3

บทที่ 2


เช้าวันใหม่ สองสาวเดินออกมาจากที่พักซึ่งเป็นห้องชุดในอาคารที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ทำงานของสิรริน สิรดาตั้งใจเดินไปส่งน้องสาวที่หน้าตึกสำนักงาน ก่อนจะออกไปหาซื้อของใช้จำเป็นที่ไม่ได้เอามาจากเมืองไทย 

            “ตั้งใจทำงานนะ สู้ๆ” เมื่อถึงหน้าตึก สิรดาให้กำลังแฝดน้องสำหรับการเริ่มต้นการทำงานครั้งแรกในชีวิต

            สิรรินยิ้มกว้าง พยักหน้าด้วยความมั่นใจเต็มที่

            สิรดายืนรอส่งจนน้องสาวเข้าไปในตึกแล้วจึงออกเดินไปตามริมถนน แต่เพียงแค่ไม่ถึงร้อยเมตรจากหน้าบริษัทที่สิรรินทำงาน คนที่ตั้งใจไปซื้อของใช้ก็เบิกตาค้าง เมื่อรถยนต์สีดำคันใหญ่วิ่งสวนมาอย่างเร็ว พร้อมๆ กับทำให้น้ำที่ขังเป็นแอ่งอยู่บนถนนกระเด็นมาโดนตัวเธอเต็มๆ

            คนโดนน้ำสาดเต็มๆ อ้าปากค้าง ก้มดูสารรูปตัวเองด้วยความโมโหสุดขีด “ขับรถภาษาอะไรวะเนี่ย เห็นใจคนเดินถนนบ้างมั้ย!”

            รถยนต์คันก่อเหตุแล่นหายไปในพริบตา สิรดาเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและจำเลขทะเบียนสุดสวยเอาไว้ในใจ

            “คอยดูนะ เจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่ อย่าหาว่าหญิงไทยคนนี้ใจร้าย”

            สิรดาเดินย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อจะกลับไปเปลี่ยนชุด แต่ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านหน้าตึกที่เป็นที่ทำงานของน้องสาว หางตาก็เหลือบไปเห็นรถยนต์สีดำคันที่เธอพร่ำภาวนาขอให้ได้พบเจอกันอีกสักครั้งในชีวิต

            “ฟ้าช่างเป็นใจจริงๆ” เธอยิ้มเหี้ยม ก้าวเดินอาดๆ ท่าทางเอาเรื่องไปยังรถยนต์ของคู่กรณีที่เพิ่งดับเครื่องยนต์

            ก๊อก!ๆๆ หญิงสาวเคาะกระจก

            ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเดินลงมา “มีอะไรครับคุณผู้หญิง”

            “มีสิ มีแน่ๆ” สิรดาตอบเสียงเครียด นึกชังน้ำหน้าฝ่ายตรงข้ามที่ดูแล้วไม่รู้เลยว่าได้ก่อเรื่องอะไรตามท้องถนนมาบ้าง

            ซาอิมขมวดคิ้ว มองหญิงสาวมอมแมมเสื้อผ้ายับเยินด้วยแววตาสงสัย

            “ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัยหรอกคุณ เมื่อไม่ถึงห้านาทีที่ผ่านมาฉันยังไม่เลอะเทอะเปียกปอนแบบนี้ แล้วถ้าไม่ใช่เพราะคุณขับรถเร็วจนทำให้น้ำบนถนนกระเด็นมาโดนฉัน ฉันคงมีสภาพที่ดีกว่านี้ และคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้แน่” น้ำเสียงคนพูดส่อแววหาเรื่องเต็มที่

            “เอ่อ คือขอโทษด้วยครับ” ซาอิมเพิ่งเข้าใจว่าเพราะเหตุใดคุณผู้หญิงคนนี้ถึงได้มายืนตาขวาง ทำหน้าไม่พอใจอยู่ตรงหน้า

            “มีอะไรซาอิม” ประตูด้านหลังคนขับถูกเปิดออก พร้อมๆ กับชายร่างสูงใหญ่ที่ก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทางหงุดหงิด

            สิรดาหันขวับกลับไปมองเจ้าของเสียงแหบต่ำที่น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แล้วชะงักเล็กน้อย ไม่อยากเชื่อสายตา เมื่อต้นเหตุแห่งภาพอุจาดในวันวานกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเธออีกครั้ง

            “ผมขับรถทำน้ำกระเด็นใส่คุณผู้หญิงคนนี้ครับ” ซาอิมตอบเจ้านาย

            ชามาล์ อัลบารอม ปรายหางตามองหญิงสาวที่ยืนทำท่าเอาเรื่องอยู่ทางด้านหน้ารถของตนเองด้วยสีหน้ารังเกียจเมื่อเห็นความสกปรกมอมแมมดูไม่ได้

            “ถามเธอว่าต้องการเงินชดใช้ค่าเสียหายเท่าไหร่ แล้วให้เธอไป จะได้จบเรื่องไร้สาระเสียเวลานี่ซะ” ชามาล์สั่งซาอิม

            สิรดาหูผึ่ง แววตาฉายชัดถึงความไม่พอใจ ฉุนกึกกับคำพูดไม่เข้าหูของอีกฝ่าย

            ซาอิมอึกอัก แต่จำต้องยอมเอ่ยปากถาม เมื่อเห็นสายตาดุดันของเจ้านายที่ต้องการจบเรื่องให้เร็วที่สุด “เอ่อ ถ้ายังไงคุณผู้หญิง กรุณาคิดค่าเสียหายมานะครับ ทางผมยินดีชดใช้ ถือว่าเป็นค่าชดเชยที่ทำเสื้อผ้า...”

            ชามาล์รำคาญลูกน้องที่พูดจาอ้อมไปอ้อมมา จึงชิงพูดขึ้นอย่างคนหมดความอดทน “อะไรกันนักหนาซาอิม” คนหมดความอดทนหันไปมองหน้าหญิงสาวที่เสื้อผ้ามอมแมมดูไม่ได้อีกครั้ง แล้วถามเสียงห้วน “เท่าไหร่”

            สิรดามองหน้าคนพูดด้วยอารมณ์โกรธ ในเมื่ออยากใช้เงินฟาดหัวคนอื่นดีนัก เธอก็จะจัดให้ “หนึ่งหมื่น”

            เสียงฮึเย้ยหยันดังลอดลำคอหนา ผู้หญิงหน้าไหนก็เห็นแก่เงินเหมือนกันหมดทุกคน ชามาล์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตารังเกียจซ้ำครั้งที่สอง

            “ซาอิม จัดการให้เงินเธอไปซะ เรื่องจะได้จบๆ ไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ”

            ซาอิมพยักหน้า ล้วงเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นให้สิรดา

            “ค่าตัวเธอ” น้ำเสียงดูถูกจากชามาล์แทรกขึ้น ในขณะที่ซาอิมยื่นเงินให้หญิงสาว

            สิรดาเอื้อมมือไปรับเงินด้วยสีหน้าแช่มชื่น ทว่าสายตากลับวาววับคั่งแค้น ก่อนจะใช้วาจาเป็นอาวุธตอกกลับเพื่อให้หายเจ็บใจ

            “แหม! ค่าตัวฉันตั้งหมื่นแลกกับการพูดจานิดๆ หน่อยๆ ระหว่างเราสองคน อุ๊ย! ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ถือ ถ้าวันหลังเราสองคนเจอกันอีก ฉันจะมาคุยด้วยอีกนะคะ พอทราบค่ะว่าคนบางคนไม่ค่อยมีคนคบด้วย พอมาเจอคนคุยด้วยนิดหน่อยก็ดีอกดีใจเป็นพิเศษ โถ!ๆ น่าสงสารจัง ถึงขนาดต้องให้ค่าคุย ฉันเข้าใจนะคะ คนไร้เพื่อนฝูงคบหา ความรู้สึกมันเป็นยังไง ฉันเข้าใจดี”

            “เธอ!” ดวงตาชามาล์ลุกเป็นไฟ

            สิรดาไม่สนใจท่าทางเดือดดาลของผู้ชายตรงหน้า สะบัดหน้าพรืดแล้วหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับเงินหนึ่งหมื่นเหรียญด้วยความสะใจสุดๆ

“โธ่นึกว่าจะแน่ เจอคนจริงเข้าหน่อยไม่กล้าหือเลย หึๆๆ” หญิงสาวหัวเราะเยาะปิดท้ายอย่างผู้ชนะ

            คนโดนหัวเราะเยาะหายใจแรง สองมือกำแน่นข่มโทสะที่จวนเจียนจะระเบิด ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังเย้ยขึ้นตามหลัง ก็ยิ่งหัวเสียสุดๆ เพราะชีวิตที่ผ่านมาสามสิบสองปีไม่เคยโดนผู้หญิงคนไหนหักหน้าแบบนี้มาก่อน สายตาดุจไฟแผดเผาจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังของหญิงสาวที่เพิ่งเดินจากไป แผ่นหลังที่ดูคุ้นตา ท่วงท่าการเดินแบบนี้ ทำให้ชามาล์ถึงกับขมวดคิ้วต้องเพ่งมองซ้ำอีกครั้ง จนเมื่อแน่ใจว่าใช่แล้วแน่นอน ใบหน้าที่เครียดขึงกลับยิ่งบึ้งหนักกว่าเก่าหลายเท่าตัว

            “เธอนั่นเอง!”  

 

            ตลอดทางที่เดินกลับมาที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ สิรดาเต็มไปด้วยความสะใจ เธอจะเอาเงินที่ได้ไปทำบุญให้แก่เด็กยากไร้ แล้วจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้รับให้แก่ผู้ชายงี่เง่าไร้ความละอายคนนั้น ชั่วชีวิตนี้เธอกับเขาจะได้ไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีก แค่สองครั้งก็เพียงพอแล้ว และมันจะไม่มีครั้งที่สามให้รำคาญอวัยวะมือและเท้าอีกต่อไป

            ช่วงสายสิรดาออกมาข้างนอกอีกครั้ง หนนี้หญิงสาวตั้งใจนั่งรถประจำทางตรงไปที่ห้างสรรพสินค้า ไม่คิดเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยเหมือนช่วงเช้า ไม่นานนักคนที่ตั้งใจมาซื้อของใช้ก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ศูนย์การค้าขนาดใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่รวมสินค้ามากมายไว้ให้ผู้คนที่อัลซาดาห์จับจ่ายเลือกซื้อ

            ทันทีที่สิรดาเดินเข้าห้างสรรพสินค้าก็ตรงไปยังแผนกอุปกรณ์สื่อสารก่อนเป็นอันดับแรก เธอตั้งใจซื้อโทรศัพท์มือถือสองเครื่อง เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อระหว่างเธอกับน้องสาวในช่วงที่อาศัยอยู่ที่อัลซาดาห์

            ในจังหวะที่สิรดากำลังเดินเลือกหาโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ถูกใจ เสียงร้องไห้ของเด็กชายที่ดังกระซิกๆ เบาๆ ทางด้านหลังทำให้เธอต้องเหลียวหลังหันกลับไปมอง และเมื่อเห็นเด็กชายหน้าตาน่ารักนั่งหลบมุมเสา ร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ ก็เดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งแล้วเอ่ยปากถาม “ร้องไห้ทำไมครับ”

            “เสียแล้ว ล้อหลุด” เด็กชายสะอึกสะอื้นตอบ สองมือประคองรถวิทยุบังคับที่บัดนี้ล้อหลุดจนเล่นไม่ได้อย่างหวงแหน

            “ไหนขอพี่ดูสิว่าซ่อมได้หรือเปล่า”    

            แววตาเด็กชายเปล่งประกายทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของสิรดา และรีบยื่นรถให้ด้วยใบหน้าที่มีความหวัง “ทำให้เป็นแบบเดิมได้ไหม”

            “ได้สิครับ เรื่องแค่นี้เอง แต่ต้องหยุดร้องไห้นะ เด็กผู้ชายเขาไม่ร้องไห้กันหรอก”

            “พ่อก็บอกเป็นลูกผู้ชายอย่าร้องไห้ แต่วันนี้เราร้อง” เด็กชายทำหน้าเศร้าตอบเสียงอ่อย

            “อ๋อ กลัวคนอื่นรู้ว่าร้องไห้ ก็เลยมาหลบร้องไห้ไม่ให้คนอื่นเห็น” สิรดายิ้มบางๆ และพยักหน้าอย่างเข้าใจ หลังจากเพิ่งสังเกตรอบข้างว่าเด็กคนนี้ไม่มีผู้ปกครองอยู่ด้วยสักคน

            เด็กชายพยักหน้ารับเบาๆ “เราไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราร้องไห้”  

            “ได้ ได้ เรื่องนี้พี่จะเก็บเป็นความลับของเราสองคน พี่จะไม่บอกใคร” สิรดายักคิ้ว เริ่มรู้สึกถูกชะตากับเจ้าเด็กตัวกะเปี๊ยกคนนี้

            “ไหนดูซิว่าต้องซ่อมอะไรบ้าง” หญิงสาวหยิบรถวิทยุบังคับขึ้นมาพลิกดู แล้วหันไปเปิดเป้เพื่อหยิบอุปกรณ์ที่จะใช้ซ่อมออกมา

            “พ่อเราซื้อมาให้ สั่งทำเป็นพิเศษเลยนะ มีสีเดียวคันเดียวด้วย” เด็กชายเริ่มคุยอวด

            สิรดาพยักหน้า ส่วนมือก็สาละวนกับการแกะชิ้นส่วนรถสีเดียวคันเดียวของเด็กชาย

            “ทำได้หรือเปล่าน่ะ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ เหมือนไม่ค่อยไว้ใจ เมื่อเห็นสิรดาเริ่มถอดชิ้นส่วนรถวิทยุบังคับ

            “เชื่อมือพี่เถอะน่า แค่นี้เรื่องเล็ก จิ๊บๆ” สิรดาพูดพลางถอดชิ้นส่วนอื่นๆ ออกตามมา แล้ววางกระจัดกระจายอยู่บนพื้น

            “ใส่กลับถูกแน่นะ” เด็กชายยังคงถามอย่างต่อเนื่องเหมือนคาใจเล็กน้อย สายตาเริ่มลังเลยามมองชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่ถูกถอดออกมา จนตอนนี้ชักดูไม่ออกแล้วว่าเป็นรถวิทยุบังคับของตนเอง

            “ถูกสิ พี่น่ะเป็นวิศวกรไฟฟ้าที่เก่งที่สุดเลยนะ” สิรดาอวดบ้าง

            เด็กชายเงยหน้าจากกองชิ้นส่วนรถวิทยุบังคับขึ้นมามองอีกฝ่าย “ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อนะ แต่เรากลัวรถของเราจะกลับไปไม่เหมือนเดิมมากกว่า”

            “เอาน่า...รับรองเหมือนเดิมด้วยดีกรีเกียรตินิยมเหรียญทอง สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าที่ได้รับการการันตีมาแล้วจากทุกสถาบัน” สิรดาฉีกยิ้มกว้างรับรองความสามารถของตนเองอย่างแข็งขัน

            “เราเห็นมามากแล้ว รับรองด้วยเกียรติทีไร คว้าน้ำเหลวทุกที” เด็กชายบ่นเบาๆ แววตาละห้อยเมื่อก้มลงไปมองชิ้นส่วนรถของตนเอง

            สิรดาอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากเด็กอายุห้าหรือหกขวบ “ไปจำคำพูดใครมาเนี่ย”

            “พ่อเราเอง พ่อของเราทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ใครๆ ก็บอกว่าพ่อเราเก่ง” เด็กชายโชว์ยิ้มกว้าง อวดความเก่งของพ่อด้วยท่าทางภาคภูมิใจ

            “โอเคเลย ถ้าอย่างนั้นก็เอากลับไปให้พ่อทำ” สิรดาทำท่าจะยื่นชิ้นส่วนรถวิทยุบังคับคืนให้

            “ไม่ได้! ไม่ได้! พ่อเราไม่ค่อยว่างหรอก พ่อเรางานเยอะ พี่สาวทำไปเถอะ” เด็กชายรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “พ่อเราคงไม่เสียเวลามาทำหรอก พ่อเราไม่ชอบทำเรื่องอะไรที่เสียเวลา ไร้สาระ”  

            “อ้าว!” สิรดาชักจะอึ้งกับเด็กชายที่มีดวงตากลมโตคนนี้มากขึ้นทุกที

            “พี่สาวรีบทำเถอะ เราไม่กวนแล้ว” เด็กชายพยักหน้าแรงๆ สองสามครั้งเป็นเชิงบอกให้รีบทำ

            “โอเค โอเค รีบทำก็ได้” สิรดาถอนใจเฮือก ก้มหน้าก้มตารื้อรถวิทยุบังคับต่อไปโดยไม่ได้สังเกตรอบข้างเลยว่า ตอนนี้นอกจากตัวเองและเด็กชายเจ้าของรถวิทยุบังคับแล้ว ยังมีผู้ชายตัวโตเดินเข้ามาอีกไม่ต่ำกว่าห้าหกคน

            “จุ๊ๆๆ” เด็กชายหันไปทำท่าจุปาก ห้ามคนที่เดินเข้ามาใหม่อย่าทำเสียงดังรบกวนสมาธิ

            กลุ่มชายตัวโตพยักหน้ารับรู้ แล้วกระจายกันยืนรายล้อมอยู่ด้านหลัง

            สิรดาหันไปรื้อของจากเป้ตนเองสักพักแล้วกลับมาก้มหน้าก้มตาทำต่อ หญิงสาวถอดชิ้นส่วนที่ชำรุดของรถวิทยุบังคับออก แล้วจัดการนำชิ้นส่วนใหม่ที่หยิบออกมาจากเป้มาเปลี่ยนให้ เมื่อเปลี่ยนเสร็จเรียบร้อยจึงเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเด็กชาย “โชคดีจริงๆ พี่มีอะไหล่สำรองมาพอดี...”

            หญิงสาวชะงัก สีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นผู้ชายตัวใหญ่หลายคนยืนอยู่ทางด้านหลังเด็กชาย

            “ไม่ต้องกลัวหรอก พวกเขาเป็นคนคอยดูแลเราเอง” เด็กชายเอ่ยบอก ดวงตาจ้องแต่รถวิทยุบังคับของตนเอง “ตกลงรถของเราแล่นได้แล้วใช่ไหม”

            “ได้”

            “จริงเหรอ” แววตาเด็กชายเปล่งประกายดีใจ “งั้นเราขอทดสอบก่อนนะ ว่าดีกรีของพี่สาวยังใช้การได้อยู่ไหม”

            “หึๆๆ ได้เลย” สิรดาพูดยิ้มๆ รู้สึกชอบเจ้าหนูพูดมากขึ้นทุกที

            เด็กชายไม่รอช้า จัดการวางรถวิทยุบังคับไว้บนพื้นแล้วเริ่มดำเนินการทดสอบ ซึ่งทันทีที่เปิดสวิตช์รถวิทยุบังคับสีเดียวคันเดียวตามที่เด็กชายอวดไว้ก็เริ่มออกวิ่งไปข้างหน้าท่ามกลางเสียงฮือฮาอย่างดีใจของคนที่กำลังบังคับให้รถเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจากอุปกรณ์ที่อยู่ในมือ

            “ฮ้า...ไม่เสียแรงที่เราไว้ใจ”

            สิรดายักคิ้ว “ตกลง ดีกรีของพี่ยังใช้การได้อยู่ใช่มั้ย”

            “แน่นอน” เด็กชายเอ่ยตอบ พร้อมกับหยุดเล่นแล้วเงยหน้าขึ้นมามองสิรดาด้วยท่าทางครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเอ่ยถาม “ไปอยู่กับเราไหม”

            “แค็กๆๆ” คนถูกชวนสำลัก เด็กชายตัวแค่นี้เนี่ยนะชวนเธอไปอยู่ด้วย

            “เราไม่เคยชวนใครไปอยู่ด้วยเลยนะ พี่สาวเป็นคนแรก”

            “อืม...พี่รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก” สิรดาทำสุ้มเสียงเป็นการเป็นงาน

            “จะปฏิเสธหรือ” เด็กชายชิงพูดแทรกขึ้น “บ้านเราใหญ่นะ ของกินเยอะด้วย มีพี่สาวไปอยู่ด้วยอีกคนไม่สิ้นเปลืองเท่าไหร่หรอก ไม่ต้องเกรงใจเรา ยิ่งพ่อเรายิ่งแล้วใหญ่ ไม่สนใจหรอกว่าจะมีใครมาอยู่เพิ่มด้วยหรือเปล่า พ่อเราไม่มีเวลาว่างมานั่งสำรวจหรอก”

            สิรดากลอกตา ท่าทางบ้านเจ้าหนูนี่จะรวยจัด ส่วนพ่อก็คงบ้างานอย่างหนัก วันๆ คงไม่มีเวลาว่างมาอยู่กับลูกเท่าไร ลูกชายถึงได้เอ่ยปากชักชวนคนอื่นให้เข้าไปอยู่ในบ้านได้ง่ายดายเหมือนเล่นขายของ

            “ตกลงไปอยู่บ้านเรานะ” เด็กชายสรุปดื้อๆ

            “เฮ้ย! ไม่เอา” สิรดารีบปฏิเสธดังลั่น “พี่มีบ้านอยู่แล้ว แล้วพี่ก็มีคนที่ต้องคอยดูแลด้วย ไปอยู่ที่อื่นไม่ได้หรอก”

            เด็กชายถอนใจอย่างเสียดาย “ช่างเถอะ เราคงขอมากไป”  

            “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พี่ไปอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ” สิรดาชักเริ่มรู้สึกผิดนิดๆ ที่ทำให้เด็กเสียใจ

            “ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ชอบฝืนใจใคร แต่ถ้าพี่สาวเปลี่ยนใจอยากเจอสิ่งที่ดีกว่า ติดต่อมาหาเราได้ เรายินดีต้อนรับเสมอ” พูดจบเด็กชายก็หันหลังไปขออะไรบางอย่างจากผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง

            “ติดต่อหาเราได้ตลอดเวลา ถ้าเปลี่ยนใจ” เด็กชายยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ให้สิรดา “เราไปละ ขอบคุณที่ซ่อมรถให้เรา”

            สิรดารับกระดาษมาอย่างงงๆ ชีวิตนี้ไม่เคยเจอเด็กคนไหนแปลกแบบนี้มาก่อน หญิงสาวมองตามหลังเด็กชายที่เดินจากไป จนเมื่อร่างเล็กๆ นั้นลับหายไปจากสายตาจึงก้มลงอ่านข้อความที่เขียนทิ้งไว้บนแผ่นกระดาษ...ชาจีฟ อัลบารอม...

            “โธ่เอ๊ย ลายมือไก่เขี่ยจริงๆ พูดเก่งซะเปล่า ดูซิ ตัวแค่นี้ทำเป็นมีนามบัตรกับเขาด้วย” สิรดาส่ายหน้าขำๆ กับลายมือโย้ไปโย้มาของเด็กอนุบาลที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษ

            สิรดายืนอมยิ้มอยู่ไม่นานก็เดินกลับไปซื้อของตามที่ตั้งใจไว้ หญิงสาวเดินไปดูของที่ตนเองต้องการจะซื้อได้สักพักแต่ยังไม่ทันได้ซื้ออะไรก็ชะงักอีกรอบเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง

            “คุณผู้หญิงครับ”

            สิรดาหรี่ตาลงเล็กน้อย และเตรียมพร้อมตั้งรับกับสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ เธอไม่รู้จักใครสักคนที่อัลซาดาห์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงควรระวังตัวไว้ก่อนเป็นดีที่สุด สิรดาหันหลังกลับมามองคนเรียกช้าๆ มือข้างหนึ่งล้วงไปในเป้ กำของสำคัญไว้เพื่อฉุกเฉินจะได้หยิบเอาออกมาใช้ได้ทันท่วงที

            “มีอะไรหรือคะ” เธอถาม เมื่อหันมาเผชิญหน้ากับคนเรียกตรงๆ

            “คุณผู้หญิงเป็นคนไทยหรือเปล่าครับ”

            สิรดาพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงตอบรับ เริ่มไม่ค่อยไว้ใจผู้ชายตรงหน้าขึ้นทุกขณะ

            “ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมไม่ได้เป็นพวกล่อลวงหรือคิดร้ายใดๆ ต่อคุณทั้งสิ้น เพียงแต่ผมมีงานมาเสนอให้คุณผู้หญิงเท่านั้นครับ”

            “ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่รับงานคนไม่รู้จัก” สิรดาตอบทันควัน เธอคงไม่บ้าหลงเชื่อคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็มาเสนองานให้ หญิงสาวทำท่าจะเดินผละไป แต่ติดที่ชายที่เสนองานให้เดินมาดักหน้าไว้ก่อน

            “เอ่อ ลองฟังรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อนได้ไหมครับ...”

            สิรดาทำท่าฮึดฮัดไม่ชอบใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่ยอมรามือ “ดิฉันขอพูดตรงๆ เลยแล้วกันนะคะ ดิฉันไม่ไว้ใจคุณ ฉันกับคุณไม่รู้จักกัน ถ้าสมมุติคุณเป็นฉัน คุณจะยอมไหม”

            “ผมรู้ว่าทางผมเสียมารยาท แต่เรื่องนี้รีรอไม่ได้ โปรดเห็นแก่ชาวอัลซาดาห์เถอะครับคุณผู้หญิง” น้ำเสียงที่ชายหนุ่มเอ่ยคล้ายวิงวอน แววตาที่ดูบริสุทธิ์ไม่มีพิษมีภัยทำให้สิรดาใจอ่อนยวบ

            “หมายความว่ายังไง แต่ก่อนที่คุณจะพูดหรือทำอะไร ควรคิดให้ดีเสียก่อน เพราะถ้าคิดหลอกกัน ฉันไม่ปล่อยคุณเอาไว้แน่ ต่อให้เป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ตามเถอะ คนอย่างฉันกัดแล้วไม่ปล่อยแน่นอน” สิรดาเน้นเสียงเข้มขู่กลายๆ แล้วคนอย่างเธอพูดจริงทำจริง ไม่มีมาขู่เล่นๆ เด็ดขาด

            “ครับ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัว ผมชื่ออาเหม็ด เป็นคนสนิทของ ชีคกาเบรียน นูลดาห์ ชีคแห่งอัลซาดาห์ นี่ครับนามบัตรของผม” อาเหม็ดยื่นนามบัตรของตนเองให้หญิงสาว

            “อืม แล้วไงต่อคะ” สิรดาถามกลับ ดวงตายังมีแววคลางแคลงปนอยู่

            “เอ่อ เราหาที่เงียบๆ คุยกันได้หรือไม่ครับ คือเรื่องนี้ไม่ควรนำมาพูดในที่สาธารณะ และถ้าคุณผู้หญิงยังไม่ไว้วางใจ คุณผู้หญิงเลือกสถานที่มาได้เลยครับ” อาเหม็ดพูดอย่างสุภาพ

            สิรดามองหน้าอีกฝ่าย และใช้หางตากวาดมองไปโดยรอบว่าชายที่ชื่ออาเหม็ดมีพรรคพวกแอบซุ่มอยู่อีกหรือไม่

            “ผมมาคนเดียวครับ” อาเหม็ดอ่านสายตาของหญิงสาวออก จึงยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตนเอง

            “งั้นไปร้านอาหารชั้นสองตรงหัวมุมแล้วกัน ค่อนข้างเงียบ คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่” สิรดาเสนอร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ตนเองเดินผ่านมา

            อาเหม็ดพยักหน้ารับ ไม่นานจากนั้นนักทั้งสองคนจึงเข้ามานั่งอยู่ในร้านอาหารที่สิรดาเป็นผู้เลือก อาเหม็ดเลือกหาที่นั่งในมุมที่ไม่เป็นที่สังเกตของใคร ด้วยไม่อยากให้เรื่องที่ตนเองกำลังจะเล่าให้หญิงสาวที่เขาหมายตาไว้ให้ปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้หลุดรอดไปถึงหูของบุคคลที่สาม

            “ก่อนอื่นผมคงต้องกล่าวถึงภูมิหลังของรัฐอัลซาดาห์ให้คุณผู้หญิงฟังก่อนนะครับ” อาเหม็ดเริ่มเปิดประเด็นก่อนที่จะเข้าเรื่องราวทั้งหมด

            “อย่าเรียกฉันว่าคุณผู้หญิงเลยค่ะ ฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาพื้นๆ เรียกฉันว่าสิรดาก็ได้ ฉันชื่อสิรดา”

            “ครับคุณสิรดา ถ้ายังไงผมขอเริ่มเลยนะครับ” อาเหม็ดขออนุญาตหญิงสาว

            “ค่ะ ตามสบาย” สิรดาพยักหน้า

            “คุณสิรดาคงรู้ว่า สาธารณรัฐอัลบาเรีย ปกครองด้วยระบบสาธารณรัฐ มีองค์สุลต่านเป็นผู้นำประเทศ และรัฐอัลซาดาห์ของเราก็เป็นรัฐหนึ่งของสาธารณรัฐอัลบาเรีย โดยแต่ละรัฐจะมีผู้ปกครองของตนเอง ที่อัลซาดาห์ของเรา มีท่านชีคกาเบรียน นูลดาห์ เป็นผู้ปกครอง”

            “อ๋อ และคุณก็เป็นคนสนิทของท่านชีคอีกทอดหนึ่ง” สิรดาพูดแทรกขึ้น

            “ครับ” อาเหม็ดพยักหน้า

            “แล้วที่คุณอาเหม็ดเล่ามาทั้งหมดนี้ ใกล้ที่จะเริ่มเข้าเรื่องของเราหรือยังคะ” สิรดาถามด้วยความสงสัย

            “จวนแล้วครับ คือว่า...” อาเหม็ดพูดเสียงเบาลง ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิมมากมาย “เรื่องนี้ขอให้คุณสิรดาเก็บเป็นความลับนะครับ”

            “เอ่อ ถ้าลับมากไม่ต้องบอกฉันก็ได้” สิรดาเริ่มมีอาการลังเล เพราะจากอากัปกิริยาจริงจังของชายที่นั่งตรงหน้าเธอ บ่งบอกเป็นนัยว่าเรื่องที่เธอจะได้รับฟังนั้น น่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

            “คงต้องบอกครับ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับงานที่ทางผมจะนำเสนอคุณสิรดา”

            สิรดาถอนหายใจเฮือก “ค่ะ แต่ยังไงฉันขอยืนยัน ฉันยังไม่ได้ตกลงรับข้อเสนอใดๆ จากคุณอาเหม็ดทั้งสิ้นนะคะ ในขั้นนี้ฉันขอรับฟังก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ”

            “ครับ” อาเหม็ดพยักหน้าอย่างเข้าใจ และเริ่มเล่าเรื่องที่ค้างไว้ “ที่สาธารณรัฐอัลบาเรียมีสุสานแห่งกษัตริย์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นเสมือนดั่งสมบัติของประชาชนชาวอัลบาเรียทุกคน ข้างในสุสานมีของล้ำค่ามากมาย หนึ่งในนั้นที่สำคัญและมีความหมายต่อชาวอัลบาเรียมากที่สุด คือสร้อยไพลินแห่งอัลบาเรีย ตัวสร้อยประกอบขึ้นด้วยไพลินสีครามหนึ่งเม็ดใหญ่ที่ประดับอยู่ใจกลางและแปดเม็ดเล็กที่ล้อมรอบไว้ และมีนักบวชในสมัยนั้นมาทำพิธีอัญเชิญเทพศักดิ์สิทธิ์ให้มาสถิตอยู่ในสร้อย ดังนั้นสร้อยไพลินแห่งอัลบาเรียจึงมีความสำคัญต่อชาวอัลบาเรียมาก ชาวอัลบาเรียทุกคนเชื่อว่าเหล่าองค์ทวยเทพที่พวกเขาเคารพนับถือต่างมาสถิตอยู่ในสร้อยไพลิน เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์และความสงบสุขให้แก่ชาวอัลบาเรีย”

            “เป็นประวัติที่น่าทึ่งมากค่ะ” สิรดาตั้งใจฟังอย่างดี ซ้ำยังอดรู้สึกทึ่งไม่ได้กับประวัติที่ยิ่งใหญ่ของสร้อยไพลินแห่งอัลบาเรีย “เอ่อ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับงานที่จะมานำเสนอให้ฉันทำคะ”

            “สร้อยหายไปครับ” อาเหม็ดตอบเสียงเบา ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

            “หา! หายไป ตลกน่าคุณอาเหม็ด สมบัติล้ำค่าขนาดนั้น ปล่อยให้หายไปเนี่ยนะ”

            “เมื่อหลายเดือนก่อนมีการซ่อมสุสาน ทำให้สุสานถูกปล้น คนโลภพวกนั้นขโมยสร้อยไปได้” เสียงของอาเหม็ดโกรธแค้นยามต้องเอ่ยถึงเรื่องการปล้นสุสาน

            “เลวจริงๆ คนโลภพวกนี้ต้องไม่ตายดีแน่ สักวันกรรมต้องตามทัน คิดขโมยสมบัติของชาติ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เลวสุดจะหาอะไรมาเปรียบ” สิรดาแค้นแทนชาวอัลบาเรียทุกคนที่โดนคนโลภขโมยของที่ตนเองเคารพนับถือไป

            “ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ บอกได้เลยนะคะ ถึงฉันจะไม่ใช่ชาวอัลบาเรีย แต่ฉันเต็มใจช่วย” สิรดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ถ้ามีอะไรที่เธอสามารถทำได้ เธอจะไม่นิ่งเฉย เพราะถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองไทย โดยมีใครสักคนมาขโมยสมบัติประจำชาติของไทยไป เธอก็คงไม่ต่างจากอาเหม็ดที่รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นอยู่ในตอนนี้ เลือดรักชาติของสิรดาสูบฉีดไหลเวียนไปทั่วร่างอย่างแรงกล้า 

            “ผมขอขอบคุณคุณสิรดาแทนชาวอัลบาเรียทุกคนด้วยครับ” อาเหม็ดเอ่ยคำขอบคุณล่วงหน้า ก่อนจะพูดต่อจากเดิม “หลังจากที่พวกขโมยได้สร้อยไป สร้อยถูกแยกออกเป็นชิ้น”

            “อ้าว ยังไม่จบอีกหรือคุณอาเหม็ด” สิรดาทัก สีหน้าแปลกใจเล็กน้อย

            อาเหม็ดส่ายหน้า “เรื่องของพวกเราเริ่มจากตรงนี้ครับ”

            หญิงสาวพยักหน้า เริ่มกลับมาตั้งใจฟังเรื่องราวใหม่อีกครั้ง

            “องค์สุลต่านทรงมีคำสั่งให้ชีคกาเบรียนออกตามหาอัญมณีที่หายไป แต่เรื่องทั้งหมดต้องเก็บเป็นความลับ เพราะถ้าข่าวโจรปล้นสุสานแพร่สะพัดออกไป องค์สุลต่านทรงเกรงว่าประชาชนชาวอัลบาเรียทั้งหมดจะเสียขวัญ และอาจทำให้เกิดความสับสนขึ้นในอัลบาเรีย ดังนั้นเรื่องสร้อยไพลินจึงถูกปกปิดไม่ให้บุคคลภายนอกล่วงรู้ นอกจากท่านชีคและผู้เกี่ยวข้องที่ได้รับมอบหมายให้ออกตามหาเท่านั้นครับ”

            สิรดากลืนน้ำลาย นี่เธอมาล่วงรู้ความลับที่ยิ่งใหญ่ของสาธารณรัฐอัลบาเรียเข้าแล้วใช่ไหม

            “แล้วคุณอาเหม็ดเจอไพลินหรือยังคะ” สิรดาถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้

            “ไพลินเม็ดเล็กทั้งแปดตามกลับคืนมาได้แล้วครับ คงเหลือแต่ไพลินสีครามเม็ดใหญ่ที่ยังตามหาไม่พบ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของอาเหม็ดสลดลง

            สิรดามองชายหนุ่มที่นั่งเบื้องหน้าแล้วรู้สึกเห็นใจ ชายคนนี้น่าจะมีอายุไม่ห่างจากเธอมากนัก แต่กลับต้องมาแบกรับภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้

            “ผมพยายามตามหาร่องรอยของไพลินเม็ดนี้ แต่ทุกครั้งก็คว้าน้ำเหลว”

            “ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานคุณจะต้องมีข่าวดี และตามไพลินกลับคืนมาให้ชาวอัลบาเรียได้สำเร็จ” สิรดาให้กำลังใจชายหนุ่ม  

            “ขอบคุณครับ” อาเหม็ดก้มศีรษะนิดหนึ่งเพื่อขอบคุณคำอวยพรของหญิงสาว “ชาวอัลบาเรียทุกคนคงจะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของคุณสิรดาที่จะช่วยพวกเราตามเม็ดไพลินสีครามกลับคืนมา”

            “อะไรนะคะ!” สิรดาหน้าเหวอ ตาเบิกค้าง “คุณอาเหม็ดหมายความว่า...”

            “เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สายของเราได้เบาะแสของเม็ดไพลินมาแล้วครับ”

            “คุณก็ไปตามเอากลับมาสิ ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคงไม่มีความสามารถไปเอามาให้ได้หรอก” สิรดาท้วงเสียงขึงขัง

            “ทางผมคงจะไปตามเอาคืนกลับมาได้แน่ ถ้าคนที่ได้เม็ดไพลินไป ไม่ใช่คนที่ชื่อ ชามาล์ อัลบารอม” เสียงพูดของอาเหม็ดคล้ายคนหมดหวัง

            “ทำไมล่ะคุณ ผู้ชายที่ชื่อชามาล์อะไรเนี่ย เป็นพวกปีศาจเถื่อน อสูรร้าย จับต้องไม่ได้หรือไงคะ” สิรดาประชดใส่ อะไรกันคนทำผิดคิดเอาสมบัติของชาติไปเก็บไว้กับตัว กลับปล่อยให้ลอยนวลตามเอาคืนมาไม่ได้

            “ทางเราไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าทางชามาล์ อัลบารอม เอาไพลินไปจริงหรือไม่ แล้วตระกูลอัลบารอมก็จัดว่าเป็นตระกูลใหญ่ในอัลซาดาห์ พวกเราไม่กล้าทำอะไรผลีผลามหรอกครับ มันจะกระทบกระเทือนกับอีกหลายฝ่าย”

            “โธ่! จะใหญ่มากแค่ไหนกันเชียว ผิดก็คือผิด แล้วเราก็ไม่ควรปล่อยให้คนชั่วๆ ได้ใจ คิดว่าตนเองทำอะไรก็ถูกไปหมด บ้านเมืองมีกฎหมายนะ หึ...นายชามาล์นั่นนึกว่าตัวเองแน่นักหรือไง” สิรดาเริ่มสาปส่งบุคคลที่ถูกเอ่ยถึง

            “ครับ ผมถึงอยากขอความช่วยเหลือจากคุณสิรดา” อาเหม็ดเอ่ยเสียงวิงวอน

            “ฉันเนี่ยนะ” สิรดาชี้หน้าตนเอง “ขนาดคุณยังจัดการหมอนั่นไม่ได้ แล้วฉัน...ผู้หญิงไร้พิษภัยจะทำอะไรหมอนั่นได้”

            “คุณสิรดาทำได้แน่ครับ” อาเหม็ดพูดเสียงจริงจัง “ขอแค่คุณสิรดายอมให้ความช่วยเหลือกับทางเรา”

            สิรดาถอนใจ “เสี่ยงมากหรือเปล่า”

            “ไม่ครับ แค่คุณสิรดาปลอมตัวเข้าไปในคฤหาสน์อัลบารอม แล้วพยายามหาเม็ดไพลินให้เจอ จากนั้นก็เอาออกมา พอเสร็จงานทางเราจะส่งคุณสิรดากลับเมืองไทยทันที”

            “พูดง่ายนี่คุณ แล้วทำไมงานนี้ถึงต้องเป็นฉัน ฉันไม่มีความรู้เรื่องสอดแนม หรือเป็นสายลับสายสืบอะไรแบบนั้น คุณจะวางใจฉันได้ยังไงว่าจะทำได้ ไปจ้างมืออาชีพมาไม่ดีกว่าหรือคุณ” สิรดาเสนอความคิดเห็น เผื่อว่าอาเหม็ดจะเปลี่ยนใจ

            “ผมเห็นความสามารถในการซ่อมรถวิทยุบังคับของคุณ แสดงว่าคุณต้องมีความรู้ทางด้านไฟฟ้า และวงจรอิเล็กทรอนิกส์พอสมควร ภายในคฤหาสน์อัลบารอมเต็มไปด้วยกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยมากมาย จึงจำเป็นต้องใช้คนที่มีความสามารถทางด้านนี้โดยเฉพาะ และที่สำคัญคุณเป็นคนไทยครับ” อาเหม็ดอธิบายให้หญิงสาวฟัง เพราะเขาเห็นเหตุการณ์ที่สิรดาซ่อมรถวิทยุบังคับให้เด็กชายคนนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้เขาหมายตาหญิงสาว

            “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคนไทยด้วย” สิรดาทำหน้างง

            “ย่าของชามาล์เป็นคนไทย เขาจึงให้เกียรติผู้หญิงไทยพอสมควร”

            “อ๋อ ถ้าเป็นชาติอื่น เขาจะไม่ให้เกียรติเท่าไหร่ว่างั้นเถอะ” สิรดารู้สึกไม่ดีกับผู้ชายที่ถูกเอ่ยถึงเท่าไหร่นัก เพราะดูท่าแล้วจะนิสัยไม่ได้เรื่อง

            “ผมไม่แน่ใจนัก แต่อุปนิสัยส่วนตัวของชามาล์ อัลบารอม...”

            “คุณอาเหม็ดไม่ต้องบอกหรอกค่ะ นิสัยคนรวยจัด ฉันเดาได้ บ้าอำนาจ ชอบข่มขู่เสียงดังเหมือนท่อไอเสีย เอาแต่ใจตัวเอง ชอบสั่งให้ไปซ้ายขวาเหมือนพวงมาลัยรถ และเห็นผู้หญิงเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ เปลี่ยนทิ้งเมื่อหมดอายุ”

            อาเหม็ดอมยิ้มกับคำเปรียบเปรยที่ค่อนข้างจะตรงกับความเป็นจริง

            “คนรวยเนี่ยเป็นเหมือนกันหมด แนวนิสัยมาโทนเดียวกันจริงๆ” สิรดาบ่นเบาๆ

            “แต่คุณสิรดาไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ ถึงแม้ว่าคุณสิรดาจะต้องเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์อัลบารอม แต่ไม่มีทางได้เจอกับคุณชามาล์ คุณกับเขาอยู่คนละส่วนกันครับ ถึงได้เจอก็คงน้อยมาก”

            “ก็ดีค่ะ ฉันเองก็ไม่ค่อยชอบให้คนมาวางอำนาจใส่ แล้วคุณอาเหม็ดจะทำให้ฉันเข้าไปในนั้นได้ยังไงคะ”

            “ปลอมเป็นเด็กรับใช้ครับ” อาเหม็ดตอบง่ายๆ แต่คำตอบนั้นทำเอาสิรดาถึงกับสำลัก

            “แค็กๆๆ ฉันหูไม่ฝาดไปใช่มั้ย ที่ฉันต้องไปเป็นคนใช้”   

            “ครับ ไม่ฝาด ทางเราจะส่งคุณสิรดาเข้าไป โดยแฝงตัวเข้าไปอยู่ในส่วนของเด็กรับใช้”

            สิรดาทำหน้าเหมือนกลืนยาขม และสุดท้ายก็อดบ่นออกมาไม่ได้ “มิน่า ฉันกับนายชามาล์นั่นถึงได้อยู่กันคนละส่วน ก็แบ่งสถานะกันไปเรียบร้อยแล้วนี่ คนใช้กับเจ้านายโหด”

            “ผมต้องขอโทษด้วยที่สร้างความลำบากให้แก่คุณสิรดา ผมเองก็เกรงใจคุณ แต่ด้วยภาระหน้าที่ของผมที่มีต่อประเทศชาติ ทำให้ผมไม่อาจหลีกเลี่ยงการทำอย่างนี้ได้” อาเหม็ดพูดอย่างจริงจัง

            “เอาเถอะคุณอาเหม็ด ฉันเข้าใจ” สิรดาพยักหน้าปลงๆ “เอาเป็น งานนี้ฉันช่วยก็ได้ ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนที่นี่และเพิ่งมาประเทศนี้ได้แค่วันเดียว แต่คนไทยทุกคนเป็นคนมีน้ำใจ ถ้าช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ก็ไม่คิดนิ่งดูดายหรอกค่ะ ถึงแม้ว่างานนี้มันจะยากมากก็เถอะ”

            “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ บุญคุณที่คุณสิรดามีต่อชาวอัลบาเรียและรัฐอัลซาดาห์ ทางพวกเราจะจดจำไว้ไม่มีวันลืมเลือน” อาเหม็ดก้มศีรษะให้สิรดา พร้อมกับทำท่าแสดงความเคารพ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่หญิงสาวชาวไทยคนนี้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น