮ้อ...อ”
หญิงสาวพ่นลมหายใจรอบที่ร้อยออกมาพร้อมๆ กับการพาร่างที่สติยังคงถูกหน่วงไว้อยู่กับเรื่องเดิมให้เดินฝ่าความมืดจากห้องครัวตรงกลับไปยังห้องนอน
เวลานี้ไฟทุกดวงที่ชั้นหนึ่งของบ้านถูกดับลงจนหมดเพราะเกือบจะห้าทุ่มแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกลับเข้าไปใช้เวลาส่วนตัวกันหมด จะเหลือก็แต่แสงสว่างจากหลอดไฟของชั้นสองที่ทอดรำไรลงมาถึงบันไดบ้าน ช่วยเจือจางให้ความมืดไม่มืดจนเกินไป
สาวร่างเล็กเดินฝ่าแสงสลัวขึ้นบันไดอย่างระมัดระวังด้วยความไม่ชินกับที่อยู่ใหม่ ถ้ามาตกบันไดขาเจ็บเอาตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มงาน คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ แค่วันนี้เดินทางมาถึงที่นี่ช้าเพราะต้องรอให้เลิกงานเสียก่อน จนทำให้คนอื่นๆ ต้องรอก็รบกวนพวกเขามากพออยู่แล้ว มีแต่ผู้ใหญ่ทั้งนั้นด้วย คนขี้เกรงใจเดินไปคิดไปท่ามกลางความเงียบสงัดของบ้าน
และเมื่อเธอขึ้นไปถึงชานพักบันได...
ความคิดเห็น |
---|