11

เดตแรก


 

บทที่สิบสอง

เดตแรก

 

สถานีแกรนด์เซ็นทรัลคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวนิวยอร์ก ทั้งโดยสารรถไฟใต้ดินและเมโทรระหว่างเมือง บ้างมาเยี่ยมชมถ่ายรูป บ้างใช้บริการ และบ้างใช้สำหรับการถ่ายรูปพรีเวดดิง 

อิงวาดหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา แล้วหยุดเดินยืนรอใต้นาฬิกาสี่เหลี่ยมทรงลูกเต๋าเหนือห้องสอบถามข้อมูลและขายตั๋วเกือบปลายโถง อันเป็นจุดนัดพบของเธอกับไอริณ มือข้างหนึ่งหยิบเจลลีบีนรับประทาน มืออีกข้างส่งข้อความหาเพื่อนสาว 

‘ถึงแล้ว [ตัวเอียง]

ยังไม่ทันเก็บโทรศัพท์มือถือ เสียงเรียกชื่อก็ดังห่างไปไม่ไกลนัก ไอริณสวมเดรสสีขาว ที่แขนพาดเสื้อโคตหนังสีมุก เธอสวมรองเท้าบูตยาวถึงเข่า 

“ฮัลโหลลล” เสียงทักทายลากยาว พร้อมกับที่เพื่อนสาวทั้งสองคนสวมกอดกัน 

อิงวาดผละออกจากอ้อมกอด แล้วรับสร้อยข้อมือมุกเทียมจากไอริณ “ผ่านสินะ”

“แน่นอนย่ะ”

ไอริณตัดสินใจทำใบขับขี่ เธอสอบผ่านข้อเขียนแต่สอบตกปฏิบัติ จนในที่สุดตัดสินใจยืมสร้อยข้อมือไข่มุกเทียมของอิงวาด ซึ่งเธอเชื่อว่าคือโชคลางที่ทำให้โชคดี 

แท้จริงแล้วสร้อยข้อมือเส้นนี้คือสิ่งที่อิงวาดซื้อมาจากร้านขายของเล่นราคาสิบบาท แต่นำมาจำหน่ายเพื่อนร่วมชั้นในราคาสามร้อยห้าสิบบาท เพื่อเป็นค่าตั๋วเครื่องบินกลับไทย 

ผู้สอบผ่านฉีกยิ้มกว้างและเริ่มสวมโคตหนัง “ขอบใจแกมาก ว่าแต่วันนี้แกมีเดต?”

คำถามนั้นผู้ถามรู้อยู่แล้ว เพียงต้องการเย้าแหย่ อิงวาดพยักหน้า

“ก็ว่าจะถามอยู่ว่าวันนี้ถือเป็นเดตไหม”

ไอริณหัวเราะคิกคัก อยากแซ็วเพื่อน แต่เธอมีเดตกับชายคนรัก จึงสวมกอดอำลาพร้อมทั้งอวยพรจากใจจริง 

“ขอให้วันนี้เป็นวันดีๆ ของแกนะ”

อิงวาดยิ้มรับ มองเพื่อนเดินจากไปแล้วเบนสายตาไปทางห้องขายตั๋ว ปรายตาขึ้นมองดูนาฬิกาด้านบน ขณะนี้เวลาบ่ายโมงครึ่ง อีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด เธอขยับกระเป๋าสะพาย คิดว่าจะไปเดินหาที่นั่งรอชั้นล่าง ทว่ายังไม่ทันขยับเท้า เสียงข้อความก็ดังขึ้น

อยู่ไหน [ตัวเอียง] เจ้าของข้อความคือรอย

อิงวาดอมยิ้ม เหลือบตามองเวลา แล้วตัดสินใจกดส่งตอบ ‘ถึงแล้วค่ะ [ตัวเอียง]

ทันทีที่ส่งข้อความไป เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทันทีเช่นกัน และผู้ที่โทร. มาก็คือคนที่เธอเพิ่งส่งข้อความตอบ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม กดรับสายเอ่ยเสียงหวานอย่างที่ไม่เคยทำเป็นภาษาไทย

“ฮัลโหล...”

“หันหลังมาสิครับ”

หญิงสาวหันหลัง ฉีกยิ้มกว้างพร้อมก้าวเท้าไปหาเขาผู้กำลังเดินตรงมา เขาสวมกางเกงยีนสีครีม เสื้อยืดสีขาว แขนพาดเสื้อโคตสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดัง ช่างต่างจากเธอผู้สวมกางเกงขาบานลายดอกและเสื้อยืด ยังดีที่สวมรองเท้าสาน ไม่ใช่รองเท้าแตะ ไม่มีเสื้อโคต แต่สวมสเวตเตอร์ตัวหนาสีครีมทับ 

อย่างไรก็ตาม วันนี้เธอทาลิปกลอสและแอบปัดแก้มบางๆ ทั้งยังรวบผมเป็นหางม้า 

เธอและเขาต่างฝ่ายต่างยิ้มเขิน ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะพูดอะไร จนรอยตัดสินใจเริ่ม เอ่ยทักทายด้วยคำถามอันแสนเบสิก 

“สบายดีไหมครับ หายปวดรึยัง”

“สบายดีค่ะ หมอสบายดีไหม”

เขาพยักหน้า สวมเสื้อโคต “สบายดีครับ หิวไหม ไปกินข้าวกัน อยากกินอะไรดี”

คำถามของเขาติดๆ ขัดๆ บอกให้รู้ว่าเขาเองก็เขิน หญิงสาวเม้มปาก แสร้งคิดทั้งที่มีสิ่งที่อยากกินอยู่แล้ว 

“กินอาหารไทยไหมคะ”

เขาพยักหน้า ผายมือนำทาง “ร้านไหนล่ะ”

อิงวาดขยับเท้าเดิน บอกชื่อร้านซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดจากสถานีแกรนด์เซ็นทรัล เป็นร้านเพิ่งเปิดใหม่แทนที่ร้านเดิมซึ่งปิดไปเมื่อสองปีที่แล้ว 

“ร้านรสไทยค่ะ เดินไปไหม เดินไหวไหมคะ อยู่ใกล้ๆ ไทม์สแควร์”

คำถามนั้นทำให้คนถูกถามเลิกคิ้ว เขาอมยิ้มขำ มองเธอด้วยแววตาที่บอกว่า หนูน้อย...ช่างไม่รู้อะไรเสียเเล้ว 

“เดินไหวสิ เราน่ะเดินไหวไหม”

“สบายมาก!” เธอตอบรับเสียงใสแล้วเดินนำ โดยมีเขาเร่งเท้าเดินไปข้างๆ 

รอยเคยผ่านการเดตกับผู้หญิงมามากมาย แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เขาตื่นเต้นจนเหงื่อออกท่วมมือ ทั้งยังรู้สึกประหม่า อยากอ่านใจคนข้างๆ ได้ว่าเธอคิดเช่นไรกับเขา 

ดวงตาคมโตมองดอกกุหลาบสีแดงบนพื้นกางเกงสีดำ อดอมยิ้มขำไม่ได้เมื่อนึกถึงดอกสีส้มอันแสนติดตา ดูเหมือนเธอจะชอบลายดอกและชอบทำตัวสบายๆ ง่ายๆ เห็นแล้วรู้สึกถึงความเบา ต่างจากผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เขาเคยเดต รายละเอียดเยอะจนรู้สึกหนักที่จะก้าวเคียงข้าง

ลำพังชีวิตการทำงานของเขาก็มีรายละเอียดเยอะจนเขาหนักมากอยู่แล้ว ถ้าต้องมีความรักกับผู้หญิงที่รายละเอียดเยอะมากๆ อีก เห็นทีคงไม่ไหว สมองได้ระเบิดพอดี คิดแล้วก็เบนหน้าไปทางถนนเพื่อซ่อนรอยยิ้มขำปนความรู้สึกพึงใจ

ไม่มีใครแต่งตัวเช่นเธอเพื่อออกเดต...กระมัง!

ความคิดของรอยคือสิ่งที่อิงวาดคาดเดาได้ แล้วก็รู้ดีว่าเธอควรแต่งตัวสวย แต่งหน้าสวยเพื่อทำให้เขาประทับใจ ทว่าเธอไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เธอ...คือเธอที่เป็นเช่นนี้ เธอถือคติที่ว่าเปิดเผยความเป็นตัวเองตั้งแต่แรกดีที่สุด ถ้าเขาจะชอบเธอก็ต้องชอบที่เธอเป็นเธอ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกหุ้มห่อภายนอก 

การทำเช่นนี้ทำให้เธอและเขาไม่เสียเวลา ถ้าเขารับไม่ได้ที่เธอเป็นเช่นนี้ ขี้เกียจแต่งตัว ขี้เกียจแต่งหน้า และรักจะเป็นเช่นนี้อย่างไม่คิดเปลี่ยน เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลา ไม่มีเดตที่สองหรือครั้งต่อๆ ไป

 

ระยะเวลาสามสิบนาทีจากแกรนด์เซ็นทรัลสู่ร้านอาหารไทย สร้างความรู้สึกเพียงห้านาทีสำหรับเธอและเขาซึ่งเดินข้างกันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงสบตากันแล้วยิ้มให้กันบางครั้ง

พนักงานนำทางไปสู่โต๊ะเล็กสำหรับสองคน วางเมนูให้ แล้วถอยออกมาตามมารยาท ปล่อยให้แขกได้อ่านเมนู ระหว่างนี้ก็ไปเตรียมน้ำเปล่าสำหรับเสิร์ฟ 

อิงวาดพลิกดูเมนูอาหาร เหลือบตามองเขาผู้นั่งฝั่งตรงข้าม “กินเป็น...กับข้าวหรือว่าจานเดียวดีคะ”

รอยเม้มปาก แววตาครุ่นคิด “จานเดียวละกัน หรือว่าอยากจะ...”

“จานเดียวก็ดีค่ะ”

เธอมีอาหารที่อยากกินในใจอยู่แล้ว แต่แสร้งเลือกเพื่อรอเขา จนกระทั่งเขาวางเมนู เธอจึงวางตาม เขากวักมือเรียกพนักงานผู้รออยู่แล้ว สั่งอาหารเป็นภาษาไทย 

“ของผมเอาข้าวผัด ไม่ใส่ผงชูรสนะครับ ส่วนของคุณผู้หญิง...” เขาผายมือมาทางเธอ เธอจึงสั่งอาหาร

“ผัดกะเพราหมูสับใส่เนื้อสับกับหมูกรอบด้วยค่ะ ไม่ใส่ผักอย่างอื่นนอกจากใบกะเพรา เผ็ดกลาง ไข่ดาวเอาไข่แดงไม่สุก แล้วก็น้ำรูตเบียร์”

คำตอบฉะฉานทำให้รอยรู้ทันทีว่าอิงวาดมีคำตอบอยู่แล้วว่าอยากรับประทานสิ่งใดตั้งแต่เขาถาม ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ รู้สึกดีเพิ่มอีกหนึ่งระดับ เพราะปัญหาโลกแตกของคู่เดตหรือคู่รัก ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะตอบว่า ‘อะไรก็ได้’ แต่ไม่ใช่เช่นนั้นจริง นั่นก็ไม่ชอบ นี่ก็ไม่เอา เล่นเกมทายใจจนเหนื่อยและอยากถอยกลับ หลายต่อหลายครั้งเขาแสนสงสัยว่า มันจะยากอะไรนักกับการบอกสิ่งที่ต้องการ

ไม่ใช่เพียงผู้หญิงเอเชีย ผู้หญิงตะวันตกที่คนไทยชอบคิดว่ามั่นใจฉะฉานก็มีนิสัยนี้ผสมรวมเช่นกัน เชื้อชาติไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นเช่นไร ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูและนิสัยส่วนตัว คิดแล้วรอยก็อมยิ้มบางๆ อีกครั้ง รู้สึกโชคดีที่ในที่สุดก็พบผู้หญิงที่รู้ว่าจะกินอะไร แต่ก็ยังไม่กล้ากระโดดโลดเต้น เพราะนี่เพิ่งเดตแรก เส้นทางยังอีกยาวไกล

คิดแล้วเขาก็ขยับใบหน้าเข้าใกล้ “จะว่าอะไรไหมครับถ้าจะดื่มเบียร์”

อิงวาดส่ายหน้า ทำหน้าที่สั่งเบียร์ช้างซึ่งเป็นกิมมิกของร้านอาหารแห่งนี้ให้เขา เมนูอาหารถูกเก็บไป เหลือเพียงเธอและเขา ต่างฝ่ายต่างมองกันและกัน เกิดช่องว่างขนาดใหญ่คั่นกลางระหว่างทั้งคู่ หญิงสาวเกลียดช่องว่างแห่งความอึดอัด จึงเลือกทำลายมันด้วยการถามคำถาม 

“วันนี้คือการพบกันเฉยๆ หรือว่าเดตเหรอคะ”

รอยอมยิ้ม ดวงตาคมโตจ้องดวงตาคนถาม แววตาระยิบระยับ “ถ้าไม่รังเกียจก็อยากให้เป็นเดต”

ผู้ได้รับคำตอบเม้มปาก พยายามคิดหาคำถามมาถามเขาระหว่างรออาหาร แต่เขาชิงถามก่อน 

“ปกติน้องอิงคุยกับที่บ้านหรือผู้ใหญ่ เรียกแทนตัวเองว่าอะไร”

หญิงสาวเท้าคาง เอียงคอไปมา

“ก็...” เธอลากเสียงยาว ตอบคำถามอย่างไม่เข้าใจว่าเขาจะถามทำไม “หนู...แทนว่าหนูค่ะ”

รอยร้อง ‘อ้อ’ ในลำคอ ดวงตาเบนไปทางกระจกร้าน เอ่ยเสียงสั่นน้อยๆ แก้มเริ่มแดงขึ้น 

“ถ้าไม่รังเกียจ งั้น...ผมแทนตัวเองว่า ‘พี่’ แล้วน้องอิงแทนตัวเองว่า ‘หนู’ ดีไหม” ดวงตาที่ฉายแววขวยเขินคู่นั้นเบนมาสบตาเธอ “แบบนี้ดูไทยๆ ดี ดูเราสองคนสนิทกัน”

อิงวาดเขินจนหยิบกระดาษทิชชูในกระเป๋ามาฉีกเล่น พยักหน้าแล้วตอบเสียงเบา “ค่ะ แบบนั้นก็ได้”

บริกรตรงมาเสิร์ฟอาหาร ทำลายบรรยากาศอันแสนขัดเขินของคนทั้งสอง เธอและเขารับประทานอาหารเงียบๆ ไม่มีการสนทนาใดๆ ระหว่างมื้อ ในส่วนของเธอนั้นอาหารรสชาติใช้ได้ แม้จะไม่ไทยแท้แต่ก็พอให้หายอยาก ในส่วนของเขา...

เขาตักข้าวกินไปได้ราวๆ สามคำ แล้วก็เปลี่ยนเป็นการละเลียด จนเธออดถามไม่ได้

“ไม่อร่อยเหรอคะ”

เจ้าของจานข้าวผัดยิ้มบางๆ “อร่อยครับ พี่แค่ไม่ค่อยหิว เดี๋ยวขอด็อกกีแบ็ก15กลับ”

อิงวาดรู้ว่าคำตอบที่แท้จริงน่าจะเพราะไม่ถูกปาก หรืออาจเพราะพ่อครัวลืมและใส่ผงชูรสมา เธอเลิกถามสิ่งที่จะไม่มีวันได้คำตอบที่แท้จริง รับประทานส่วนของตน จนเรียบร้อยก็รวบช้อน ดื่มน้ำรูตเบียร์ เช่นเดียวกับเขาที่เปลี่ยนเป็นการดื่มแต่เบียร์ พร้อมกับเริ่มชวนคุย

“ปกติแล้วน้องอิงฉลองพวกวันเทศกาลต่างๆ ตลอดไหมครับ”

คนถูกถามขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการถามถึงอะไรกันแน่ “พี่หมายความว่ายังไงคะ ช่วยยกตัวอย่างได้ไหม”

“ก็ประมาณว่า ฉลองทุกวันเทศกาลทั้งเล็กทั้งใหญ่ คือ...” ชายหนุ่มนิ่งและคิดหนัก เพราะคำถามที่เขาอยากถามจริงๆ คือ เขาอยากรู้ว่าเธอจริงจังแค่ไหนกับการต้องมีวันฉลองครบรอบหนึ่งเดือน วันคล้ายวันเดตแรก วันวาเลนไทน์ วันครบรอบสามเดือน อะไรที่เป็นรายละเอียดย่อยๆ ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่คาดหวังให้จำและต้องเซอร์ไพรส์ ต้องมีของขวัญ

“เช่น...สมมุตินะครับ พวกวันครบรอบสิบห้าวัน ครบรอบหนึ่งเดือน ครบรอบ...”

“อ้อ...” หญิงสาวร้องขึ้นอย่างเข้าใจว่าเขาจะสื่อถึงอะไร ไม่แปลกใจกับคำถามนี้ เพราะในสังคมอเมริกัน การเริ่มถามรายละเอียดต่างๆ ในเดตแรกไม่ใช่เรื่องหยาบคายและไม่ใช่เรื่องผิดปกติ มันก็เหมือนกับที่ในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันหาคู่มีให้กรอกรายละเอียดว่าเป็นคนประเภทใด ชอบสิ่งใดไม่ชอบสิ่งใด

หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ไม่สนใจค่ะ ขนาดวันคล้ายวันเกิดตัวเองยังไม่ค่อยสนใจเลย”

“แล้วไม่มีวันพิเศษเลยเหรอครับ”

“ก็มีบ้างนะคะ แต่ก็ไม่ได้ระดับว่าถ้าลืมฉลองแล้วจะกลายเป็นอาชญากรรมของชีวิต อันที่จริงหนูคิดว่า ทุกวันของชีวิตที่เรายังได้ตื่นขึ้นมามันก็คือวันธรรมดาที่แสนพิเศษในตัวมันอยู่แล้ว อีกอย่างหนูมีเรื่องงานเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คิดเยอะมาก ถ้าต้องมาเพิ่มรายละเอียดอะไรที่รู้สึกว่าไม่จำเป็นอีก คงสมองระเบิด”

เธอและเขาหัวเราะขำ โดยเฉพาะรอยที่เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเจอเพชรเม็ดใหญ่อันแสนหายาก รู้สึกดีกับเดตครั้งนี้มากกว่าครั้งใด

“เดี๋ยวกินเสร็จแล้วเราไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลพาร์กต่อดีไหม”  

“ค่ะ จะเดินไปหรือว่า...”

“แท็กซี่ก็ได้ หนูยังไม่หายดี อย่าเดินเยอะดีกว่า”

หญิงสาวคลี่ยิ้ม รู้สึกเขินกับการถูกเรียกว่าหนู เหลือบตาขึ้นมองเขา แล้วรีบหลุบตาลงเมื่อพบว่าเขามองอยู่ มือสั่นจนต้องรีบปล่อยแก้ว 

เธอไม่เคยเป็นเช่นนี้...ไม่เคยใจสั่นตอนออกเดต และไม่เคยเขินอายเท่านี้มาก่อน เธอไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มันไม่ชิน...และมันอึดอัด

แต่ไหนแต่ไรรอยเป็นคนช่างสังเกต เช่นเดียวกับยามนี้ เขาสังเกตเห็นว่าที่เธอเริ่มเม้มปากไม่ใช่เพราะเขิน แต่เพราะรู้สึกว้าวุ่น เขายังอยากให้การเดตเกิดขึ้นต่อ ไม่ต้องการให้จบลง จึงชวนคุยเรื่องงานของเธอ

“ในประวัติบอกว่าหนูเป็นนักสิทธิมนุษยชน นักสิทธินี่...ทำงานเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ”

“ก็แล้วแต่เคสค่ะ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสิทธิการเป็นมนุษย์ ถูกละเมิด ถูกคุกคาม”

คำถามนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนถามเธอ แต่เชื่อหรือไม่ อิงวาดไม่เคยมีคำจำกัดความ เพราะอาชีพของเธอไม่เหมือนวิศวกรหรือแพทย์ ที่เพียงแค่พูดชื่ออาชีพคนก็นึกภาพออก แต่อาชีพของเธอ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงภาพขบวนประท้วง เรียกร้องโวยวาย

คิดแล้วก็อมยิ้มขำ เริ่มผ่อนคลายอย่างไม่รู้ตัว เล่าเรื่องงานให้เขาฟัง 

“งานแรกของหนูทำคดีละเมิดสิทธิผู้บริจาคอสุจิค่ะ งานต่อไปก็เกี่ยวกับให้ความรู้เรื่องการเป็นเจ้าของร่างกายแก่เด็กๆ แต่ตอนนี้ทำงานนั่งโต๊ะ เป็นนักสิทธิมนุษยชนประจำฟรีคลินิก”

“น่าสนใจดีนะ ดูหลากหลายกว่าพี่อีก” เขาเอ่ยแล้วกวักมือเรียกพนักงานก่อนหันมาทางเธอ “จ่ายเงินเลยเนอะ”

พนักงานถือใบเสร็จมาวางพร้อมด็อกกีแบ็ก และถอยออกไปยืนรอสามก้าว รอยวางบัตรเครดิต เขียนทิปลงในใบแจ้งค่าอาหาร ยกมือห้ามเธอผู้หยิบกระเป๋าเงิน พร้อมจัดการแพ็กอาหารที่เหลือ

“ไม่เป็นไร พี่จ่ายเอง” 

อิงวาดยิ้มน้อยๆ เดตที่ผ่านมาเธอมักจะต่างคนต่างจ่าย เพราะไม่อยากติดค้างหรือถูกโดนว่าหลอกกินฟรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเธอสั่งพิเศษเพิ่มจนทำให้ราคาเพิ่ม

ผู้จ่ายเงินค่าอาหารคล้ายรับรู้ความไม่สบายใจของอีกฝ่าย เขาย้ำคำเดิม “ไม่เป็นไรจริงๆ แค่นี้เอง”

หญิงสาวมองเขาซึ่งรับบัตรเครดิตคืนเมื่อชำระเงินเสร็จ ยิ้มตามเขาซึ่งยิ้มให้ คำถามบังเกิดขึ้นในใจพร้อมกับที่หัวใจคล้ายถูกเติมลม

ในความคิดของเขา การเดตครั้งที่สองระหว่างเธอกับเขาจะเกิดขึ้นไหมหนอ

 

จากร้านอาหารไทยไปเซ็นทรัลพาร์ก หากเดินใช้เวลาราวสิบห้านาที สำหรับรถแท็กซี่ใช้เวลาเพียงหกนาที 

รอยและอิงวาดเดินเคียงข้างกันเข้าสู่เซ็นทรัลพาร์ก ผ่านกลุ่มคนขับรถม้าซึ่งถือป้ายเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้ใช้บริการ แล้วก็เป็นเช่นตอนสาย เธอกับเขาลอบมองกัน เมื่อสบตากันก็อมยิ้ม เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรอยหยุดเดิน อิงวาดเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม 

ชายหนุ่มเม้มปากคล้ายจะรวบรวมความมั่นใจ ยื่นมือออกมาหน้าเธอ “จับมือได้ไหม”

คำถามทำให้ผู้ถูกถามเขินจนแทบจะลงไปกลิ้งกับพื้น ไม่ตอบคำถาม แต่วางมือลงบนมือเขา มือของเขาอุ่นมาก ความอุ่นนั้นแผ่ไปทั่วร่างของเธอ ทั้งสองเดินจูงมือกันไปเรื่อยๆ 

ท่ามกลางต้นไม้ไร้ใบ เสียงดนตรีดังแว่วมาเป็นระยะๆ เธอกับเขาเดินจับมือกันไปเรื่อยๆ ทั้งที่ลมหนาวเริ่มพัดกระโชก ทว่าอิงวาดกลับรู้สึกอุ่นยิ่งนัก ระยะทางที่เธอเคยคิดว่ายาว ช่างแสนสั้นเมื่อมีมือใหญ่กุมมืออยู่ 

การก้าวเดินอย่างไร้จุดหมายหยุดลงที่ลานน้ำพุเบเทสดา นิ้วยาวเรียวชี้ไปยังน้ำพุรูปปั้นนางฟ้า 

“ตรงนี้เคยถ่ายเรื่องกุมภาพันธ์ [ชื่อหนังตัวเอียง]

รอยยิ้มพร้อมส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”

สองมือเขาช่วยประคองหญิงสาวข้างกายให้ก้าวลงบันได เพราะพื้นค่อนข้างลื่น จนพ้นขั้นสุดท้ายจึงจูงมือเล็กกว่าไปยืนหน้าน้ำพุที่คลาคล่ำด้วยผู้คนที่นั่งอยู่ ถัดออกไปคือศิลปินกำลังแสดงบัลเลต์ประกอบเพลงคลาสสิก 

“พี่เคยดูหนังไทยไหมคะ” อิงวาดถามแล้วนั่งลงบนขอบน้ำพุ

รอยนั่งตาม “ไม่ค่อยดูครับ หนูชอบดูหนังเหรอ”

“ไม่ได้เข้าโรงหนังนานแล้วค่ะ ตั้งแต่แฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาคสาม” อิงวาดเอ่ยแล้วหัวเราะขำ ก่อนจะเขินจนแทบตกลงไปในน้ำพุเมื่อเขาจับมือเธอถูให้ความอบอุ่น 

ดวงตายาวเรียวช้อนมองขึ้น สบดวงตาที่ฉายแววอบอุ่นของเขา เขายิ้มบางๆ เอ่ยด้วยเสียงนุ่มละมุน

“ขอนุญาตนะ มือเย็นมากๆ ไม่ดี เดี๋ยวจะป่วย”

“ถ้าป่วย...พี่ก็...จัดยาให้หนู”

“ไม่ดีหรอก พี่ไม่ชอบรักษาคนป่วย พี่น่ะ...” เขาขยับตัวเข้าใกล้ ก้มหน้าลง กระซิบแผ่วเบาแต่หนักแน่น “ชอบดูแลไม่ให้คนป่วย แต่ก็กับแค่...คนพิเศษ”

การหยอดคำหวานของเขาทำให้หัวใจผู้ฟังแทบหยุดเต้น แต่ในความเขินอายคือสติซึ่งร้องบอกเธอว่า คารมของเขาเช่นนี้ดูแล้วคงไม่ใช่ระดับไก่กา คำถามต่อมาผุดขึ้นมาในความคิด เขามีคู่เดตกี่คนกัน

การมีคู่เดตมากกว่าหนึ่งคนไม่ใช่เรื่องแปลกในอเมริกา ตราบใดที่ยังไม่ตกลงมีความสัมพันธ์จริงจัง ไม่ว่าชายหรือหญิงก็มีสิทธิ์จะเดตกับคนอื่น มีสิทธิ์แม้แต่จะนอนกับใครก็ได้ เรียกว่าให้อิสระในการเลือกคนที่ใช่ 

ทว่าอิงวาดไม่เคยชินและไม่อาจรับการเปิดกว้างเช่นนี้ เธอยังคงเป็นผู้หญิงไทย ผู้มีความรู้สึกว่าถ้าคุณออกเดตกับฉัน คุณ...ต้องเดตกับฉันแค่คนเดียว! 

“คิดอะไรอยู่” รอยเรียกสติคนที่นั่งเหม่อลอยข้างๆ ตามด้วยการปล่อยมือเธอเมื่อรู้สึกว่าอาจรุกแรงไป 

อิงวาดยิ้มบางๆ ถามสิ่งที่คิดอย่างตรงไปตรงมา “พี่เดตผู้หญิงกี่คนคะ”

คำถามค่อนข้างตรงและไม่มีการอ้อมคอมไม่ได้ถือเป็นเรื่องหยาบคายในวัฒนธรรมอเมริกัน ผู้ถูกถามเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายคิด ชูนิ้วหนึ่งนิ้ว 

“หนึ่งคน” เขาเคาะนิ้วนั้นลงบนปลายจมูกคนถามเบาๆ “ก็คือหนู”

หญิงสาวไม่รู้ว่าคำตอบจริงหรือไม่ เธอไม่เชื่อและไม่ได้ไม่เชื่อ ดวงตามองมือของเขาซึ่งวางอยู่ข้างๆ ตัดสินใจวางมือลงบนนั้น จับ...แล้วยกขึ้นมาถู 

“มือพี่อุ่นดี”

คนถูกจับมือยิ้มกว้าง ขยับตัวเข้าใกล้อีก “ตัวพี่ก็อุ่นนะ”

“พอแล้ว!” เธอร้องขัดเสียงแหลม ตามด้วยการหัวเราะ ลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองฟ้าซึ่งเริ่มมืดครึ้มคล้ายฝนจะตก “ฝนจะตกรึเปล่าก็ไม่รู้” 

รอยลุกขึ้นยืนเคียงข้าง ขยับข้อมือดูนาฬิกา “ห้าโมงแล้ว อีกไม่นานพระอาทิตย์คงตก” เขาอยากชวนเธอไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ทว่า...

“งั้นกลับดีกว่า หนูรู้สึกเหนื่อยๆ แล้วด้วย”

เมื่อเธอเอ่ยเช่นนั้น เขาจึงพับโครงการชมพระอาทิตย์ตกดิน พยักหน้าและกุมมือเธอ

“เดี๋ยวพี่ไปส่ง เรียกแท็ก...”

“ซับเวย์ก็ได้ค่ะ ไม่ต้องนั่งแท็กซี่หรอก ประหยัดเงิน”

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน”

อิงวาดพยักหน้า ปล่อยให้เขาจูงมือไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ระหว่างทางไม่มีใครพูดสิ่งใด แม้แต่ในรถไฟ เขาก็ไม่ได้ถามว่าที่พักของเธอลงสถานีใด จนเมื่อเธอลุก เขาก็ลุก เดินเคียงข้างไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงอะพาร์ตเมนต์ของเธอ 

หญิงสาวหยุดเดิน หันมาเผชิญหน้าเขา “ขอบคุณนะคะสำหรับวันนี้”

รอยพยักหน้า ยังไม่ยอมปล่อยมือที่กุมอยู่ “เราสองคน...จะมีเดตต่อไปไหม”

“ถ้าพี่อยากให้มี ก็...”

“แล้วหนูอยากให้มีไหม”

คำถามย้อนทำให้อิงวาดกัดริมฝีปาก เงยหน้าสบตาเขา แววตาของเขาอบอุ่น อ่อนโยน และหนักแน่น เป็นแววตาที่ทำให้เธออบอุ่นใจ เธอพยักหน้า ตัดสินใจให้โอกาสตัวเอง 

“มั้ง”

คำตอบนี้ทำให้รอยฉีกยิ้มกว้าง เขาเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ อิงวาดหลับตาลง คิดไปถึงการจูบปากซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกหากชายหญิงตกลงใจจะมีเดตสอง ทว่า...สัมผัสแผ่วเบาประทับบนหน้าผาก ตามด้วยเสียงอ่อนนุ่มของเขา 

“แล้วพี่จะโทร. หา”

ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้น มองเขาผู้โบกมือและเดินจากไป มือเรียวแตะหน้าผากตนเอง รู้สึกทะแม่งๆ ถึงอย่างไรก็อมยิ้มเขิน ฮัมเพลงเดินเข้าอะพาร์ตเมนต์

ในที่สุด เธอ...ก็จะได้มีเดตที่สองเสียที

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น