8

หญิงสาวผู้ถูกเลือก



 

บทที่แปด

หญิงสาวผู้ถูกเลือก

 

อาการปวดท้องซึ่งเข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้อิงวาดซึ่งเพิ่งมาถึงทางเข้าโรงพยาบาลทรุดตัวลงนั่งยองๆ กุมท้อง ร่างสั่นเพราะรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่วร่าง มือข้างหนึ่งปิดปากเพราะอยากอาเจียน 

“คุณครับ เป็นอะไรไหม” เสียงแห่งความปรารถนาดีดังมาจากชายหนุ่มหน้าตาบ่งบอกเชื้อสายตะวันออกกลาง เขาสวมชุดสครับสีน้ำเงินและเสื้อกาวน์ บอกให้รู้ว่าเป็นแพทย์ “มาพบหมอหรือครับ คุณป่วยเป็นอะไร ต้องการรถเข็นไหม”

อิงวาดอยากพยักหน้า ทว่าอยู่ดีๆ อาการปวดท้องก็หายไป เธอปาดเหงื่อที่ผุดซึมล้อมดวงหน้า ค่อยๆ ลุกขึ้น รู้สึกเท้าไม่มั่นคง แต่เมื่อกะพริบตาตั้งสติก็ตั้งตัวยืนได้ ส่งยิ้มขอบคุณตามมารยาท 

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เวียนหัว ฉันดีขึ้นแล้ว”

แพทย์หนุ่มพยักหน้ารับรู้แล้วเดินเข้าโรงพยาบาล อิงวาดหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหารุ่นพี่ว่าตอนนี้มาถึงแล้ว กำลังจะขึ้นไปชั้นสี่

ว่าแต่...อาคารใด

เธอเดินเข้าไปในโรงพยาบาล รอคำตอบไม่นานนัก ก็มีข้อความก็ส่งมาว่าอาคารใหม่ด้านในสุด หญิงสาวเอ่ยถามทางจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ แล้วเร่งฝีเท้าไปตามทาง จนกระทั่งถึงอาคารหลังใหม่ที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จไม่นานมานี้ 

ลิฟต์ทั้งหกตัวมีผู้ต่อแถวรอ บ้างคือคนไข้ บ้างคือบุคลากร ตัวแทนบริษัทยา และบ้างมาเยี่ยมญาติ รอลิฟต์อยู่ไม่นานนัก ประตูลิฟต์ตัวที่อิงวาดยืนต่อแถวก็เปิดออก เธอค่อยๆ เดินเข้าไปด้านใน ประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิด ในขณะที่ลิฟต์ฝั่งตรงข้ามเปิดออก 

รอย...ก้าวออกมาจากลิฟต์! 

อิงวาดไม่รู้ว่ามีใครตามหาเธอ สิ่งเดียวที่เธอรู้คืออาการปวดท้องกลับมาอีกครั้ง ไม่ปวดสาหัส แต่ก็ทำให้ขาสั่น คิดในใจว่าหรือใกล้เวลาที่ประจำเดือนจะมา  

เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวคิดถึงคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยจับใจ ก้าวออกจากลิฟต์แล้วมองโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วยความรู้สึกตัดพ้อ ต่อให้เข้าฉุกเฉิน เขาก็จะแค่ถามอาการแล้วนัดวันให้เธอ อาจนั่งรอได้ แต่ก็ต้องรอ...รออย่างยาวนาน บางทีรอจนหายก็ยังไม่ได้พบหมอ

คิดแล้วก็กัดฟันทน บอกตัวเองว่าไว้ปรึกษารุ่นพี่เกี่ยวกับอาการปวดท้อง 

รุ่นพี่ผู้ถูกนึกถึงยืนห่างออกไปไม่ไกล เจ้าของร่างอวบอิ่มผมสีบลอนด์สวมชุดสครับสีน้ำเงินและเสื้อกาวน์เดินตรงมาหาอิงวาด ทักทายกันด้วยการโอบกอด

“งานเครียดมากเหรอ หน้าซีดเชียว” ลอริสเอ่ยพร้อมผายมือไปทางห้องพักแพทย์ 

อิงวาดพยักหน้า เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้จึงเริ่มต้นถามถึงอาการปวด

“ฉันปวดท้องค่ะ ตรง...“ มือขาวแตะวนลูบช่วงท้องส่วนล่าง เพราะไม่รู้ว่าตรงไหน มันเป็นอาหารปวดที่ระบุบริเวณไม่ได้

“ตกลงตำแหน่งไหน กระเพาะ มดลูก รังไข่ ปีกมดลูก หรือว่าก้นกบส่วนหลัง”

คำถามจากแพทย์สาวทำให้อิงวาดขมวดคิ้ว “ไม่รู้ค่ะ”

ลอริสไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจ “นัดหมอไหม”

“คิวคงอีกยาว”

“จากที่ฉันดูอาการเธอคงยังไม่อันตรายมาก เพราะถ้าอันตรายเธอล้มไปแล้ว อยู่ในจุดรอได้ คิวเลยจะยาวหน่อย ถ้านัดที่นี่ ตอนนี้เธอไม่ใช่นักศึกษาแล้ว ไวสุดอาจหนึ่งเดือน” 

คำตอบนี้ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้อิงวาด อาการปวดทำให้เธอกังวล แต่สิ่งที่กังวลยิ่งกว่าคือ... 

“ถ้าตรวจแบบฟูลออปชัน ราคาประมาณเท่าไหร่คะ ฉันมีประกัน แต่ไม่รู้ว่าจะครอบคลุมหมดไหม”

ผู้ถูกถามเกาศีรษะ ดวงตากลอกไปมาครุ่นคิด “ไม่แน่ใจว่าราคาเท่าไหร่ ที่แน่ใจคือตรวจระดับนั้น ประกันไม่น่าครอบคลุมหมด ค่าใช้จ่ายน่าจะห้าพันเหรียญขึ้นไป เพราะอัลตราซาวนด์ก็หลักพันเหรียญ ตรวจเลือดอีกอะไรอีก แต่ตรวจก็ดีนะ”

คำว่าห้าพันเหรียญทำให้คนฟังขนลุก อาการปวดท้องสลายสิ้น

“ไม่เป็นไรค่ะ คิดว่าสิ้นปีนี้จะขอลาหยุดกลับไทย เดี๋ยวไปตรวจที่ไทยดีกว่า” 

คำตอบทำให้รุ่นพี่ยิ้มขำ “นั่นสิ กลับไปตรวจที่นั่นก็ได้ แบบที่ฉันบอก ถ้ามันสาหัสรอไม่ได้เธอล้มไปแล้ว ในอเมริกา ตราบใดที่หัวใจไม่ได้กำลังจะหยุดเต้นหรือใกล้ตาย ไม่ถือว่าสาหัส”

จบเรื่องการปรึกษาอาการปวดท้อง ก็เริ่มต้นสนทนาเรื่องงาน ในขณะที่อิงวาดเริ่มจด แววตามุ่งมั่นว่างานนี้เธอจะไม่พลาด เพราะเดือนหน้าคือเดือนตัดสิน

 

วันแห่งการตัดสินโชคชะตามาถึง วันนี้คือวันสุดท้ายของคนสี่สิบสามคนในเอชอาร์ซี และคือวันสุดท้ายแห่งการเป็นลูกจ้างชั่วคราวของคนห้าคน

บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ที่ผ่านมาทุกคนล้วนทำเต็มที่ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า เต็มที่ของพวกเขาคือเท่าไรในสายตาผู้ตัดสิน และเหนือกว่าคู่แข่งคนอื่นหรือไม่ 

บนโต๊ะทำงานทุกตัวมีซองเอกสารสีขาว แต่ละคนถือซอง ต่างฝ่ายต่างมองกัน แล้วมองซองเอกสารในมือ 

อิงวาดรู้สึกหัวใจเต้นรัวแรง ขาสั่นอยากจะเป็นลม ทั้งยังมีอาการปวดท้องที่เป็นอาการปวดประจำเดือนเช่นทุกเดือน ปวด...จนทำให้มือเธอสั่นและทำซองเอกสารตก ร่างสูงโปร่งก้มลงเก็บ แต่ขากลับสั่นแรงขึ้นจนทำให้ต้องทรุดนั่งลงกับพื้น 

มือข้างหนึ่งกุมท้องน้อยบริเวณที่ปวดบิด ขยับตัวก็รู้สึกว่าร่างกายเธอมีน้ำตกอยู่ภายใน ธรรมชาติแห่งเพศหญิงกำลังทำหน้าที่ เธอเกลียดการขยับ เกลียดความรู้สึกแหยะๆ ชื้นๆ และเกลียดการต้องเปิดซองเอกสาร 

เสียงกรีดร้องดีใจและเสียงร้องไห้หรือทุบโต๊ะเริ่มดังขึ้น บอกชัดว่าการเปิดซองเริ่มขึ้นแล้ว หญิงสาวซึ่งถือซองอยู่ในมือสูดลมหายใจลึก พยายามควบคุมสติ พยายามไม่เป็นลม ค่อยๆ เปิดซอง 

สัญญาจ้างงานตำแหน่งนักสิทธิมนุษยชนประจำ [ตัวเอียง]

ตัวหนังสือที่ปรากฏทำให้ดวงตายาวเรียวเบิกกว้าง ลืมความปวดท้องประหนึ่งไม่เคยเกิดขึ้น ลุกขึ้นฉีกยิ้มกว้างชูสัญญาประหนึ่งถ้วยรางวัล ก่อนจะรีบหดมือกลับ เพราะสบสายตาเสียใจและผิดหวังของคนที่ไม่ได้ไปต่อ 

มือเรียวขาวกุมหน้าอกตัวเอง รับรู้ถึงการเต้นรุนแรงของหัวใจ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ มือที่ยังสั่นหยิบเอกสารทั้งหมดออกมาอ่านอย่างถี่ถ้วนและเริ่มต้นเซ็นสัญญา รวมถึงกรอกเอกสารการยื่นขอวีซาทำงาน ซึ่งเอชอาร์ซีจะเป็นสปอนเซอร์ยื่นขอให้ในต้นปีหน้า

ขณะกรอกเอกสาร น้ำตาไหลจากหางตา น้ำตาแห่งความโล่งใจ ดีใจ และภาคภูมิใจ ในที่สุดเธอก็ทำได้ เธอคือห้าคนสุดท้ายที่ถูกเลือก มือที่กำลังเขียนเอกสารชะงัก คิ้วขมวด ริมฝีปากเม้มแน่น 

อาการปวดท้องกลับมาอีกแล้ว และครั้งนี้หนักกว่าเมื่อครู่

อิงวาดปรารถนาลาป่วยกลับบ้าน ทว่า...ดวงตาจ้องมองเอกสาร ไม่ได้! เธอเพิ่งผ่านการคัดเลือก จะลาป่วยตอนนี้ไม่ได้! ใครไม่มาเป็นเธอไม่เข้าใจ ว่าการเพิ่งผ่านช่วงเวลาเกือบตกงานมันเป็นเช่นไร เธอจะพาตัวเองเข้าสู่ความเสี่ยงไม่ได้ คิดแล้วก็เปิดลิ้นชัก หยิบยาแก้ปวดออกมาสองเม็ด รับประทานยาแก้ปวดพร้อมกับออกคำสั่งต่อร่างกาย 

หายซะ! อย่าให้การปวดท้องประจำเดือนมาทำลายวันดีๆ 

คำสั่งไม่เป็นผล อาการปวดไม่ได้หายไป หญิงสาวตัดสินใจไม่รอกลับไทย เปิดแลปทอปเข้าเว็บไซต์ของโรงพยาบาลโคลัมบัส ทำการนัดหมายออนไลน์ แทบจะเป็นลมเมื่อพบว่าวันนัดหมายเข้าพบแพทย์ที่ใกล้ที่สุดคือ...

อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า!

 

หลังจากยกเลิกนัดรับประทานอาหารเย็นด้วยกันมาหลายครั้ง ในที่สุดวันนี้อิงวาดก็ได้ใช้เวลากับไอริณ หญิงสาวทั้งสองคนเลี่ยงการรับประทานอาหารในร้านอาหารซึ่งต้องรอคิวยาวเหยียด เลือกซื้อพิซซาหนึ่งเหรียญ แล้วเดินถือมานั่งกินที่โต๊ะกลางลานไทม์สแควร์

เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นลง ทว่าก็จัดว่าอากาศดียิ่งนัก ไม่ร้อนหรือหนาวไป ทั้งยังไม่มืดเร็วเช่นช่วงฤดูหนาว ที่เพียงสี่ห้าโมงก็มืดไปทั้งเมือง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าตามสวนสาธารณะจะมีคนสวมบิกินีนอนอาบแดด แต่อาจจะเป็นที่ตกใจของนักท่องเที่ยวผู้ไม่เคยชินกับอากาศนิวยอร์กและรู้สึกว่าอากาศหนาว ทว่ากับคนท้องถิ่นนั้น อากาศเช่นนี้คืออากาศที่น่านอนอาบแดดไม่ต่างจากช่วงฤดูร้อน ไม่ต้องเสี่ยงกับมะเร็งผิวหนังจากการถูกแดดเผาอีกด้วย

ทั้งคู่เอาพิซซาในมือชนกัน ไอริณเอ่ยเสียงสดใสกับเพื่อนสนิทด้วยความดีใจ “ยินดีด้วย ในที่สุดแกก็คือผู้รอดชีวิต”

“ขอบใจนะแก” อิงวาดตอบแล้วเริ่มกัดพิซซา อันที่จริงเธอไม่ชอบรับประทานอาหารตะวันตกนัก พิซซาและแฮมเบอร์เกอร์รับประทานอย่างนับครั้งได้ แต่ก็ไม่ได้เรื่องมากจนทุกมื้อต้องเป็นอาหารเอเชีย

เมื่อเคี้ยวหมดปาก อิงวาดเหล่ตามองเพื่อนสาวผู้กำลังทอดตามองนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกับคนแต่งคอสเพลย์ กระแอมไอเรียกเพื่อนแล้วเอ่ยถาม 

“ว่าแต่แกเถอะ ตกลงจะเข้าโรงเรียนกฎหมายไหม จะสมัครปีนี้หรือว่าจะยังไง”

ไอริณถอนหายใจ แววตาบอกชัดถึงความสับสน “ฉันยังไม่รู้เลยแก ตอนแรกฉันตั้งใจแน่วแน่มาก แต่พอเห็นอะไรหลายๆ อย่างจากการทำงานจริง ไฟในตัวฉันมันเริ่มเปลี่ยนสี”

อิงวาดบีบมือเพื่อนเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ “เอาเป็นว่าไม่ว่าแกจะตัดสินใจยังไง แกมีฉันอยู่ข้างๆ เสมอ”

“บางทีฉันอาจลาออก หนีกลับเมืองไทยไปนอนใช้เงินอยู่บ้าน” คนเกิดความคิดประชดการทำงานหนักเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ 

ฐานะทางบ้านของไอริณจัดอยู่ในระดับที่เรียกว่าไม่ทำงานนอนกินทั้งชาติก็ไม่ลำบาก ทำให้อิงวาดไม่เป็นห่วงเพื่อนว่าจะไม่มีเงินใช้ ที่เธอเป็นห่วงคือเรื่องการตัดสินใจเลือก เธออยากให้เพื่อนเลือกทางที่ใช่ที่สุดและมีความสุขที่สุด 

ไอริณสบสายตาอันเปี่ยมล้นด้วยความปรารถนาดีของเพื่อนรัก บีบมือที่กุมมือเธออยู่กลับ “ขอบใจแกมากนะ ว่าแต่แกน่ะ เมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขา”

คำถามนี้ทำให้คนถูกถามส่ายหน้า “ไม่รู้สิ มีก็ดี ไม่มีก็ดี”

“แปลว่าอะไรของแก!”

“ก็แปลว่าไม่ว่าจะมีหรือไม่มี ฉันก็ไม่เดือดร้อน ฉันเหนื่อยกับการใช้ชีวิตเอาตัวรอด เหนื่อยกับการทำงานหาเงินก็พอแล้ว ไม่ต้องการเหนื่อยกับความรักเพิ่มอีก ถ้ามีแล้วมีปัญหา ต้องมาคอยนั่งกังวล นั่งกลัวว่าเขาจะนอกใจไหม จะไปแรดๆๆ นอนกับใครจีบใครรึเปล่า แบบนี้อย่ามีดีกว่า แต่ถ้ามีแล้วชีวิตฉันมัน...ดีขึ้น...แบบ...รู้สึกดีขึ้น ก็คงดีนะ แต่เอาจริงๆ ฉันก็มีความสุขกับชีวิตของฉันตอนนี้”

ไอริณถอนหายใจ จิ้มแก้มเพื่อนสาว “แต่งตัวบ้างดีไหมแก หนุ่มๆ จะได้เข้ามาจีบ”

อิงวาดหัวเราะขำ เธอชอบแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงขาบานและรองเท้าแตะ น้อยครั้งนักจะแต่งหน้า เพราะเธอเลือกเอาเวลาแต่งหน้าเป็นเวลานอน 

“ถ้าใครจะชอบฉันแค่ความสวยหรือการแต่งตัวสวย งั้นฉันเลือกให้เขามองข้ามฉันไปเลยดีกว่า ชีวิตของฉันเป็นแบบนี้ ถ้าให้ฉันฝืนแต่งตัวสวยอะได้ แต่มันไม่ได้ตลอดไป สวมหน้ากากให้ยังไงก็ต้องถอด”

คำตอบของคนที่ไม่สนใจเรื่องการมีแฟนทำให้เพื่อนสาวถอนหายใจอีกรอบ “ฉันอยากเป็นเหมือนแกได้จัง อยู่ตามลำพังได้โดยไม่คิดเรื่องมีแฟน ไม่เหงากับการเป็นสาวโสด”

อิงวาดเพียงอมยิ้ม กัดพิซซา ดวงตาทอดมองรถรามากมายและผู้คนอันหนาแน่น ที่จริงแล้วไม่ใช่เธอไม่คิด เพราะให้อย่างไรบางครั้งเธอก็มีความเหงา อยากมีคนจับมือ อยากมีคนให้กอด ให้รับฟัง ให้ร่วมมีช่วงเวลาดีๆ 

แต่เพราะสี่ปีที่ผ่านมาเธอต้องเรียนและทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาออกเดต รวมถึงความรู้สึกตามสัญชาตญาณที่บอกว่ายังไม่ใช่ ทำให้เธอเลือกไม่คบใคร มีบ้างที่หาวันว่างอันแสนยากออกเดต แต่ก็เพียงเดตแรกแล้วจบ ไม่มีครั้งที่สอง ทำให้เธอเลิกสนใจเรื่องนี้ไปโดยปริยาย

แล้วยังมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักจากชีวิตคู่ของบิดามารดา มีแต่การทะเลาะกัน ไม่เชื่อใจกัน การนอกใจ และการหย่า การไม่รับผิดชอบใดๆ แต่เดินตัวลอยจากไปใช้ชีวิตแสนสุขสบายของบิดา มันคือตัวอย่างที่ไม่ต้องมองใครอื่น แม่ของเธอคือตัวอย่างที่ใกล้ชิดที่ดีที่สุด และคือกำแพงที่ตั้งขึ้นมาล้อมรอบเธอ ทำให้เธอระวังตัวเรื่องความรักและผู้ชาย

ไหนจะข่าวเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งถึงขนาดฆ่าเพราะความหึงหวง ทำให้อิงวาดยิ่งก่อกำแพงสูงขึ้น ทว่าเบื้องหลังกำแพงนั้นก็คือเธอที่ยืนชะเง้อมองว่าจะมีใคร...ทุบกำแพงนี้ลงได้หรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่รอคอยจะพบความรักดีๆ ที่คู่ควรกับชีวิต

และถ้ามันเกิดขึ้น เธอก็พร้อมจะกระโจนลงไปอย่างมีสติ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม เพราะรู้ดีว่าพูดน่ะง่าย แต่หากเกิดขึ้นจริง ไม่รู้เลยว่าเธอจะทำตามที่คิดไว้ได้หรือไม่ 

เพราะจิตใจมนุษย์นั้น...คือสิ่งที่เหนือการควบคุมหรือการคาดเดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามที่ความรักซึ่งเป็นตัวทำให้ขาดสติเข้ามาเยือน

 

เข้าสู่เดือนใหม่ เกิดความเปลี่ยนแปลงคือการย้ายชั้นทำงาน ห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ทั้งห้าคนถูกย้ายขึ้นมาสู่ชั้นสิบสอง ยังคงมีลักษณะเช่นเดิม แต่มีพื้นที่กว้างกว่า ตู้เก็บเอกสารเยอะกว่า บอกถึงงานที่มากขึ้น

วันนี้ไม่ใช่วันที่ดีสำหรับอิงวาดนัก เพราะอาการปวดท้องกลับมาเยือนอีกครั้ง และรุนแรงในระดับที่เธอร้องไห้ ตัวเกร็งแข็ง  

“ไม่ไหวแล้ว...” เสียงค่อนข้างสั่นดังออกจากปากที่เริ่มซีด 

เธอตัดสินใจลุกขึ้น ขาสั่นอย่างยากจะเดิน ทว่าก็กัดฟันเดินผ่านเพื่อนร่วมงานทั้งสี่คนผู้นั่งเคร่งเครียดทำงานอย่างไม่ได้สนใจผู้ใด ก้าวจากห้อง เป้าหมายคือห้องพยาบาลชั้นสอง 

นัยน์ตาของเธอเริ่มพร่ามัว พร่างพราวไปด้วยน้ำตา ความปวดที่ทำให้ทั้งอยากอาเจียนและอยากล้มเริ่มทวีความหนักหนาขึ้น เธอรู้สึกโลกหมุน มือข้างหนึ่งกำยาดมแน่น มืออีกข้างเกาะกำแพง เมื่อลิฟต์เปิดออก ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวเข้าไป เสียงเรียกหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลัง

“เธอเป็นอะไรรึเปล่า ไหวไหม”

อิงวาดหันไปทางต้นเสียง มอลรีนกำลังก้าวตรงมา ยังไม่ทันที่เธอจะตอบ ร่างทั้งร่างก็ล้มลงพร้อมกับที่สติหลุดลอย เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงมอลรีนตะโกนร้อง และเสียงฝีเท้ามากมายดังมาใกล้

“โทร. 911!”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น