บทที่สาม
โลกแห่งความจริงที่ไม่ได้มีแค่สายรุ้งและทุ่งดอกไม้
ตัวเลขห้าล้านเหรียญทำให้อิงวาดวางปากกางลง ดวงตาเรียวยาวจ้องดวงตาสีฟ้า แววตาของอดัมบอกชัดว่าหวังร่ำรวยจากคดีนี้ หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่ถนอมน้ำใจ
“ดูเหมือนว่าคนที่คุณต้องการ คือทนายความที่ฟ้องในคดีนี้ ไม่ใช่นักสิทธิมนุษยชนนะคะ”
“ผมไม่คิดแบบนั้น” อดัมแย้งทันที หยิบกระดาษหนึ่งแผ่นขึ้นมาวางบนเอกสารทั้งหลาย นิ้วใหญ่จิ้มลงบนตัวหนังสือยาวเต็มแผ่นกระดาษ
“ผมไม่ได้ต้องการฟ้องแค่คดีคุกคามทางเพศ แต่ผมต้องการนักสิทธิมนุษยชนทำคดีให้ผมในคดีละเมิดสิทธิบุรุษ ละเมิดสิทธิผู้บริจาคอสุจิด้วย เท่าที่ผมศึกษามา ผู้บริจาคมีสิทธิทางความเป็นมนุษย์ที่จะไม่ถูกปฏิบัติอย่างวัตถุหรือเครื่องจักร โรงงานนรกแห่งนั้นละเมิดสิทธิของผม”
เขาคลี่ยิ้มน่ารังเกียจ แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงน่ารังเกียจยิ่งกว่า
“พอดีเลย ไหนๆ คุณก็ทำคดีละเมิดอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณก็คุยกับทางนั้นเรื่องการคุกคามทางเพศไปทีเดียว สามข้อหา ห้าล้านเหรียญผมว่าน้อยไปนะ”
คำแย้งของเขาบอกชัดว่าเตรียมตัวหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี การใช้ทนายของรัฐนั้นต้องรอคิวยาว อีกทั้งยังต้องลุ้นว่าทนายจะสู้เพื่อเราแค่ไหน เราสามารถไว้ใจได้เพียงไร เพราะทนายบางคนก็ทำเพียงให้มีชื่อว่าบริการสังคม แต่ไม่ได้ตั้งใจทำงานจริง จะใช้ทนายเอกชนก็ค่าใช้จ่ายสูง ยอดเงินที่ได้รับหากฟ้องร้องชนะต้องแบ่งให้ทนายอย่างต่ำสามสิบเปอร์เซ็นต์ หากใช้นักสิทธิมนุษยชน นอกจากเสียเวลา นอกนั้นก็ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องแบ่งเงิน!
อิงวาดอดคิดอย่างอคติไม่ได้ว่า เรื่องนี้คือการจัดฉากป้ายความผิดให้แก่ทางนั้นหรือไม่ ถึงกระนั้นเธอก็เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ ทำหน้าที่ของตัวเอง นั่นคือการรับคดี
จริงอยู่ที่รัฐนิวยอร์กให้อำนาจนักสิทธิมนุษยชนในการดำเนินคดีคุกคามทางเพศได้อย่างไม่จำเป็นต้องอาศัยทนาย ทว่า...
“ดิฉันจะติดต่อกับทางนั้นเรื่องการละเมิดสิทธิผู้บริจาคอสุจิ แต่ดิฉันขอยืนยันว่า การจะเรียกร้องค่าเสียหายจากการถูกคุกคามทางเพศควรเป็นหน้าที่ของทนาย” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้าง นิ้วชี้ที่หน้าอกตัวเอง “ดิฉันคือนักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่ทนายความ”
เธอเอ่ยแล้วลุกขึ้นผายมือไปทางประตู ตัดบทเพียงเท่านี้ “ขอบคุณที่มาวันนี้ แล้วดิฉันจะติดต่อไปค่ะ”
อิงวาดลุกออกจากห้องอย่างไม่มีการรอส่งผู้มาเยือน สองท้าวตรงไปสู่ห้องทำงาน ถอนหายใจมองโต๊ะแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบโทรศัพท์ต่อสายไปถึงนิวไลฟ์สเปิร์มเซ็นเตอร์
“สวัสดีค่ะ ดิฉันอิงวาด นักสิทธิมนุษยชนของเอชอาร์ซี ดิฉันต้องการพูดกับใครก็ได้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจคดีละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ในสิทธิของผู้บริจาคอสุจิ เคสคือคุณอดัม ลูอิส”
ผู้รับสายนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนเสียงนุ่มละมุนจะตอบกลับอย่างไร้ความตกใจ “รอสักครู่นะคะ ดิฉันจะโอนสายให้ค่ะ”
การรอสักครู่แท้จริงใช้เวลารอสายถึงสิบห้านาที ทันทีที่สัญญาณรอสายอันเป็นเสียงเพลงหยุด ก็แทนที่ด้วยเสียงห้าวทุ้ม สำเนียงภาษาอังกฤษบอกชัดว่าคือชาวนิวยอร์ก ทั้งห้าวทั้งห้วนทั้งเร็ว
“สวัสดีครับ ผมชื่อเจสัน ผมคือทนายของนิวไลฟ์สเปิร์มเซ็นเตอร์ ในส่วนที่คุณแจ้งมาเรื่องคดีละเมิดสิทธิ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกให้ผมเข้าไปพบวันไหนดีครับ”
ทนายความ? ผู้โทร. ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะรีบปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ สลัดความไม่เข้าใจทิ้ง
“คุณมาพบดิฉันที่เอชอาร์ซีได้วัน...”
“วันนี้ช่วงเย็นดีไหมครับ ผมผ่านไปแถวนั้นพอดี สักบ่ายสี่ หวังว่าคุณคงยังไม่เลิกงาน”
การนัดเองเออเองของเขาทำให้อิงวาดกัดริมฝีปาก แต่ก็ตอบตกลงเพราะปรารถนาจบเคสนี้ให้เร็วที่สุด
“ได้ค่ะ เมื่อคุณมาถึงแล้วสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่ามาพบอิงวาดชั้นสิบ ดิฉันรอที่จะพบคุณเพื่อจบปัญหานี้ค่ะ”
โทรศัพท์ถูกวางลงทันทีที่การนัดหมายสิ้นสุด อิงวาดกัดริมฝีปากอีกครั้ง ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ การใช้ทนายในการจัดการแก้ไขปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่เธอกำลังสงสัยเรื่องการนัดหมาย ดูจากการนัดเวลาสี่โมงเย็นวันนี้ บอกชัดว่าทางนั้นพร้อมสำหรับการโต้กลับ คล้ายรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องนี้ขึ้น ทั้งยังมีน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจที่จับได้จากการสนทนา ทนายที่ชื่อเจสันดูมั่นใจมากว่าจะชนะ
มือขาวล้วงเจลลีบีนออกมาจากกระเป๋า ส่งเข้าปาก ลิ้มรสชาติเปรี้ยวหวานจนทำให้หยีตา พร้อมกับตั้งคำถามในใจ
หรือว่าบางที...อดัม ลูอิส มีอะไรซ่อนเร้นที่เขาไม่ได้บอกเธอ
ช่วงเวลานัดหมายมาถึง ทนายหนุ่มในชุดสูทราคาพันเหรียญก้าวเข้าสู่ห้องประชุม ผ่านการนำทางของประชาสัมพันธ์สาวผู้ที่แท้จริงแล้วเพียงแค่บอกทางก็พอ เขามีร่างสูงโปร่ง ผมสีบลอนด์ ดวงตาสีเขียวมรกต อิงวาดอดคิดไม่ได้ว่า วันนี้เธอช่างมีชะตาต้องกับหนุ่มผมบลอนด์ยิ่งนัก
เมื่อเช้าก็หนุ่มขายอสุจิ ตอนนี้ก็ทนายความ!
หญิงสาวจับมือทักทาย “สวัสดีค่ะ ดิฉัน อิงวาด ใจกล้า ค่ะ”
ทนายหนุ่มคลี่ยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ ปลดกระดุมเสื้อสูทออกแล้วนั่งลงพร้อมแนะนำตัว “สวัสดีครับ ผม เจสัน ฟอร์ด คุณเรียกผมว่าเจสันได้เลย”
แม้จะได้รับคำอนุญาต แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะเรียกเขาด้วยนามสกุล พุ่งเป้าเข้าสู่เรื่องงานทันที
“ขอบคุณมากๆ นะคะคุณฟอร์ดที่มาพบดิฉันที่นี่ อย่างที่แจ้งทางโทรศัพท์ ดิฉันคือนักสิทธิมนุษยชนผู้ทำคดีของคุณลูอิส เรื่องการละเมิดสิทธิของผู้บริจาคอสุจิ”
ผู้รับฟังเลิกคิ้วเล็กน้อย “คุณคือนักสิทธิที่จบโรงเรียนกฎหมาย?”
“ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันจบปริญญาตรีด้านสิทธิมนุษยชน”
“น่าสนใจนะครับ แต่ว่า...ผมคิดว่าเรื่องราวค่อนข้างซับซ้อนเกี่ยวกับคดีนี้คงต้องอาศัยทนายความ ไม่ทราบว่าที่นี่มีทนายจบจากฮาร์เวิร์ดไหม แต่ถ้าไม่มี ผมก็อยากคุยกับทนายที่จบมหาวิทยาลัยท็อปทรีด้านโรงเรียนกฎหมายแล้วกัน อันดับต่ำกว่านั้นผมเกรงว่าจะพูดกับผมไม่รู้เรื่อง”
อิงวาดรู้สึกรังเกียจผู้ชายตรงหน้ายิ่งนัก อยากจะคว้าแก้วน้ำสาดล้างความหยิ่งผยองของเขา เธอเคยได้ยินมาว่าทนายความผู้จบจากฮาร์เวิร์ดเกินร้อยละแปดสิบมีความหยิ่งผยองในสถาบัน และอีโก้สูงจนเธอปีนขึ้นไปยืนบนอีโก้ของพวกเขาเพื่อใช้กระโดดฆ่าตัวตายได้
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวเลือกคิดบวกว่าคนอื่นอาจไม่เป็นเช่นนี้ บางทีคงเป็นที่นิสัยของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบัน เพราะทุกสถาบันล้วนมีคนหลากหลายประเภทผสมปนกันไป
ดวงตาเรียวยาวมองผมที่หวีเสยใส่น้ำมันเอี่ยมอ่องมูลค่าห้าร้อยเหรียญแล้วร้องหึในใจ มือกำแน่น ยิ่งได้เห็นแววตาท้าทายของเขา ก็ยิ่งอยากพุ่งไปตบเตือนสติว่าเขากำลังเหยียดมนุษย์ ถึงกระนั้นก็เพียงคลี่ยิ้ม พยักหน้าเบาๆ
“คุณกำลังหมายความว่า ฉันไม่ได้จบโรงเรียนกฎหมาย สติปัญญาของฉันคงไม่มากพอจะคุยกับคุณเรื่องคดี?”
ชายหนุ่มยักไหล่ “ผมแค่ไม่อยากให้คุณต้องปวดหัวกับเรื่องอะไรที่เข้าใจยากๆ และซับซ้อน เอาเถอะ ยังไงผมฝากเอกสารให้ทนายของทางคุณแล้วกัน” เขาหยิบแฟ้มออกมาวางแล้วเลื่อนให้สตรีฝั่งตรงข้าม “ให้ทนายของคุณอ่านแฟ้มดู ผมการันตีได้ว่า ทนายของคุณจะรีบเหวี่ยงเรื่องไร้สาระของคดีนี้ทิ้ง อดัม ลูอิส น่ะ...” ร่างสูงลุกขึ้นยืน มือติดกระดุมเสื้อสูท “จอมลวงโลกเลยทีเดียว!”
ยังไม่ทันที่อิงวาดจะลุกขึ้น ทนายหนุ่มก็ถือวิสาสะเดินออกจากห้องไป เธอผู้ถูกตบหน้าอย่างไม่ทันตอบโต้ปรายตามองแฟ้ม ถอนหายใจแล้วเปิดแฟ้ม ในนั้นคือสัญญาการเป็นผู้บริจาคอสุจิ เอกสารนี้คือเอกสารที่ไม่มีในแฟ้มของ อดัม ลูอิส ที่สำคัญในเอกสารระบุชัดเจนว่า ผู้สมัครและเอเจนซี่ผูกพันกันด้วยสัญญารักษาความลับ
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีสิทธิ์เผยแพร่ ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้อง ยังมีผลตรวจด้านพันธุกรรมที่ระบุว่าลูกคดีของเธอมีหนึ่งหน่วยพันธุกรรมที่มีพาหะโรค หมายความว่าการเป็นผู้บริจาคต้องถูกยกเลิก และเงินส่วนแรกที่เอเจนซี่จ่ายไป อดัมจะต้องจ่ายคืนให้แก่เอเจนซี่ทุกเพนนี
นี่สินะ...ทางเอเจนซี่จึงไม่ได้ยี่หระหรือตกใจ เพราะวางหมากปิดล้อมทุกตารางนิ้วของกระดาน
อิงวาดหยิบแฟ้มแล้วลุกขึ้น มองที่นั่งที่เคยเป็นของทนายความผู้นั้น ความรู้สึกรังเกียจพลุ่งพล่าน เดินไปทางเก้าอี้ มองด้วยสายตาแค้นประหนึ่งเขายังนั่งอยู่ ขยับเท้าอยากจะถีบ ทว่าเปลี่ยนใจหันหลังเดินไปทางลิฟต์ กดขึ้นไปยังชั้นสี่สิบเจ็ดเพื่อไปพบมอลรีน
ไม่ใช่อิงวาดผู้เดียวที่มีปัญหากับคดีแรก หน้าห้องของมอลรีน เจ้าหน้าที่ปีหนึ่งสองคนยืนสีหน้าไม่สู้ดี ดวงตาเรียวยาวมองไปยังประตูห้องที่เปิดออกและเจ้าหน้าที่ปีหนึ่งเดินออกมาด้วยใบหน้าขาวซีด บอกชัดว่า...เรื่องไม่ดีแน่ๆ ด้วยเหตุนี้สองคนที่ยืนรอจึงมองหน้ากัน แล้วตัดสินใจหันหลังจากไป
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก เคาะประตูห้องตามมารยาทแล้วเปิดประตูเข้าไป ความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่พุ่งใส่ร่างเธอทำให้ขนทุกเส้นบนเรือนร่างลุกชัน มือขาวกำแน่นเมื่อเจอสายตาของมอลรีน
“นั่งสิ” เจ้าของห้องเอ่ยอย่างรู้ดีว่าคนที่มาที่นี่คือคนมีปัญหา
อิงวาดนั่งลงบนเก้าอี้ วางแฟ้มจากทางนิวไลฟ์สเปิร์มเซ็นเตอร์ลงบนโต๊ะ ยังไม่ทันอ้าปากพูด มอลรีนก็ชิงพูดก่อน
“เธอรู้ไหมว่า ทำไมฉันถึงเลือกคดีผู้บริจาคอสุจิให้เธอ”
ผู้ถูกถามพยักหน้า “เพราะฉันมีประสบการณ์การทำงานกับผู้บริจาคไข่ค่ะ”
มอลรีนหยุดมือที่เซ็นเอกสาร ปรายตามองแฟ้มแต่ไม่เปิด “การบริจาคไม่ว่าจะไข่หรืออสุจิก็ไม่แตกต่างกันนัก มีสัญญาเก็บความลับ สัญญาห้ามพูด แต่ก็มีไม่ใช่เหรอที่เกิดการฟ้องร้องในคดีผู้บริจาคไข่ทั้งที่มีการเซ็นห้ามเปิดเผยและห้ามฟ้องร้อง”
“ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเธอมาที่นี่ทำไม”
อิงวาดยิ้มโง่ๆ หยิบแฟ้มคดีกลับคืน “ทางนั้นต้องการคุยกับทนายค่ะ ถ้าเราจะ...”
“ทนาย?” มอลรีนย้อนถามเสียงสูง ตามด้วยการหัวเราะประหนึ่งกำลังฟังเรื่องขบขัน ส่ายหน้าเบาๆ มองหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยแววตาประหนึ่งผู้ใหญ่มองเด็กที่เริ่มหัดคลาน “เธอคิดว่าทนายด้านสิทธิมนุษยชนของที่นี่มีกี่คน และคิดว่าค่าตัวชั่วโมงละเท่าไหร่”
“ทนายความประจำก็คงราวๆ สองสามคน ค่า...”
ผู้อาวุโสกว่ายกมือขึ้นเพื่อบอกให้หยุด ตามด้วยการถอนหายใจ
“ถ้าทุกคดีทนายต้องเป็นผู้จัดการด้วยตัวเอง เธอคิดว่าเดือนหนึ่งเอชอาร์ซีต้องจ่ายเงินค่าทนายสัก...กี่สิบล้านเหรียญ เธอคิดว่าเอชอาร์ซีจะไปเอาเงินจำนวนมากมายขนาดนั้นมาจากไหน และเธอคิดว่าถ้าเราต้องใช้ทนายทุกคดี ทางเอชอาร์ซีจะจ้างนักสิทธิมนุษยชนจบใหม่ในฐานเงินเดือนถึงปีละหกหมื่นห้าพันเหรียญมาเพื่ออะไร ทั้งที่เงินเดือนนักสิทธิจบใหม่ที่อื่นได้เพียงแค่ปีละสี่หมื่นสองพันเหรียญ หรือบางที่ได้สามหมื่นปลายๆ”
อิงวาดไม่ได้ตอบ เม้มริมฝีปากอย่างไม่รู้จะพูดสิ่งใด มอลรีนเอื้อมมือไปหยิบกระดาษเอสี่ เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงมากล้นด้วยอำนาจ
“เท่าที่ฉันจำได้ สาขาวิชาสิทธิมนุษยชนล้วนต้องผ่านการเรียนกฎหมายสิทธิมนุษย์ และกฎหมายอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง ที่เขาให้เธอเรียน ไม่ใช่มีไว้สำหรับการแปะชื่อวิชาและเกรดลงในใบทรานสคริปต์สวยๆ แต่ให้เรียนเพื่อเอามาใช้ ที่นี่ไม่ใช่สำนักงานกฎหมาย แต่นักสิทธิที่นี่ก็มีอำนาจในการโต้คดีสิทธิได้
“ใช้สิ่งที่เธอเรียนมาและสมองที่ได้ชื่อว่าจบจากโคลัมบัสให้เป็นประโยชน์ จัดการอัดทนายคนนั้นให้เละซะ ถ้าเธอแพ้คดีแรก รู้ใช่ไหมว่ากระดาษแผ่นนี้ใช้สำหรับทำอะไร คิดถึงเงินเดือนปีละหกหมื่นห้าพันเหรียญของเธอไว้ อย่าทำให้ฉันเกิดความสงสัยว่าเธอเหมาะสมจะได้ค่าจ้างปีละหกหมื่นห้าจริงไหม ไปอัดพวกนั้นให้เละ ไม่งั้นเธอจะเละเอง!”
กระดาษเอสี่ในมือมอลรีนถูกวางลงเบื้องหน้าอิงวาด ยังมีเสียงเข้มที่เอ่ยตอกย้ำ
“ขอต้อนรับสู่โลกแห่งความจริง ที่ไม่ได้มีแค่สายรุ้งและทุ่งดอกไม้!”
อิงวาดกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มองกระดาษแผ่นนั้นแต่ไม่หยิบ หันหลังเดินออกจากห้อง เสียงตัวเองตะโกนบอกในใจ
ไม่ได้...เธอจะแพ้ไม่ได้! เธอจะไม่ยอมโดนไล่ออกเด็ดขาด!
‘ถ้าฉันต้องทำหน้าที่ไม่ต่างจากทนาย ฉันก็ควรได้ค่าจ้างชั่วโมงละพันเหรียญ!’
อิงวาดบ่นกระปอดกระแปดในใจ หอบแฟ้มคดีลงสู่ชั้นสิบ ตรงเข้านั่งที่โต๊ะทำงาน ตามด้วยการถอนหายใจและฟุบหน้าลงบนโต๊ะ มือควานหาเจลลีบีนจากกระเป๋าแล้วยัดเข้าปาก ปล่อยให้ความสับสนวุ่นวายทั้งหลายสงบลงจึงเงยหน้าขึ้น ปากเคี้ยวขณะที่ดวงตากวาดมองไปทั่วห้อง
ผู้ร่วมงานทั้งสี่สิบเจ็ดคนล้วนมีสีหน้าไม่ต่างจากเธอ เคร่งเครียดคล้ายกำลังจะก้าวลงโลงศพ นี่สินะที่เขากล่าวว่าการฝึกงานก็คือการฝึกงาน แตกต่างจากการทำงานจริง ครั้งนี้คือการทำงานจริง รับผิดชอบคนเดียวจริง และ...ตกงานจริงถ้าทำไม่สำเร็จ!
ใช่เพียงเธอที่รู้ แต่อีกสี่สิบเจ็ดคนก็รู้เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ส่งยิ้มตามมารยาท ไม่มีการเอ่ยถามว่าใครได้คดีใด ไม่มีการช่วยเหลือ ไม่...แม้แต่ขยับปากถามว่าใครชื่ออะไร
เพราะทุกคนไม่มีใครคือเพื่อน ทุกคน...คือคู่แข่ง...
คล้ายทุกคนมีผลึกน้ำแข็งล้อมรอบ ไม่มีใครเปิดตัวเองให้แก่ใคร ดูเหมือนองค์กรจะชอบที่เป็นเช่นนี้ เพราะแม้แต่ระดับหัวหน้าก็ปฏิบัติต่อกันไม่แตกต่างจากเธอและผู้ร่วมงาน อิงวาดคิดแล้วก็ถอนหายใจ เปิดแฟ้มคดีชายผู้บริจาคอสุจิ ยกหูโทรศัพท์ติดต่อเขา เขารับสายทันทีประหนึ่งว่ารออยู่แล้ว ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยสิ่งใด เขาก็ชิงถามแทรก
“ทุกอย่างเรียบร้อยไหม ห้าล้านของผมจะได้เมื่อไหร่”
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาจับจ้องอยู่ที่อีกแฟ้มอันเป็นแฟ้มที่ทนายมอบให้ “คุณอดัมคะ จากข้อมูลที่ดิฉันได้รับจากทนายของ...”
“นี่คุณจบใหม่ใช่ไหม ทำงานเป็นรึเปล่า”
คำถามย้อนนั้นทำให้ผู้ถูกถามเลิกคิ้ว เริ่มไม่พอใจแต่ก็ไม่เอ่ยตอบโต้ ยังคงถือสายฟังอดัมตำหนิด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“เป็นเพราะผมไม่จ่ายเงินให้ใช่ไหม เอชอาร์ซีถึงส่งเด็กจบใหม่ไม่มีประสบการณ์ไม่มีสมองว่าต้องจัดการยังไงมาจัดการคดีผม คอยดูนะ ถ้าผมไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีนี้ ผมจะจ้างทนายฟ้องคุณกับเอชอาร์ซี!”
สิ้นคำด่าทอ อีกฝ่ายก็กดตัดสาย อิงวาดยังถือโทรศัพท์ค้างไว้ ดวงตาปิดลง ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างพยายามที่จะไม่ลุกขึ้นกรีดร้องระบายอารมณ์ พยายามไม่เขวี้ยงแฟ้มคดีของชายผู้นี้ลงถังขยะ
เมื่อก่อนเธอเคยได้ยินว่า ด้านมืดและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์จะทำให้คนผู้นั้นพร้อมเหยียบหัวและด่าทอผู้อื่นแม้แต่คนที่ไม่รู้จัก แล้วครั้งนี้เธอก็เข้าใจว่ามนุษย์เราแท้จริงแล้วน่ารังเกียจยิ่งกว่าสัตว์บางประเภท ผู้ใหญ่บางคนก็สมองน้อยและเอาแต่ใจยิ่งกว่าเด็กสามขวบ แม้จะคิดเช่นนี้ แต่อิงวาดไม่อาจโยนแฟ้มทิ้ง
เธอต้องทำคดี...และจะแพ้ไม่ได้ ไม่ใช่เพื่อชายผู้น่ารังเกียจคนนั้น แต่เพื่อ...ตัวเธอเอง!
เธอต้องไม่ตกงาน และต้องเป็นหนึ่งในห้าคนสุดท้ายที่ได้อยู่ต่อ!
มือขาวค่อนข้างสั่นเพราะความโมโห หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ส่งข้อความหาเพื่อนรักผู้ทำงานที่สำนักงานกฎหมายในฐานะผู้ช่วยทนาย
“ริณ...ฉันมีปัญหาทางกฎหมาย จะเข้าไปหาวันนี้ตอนเย็นที่ที่ทำงานแก”
ความคิดเห็น |
---|