4

บทที่ ๔


บทที่ ๔ 

 

 “ตาลจำพี่ได้ไหม”

ลวิตราเลิกคิ้ว หล่อนรู้จักกรกฎเพราะเป็นรุ่นพี่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เขายังเป็นเพื่อนสนิทของภูรินทร์ หลายครั้งที่หล่อนเห็นว่าทั้งสองเดินอยู่ด้วยกัน

“คะ?”

“คิดแล้วเชียวว่าตาลจำพี่ไม่ได้”

ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาและเอารูปถ่ายสมัยเด็กออกมาให้ดู ลวิตรามองแล้วอ้าปากค้างด้วยความตกใจ กรกฎในวัยเด็กต่างกับตอนนี้มากเพราะเขาทั้งจ้ำม่ำและผิวคล้ำ แต่ที่ตกใจมากยิ่งกว่าก็เพราะอักษรย่อโรงเรียนที่ปักตรงอกเสื้อ

“พี่โก้เป็นรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกับตาล?”

“ใช่ และพี่จำวีรกรรมของตาลได้แม่น ตอนนั้นตาลดังมาก ใครๆ ก็อยากรู้ว่าตาลเป็นใคร ยกเว้นไอ้ภู”

หญิงสาวทำหน้าเบ้ เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนทำกลางหอประชุม ลวิตราตั้งใจว่าจะฝังความลับนี้เอาไว้ตลอดกาล แต่กรกฎกลับอยู่ในหอประชุมวันนั้นด้วย 

ในวัยเด็กกรกฎเรียนเก่งมาก ถ้ามีการตอบปัญหาเป็นกลุ่ม ภูรินทร์มักจะเลือกให้เขามาร่วมทีม 

“ตาลไม่ได้ตั้งใจนะคะพี่โก้”

“พี่รู้ ตาลก็แค่ชื่นชมไอ้ภูมัน”

“แต่สุดท้ายตาลก็ทำให้พี่ภูเสียหน้าต่อหน้าทุกคน เขาคงเกลียดตาลมาก”

“หัวเสียสุดๆ เลยละ โดยเฉพาะตอนที่ตาลทำกางเกงมันขาด มันโกรธเป็นอาทิตย์ ไม่กล้าสบตาน้องๆ ในโรงเรียนเพราะกลัวจะโดนล้อที่ใส่บ็อกเซอร์สีแดง คิดแล้วก็ยิ่งขำ” กรกฎหัวเราะ 

แต่ลวิตราขำไม่ออก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด หล่อนไม่น่าเสนอตัวไปแก้ตัวเลขเลย ภูรินทร์อดเป็นตัวแทนโรงเรียนและทำให้ลวัศกรได้ไปแทน ลวิตราแอบไปล็อบบีพี่ชายให้สละสิทธิ์แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ 

“พี่ภูเกลียดตาล”

“เลิกฝังหัวตัวเองได้แล้ว ป่านนี้ไอ้ภูจำไม่ได้แล้วละ เรื่องเป็นสิบปีแล้ว ตาลควรจะสนใจว่าจะช่วยภูยังไงต่างหาก”

หญิงสาวสบตากรกฎอีกครั้ง รอให้เขาพูดต่อ

“ตาลรู้เรื่องมิวใช่ไหม”

 “ห้องอยู่ติดกันค่ะ ได้ยินชัดทุกอย่าง”

“งั้นพี่จะพูดตรงๆ ก็แล้วกัน พี่เจอมิวกับปฐวีที่ผับหลายครั้ง พี่ไม่ชอบที่มิวทำตัวลับหลังภูแบบนี้”

เรื่องราวที่ได้ยินจากกรกฎไม่ต่างจากที่ลวิตรารับรู้มาก่อน มธุรินคบผู้ชายมากหน้าหลายตา แต่ต่อหน้าจะทำตัวเป็นแฟนที่ดี เอาใจทุกอย่าง ลับหลังก็นอกใจ

“พี่จะเตือนภูหลายครั้งแต่ไม่มีโอกาส ตอนวันงานเลี้ยงส่งพี่เลยตัดสินใจพูดไป แต่ภูเหมือนยังไม่ค่อยเชื่อ พี่ถึงเปิดโอกาสให้คุยกับตาลตามลำพัง”

เขาหมายถึงตอนที่ภูรินทร์เมาเละและอาเจียนเสียก่อน 

“ตาลก็ตั้งใจเอารูปให้พี่ภูดู แต่สุดท้ายก็พลาด”

“ตาลยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจใช่ไหม ทำไมไม่ถือโอกาสบอกความจริงให้ภูรู้ว่าตาลแอบชอบเขามานานแล้ว”

ลวิตราอ้าปากค้าง หน้าแดงก่ำ “พี่โก้....”

“ตาลสงสัยละสิว่าทำไมพี่รู้” ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนเฉลย “เพราะว่าพี่ออกจากหอพักไล่เลี่ยกับไอ้ภูน่ะสิ พี่เห็นตาลเดินตามไอ้ภู แล้วพี่ก็เห็นอีกว่าตาลอยู่ห้องฝั่งตรงข้าม ตาลแอบมองไอ้ภูทุกวันเลย”

หญิงสาวหน้าแดงก่ำ เขินจัดจนต้องยกมือปิดหน้า 

กรกฎหัวเราะ พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ไม่ต้องเขินหรอก แอบชอบแล้วผิดตรงไหน ที่พี่มาคุยกับตาลก็เพราะไม่อยากเห็นภูโดนสวมเขา มิวไม่ได้จริงใจกับภู ทั้งที่ไอ้ภูหวังแต่ง”

ลวิตราตกใจ สิ่งที่หล่อนกลัวที่สุดกำลังจะเป็นจริง 

“ตาลจะช่วยอะไรได้คะ ถึงตาลจะเล่าให้ฟัง แต่พี่ภูก็อาจไม่เชื่ออยู่ดี”

“เราต้องช่วยกัน พี่แอบถ่ายรูปสองคนนั้นไว้ พี่ตั้งใจจะส่งให้ดู และถ้ามีโอกาสตาลกับเพื่อนๆ ก็ช่วยพูดอีกแรง พี่มั่นใจว่าทุกอย่างจะสำเร็จ”

 กรกฎยื่นมือถือให้ลวิตราดูรูปที่ถ่ายมาได้ เป็นภาพในผับ ทั้งสองคนนัวเนียกันจนแทบจะนั่งตักด้วยซ้ำ ทันทีที่ภูรินทร์กลับเมืองไทย มธุรินก็เหมือนจะทำอะไรสะดวกขึ้น 

หญิงสาวอึ้ง ความคิดทุกอย่างตีกันในหัว

“ตาลยังไม่เคยคุยกับพี่ภูต่อหน้าเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้จะช่วยได้ขนาดไหน”

ที่ผ่านมาลวิตราเอาแต่หลบเลี่ยง แม้จะเรียนอยู่ที่เดียวกันแต่ไม่เคยคุยกันสักครั้ง

“ช่วยได้แน่ ขอแค่ตาลมีความกล้า”

คนตรงหน้ายิ้มหวาน 

ทุกอย่างตรงกับที่นางฟ้าทูนหัวมาเข้าฝันไม่มีผิด ภูรินทร์กำลังตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับหล่อน   

“ตาลแอบรักภู แล้วทำไมถึงปล่อยให้คนที่รักตกนรกล่ะ ถ้าเป็นพี่ พี่จะลุกขึ้นมาสู้”

“ทั้งที่รู้ว่าไม่มีความหวังงั้นหรือคะ”

“ถ้าตาลหวังว่าไอ้ภูจะรักตอบตอนนี้ พี่ว่าคงยาก แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ สำหรับพี่...ความรักไม่ได้อยู่ที่ผิดหวังหรือสมหวัง ขอแค่เราทำเต็มที่เพื่อคนที่รักก็พอแล้ว”

ลวิตราคอแห้งผาก หล่อนมัวแต่กลัวไม่เคยลุกขึ้นมาสู้ หล่อนเดินตามเขาทุกวัน รู้กิจวัตรประจำวันเขาทุกอย่าง มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่เคยกล้าบอกออกไปก็คือความจริง 

“ชีวิตภูขึ้นอยู่กับตาล แต่ถ้าไม่ทำอะไรตอนนี้ ตาลจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”

 

หญิงสาวมองบรรยากาศรอบตัวด้วยความตื่นเต้น ลวัศกรอาสามารับที่สนามบินทั้งที่ปกติไม่ชอบขับรถ

“ตาลจะนั่งรถเองทำไม กระเป๋าใบตั้งเบ้อเริ่มเทิ่ม ให้พี่ไปรับดีกว่า”

ทันทีที่เครื่องบินแตะรันเวย์และลวิตราเปิดโทรศัพท์มือถือ พี่ชายก็ไลน์เข้ามาคุยด้วยทันที

“ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองหรือยัง”

“เรียบร้อยค่ะพี่ต้น พี่รออยู่ข้างหน้านั่นละ เดี๋ยวตาลไปเจอที่ประตูที่นัดกันไว้”

หลังรับกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็รีบมองหาพี่ชาย นักท่องเที่ยวมากมายแออัดอยู่ในสนามบิน และหลายคนก็มารอรับเพื่อน บ้างก็รอญาติ หนุ่มร่างสูงโดดเด่นโบกมือให้ ลวิตราคลี่ยิ้มเมื่อเห็นพี่ชาย

“พี่ต้น”

หล่อนเข็นรถที่มีกระเป๋าเดินทางสามใบ ภายในคือข้าวของที่เพิ่มพูนขึ้นมาระหว่างที่ไปเรียนต่อ ลวัศกรสวมสูทยีนสีอ่อนกับกางเกงสีซีดเข่าขาด ใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวจัดตามสไตล์หนุ่มหล่อขี้เล่น แค่เขาโบกมือให้ สาวๆ ที่ยืนอยู่รอบๆ ก็พากันค้อนใส่ลวิตรา 

“พี่ต้นหล่อขึ้นหรือเปล่าคะเนี่ย”

“แหงอยู่แล้ว เรื่องหล่อมันเป็นเรื่องธรรมดาของพี่”

ลวิตราค้อน ชกที่หัวไหล่พี่ชายเบาๆ ตลอดเวลาที่ไปเรียนอยู่อเมริกา พี่ชายมักจะไลน์คุยแบบเห็นหน้าแทบทุกวัน 

“ยังชมตัวเองเก่งเหมือนเดิม”

“ไม่ได้ชมนะ พี่พูดความจริง เมื่อเช้าแม่ยังบอกเลยว่าพี่หล่อ...กระเป๋ามีแค่นี้หรือ น้อยไปหรือเปล่า คิดว่าจะเหมาเรือมาทั้งลำเลยนะเนี่ย”

“พี่ต้นอ้ะ”

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวรถติด ป่านนี้พ่อกับแม่ชะเง้อรอแล้ว ย่ากับปู่ด้วย ทุกคนอยากเจอตาลที่สุด”

“วันนี้แม่ทำไข่ตุ๋นของโปรดตาลหรือเปล่าคะ ไม่ได้กินนาน อยากกินมากๆ”

“ทำรอตั้งแต่เมื่อวันก่อน พี่ซัดจะพุงจะปลิ้นอยู่แล้ว” พี่ชายแกล้งแหย่ 

ลวิตราหัวเราะร่วน “มีพุงที่ไหน หล่อเฟี้ยวขนาดนี้ มิน่าแฟนถึงได้หวงนักหวงหนา”

 ลวัศกรเป็นแฟนกับกมลดา น้องสาวของชัยภัคดิ์ กว่าทั้งสองจะผ่านด่านครอบครัวก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคหลายอย่าง 

 “ก็อยากให้หวงอยู่นะ แต่ดูเหมือนจะไม่แคร์พี่เลย มีอย่างที่ไหน บอกว่าจะทำงานที่นู่นอีกสองปี...หรือว่าจะบินไปฉุดมาเข้าหอเลยดี?”

“ไม่ได้นะคะ ขืนทำแบบนั้นพี่ต้นโดนแพ่นกบาลแน่ๆ”

“พี่รู้หรอกน่า แค่แหย่เล่น เราก็เหมือนกัน ไปเมืองนอกตั้งนาน มีหนุ่มๆ ซุกเอาไว้หรือเปล่า เดี๋ยวขึ้นรถเล่ามาให้หมดนะ อย่าเม้ม”

“ไม่มี้!” หล่อนทำเสียงสูง “ถูกพี่ชายคุมแจ จะมีแฟนได้ยังไง”

ทุกวันพี่ชายต้องคอยเช็กว่าน้องสาวกลับถึงหอหรือยัง ร้อนถึงเพื่อนรักสองคนที่บางครั้งต้องช่วยโกหกให้

“ขึ้นคานก็ดี บ้านเราโครงสร้างแข็งแรง รับรองว่ารับน้ำหนักตาลได้สบายมาก”

“พี่ต้น!” ลวิตราโวยเสียงสูง 

พี่ชายเอื้อมมือมายีหัวน้องสาว อมยิ้ม “ดีใจละสิ ขอต้อนรับกลับบ้านนะน้องสาวที่รัก รับรองว่าตาลต้องชอบโปรแกรมโฮมคัมมิงที่ทุกคนเตรียมเอาไว้แน่ๆ”

ลวิตราหรี่ตามองพี่ชายอย่างจับผิด “ชักยังไงๆ นะเนี่ย พี่ต้นวางแผนอะไรหรือเปล่า”

“พี่แค่จ้างบอดีการ์ดคอยตามรับ-ส่งน้องสาว เผื่อว่ามีไอ้หนุ่มหน้าไหนมาเกาะแกะตาล พี่จะได้เป่าสมองมันเสียเลย”

ชายหนุ่มพูดขำๆ แต่ลวิตราไม่ขำด้วย ยิ่งนึกถึงสิ่งที่วางแผนเอาไว้ก็เสียวสันหลังวาบ 

“ตาลโตแล้วนะคะ ไม่ใช่เด็กๆ ต้องตามรับตามส่งแล้วด้วย”

“โตแค่ไหนยังไงก็เป็นน้องพี่อยู่วันยังค่ำ เดี๋ยวนี้กรุงเทพฯ ยิ่งโจรชุกๆ อยู่”

“ตาลดูแลตัวเองได้ค่ะ อีกอย่างตาลมีเพื่อน ทั้งกานต์และแนนซี่ก็กลับมาแล้ว”

“เพื่อนตาลก็กลับมาแล้วหรือ”

“ใช่ค่ะ แนนซี่กลับมาช่วยงานที่บ้าน ส่วนกานต์ก็ไปๆ มาๆ เมืองไทยกับจีน ตอนนี้กิจการกำลังรุ่ง”

“เก่งนะ ขยันทั้งสองคน แล้วเราล่ะ คิดไว้หรือยังว่าจะทำงานอะไร พี่จะได้ช่วยหาให้”

“พี่ต้นเนี่ยนะจะช่วยหา?”

ลวัศกรยักคิ้ว ยิ้มอย่างยียวน “ตอนนี้บริษัทเรารับสมัครเมสเซนเจอร์นะ เงินดี สวัสดิการดี ถ้าตาลสนใจ ในฐานะน้องจะรับพิจารณาเป็นพิเศษ”

ลวิตราค้อนควัก หันไปหยิกพี่ชาย ทั้งสองเดินถึงรถพอดี เขาแสร้งร้องโอดโอย

“เจ็บนะ หยิกมาได้ มือหนักอย่างกับช้าง”

“เจ็บก็ดี จะได้เลิกล้อน้อง จะให้ตาลไปเป็นเมสเซนเจอร์ให้พี่ต้นได้ยังไง”

“อ้าว ก็เห็นขับรถเก่งไม่ใช่หรือ อย่าดูถูกนะ เงินดีจะตาย พี่จะมีโบนัสให้เป็นพิเศษในฐานะที่ตาลเป็นน้อง”

“ไม่เอาละค่ะ เรื่องงานขอนะคะ ตาลอยากเลือกเองตามที่เรียนมา”

“ก็ได้ พี่ยอมครั้งหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่ใช่บริษัทคู่แข่ง เพราะพี่รับไม่ได้”

บริษัทคู่แข่งนั้นหมายถึงพีพีเรียลเอสเตต กับซีเคพีคอนสตรักชัน แต่หลังจากพี่ชายไปปลูกต้นรักกับกมลดาบุตรสาวของคุณโชคชัยทำให้ความบาดหมางบรรเทาลง แต่จะเรียกว่าไม่มีเลยก็คงไม่ใช่ 

“แหม...ทำเป็นรับไม่ได้ ทีตัวเองยังไปทาบทามเอาผลิตภัณฑ์ที่พี่เดียร์ออกแบบมาวางขายในนามบริษัทเครือเราได้เลย”

“รู้เยอะไปไหมเรา” ลวัศกรค่อน 

“รู้ก็ดีกว่าไม่รู้ สรุปว่าพี่ต้นไฟเขียวให้ตาลไปสมัครงานกับซีเคพีคอนสตรักชันได้ใช่ไหมคะ”

“จะไปให้ไอ้ชัยภัคดิ์มันแกล้งเล่นทำไม” พี่ชายค่อน น้ำเสียงหมั่นไส้อย่างเห็นได้ชัด 

ลวัศกรมักนินทาว่าชัยภัคดิ์เหมือนเจ้าพ่อมาเฟีย เพราะชอบใส่สูทสีดำ รวมถึงบอดีการ์ดที่เดินตามก็แต่งตัวเหมือนกันเปี๊ยบ

“ยังเรียกเขาว่ามันอีกหรือคะ อีกไม่นานเขาก็จะเลื่อนตำแหน่งเป็นพี่เขยแล้วนะ”

“ยังอีกตั้งสองปี ไม่รู้เดียร์จะใจอ่อนเมื่อไหร่” ลวัศกรพ้อ 

คนเดียวที่พี่ชายยอมให้ก็คือหญิงสาวคนนี้ ทั้งคู่พบรักกันที่เนเธอร์แลนด์ด้วยโชคชะตาลิขิต แต่กว่าจะฝ่าฟันจนเข้าใจกันก็มีอุปสรรคมากมาย กมลดาเป็นหญิงสาวที่มีความคิดเป็นของตัวเอง หล่อนประกาศก้องว่าจะขอทำงานที่ตนเองรักก่อนแล้วถึงจะยอมแต่งงาน 

“งั้นตาลจะคอยยุพี่เดียร์ว่าให้ทำงานไปนานๆ”

“อยากเห็นพี่ขาดใจตายหรือยังไง”

“ไม่รู้ละค่ะ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ถ้าพี่ต้นคุมแจละก็ ตาลก็จะขัดขวางความรักของพี่ต้นเหมือนกัน”

สองพี่น้องหัวเราะร่วน ลวัศกรเอากระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถและขับออกไป ท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นแต่ลวิตราแอบซ่อนความกังวลเอาไว้ หล่อนมองฟ้าเบื้องบน อธิษฐานในใจ

‘นางฟ้าทูนหัวคะ ช่วยหนูด้วย ให้หนูทำตามที่พี่โก้แนะนำให้สำเร็จ หนูอยากช่วยพี่ภู’

 

“กลับมาแล้วหรือตาล ไหน ขอแม่กอดหน่อยซิลูก”

วรดาดึงลูกสาวเข้ามากอดและหอมแก้มท่ามกลางความดีใจของทุกคน สมาชิกครอบครัวต่างออกมาต้อนรับการกลับมาของลวิตรา ขาดแต่เพียงเลิศพงศ์ที่ออกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว 

“ตาลคิดถึงคุณแม่จัง คิดถึงคุณย่าด้วย” หล่อนโผเข้ากอดย่าลลนาและโอบเอวอย่างเอาใจ 

คนเป็นย่าลูบศีรษะหลานด้วยความรัก “ตาลของย่าโตเป็นสาวแล้วนะ ผอมไปหรือเปล่าลูก”

“นิดหนึ่งค่ะ ที่อเมริกาไม่มีไข่ตุ๋นอร่อยๆ แบบของคุณย่ากับป้าน้อย”

เมื่อลวิตรามองไป บนโต๊ะก็มีไข่ตุ๋น คงเป็นฝีมือย่าหรือไม่ก็ป้าน้อย นอกจากนั้นยังมีของโปรดอีกหลายอย่าง

“งั้นก็ต้องกินเยอะๆ นะ วันนี้ย่าลงมือเข้าครัวเองเลย เพราะตาลจะกลับมา”

“แม่ก็ช่วยด้วยนะจ๊ะ” วรดาลูบผมลูกสาว ป้าน้อยยืนยิ้ม

“น้อยก็เป็นลูกมือด้วยนะคะ วันนี้คุณหนูตาลต้องกินให้หมดเลยนะคะ มีแต่ของโปรด”

“มีแต่ของโปรดตาล แล้วผมล่ะ ตกกระป๋องเลยมั้ง ไม่มีคนเหลียวแล” ลวัศกรแกล้งค่อน ทำหน้าเบ้ 

ลลนาหันไปหยิกหัวไหล่หลานชายพร้อมหัวเราะ “น้อยๆ หน่อย  เมื่อวันก่อนที่ย่าทำไข่ตุ๋น เราก็ช่วยชิมจนเกลี้ยงเลยไม่ใช่หรือ แล้วยังปลากะพงราดซอสมะขามอีก เรากินคนเดียวเสียหมดจาน”

“ผมกลัวเสียของนี่ครับ ช่วงนี้กระแสอนุรักษ์มาแรง เราควรใช้ทรัพยากรโลกให้เป็นประโยชน์”

“จ้ะ ย่าเชื่อว่าหลานชายย่ารักโลกมากๆ แล้วนี่วันนี้ไม่ต้องเข้าบริษัทหรือ”

ลวัศกรเหลือบมองนาฬิกาเหมือนนึกขึ้นได้ “จริงด้วยครับ ผมลืมไป คงต้องรีบไปแล้วละครับ มีประชุมช่วงบ่าย ฝากดูแลตาลด้วยนะครับ ให้รู้ว่าบ้านเราอบอุ่นขนาดไหน”

“อุ่นจนร้อนเลยละพี่ต้น” ลวิตราพูดติดตลก 

วรดาค้อน “นี่ตาลว่าแม่กับย่างั้นหรือ”

“เปล่าค่ะ แค่ประชดพี่ต้นต่างหาก คุณแม่กับคุณย่าไม่ได้เฟซไทม์คุยกับตาลวันละสองเวลาแบบพี่ต้นสักหน่อย คุมเข้มกว่าพ่ออีกนะคะ”

“ต้นก็หวงน้องแบบนี้ละจ้ะ ใครที่จะมาเป็นน้องเขยคงต้องผ่านด่านหนักหน่อย”

ลวิตราอมยิ้ม ลวัศกรหันไปหยิบเป้ทำงานออกมาสะพายหลังพร้อมกับโบกมือให้

“ผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวแดดจะร้อนเกิน วันนี้จะกลับมากินข้าวบ้านนะครับ ฉลองที่ตาลกลับมาบ้าน ทำอาหารเผื่อผมกับคุณพ่อด้วยนะครับ อย่าเพิ่งเฉดหัวกันเสียก่อน”

วรดาหัวเราะร่วน มองลูกชายที่ชอบพูดทีเล่นทีจริงตลอดเวลา “น้อยๆ หน่อยตาต้น แม่กับย่าก็ทำอาหารเผื่อทุกวัน มีแต่เราเสียอีกที่ยุ่งกับโพรเจกต์ใหม่จนไม่กลับมากินข้าวเย็น”

“นี่พี่ต้นมีโพรเจกต์ใหม่อีกแล้วหรือคะ”

“ใช่จ้ะ เพิ่งชนะประมูลมาสดๆ ร้อนๆ   ตาลไปกินข้าวก่อนดีกว่า เอาไว้มีเวลาแม่จะเล่าให้ฟัง”

 

 “ฉันสืบมาให้แล้วนะ พี่ภูของแกอยู่บริษัททั้งวัน”

 หลังจากปรับเวลาเข้ากับเมืองไทย ลวิตราก็โทร. นัดกานต์รวีกับณัทกรให้ออกมาเจอกัน ณัทกรยุ่งเพราะกำลังเริ่มงานใหม่ ดังนั้นหน้าที่สืบข้อมูลของภูรินทร์จึงเป็นของกานต์รวี

 “ลูกน้องแกนี่เก่งรอบด้านจริงๆ นะ ไหนจะเป็นบอดีการ์ด ไหนจะเป็นนักสืบ” ณัทกรเอ่ยขึ้น มองบอดีการ์ดผิวขาวหน้าตี๋ที่ยืนเต๊ะท่าอยู่ คนนี้มีชื่อว่าหย่ง ฉายาที่สองสาวตั้งให้คือหนุ่มหน้าหยก เนื่องจากมีเชื้อสายจีนผิวขาว ส่วนอีกคนชื่อว่าภัทร สองสาวตั้งชื่อว่าบอย เพราะผิวเข้มมาดแมนแถมยังกล้ามโตอีกต่างหาก ส่วนคนที่สามชื่อว่าเม่น แต่สองสาวเปลี่ยนให้ว่าแมน เพราะสูงล่ำเหมือนพระรองเกาหลี

 “แหงสิ ทำงานกับฉันก็ต้องทำได้ทุกอย่าง”

 “มีคนเดินตามตั้งสามคนไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือ คนอื่นเขาจะคิดว่าเป็นเจ้าแม่มาเฟีย”

 กานต์รวีมักจะแต่งกายเป็นสาวหล่อ หล่อนชอบสวมสูทแบบทำงานและสวมแว่นตาดำ ลูกน้องสามคนก็สวมสูทดำ เวลาไปไหนก็เดินตามติด สาเหตุที่ต้องมีบอดีการ์ดก็เพราะเมื่อสมัยก่อนนั้นหล่อนเคยถูกขู่ฆ่าจากบริษัทคู่แข่ง 

 “ดีออก คนอื่นจะได้ไม่กล้าวอแว”

 “แล้วไม่กลัวหนุ่มๆ หายหมดหรือ”

 “ฉันไม่สนใจผู้ชาย”

 “แล้วผู้หญิงล่ะ”

 “เพศไหนก็ไม่สนทั้งนั้นละ การมีรักคือทุกข์ ดูอย่างไอ้ตาลดิ มันทำหน้าเศร้าได้ทุกวัน ให้ฉันเป็นแบบมันหรือ ฝันไปเถอะ”

 “ยกตัวอย่างอื่นก็ได้นะ ไม่ต้องมาแซะให้ฉันรู้สึกผิดหรอก”

 “สรุปจะเอายังไง ดีแต่ให้สืบ แล้วจะเริ่มลงมือจริงเมื่อไหร่”

 “เร็วๆ นี้ พี่โก้บอกให้รอสัญญาณ ระหว่างนี้ให้ฉันตามประกบพี่ภูไปก่อน”

หลังจากกลับมาเมืองไทยหล่อนก็ส่งข้อความคุยกับกรกฎทุกวัน ทางนั้นกำลังหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะส่งรูปให้ภูรินทร์ดู

 “ทำไมต้องรอด้วย ก็แค่ส่งรูป”

 “พี่โก้สงสารพี่ภู เขากำลังปรับตัวกับงาน”

 “ระวังเถอะ เดี๋ยวยายแม่มดก็แจ้นมาขอพี่ภูแต่งงาน แผนพังกันพอดี” กานต์รวีขู่ 

ลวิตราหน้าซีด “สายของแกที่อเมริกาบอกอย่างนั้นหรือ”

 “ก็ทำนองนั้น เห็นว่าทะเลาะกับปฐวีบ่อยๆ แกเชื่อฉันไหม ยายมิวน่ะเห็นปฐวีเป็นของเล่นแก้เซ็ง ส่วนพี่ภูสุดหล่อคือของตาย ไม่มีวันปล่อยหลุดมือไปง่ายๆ หรอก”

 “ฉันเห็นด้วยกับกานต์นะ ยายแม่มดนั่นฉลาดจะตาย อาจจะแค่คบไอ้แมลงสาบนั่นแก้เบื่อ จะได้มีคนช่วยประกอบกิจกรรมในร่มยังไงล่ะ” ณัทกรประชด ยามอยู่กับเพื่อนมักจะชอบเรียกปฐวีว่าแมลงสาบ อันพ้องมาจากชื่อภาษาอังกฤษของเขานั่นเอง 

ลวิตรากับกานต์รวีทำหน้าเบ้เมื่อนึกถึงสิ่งที่เพื่อนพูด

 “ทะลึ่งจริงๆ เลยแนนซี่ เรื่องแบบนี้ก็พูดออกมาได้”

 “ถ้าไม่เชื่อก็ถามยูอินดูสิ ว่าผนังห้องข้างๆ ยังสะเทือนไหม”

 ลวิตราพยักหน้า เมื่อวานนี้หล่อนเพิ่งคุยกับอดีตรูมเมตเกี่ยวกับมธุริน พบว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมเปี๊ยบ

 “แกบอกพี่โก้ให้เร่งมือหน่อย ฉันเกรงว่าจะไม่ทันกาล เกิดยายแม่มดบินกลับเมืองไทย แผนการพังแน่”

 

 “มิวคิดถึงภูจังเลยค่ะ ทำอะไรอยู่คะ”

 มธุรินออดอ้อนมาตามสาย นับตั้งแต่ภูรินทร์กลับเมืองไทย หล่อนก็วิดีโอคอลมาหาแทบทุกวัน 

 “ผมยังอยู่บริษัท มีอะไรหรือเปล่ามิว”

 ภูรินทร์เริ่มเข้ามารับผิดชอบเต็มตัว งานบริษัทกำลังไปได้สวยเช่นเดียวกับโครงการมิลเลนเนียมสตาร์ที่ต้องอาศัยความรอบคอบเป็นอย่างมาก ทั้งหมดเป็นไอเดียที่นำเสนอต่อบิดา เริ่มตั้งแต่แผนการสร้างโรงแรมซึ่งเป็นคอมเพลกซ์กลางน้ำ แรกทีเดียว ภูดิศลังเลเนื่องจากเป็นโครงการใหญ่ต้องอาศัยเงินทุนหมุนเวียนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังก่อสร้างบนเกาะในต่างประเทศ การไม่มีเส้นสายที่นู่นอาจทำให้การดำเนินการทุกอย่างขลุกขลัก แต่ด้วยคอนเนกชันของภูรินทร์ เขาบังเอิญรู้จักสนิทสนมกับประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา จึงทำให้การเจรจาเพื่อร่วมทุนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม และด้วยเครือข่ายของบริษัทจึงทำให้นักลงทุนใหญ่จากประเทศพม่าสนใจด้วย

 “เดี๋ยวนี้จะโทร. หาคุณต้องมีธุระด้วยหรือคะ” หล่อนพ้อ แสร้งบีบน้ำตาคลอเบ้า

 “โธ่...มิว อย่าน้อยใจสิ บังเอิญวันนี้ผมยุ่ง เดี๋ยวอีกห้านาทีต้องเข้าประชุมผู้บริหาร แล้วพรุ่งนี้ก็ยังต้องเสนอรายงานกับกรรมการบริหารคนอื่นๆ อีก”

 “งั้นวางก่อนนะคะ จะได้ไม่รบกวนเวลาอันมีค่าของคุณ”

 “มิว...ไม่เอาสิ อย่าพูดแบบนี้”

 “แล้วไงคะ โทร. หาคุณก็ไม่ได้ จะคุยกันก็ไม่ได้เพราะคุณยุ่งตลอดเวลา คุณลืมสัญญาแล้วใช่ไหมคะว่าจะโทร. หามิวทุกวัน แต่นี่อะไร โทร. มาคุยก็คุยแบบขอไปที แล้วอย่างนี้จะให้มิวคิดยังไง”

 “ก็แค่วันนี้เท่านั้นน่ะมิว พรุ่งนี้ผมสัญญาว่าเสร็จงานจะรีบไลน์หาคุณทันที เราจะได้คุยกันอย่างจุใจเลย”

ภูรินทร์ปลอบ พักนี้มธุรินมักจะบ่นน้อยใจอยู่เสมอ ส่วนชายหนุ่มก็ต้องคอยตามง้อทางไกลไม่เว้นแต่ละวัน หลายครั้งที่ชายหนุ่มเริ่มท้อเพราะมธุรินชอบหาเรื่องทะเลาะกันอยู่เรื่อย เวลาที่แตกต่างกันทำให้เขาต้องใช้เวลากลางคืนโทร. หาหล่อน ดังนั้นพอเช้าต้องทำงานก็ยิ่งเพลีย

 “แน่ใจนะคะ สุดท้ายแล้วคุณก็ลืมมิวอีก”

 “ไม่ลืมหรอก ผมสัญญา อย่างอนผมนะคนดี คุณก็รู้ว่าผมแคร์คุณขนาดไหน ถ้ามิวเครียด ผมเองก็ไม่มีสมาธิทำงาน”

 “แกล้งพูดให้มิวดีใจหรือเปล่าคะ”

 “ผมพูดจากใจจริง ผมรักมิวนะ”

 มธุรินจูจุ๊บกับโทรศัพท์ ยิ้มให้เมื่ออารมณ์ดีขึ้น “มิวก็รักคุณค่ะ...”

เสียงบางอย่างดังขึ้นจากด้านหลังคล้ายเสียงเรียก

“นั่นเสียงใครหรือมิว”

มธุรินรีบบอกละล่ำละลัก “เพื่อนที่คณะค่ะ เขาแวะเอาเลกเชอร์มาให้ค่ะ”

“เพื่อนคนไหน”

“เอ่อ...แอนนาไงคะ ภูก็รู้จัก ชอบเซ้าซี้อยู่เรื่อย มิววางสายก่อนนะคะ ต้องรีบไปแล้ว”

 “เดี๋ยวสิมิว เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน แล้วพรุ่งนี้คุณสะดวกให้ผมโทร. หากี่โมง”

อีกฝ่ายกดตัดสายไปทันที มธุรินดูรีบผิดปกติ เขามั่นใจว่าได้ยินเสียงใครบางคนเรียกหล่อน 

‘เพื่อนแวะเอาเลกเชอร์มาให้’

เขานึกถึงสิ่งที่แฟนสาวบอก แล้วเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนสาวที่ชื่อแอนนาย้ายไปอยู่รัฐอื่นด้วยความจำเป็นของครอบครัว ที่เขารู้ก็เพราะหล่อนเป็นรุ่นน้องที่คณะ แต่เพราะอะไรมธุรินถึงบอกว่าแอนนามาหา...มือเรียวกำแน่นเมื่อระลึกได้ว่าเสียงเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงของผู้หญิงอย่างที่กล่าวอ้าง แต่เป็นเสียงใครคนหนึ่งที่เขาได้เจอก่อนหน้านี้...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น