1

1

1

 

“...อันความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน...”

เพลงมาร์ชนักเรียนพยาบาล 

คำร้อง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม

ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน 

 

แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวด้วยเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคม แต่นักศึกษาพยาบาลในชุดฟอร์มฟ้าเอี๊ยมขาวสะอาดตากลับพร้อมใจกันตั้งแถวเดินคู่ขนานกันเป็นระเบียบมาตามถนนภายในบริเวณวิทยาลัยด้วยความพร้อมเพรียงและสง่างาม เสียงเพลงมาร์ชนักเรียนพยาบาลที่ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณหน้าอาคารอำนวยการพลอยให้ตาหลายร้อยคู่ของผู้ปกครองบัณฑิตใหม่ต่างมองด้วยความชื่นชม

ครั้นแล้ว...แถวตอนเรียงหนึ่งซึ่งเดินอย่างเป็นระเบียบก็หยุดลงเมื่อคนแรกเดินถึงบันไดอาคารอำนวยการ รอรับรุ่นพี่ปี 4 หรือ ‘บัณฑิตใหม่’ ซึ่งอยู่ระหว่างพิธีการรับใบแสดงผลการเรียนในห้องประชุมใหญ่ของวิทยาลัย

เพลงมาร์ชนักเรียนพยาบาลจบลง แล้วต้นเสียงก็ขึ้นเพลงมาร์ชวิทยาลัยต่อ ก่อนที่คนอื่นๆ จะร้องตาม ไม่นานเสียงเพลงก็ดังกระหึ่มทั่ววิทยาลัยอีกครา สองฟากฝั่งถนนเนืองแน่นไปด้วยผู้ปกครอง ญาติพี่น้องของบัณฑิต และอาจจะมี ‘หวานใจ’ มาร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จอันเกิดจากความมุมานะเพียรพยายามในการศึกษาตลอดสี่ปีเต็มในรั้ววิทยาลัยพยาบาล แม้อากาศจะร้อนเพียงใด แต่ทุกคนกลับมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ถือกล้องถ่ายรูปเก็บภาพเป็นที่ระลึกตามซุ้มที่จัดไว้อย่างสวยงาม 

“ลงมาแล้ว...ลงมาแล้ว”

คนที่อยู่บริเวณบันไดร้องขึ้น ครั้นแล้วทุกสายตาต่างก็มองไปยังบริเวณนั้นเป็นจุดเดียว นักศึกษาพยาบาลที่ตั้งแถวร้องเพลงต่างยืดอก เชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางที่เรียกกันว่า ‘Get smart’ ซึ่งถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น เพลงมาร์ชนักเรียนพยาบาลดังกระหึ่มอีกครา

“...อันพวกเราเหล่านักเรียนพยาบาล ปณิธานอนุกูลเพิ่มพูนผล

เรียนวิชากรุณาช่วยปวงชน ผู้เจ็บไข้ได้พ้นทรมาน...

บัณฑิตใหม่ในชุดครุยก้าวช้าๆ ด้วยความสง่างาม ผ่านแถวของรุ่นน้องซึ่งร้องเพลงร่วมแสดงความยินดี ผ่านซุ้มกุหลาบหอมกรุ่นอันเปรียบเสมือนตัวแทนของความสำเร็จที่หอมหวาน แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสว่างไม่ขาดระยะ ขณะที่บัณฑิตใหม่ทุกคนต่างก็ยิ้ม...ยิ้ม...และยิ้ม...ด้วยความภาคภูมิใจในความสำเร็จของตนเอง

“นั่นไงครับแม่...ยายน้องของเรา” พันตำรวจตรี บรมวิชชุ์ รวิพล ลูกชายคนรองของบ้านยกกล้องถ่ายรูปในมือขึ้นเก็บภาพ ‘ยายน้องของเรา’ ที่กำลังเดินผ่านซุ้มกุหลาบ มืออีกข้างก็โบกให้น้องสาว 

และเหมือนหญิงสาวก็กำลังมองหาอยู่แล้ว พอพี่ชายคนรองโบกมือให้ เธอก็หันมาฉีกยิ้มกว้างสู้กล้องด้วยความดีใจทันที 

“ไหนๆ ทำไมแม่ไม่เห็นเลยลูก...น้องเบียร์” ผู้เป็นแม่ซึ่งสูงไม่ถึงไหล่ลูกชายคนรองชะเง้อคอมองผ่านผู้คนมากมายที่ต่างก็กรูกันเข้าไปยืนชิดแถวนักศึกษาพยาบาลเพื่อที่จะได้เก็บภาพบุตรหลานของตนให้ใกล้ชิดที่สุด

“ข้าวปุ้นเห็นน้องไหมลูก” เรณีหันมาทางเรือไฟ สะใภ้คนรองซึ่งยืนอมยิ้มถือช่อบูเกต์แสนสวยข้างๆ กัน

“น้องมิ้วคนที่สามค่ะแม่”     

“ยายน้องโทร. มาอวดตั้งแต่วันซ้อมว่าได้เกียรตินิยมก็เลยได้เดินเป็นคนแรกๆ ครับแม่” บรมวิชชุ์เสริมขึ้นมาบ้าง ก่อนหันไปเก็บภาพน้องสาวขณะที่กำลังเดินในแถวร่วมกับบัณฑิตคนอื่นๆ 

บุรุษสูงวัยแต่ยังคงความสมาร์ตไม่ต่างจากวัยหนุ่มนักหันไปยิ้มพยักพเยิดกับ นาวาอากาศตรีบุรัสกร รวิพล ลูกชายคนโตซึ่งยืนข้างๆ โดยมี เด็กชายพนมวิชชุ์ หรือน้องภูพาน หลานชายวัยสี่ขวบเศษขี่คอคุณลุงอยู่ 

“ดูแม่สิพี่บลู ไม่ค่อยจะเห่อเลยจริงๆ”

คนถูกนินทาหันกลับมาค้อนน้อยๆ อย่างมีจริต “ชิ! คนไม่เห่อตื่นตั้งแต่ตีสาม กลัวมาไม่ทัน”

นายทหารหนุ่มลูกทัพฟ้ายิ้มด้วยความขบขันผู้ให้กำเนิด ตั้งแต่จำความได้กระทั่งโตมาจนวัยสามสิบเศษ พ่อกับแม่มีเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่กันให้คนรอบข้างได้ยิ้มหรือหัวเราะเสมอ

“นั่นไงคร้าบบบคุณย่าบี นั่นไงน้องมิ้ว” เด็กชายพนมวิชชุ์ซึ่งขี่คอ ‘ลุงบลู’ ชี้นิ้วป้อมๆ ท่าทางตื่นเต้นไปทางอาสาวที่ยังหันมาฉีกยิ้มให้ทุกคน

“ภูพานขี่คอลุงบลู ภูพานก็เห็นอามิ้วสิครับลูก นี่ถ้าคุณปู่ให้ย่าขี่คอบ้าง ย่าก็คงเห็นอามิ้วเหมือนกัน” ‘คุณย่า’ เอ่ยยิ้มๆ ดวงตาเป็นประกายแจ่มใสแกมซุกซน

ลูกชายทั้งสองและสะใภ้หัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขันความน่ารักช่างกระเซ้าเย้าแหย่ของคุณย่า ขณะที่คุณปู่ทำหน้าปูเลี่ยนๆ ก่อนโคลงศีรษะไปมายิ้มๆ 

เรือไฟมองภาพความน่ารักของพ่อแม่สามี ก่อนหันมาสบตาผู้เป็นสามีพลางยิ้มให้กัน 

“ปุ้นอยากขี่คอพี่บ้างไหม เบื่อขี่ม้าหรือยัง” บรมวิชชุ์อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายมองบัณฑิตใหม่ก้มลงมากระซิบกับภรรยาด้วยแววตากรุ้มกริ่ม

นัยที่รู้กันเพียงสองคนสามีภรรยาทำให้ดวงหน้างามแดงซ่าน แต่แววตากลับเป็นประกายแจ่มใสแกมซุกซนยามย่นจมูกนิดๆ แก้เขิน แล้วกระซิบตอบกลับไปทั้งที่แก้มแดงเปล่งปลั่งว่า “ไม่มีวันที่จะเบื่อค่ะ ม้าพยศอย่างพี่เบียร์ต้องปราบกันตลอด”

บรมวิชชุ์ยิ้มกริ่ม บี้ปลายจมูกโด่งเชิดรั้นด้วยความมันเขี้ยว “งั้นคืนนี้คงต้องฝากภูพานให้นอนกับคุณปู่คุณย่าซะแล้วสิ แม่ปุ้นจะได้ปราบม้าพยศได้ถนัด”

เรือไฟค้อนยิ้มๆ ด้วยความหมั่นไส้ พลอยให้สามีหัวเราะด้วยความชอบใจ 

แม้ไม่ได้ยินบทสนทนา แต่กิริยาหยอกเอินกันของคนทั้งคู่และแก้มแดงก่ำของสะใภ้ก็ทำเอาทั้งพ่อแม่และพี่ชายมองตากันปริบๆ 

บุรัสกรแสร้งกระแอมเบาๆ ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “สงสารคนอื่นบ้าง หวานเกิ๊นนน”

นั่นละ...เรือไฟถึงได้หันมายิ้มเขินๆ 

ส่วนบรมวิชชุ์ก็ฉีกยิ้มกว้างพลางยักไหล่ยิ้มๆ เป็นเชิงบอกว่า ‘แคร์ที่ไหน ใครแคร์’ 

ครั้น ‘น้องมิ้ว’ เดินไปจนสุดแถว ครอบครัวก็ย้ายทัพตามไปจนกระทั่งน้องน้อยของบ้านแยกจากแถว

บัณฑิตสาวยิ้มแก้มปริเมื่อกราบลงที่อกของพ่อและแม่ ซึ่งต่างก็โอบกอดบุตรสาวคนเล็กผู้เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจ

“ยินดีด้วยนะคะลูกสาวคนเก่งของพ่อ รางวัลความขยันและมุมานะของลูก...จากพ่อและแม่ค่ะ” อัศวินเอ่ยยิ้มๆ ก่อนยื่นกล่องของขวัญเล็กๆ ห่อด้วยกระดาษลายสวยให้ลูกสาว

“ขอบคุณค่ะพ่อขาาา อะไรอยู่ในกล่องน้า เช็คเงินสดเบิกได้ตลอดชีวิต?” กิริยาเอียงคอน้อยๆ รอยยิ้มและดวงตาโตเป็นประกายแจ่มใสบนใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งถอดแบบผู้เป็นแม่มาดูจะเป็นสิ่งที่คนรอบข้างเห็นจนชินตา และมองด้วยความเอ็นดู

“ยินดีด้วยนะคะลูกสาวสุดที่รักของแม่ แม่ภูมิใจในตัวหนูนะลูก เก่งมากค่ะ เก่งเหมือนแม่เลย” ผู้เป็นแม่เอ่ยประโยคสุดท้ายหน้าตาเฉย ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับแจ่มใสคล้ายเด็กซุกซนที่ลืมวัยของตัวเอง พลอยให้ลูกสะใภ้และลูกสาวยิ้มขัน ขณะที่บุรุษทั้งสามทำหน้าแปลกๆ 

อัศวินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หนูก็บอกแม่สิคะลูก...น้องมิ้ว เอาที่แม่สบายใจ”

เรณีค้อนน้อยๆ ให้สามีด้วยความเคยชิน พลอยให้ลูกๆ ต่างก็ยิ้มเพราะความน่ารักของพ่อกับแม่

“ยินดีด้วยนะคะน้องมิ้ว” บุรัสกรรับบูเกต์ช่องามที่เรือไฟช่วยถือมายื่นส่งให้น้องสาวพร้อมเสียงกดชัตเตอร์เก็บบันทึกภาพด้วยฝีมือของบรมวิชชุ์  

ครั้นแล้วบรมวิชชุ์ก็คล้องพวงมาลัยดอกดาวเรืองพวงใหญ่ให้น้องสาวจนแทบจะไม่เห็นดวงหน้าเล็กๆ จิ้มลิ้มนั่น “ดีใจด้วยค่ะน้องมิ้ว อุตส่าห์จบกับเขาจนได้” นี่ละ...ปากเขาละ พี่เบียร์ของแท้ต้องกวนประสาทแบบนี้

“ดีใจด้วยค่ะน้องมิ้ว” เด็กชายพนมวิชชุ์ซึ่งดูท่าสบายกว่าใครเพื่อนเพราะขี่คอลุงบลูเอ่ยเลียนแบบพ่อเบียร์บ้าง ดวงตากลมโตคู่นั้นเป็นประกายวิบวับถอดจากพ่อออกมาแทบไม่ผิดเพี้ยน และดูแล้ว...โตขึ้นก็คงกวนประสาทและทะเล้นไม่ต่างจากพ่อนัก 

ผู้ใหญ่ต่างหัวเราะด้วยความเอ็นดู

“ขอบคุณนะคะพี่เบียร์ พี่ปุ้น ภูพานจอมแสบ ฮื่อ...นี่รู้ใช่ไหมอามิ้วต้องแก้บนพระพรหมท่านที่อุตส่าห์ช่วยจนเรียนจบ เลยให้มาลัยดอกดาวเรืองมา”

“ช่ายยย” บรมวิชชุ์พยักหน้าหงึกๆ 

เรือไฟยิ้มพลางส่ายหัวเพราะความกวนของผู้เป็นสามี ก่อนยื่นกล่องของขวัญให้ “ของขวัญจากพี่สองคนและหลานค่ะน้องมิ้ว ยินดีกับความสำเร็จของน้องสาวคนเก่งนะคะ”

อัศวินีฉีกยิ้มกว้างสดใส “ขอบคุณมากนะคะพี่ปุ้นขา ไม่แกะก็รู้ว่าพี่ปุ้นต้องเลือกของขวัญที่ถูกใจน้องมากแน่ๆ เลย”

เรือไฟยิ้มด้วยความเอ็นดูความขี้อ้อนของน้องสาวคนเล็กของบ้าน 

ครั้นแล้วอัศวินีก็หันไปสำรวจเครื่องแต่งกายของพี่ชายทั้งสองก่อนทำหน้าคล้ายผิดหวัง “โห...อุตส่าห์บอกให้แต่งเครื่องแบบมา ไม่แต่งมากันเลย”

บรมวิชชุ์เบ้ปาก “ร้อนจะตาย ใครจะใส่มา ชิชะ...อยากให้เพื่อนๆ รู้ว่ามีชายหนุ่มในเครื่องแบบมางาน โธ่...มุกเดิมๆ รู้ทันหรอก”

เรื่องความบ้าเครื่องแบบของน้องสาวคนเล็กของบ้านนั้น ทุกคนต่างรู้ดีเพราะเจ้าตัวประกาศชัดเจนมาตั้งแต่ยังเด็กว่า

‘โตขึ้นน้องมิ้วจะมีแฟนเป็นทหารหรือตำรวจ น้องมิ้วอยากเป็นคุณนาย’

สมัยนั้นใครได้ยินก็อดขำไม่ได้ เด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่หน้าตาท่าทางจริงจังมาก พอโตเป็นสาว...อัศวินีก็ยังแน่วแน่กับความคิดตอนเด็ก จนมีแฟนเป็นหนุ่มในเครื่องแบบสมความตั้งใจ แต่สุดท้าย...รักแรกของเธอก็ไม่ได้จบลงด้วยความสุขเหมือนในนิยายทุกเรื่องที่เคยอ่าน 

“แน้...พี่เบียร์อะ อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย”

กับพี่บลูพี่ชายคนโตของบ้าน อัศวินียิ้มหวาน ‘อ้อน’ ได้เกือบทุกอย่าง แต่กับพี่ชายคนรองแล้ว พี่เบียร์ยอมเป็นเบ๊ให้น้องบ้าง ต้องบอกว่า...บ้าง เพราะถ้าเรื่องไหนที่ไม่ค่อยเข้าท่าในความคิดของคนเป็นพี่นัก บรมวิชชุ์ก็จะปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย อย่างเรื่องแต่งเครื่องแบบมางานวันสำเร็จการศึกษาของน้องสาวก็เช่นกัน 

ด้วยความที่เจ้าหล่อนคุยกับเพื่อนไว้เยอะว่ามีพี่ชายหล่อมาก พี่ชายคนโตเป็นทหารอากาศ ส่วนพี่ชายคนรองเป็นตำรวจพลร่มซึ่งแม้จะแต่งงานไปแล้ว แต่หญิงสาวก็แสนจะภูมิใจในตัวพี่ชายและอยากอวดเพื่อนๆ

“แหม...ก็น้องมิ้วอยากให้ใครๆ รู้ว่ามีพี่ชายหล่อนี่คะ เวลาพี่บลูกับพี่เบียร์ใส่เครื่องแบบดูเท่ห์ Get smart มาก” วิญญาณนักศึกษาพยาบาลที่ได้เกรดเอวิชาจิตเวชทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเริ่มเข้าสิง 

บรมวิชชุ์ยักไหล่ บอกหน้าตาเฉยว่า “ไม่ใส่อะไรหล่อกว่า จริงไหมคะข้าวปุ้น” 

เรือไฟหน้าแดงแปร๊ดเพราะเผลอนึกภาพตาม 

ส่วนอัศวินีกลอกตามองบน “มามุกนี้คนโสดตายเรียบจ้า”

สมาชิกในครอบครัวได้แต่หัวเราะด้วยความขบขัน ก่อนที่เรณีจะเอ่ยยิ้มๆ ว่า

“มาลูกมา ถ่ายรูปกันดีกว่า แดดร้อนเดี๋ยวไอ้แป้งที่อุตส่าห์โบ๊ะหน้ามาจะเยิ้มเอา เสียยี่ห้ออดีตนายกเหล่าฯ คนสวยหมด ไปเร็ว...ตำรวจรับใช้ประชาชนหน่อยสิ”

“ทราบ...ครับ” บรมวิชชุ์ตะเบ๊ะรับ ตาเป็นประกายวิบวับ พลอยให้ทุกคนยิ้ม 

“มิ้ว...” เสียงใสของใครบางคนดังขึ้น

“อ้าว...ฟ้า กำลังมองหาอยู่พอดีเลย” อัศวินียิ้มด้วยความยินดีเมื่อเห็นเพื่อนรักของเธอ ซึ่งวันนี้มีนายตำรวจหนุ่มในชุดเครื่องแบบเต็มยศเป็นองครักษ์คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง 

ฟ้าหรือ ‘ปฏิสังขรณ์’ เป็นเพื่อนสนิทอีกคนของเธอ ดูเหมือนความเป็นเพื่อนกันจะสืบทอดมาตั้งแต่รุ่นแม่ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนพยาบาล จนกระทั่งเรียนจบแต่งงานมีครอบครัวก็ยังไปมาหาสู่กันเป็นประจำ พอมีลูก...ลูกก็กลายมาเป็นเพื่อนกันอีก แถมโชคชะตายังทำให้ทั้งอัศวินีและปฏิสังขรณ์ต้องมาเรียนพยาบาลที่เดียวกัน เลยทำให้สนิทกันยิ่งกว่าเดิม 

“สวัสดีค่ะ พ่ออัศ แม่บี” ปฏิสังขรณ์ยอบตัวไหว้พ่อแม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้ของเพื่อนด้วยกิริยาอ่อนช้อย พลอยให้เรณียิ้มด้วยความเอ็นดู

“หวัดดีจ้ะน้องฟ้า ยินดีด้วยนะลูก อ้าว...พี่ปืนก็มาด้วย”

อัศวินและเรณียกมือรับไหว้ พ.ต.ต. ปรมัตถุ์ ซึ่งเป็นเพื่อนของลูกชายคนรอง ขณะที่บรมวิชชุ์เองก็ยิ้มกว้างยามเห็นเพื่อน และตบบ่าทักทายด้วยความดีใจ

“ไงมึง นี่โดนเด็กบังคับให้แต่งเครื่องแบบมาอวดเพื่อนอีกคนแล้วใช่ไหม”

ปรมัตถุ์เพียงแค่ยิ้ม แววตาบอกว่า ‘รู้กัน’ แต่ไม่ตอบว่ากระไร 

“แหม...พี่เบียร์ก็...คริคริ ขออวดแฟนนิดหนึ่งคร่าาา” ปฏิสังขรณ์ยิ้มเขินๆ การรู้ทันของชายหนุ่มผู้มีสถานะเป็นทั้ง ‘เพื่อนแฟน’ และ ‘พี่ชายเพื่อน’ ซึ่งเธอรู้จักมาแต่เล็กแต่น้อย 

ทุกคนต่างหัวเราะด้วยความขบขัน 

ครั้นแล้วปรมัตถุ์ก็ยื่นช่อบูเกต์ซึ่งจัดด้วยกุหลาบขาวทั้งช่อให้อัศวินี “ยินดีด้วยนะครับน้องมิ้ว”

แวบแรกที่เห็นกุหลาบขาวช่อนั้น...หัวใจดวงน้อยก็พลันเต้นแรงขึ้น คล้ายมีเงาของ ‘ใครบางคน’ ทาบทับอยู่ สายตาของแฟนเพื่อนทำให้อัศวินีรู้ว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นไม่ผิดแน่ แต่ก็แสร้ง ‘ทำเนียน’ สำรวมกิริยาเมื่อระลึกได้ว่าพี่ชายคนรองจับตามองอยู่เช่นกัน

“ขอบคุณมากค่ะพี่ปืน” อัศวินีไหลตามน้ำ

“ฉันกลัวแกไม่มีชายหนุ่มให้ดอกไม้ก็เลยโทร. บอกพี่ปืนสั่งมาเผื่อแกด้วย แต่คงสวยไม่เท่ากับที่พี่ปืนให้ฉันหรอกนะแก ทำใจละกัน” ปฏิสังขรณ์แสร้งเกทับ ก่อนยิ้มจนตาหยีเมื่อเพื่อนสาวแยกเขี้ยว

“ขอบใจย่ะ! รักเพื่อนมากกก ชิ!”

ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันออกรสอยู่นั้น อัศวินีก็แอบกระทุ้งเพื่อนรัก

“ชิ! หมั่นไส้ ไปใช้เล่ห์กลอะไรยะพี่ปืนถึงได้ยอมแต่งเครื่องแบบมางานจบได้”

 “แหม...ถึงบอกไป คนไม่มีแฟนอย่างแกก็คงไม่เข้าใจหรอกมิ้ว” ปฏิสังขรณ์ลอยหน้าลอยตาหัวเราะเบาๆ ก่อนขยิบตาอย่างมีเลศนัย 

ส่วนคนฟัง...แม้จะรู้ว่าเพื่อนล้อเล่น แต่คิดไปถึงไหนต่อไหนจนหน้าแดงด้วยความเขินเอง พลอยให้ปฏิสังขรณ์หัวเราะคิกด้วยความชอบใจที่แหย่เพื่อนให้หน้าแดงได้ 

“บ้าแล้วแก...คิดไปถึงไหนยะ ฉันแซวเล่นย่ะ” คนมีแฟนรีบสกัดความคิด ‘ติดเรต’ ของคนโสด ตาล่อกแล่กมองซ้ายขวา ก่อนลดเสียงเบาเมื่อบอกว่า

“ดอกไม้จากพี่ซันนะ มีของขวัญในกระเป๋าแกด้วย ฉันกลัวพี่เบียร์จับได้เลยโกหกไป ฮือ...หวังว่าบาปกรรมจากการผิดศีลเพื่อเพื่อนครั้งนี้ ท่านยมบาลคงให้อภัย อ้อ...มีจดหมายด้วย ฉันสอดไว้พร้อมกับกล่องของขวัญแล้ว”

ดวงหน้าจิ้มลิ้มที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแจ่มใสพลันหมองลง แม้จะรีบปรับให้เป็นปกติ กระนั้นก็ไม่อาจพ้นจากการสังเกตของเพื่อนรักไปได้ 

ปฏิสังขรณ์รีบเอ่ยต่อไปว่า “เห็นพี่ปืนบอกว่าช่วงนี้สถานการณ์ทางใต้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พี่ซันเลยยุ่งๆ ใจจริงคงอยากมาแสดงความยินดีแหละ แต่คงปลีกตัวไม่ได้จริงๆ” มิวายแก้แทน 

คนฟังยิ้มแปร่งปร่า แม้จะรู้สึกยินดีที่ได้ยินข่าวของ ‘คนไกล’ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดทุกครั้ง ผ่านมาเกือบสามปี แต่แผลใจก็ยังคงเป็นเหมือนแผลกลัดหนองที่ทำให้ผู้เป็นเจ้าของเจ็บปวดมิรู้วาย

แม้เส้นทางระหว่างเธอกับ ‘พี่ซัน’ จะกลายเป็นเส้นขนาน และไม่มีการติดต่อใดๆ ราวกับไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ให้กันมาก่อน กระนั้นแล้วก็ยังรู้ข่าวคราวความเป็นไปของกันและกันจากเพื่อนฝูงคนรอบข้างที่ขยันเป็นกาวใจสมานรอยร้าวเสมอ

อัศวินียิ้มฝืดเฝื่อนด้วยความขำแกมเวทนาตัวเอง อุตส่าห์เป็นแม่สื่อแม่ชักหาแฟนให้เพื่อนคนโน้นคนนี้ แต่สุดท้ายก็เอาตัวเองไม่รอด 

เธอกับ ‘เขา’ รู้จักกันมาหลายปีทั้งในฐานะเพื่อนของพี่ชายคนรอง และพี่ชายของกวินตรา เพื่อนสนิทตั้งแต่ตอนเรียนมัธยม พอตอนเธอเรียนพยาบาลก็เลื่อนสถานะความสัมพันธ์มาเป็น ‘แฟน’ แต่ยังไม่ทันถึงปีด้วยซ้ำ สุภาพบุรุษสามพรานก็หลงมนตร์สาวใต้ตาคม ชิ่งหนีไปมีเมียซะนี่ ทิ้งให้คนที่บ้าเครื่องแบบมาตั้งแต่เล็กจนเกือบจะได้เป็น ‘คุณนาย’ อยู่รอมร่อต้องพลาดตำแหน่งไปอย่างน่าเสียดาย  

เหอะ! คุณนายเหรอ...ไม่เป็นแล้วก็ได้ เมียทหารนับขวด เมียตำรวจนับเมีย..! 

แม้ในใจจะทั้งหมั่นไส้ระคนน้อยใจทุกครั้งยามนึกถึง แต่ภายนอกแล้ว...ความเงียบและใบหน้าเรียบเฉยคล้ายไม่รู้สึกรู้สาคือคำตอบที่ปฏิสังขรณ์ได้รับเหมือนเช่นทุกครั้งที่ส่งข่าว 

เมื่อครั้งที่อัศวินีและกลินท์จำต้องแยกทางเดินนั้น เพื่อนฝูงคนรอบข้างซึ่งเห็นความรักของทั้งคู่ตั้งแต่เริ่มผลิบานแบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายแรกคอยเชียร์และลุ้นให้กลับมาคืนดีกันเพราะรู้ดีว่าเหตุใดฝ่ายชายจึงต้องแต่งงานกะทันหัน ขณะที่ฝ่ายหลัง...ตอนแรกก็พยายามจะเชียร์ให้คืนดีเหมือนกัน แต่หลังๆ มาเสียงค่อนข้างแผ่วเพราะเหตุผลสำคัญ...แม้ฝ่ายชายจะแยกกันอยู่กับภรรยา แต่ก็ยังไม่ได้หย่าขาด และไม่รู้ว่าจะเลิกกันจริงไหม หรือจะเลิกกันเมื่อไร ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่หนุ่มโสดที่จับต้องได้อีกต่อไป

ในขณะที่ตัวอัศวินีเอง...ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวทำใจได้มากน้อยแค่ไหนกับความรักครั้งแรกที่ล่มไม่เป็นท่า แต่หญิงสาวก็ยังคงพูดคุย ยิ้ม หัวเราะร่าเริงสดใสราวกับไม่รู้สึกอะไร

 

บ่ายแก่ๆ ผู้คนเริ่มซา รถยนต์ที่เคยจอดเต็มพื้นที่ริมถนนหน้าวิทยาลัยเริ่มเคลื่อนออกไป กระบะสี่ประตูทรงสูงสีดำจอดปะปนกับรถคันอื่นๆ ในมุมที่มองเห็นประตูใหญ่ทางเข้าวิทยาลัยชัดเจน จอดตั้งแต่เช้า แต่ผู้เป็นเจ้าของก็ยังคงนั่งอยู่ในรถ รอคอยด้วยความอดทนเหมือนเช่นหลายปีที่ผ่านมา

บุรุษในชุดพรางลายเสือซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับเหลือบตามองกระจกหลัง จึงได้เห็นภาพที่ ‘หัวหน้า’ ซึ่งแต่งกายด้วยเครื่องแบบคล้ายกันนั่งกอดอกนิ่ง ใบหน้าคมคล้ามแดดเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ดวงตายาวรีคู่นั้นถูกบดบังไว้ด้วยแว่นกันแดดสีชาราวกับไม่ต้องการให้ใครรู้ถึง ‘ความรู้สึก’ ที่ผู้เป็นเจ้าของบรรจุเอาไว้ในแววตาที่ไม่อาจปิดได้มิด แต่ด้วยความที่ทำงานด้วยกันมานานทำให้ลูกน้องพอจะเดาได้ไม่ยาก...หัวหน้ากำลังถูกพิษแห่งความรักเล่นงานอย่างรุนแรง

เมื่อครั้งที่ ‘ร.ต.ต. กลินท์’ ลงมาทำงานในพื้นที่ใหม่ๆ นั้น แม้ ‘หมวดซัน’ จะเป็นคนพูดน้อย ค่อนข้างเงียบขรึม ทว่าใจดี มีน้ำใจต่อลูกน้องทุกคนในฐานปฏิบัติการฯ ฝีมือการทำงานสายบู๊ก็เป็นที่ประจักษ์ ลูกน้องที่ฐานและชาวบ้านในพื้นที่ต่างรักหมวดซันกันทุกคน 

ผ่านไปหลายปีคนสุภาพ พูดน้อย ค่อนข้างเงียบขรึมก็เปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน แทบทุกสัปดาห์จะมีจดหมายถึงหัวหน้าเป็นประจำ เจ้าของซองจดหมายสีฟ้าสดใสเป็นใครไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัด แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นคือหัวหน้าซันจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ อมยิ้มได้ทั้งวัน 

มีครั้งหนึ่ง...หัวหน้าพาลูกน้องออกลาดตระเวนและต้องกระสุนจนได้รับบาดเจ็บต้องไปโรงพยาบาล คราวนั้นลูกน้องจึงได้เห็นภาพเจ้าของซองจดหมายสีฟ้าที่หัวหน้าซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อแนบอกซ้าย

สาวน้อยใบหน้าจิ้มลิ้ม ผิวขาวเหลืองในชุดฟ้าเอี๊ยมขาวอันเป็นชุดฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาล

กิริยาที่เธอผู้นั้นฉีกยิ้มกว้างสดใสจนเห็นลักยิ้มที่มุมปากทั้งสองข้างทำให้ลูกน้องรู้คำตอบว่า ทำไมบางครายามเผลอแค่เอามือแตะอกซ้าย หัวหน้าก็ยิ้มได้

พอถึงวงรอบส่งเสบียงและมีจดหมายมาถึงฐาน บรรดาลูกน้องต่างส่งสายตาล้อเลียนกึ่งแซวเป็นที่สนุกสนาน

‘โห...หัวหน้าครับ สมัยนี้เขาเล่นเอ็มเอสเอ็น (MSN) เล่นไฮไฟว์ (Hi5) กันแล้ว จดหมายมันล้าสมัยแล้วคร้าบ’ ลูกน้องเอ่ยถึงการสื่อสารที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น

คนถูกแซวอมยิ้ม ก่อนตอบเสียงนุ่มตามสไตล์ว่า ‘ไอ้ของพวกนั้น...ถึงจะไฮเทคแค่ไหน แต่ก็จับต้องไม่ได้ ไร้สิ้นซึ่งความรู้สึก’ 

‘ฮิ้ววว’

คนพูดน้อยแต่พอพูดทีทำเอาลูกน้องแทบสำลักความหวานไปตามๆ กัน 

หลังจากนั้นถ้าได้เข้าเมืองหัวหน้าก็จะส่งของฝากและมีจดหมายหรือโปสต์การ์ดแนบถึงเจ้าของซองจดหมายสีฟ้าเป็นประจำ เป็นเช่นนี้เกือบปี ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ซองจดหมายสีฟ้าที่เคยส่งมาเป็นประจำเงียบหายไป ในขณะที่หัวหน้าก็ซึมลงและเงียบขรึมยิ่งกว่าเดิม

ไม่นานหัวหน้าซันก็แต่งงาน แต่ไม่ใช่กับเจ้าของซองจดหมายสีฟ้า...ไม่ใช่หญิงสาวที่สวมชุดฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาล แต่เป็นสตรีสาวสวยผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงหลานสาวนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพภาค 

อย่างไรก็ตาม แม้จะแต่งงานไปแล้ว แต่หัวหน้าก็ยังคงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ฐาน ออกทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับลูกน้องแทบทุกครั้ง เพิ่งจะมาช่วงหลังๆ ที่มี ‘น้องซิลค์’ นี่เองที่ทำให้หัวหน้าค่อยยิ้มบ้าง

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาหัวหน้าทำตัวราวกับนักสืบด้วยการเฝ้าติดตามข่าวคราวความเป็นไปของนักศึกษาพยาบาลคนหนึ่ง พอถึงวงรอบพักกลับมาอยู่ที่ค่ายนเรศวรซึ่งเปรียบเสมือนบ้านตำรวจพลร่ม 

เมื่อใดก็ตามที่ว่างเว้นจากงานหัวหน้าก็จะขับรถจากหัวหินขึ้นมาแวะจังหวัดเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง เพียงเพื่อที่จะจอดรถซุ่มอยู่หน้าวิทยาลัยพยาบาล รอคอย ‘ใครบางคน’ แบบลมๆ แล้งๆ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรคนที่หัวหน้ารอจะออกมาให้เห็น ถ้าโชคดีในช่วงเย็นก็จะเห็นหญิงสาวผู้นั้นออกมาข้างนอกกับเพื่อนสาวกลุ่มใหญ่ของเธอ ซื้อเสบียงอาหารเต็มไม้เต็มมือ พูดคุยร่าเริงพร้อมรอยยิ้มซึ่งดูแจ่มใสยิ่งกว่าที่เคยเห็นในภาพถ่าย และหัวหน้าก็จะให้ลูกน้องที่ไปด้วยหิ้วบรรดาของกินไปฝากไว้ให้เธอที่เรือนประชาสัมพันธ์ของวิทยาลัย 

แม้เวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใด แต่คงไม่มีใครแทนที่หญิงสาวผู้นั้นได้ เพราะยามเผลอหรือใจลอย หัวหน้าก็ยังเอามือแตะที่อกซ้ายเป็นประจำ!

จากจุดที่จอดรถทำให้มองเห็นประตูทางออกด้านหน้าวิทยาลัยชัดเจน ผู้คนเริ่มทยอยออกมาขึ้นรถซึ่งจอดไว้ริมถนน แล้วหญิงสาวร่างแบบบางก็เดินออกมาพร้อมกับครอบครัวของเธอ แม้อากาศจะร้อนเพียงใด แต่ดวงหน้าจิ้มลิ้มก็ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส กิริยาร่าเริงเหมือนที่เคยเห็นจนชินตา 

ดวงตายาวรีจุดประกายวาบคล้ายยินดี รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปากเมื่อเห็นช่อกุหลาบขาวซึ่งหญิงสาวประคองไว้ในอ้อมแขน หัวใจอิ่มเอมได้ชั่วครู่ นายตำรวจหนุ่มก็ถอนใจยาวเมื่อความเป็นจริงกระแทกใจ ทำได้ดีที่สุดแค่มอง ไม่กล้าแม้แต่จะเดินเข้าไปทักทายหรือพูดคุยเหมือนเช่นวันวานที่ผ่านมา 

สุดท้าย พ.ต.ต. กลินท์ก็ละสายตาจากภาพนั้นก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “กลับค่ายกัน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น