7

7

7

 

ร่างสูงในชุดพรางลายเสือไล่สายตาไปบนแผนที่ขนาดใหญ่ซึ่งกางบนโต๊ะไม้อันต่อประกอบเป็นโต๊ะประชุมภายในฐานปฏิบัติการ มือขีดเขียนข้อความร่วมกับวาดภาพลงบนกระดาษเตรียมการประชุมทีมลูกน้องในช่วงเย็น ครั้นเรียบร้อยนายตำรวจหนุ่มก็ถอนใจยาว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางอ่อนล้าอันเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นนัก มือใหญ่นวดคลึงหว่างคิ้วให้คลายความยับย่นอันเกิดจากการใช้ความคิดนานๆ 

ครั้นความตึงเครียดจากงานค่อยคลายลง กลินท์ก็ถอนหายใจยาวอีกครา หวนนึกถึงโทรศัพท์ที่ได้รับจากเพื่อน

‘น้องมาแล้วนะ’

แม้จะพยายามรักษาระยะห่างของความสัมพันธ์เอาไว้ เพื่อไม่ให้ ‘น้อง’ ต้องมัวหมอง กระนั้นแล้วบรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงก็ยังคงขยันส่งข่าวให้รู้ความเป็นไปของเธอเสมอ

‘ฮื่อ! ฝากด้วยนะ น้องมีโอกาสที่จะเจอคนดีๆ ที่ไม่มีมลทิน...เหมือนกู’ ท้ายเสียงอ่อนเศร้าคล้ายพึมพำกับตัวเอง 

ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางหลับตาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่ใหญ่ ถอนใจยาว ก่อนค่อยๆ เปิดกระเป๋าสตางค์ออกมาดูเช่นทุกครั้งที่อยู่ตามลำพังด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นในใจ 

ภายในกระเป๋าสตางค์มีภาพถ่ายสองใบเคียงกัน 

ภาพหนึ่ง...ค่อนข้างสดใส เด็กชายร่างป้อมยิ้มกว้างเห็นเหงือกแดงแจ๋น่ารักน่าชัง นายตำรวจหนุ่มอมยิ้ม...ยาใจพ่อ 

ส่วนอีกภาพค่อนข้างซีดเหลืองตามกาลเวลา แต่ก็ยังเห็นภาพหญิงสาวใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตาเป็นประกายแจ่มใส ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มที่มุมปาก จนคนมองเผลอยิ้มตอบทุกครั้ง...ยาใจพี่ 

ครั้นนึกถึงความเป็นจริง ไหล่ที่เคยยืดตรงด้วยความทะนงองอาจในตัวเองก็ค่อยๆ ค้อมลงด้วยความอ่อนล้า มือใหญ่ทาบอกเบื้องซ้ายคล้ายปลอบโยนก้อนเนื้อที่เต้นตุบๆ ด้วยความปวดร้าวเช่นทุกครั้ง

หลายปีที่ผ่านมาเขาก็ยังคงเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ที่เดิม รู้ทั้งรู้ว่าไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ แต่ก็ไม่อาจห้ามใจไม่ให้รักได้ ความรักความห่วงหาไม่เคยลดน้อยถอยลง ตรงกันข้าม...มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และรัก...ทั้งที่รู้ดีว่าปลายทางไม่มีวันที่จะสมหวังอีกเช่นกัน!

 

เช้าวันต่อมามีรถบัสโดยสารปรับอากาศมารับพยาบาลจากโรงแรมที่พักไปส่งยังหอประชุมใหญ่ของกองทัพภาคที่ 4 เพื่อปฐมนิเทศแทนแผนเดิมซึ่งจัดที่โรงแรมเพื่อความปลอดภัยของบุคลากร บนรถยังมีเสียงพูดคุยเรื่องเหตุลอบวางระเบิดเมื่อวาน   

การปฐมนิเทศพยาบาลจิตอาสาจัดขึ้นเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ก่อนแยกย้ายกันไปประจำตามโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลตามสมัครใจและความเหมาะสม วันแรกของการปฐมนิเทศ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเดินทางมากล่าวต้อนรับบุคลากรด้วยตนเอง ท่านได้กล่าวถึงที่มา ความสำคัญ ตลอดจนวัตถุประสงค์ของโครงการ และท้ายที่สุดท่านยังได้กล่าวแสดงความขอบคุณพยาบาลทุกคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจเดินทางมาทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้ที่กำลังขาดแคลนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอันเนื่องมาจากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่

ตลอดเวลาที่เจ้ากระทรวงได้กล่าวนั้น อัศวินีรู้สึกขนลุกเป็นระยะ ความรู้สึกภาคภูมิใจคล้ายได้ทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่เหมือนทหารที่ได้รับใช้ชาติ พอมองไปยังคนอื่นๆ ที่อยู่รอบกายต่างก็มีสีหน้าอิ่มเอิบ แววตาเปล่งประกายมุ่งมั่นไม่ต่างกัน นี่หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่า...อุดมการณ์...กินไม่ได้แต่อิ่ม...อิ่มอกอิ่มใจ  

ภายหลังจากที่ท่านปลัดฯ ลงจากเวที พิธีกรฉายภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท่ามกลางเหตุการณ์ความไม่สงบ มีเพลง  ‘ผู้หญิงสีขาว’ ประกอบ ยิ่งปลุกความฮึกเหิมในใจของทุกคน เสริมความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ ‘ผู้หญิงสีขาว’ ในดงควันปืน

ในขณะที่บรรดาผู้หญิงสีขาวกำลังเข้ารับการปฐมนิเทศ ภายนอก...กำลังของทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองต่างก็ทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขันในการป้องกันการก่อเหตุร้าย ขณะเดียวกันก็ทำงานมวลชนสัมพันธ์เพื่อให้ชาวบ้านเกิดความไว้วางใจ บางส่วนทำหน้าที่ฝึกชาวบ้านให้รู้จักการต่อสู้ป้องกันตนเอง

 

ยามบ่ายของวันอาทิตย์บริเวณโรงพยาบาลค่อนข้างเงียบเหงา แทบจะไม่มีผู้มารับบริการ แต่ รปภ. ซึ่งนั่งอยู่ที่ป้อมด้านหน้าก็ยังคงทำหน้าที่ตรวจรถเข้าออกด้วยความแข็งขัน ปรมัตถุ์แจ้งว่ามาส่งพยาบาลใหม่ รปภ. จึงโบกให้จอดรถหน้าตึกผู้ป่วยนอกซึ่งมีรถจอดอยู่ไม่กี่คัน 

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งเพิ่งกลับมาจากชันสูตรศพนอกพื้นที่กระวีกระวาดมาต้อนรับด้วยตนเอง

“ผมดีใจนะครับที่มีน้องๆ มาร่วมงาน เรากำลังขาดแคลนบุคลากรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพยาบาล” นายแพทย์วิทิตย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัยประมาณสี่สิบเศษเอ่ยในตอนหนึ่ง ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันมากก็พอดีมีวิทยุด่วนแจ้งว่าเกิดเหตุร้ายรถทหารถูกระเบิด ผู้อำนวยการจึงมอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลดูแลแทน

“ท่านผู้อำนวยการเป็นคนทำงานค่ะ ถ้าเกิดเหตุร้ายนอกพื้นที่ ทางตำรวจหรือทหารประสานมา ท่านจะไปด้วยตนเองแทบทุกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่วันหยุดอย่างวันนี้” นูรีฮา หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลของโรงพยาบาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชม

“ท่านทุ่มเทและเสียสละมากเลยนะคะ แบบนี้ได้ใจลูกน้องเต็มๆ เลย” อัศวินีเอ่ยชมจากใจ นึกยินดีที่จะได้ร่วมงานกับผู้บริหารที่มีความเสียสละและเป็นผู้นำสูง

“ใช่แล้วค่ะ พวกเราทุกคนที่นี่อยู่กันด้วยใจจริงๆ และมีความสุขกับการทำงานเพราะมีผู้นำดี” นูรีฮาเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนเล่าต่อไปว่า “ที่นี่เรามีหมอทั้งหมดสี่คนค่ะ รวมผู้อำนวยการด้วย น้องหมอก็รับหน้าที่ตรวจเป็นหลัก ส่วนท่านผู้อำนวยการก็ทำงานบริหาร แต่ถ้ามีเวลาท่านก็ลงมาช่วยตรวจ อย่างออกพื้นที่หรืองานเสี่ยงท่านก็ลุยเอง ไม่เว้นแม้วันหยุดอย่างที่เล่าให้ฟังค่ะ”

“โห...ทำงาน แล้วแบบนี้ครอบครัวท่านไม่น้อยใจแย่เหรอคะ อุทิศตนเพื่องานขนาดนี้” เป็นตาของปฏิสังขรณ์ที่เผลอเอ่ยขึ้นมาบ้าง เพราะเธอก็เคยงอแงกับสามีบ่อยที่ทำงานจนแทบไม่มีเวลาให้ภรรยา 

ปรมัตถุ์อมยิ้มขัน กิริยานั้นทำให้นูรีฮานึกรู้ ตอบยิ้มๆ ว่า 

“ท่านผู้อำนวยการท่านแต่งงานแล้ว แต่ไม่มีลูกค่ะ ภรรยาท่านส่วนใหญ่ก็อยู่ที่สงขลา ดูแลกิจการรีสอร์ตของครอบครัว ช่วงไหนถ้าไม่ยุ่ง ภรรยาท่านก็จะมาอยู่ที่นี่ด้วยกันค่ะ”

ครั้นพอเจ้าบ้านขับรถนำไปยังบ้านพักซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังโรงพยาบาล ปฏิสังขรณ์ก็อุทานด้วยความตื่นเต้น

“โอ้โห...บรรยากาศดีมากเลยมิ้ว ดูสิ...วิวสวยมาก”

บ้านพักของเจ้าหน้าที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ด้านหลังโรงพยาบาล มองลงมาก็จะเห็นวิวเมืองนี้ที่กินอาณาเขตกว้างยาวสุดลูกหูลูกตา 

นูรีฮายิ้ม รีบบอกว่า

“เป็นความโชคดีของพวกเรานะคะที่มีบ้านพักน่าอยู่แบบนี้ ถึงแม้ว่ารอบด้านจะเต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม แต่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลเราเป็นคนในพื้นที่ บ้านพักก็เลยว่างเยอะ อย่างบ้านนี้ก็จัดให้น้องพยาบาลที่มาในโครงการนี้อยู่ด้วยกันสองคน แต่น้องอีกคนโทร. มาแล้วว่าจะย้ายของเข้ามาพรุ่งนี้พร้อมรายงานตัวกับท่านผู้อำนวยการเลย”

“ดีจังเลยมิ้ว มีเพื่อนอยู่บ้านพักหลังเดียวกัน แกจะได้ไม่เหงาไง”

ชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่สำหรับรับแขกและนั่งทำงานจิปาถะ พื้นที่ส่วนหลังเป็นห้องครัวเล็กๆ ห้องน้ำ และลานซักล้าง ส่วนชั้นบนมีสองห้องนอน ห้องน้ำหนึ่งห้องใช้ร่วมกันกับรูมเมต พอเปิดประตูหน้าต่างห้องนอนก็เห็นวิวสวยๆ สบายตา อัศวินียิ้มด้วยความพอใจบ้านหลังใหม่ที่เธอต้องอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปอย่างน้อยก็สี่ปี 

หลังจากดูแลเรื่องที่พักเรียบร้อย นูรีฮาก็ขอตัว สองสาวช่วยกันเก็บของเข้าที่เรียบร้อยทุกอย่างเมื่อเกือบบ่ายสอง ปรมัตถุ์ซึ่งเพิ่งกลับจากการสำรวจรอบบริเวณที่พักตามประสาตำรวจที่ต้องรอบคอบทุกฝีก้าวอดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นสองสาวนอนแผ่หลาบนฟูกด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน 

“บ้านพักที่นี่เขาเข้าใจออกแบบนะ ชอบตรงที่พอมองออกไปทางด้านหน้าของโรงพยาบาลก็ได้เห็นวิวเมืองนี้เกือบทั้งเมือง แต่น่ากลัวเวลาไปยืนหลังห้องนี่สิ พ้นเขตโรงพยาบาลออกไปก็เป็นป่าสวนยางหนาทึบยาวไปถึงภูเขาลูกโน้นแน่ะ แต่ก็เป็นส่วนตัวดี คนไม่พลุกพล่าน เอาไว้วันไหนฉันงอนพี่ปืน ฉันจะมานอนเป็นเพื่อนแกนะมิ้ว”

ปฏิสังขรณ์ปรายตามองสามีนิดๆ อย่างมีจริต หวังจะยั่วให้อีกฝ่ายหึงเล่นๆ แต่เปล่าเลย...สามีกลับบอกหน้าตาเฉยว่า

“ดีเลย พี่จะได้พากิ๊กมานอนบ้าน”

“อ๊าย! พี่ปืน!” ปฏิสังขรณ์เต้นแร้งเต้นกาซะเอง ในขณะที่ผู้เป็นสามียิ้มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ซะอย่างนั้น 

อัศวินีกลอกตามองบนด้วยความหมั่นไส้...เหม็นความรัก

ครั้นถึงเวลาที่เพื่อนต้องกลับจริงๆ หญิงสาวก็ทำตาปริบๆ บอกด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ว่า “แกอย่าลืมโทร. มาเทกแคร์ฉันบ่อยๆ นะฟ้า ฉันต้องเหงาแน่ๆ เลย” 

แม่เพื่อนรักกลับบอกว่า “โหยแก โทร. ทำไมนักหนา เปลืองค่าโทรศัพท์”

อัศวินีหน้างอง้ำ “ไอ้เพื่อนเลว! จำไว้เลยแก”

อีกฝ่ายหัวเราะคิก “แหม...แค่นี้ทำเป็นงอน ไม่เจียมสังขารซะมั่งเลยแก แน่ะ...ว่าแล้วยังมาทำหน้างออีก ฉันไม่ใช่พี่ซันที่ต้องคอยง้อคอยตามใจแกตลอดเวลานะยะ...” แล้วคุณเธอก็หัวเราะร่วน รีบเผ่นขึ้นรถก่อนที่จะโดนมะเหงกจากคนขี้งอน กระนั้นก็ยังมิวายหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาให้อีก 

อัศวินีได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตามหลัง

จำไว้เลยนะแก   ชอบทำให้เพื่อนขายหน้าดีนัก เดี๋ยวฉันจะหาโอกาสเผาแกให้พี่ปืนฟังบ้าง

...

หลังจากที่เพื่อนกลับไปแล้วอัศวินีก็นอนแผ่หราด้วยความอ่อนเพลีย คิดอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนที่จะเผลอหลับไป พอตื่นมาอีกทีก็เย็นแล้ว ด้วยความที่ยังไม่รู้จักใครและไม่มีรถใช้ หญิงสาวจึงเลือกที่จะประกอบอาหารง่ายๆ พอประทังชีวิตไปก่อน 

ดวงหน้าจิ้มลิ้มยังคงสดใสแกมซุกซนยามเมื่อสูดกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปควันร้อนหอมฉุยเข้าจมูก ต้องขอบคุณแม่เพื่อนรักสินะที่พาไปแวะซื้อเสบียงกรังมาตุนซะมากมาย โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ได้ย้อนรำลึกความหลังสมัยเป็นเด็กหอ

ระหว่างนั่งขัดสมาธิกางโต๊ะญี่ปุ่นนั่งซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มือเรียวก็จิ้มสมาร์ตโฟนคุยไลน์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง สลับกับเล่นเฟซบุ๊กแก้เหงา แม้จะเคยถูกแม่ดุเอาบ่อยๆ ไม่ให้เล่นโทรศัพท์ระหว่างรับประทานอาหาร แม่บอกว่า...เสียมารยาท...แต่ยามนี้...อารมณ์นี้...มันเหงาจริงๆ นี่นา ทั้งเงียบ ทั้งเหงา ทั้งวังเวง แม่คงไม่ว่าหรอกนะ...เพราะ...แม่ไม่เห็น 

หญิงสาวหัวเราะคิกยามนึกถึงแม่ ก่อนต่อสายคุยกับแม่อันเป็นกิจวัตรที่ทำเป็นประจำ อัศวินีเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่ได้พบ สถานที่ใหม่ๆ ผู้คนที่เพิ่งได้พบเจอ ส่วนใหญ่วาดภาพสวยงามตามจริงให้ผู้เป็นมารดาได้รับรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวไม่คิดที่จะเล่าก็คือป้อมทหารหรือตำรวจที่เห็นตลอดทาง ภาพทหารที่มีอาวุธครบมือกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางที่ผ่านหรือแม้แต่ในตัวเมือง บางครั้ง...การพูดแล้วทำให้คนฟังไม่สบายใจ สู้ไม่เล่าดีกว่า 

แม่บอกให้ดูแลตัวเองให้ดี มุ่งมั่นตั้งใจทำแต่สิ่งดีงาม แล้วความดีที่ทำจะเป็นเกราะกันภัยให้เราจากทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น แล้วแม่ก็พร่ำสอนเรื่องมารยาทที่สอนมาตั้งแต่เล็กจนโต ให้เป็นคนยิ้มง่าย มือไม้อ่อน อ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ และคิดดีคิดบวกกับทุกคน ถ้าเราคิดบวกก็จะเป็นพลังบวกที่ดึงดูดแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต เธอจำคำสอนของแม่ได้แม่นทุกคำ แม้บางครั้งจะนึกขำ แต่ก็ไม่ได้รำคาญเพราะทุกอย่างที่แม่สอนล้วนเป็นความจริงที่ทำให้อยู่ที่ไหน ใครก็รักก็เอ็นดู อัศวินียิ้มบางๆ ยามนึกถึงผู้ให้กำเนิด

หลังล้างจานและเก็บกวาดทำความสะอาดครัวเล็กๆ เรียบร้อย หญิงสาวก็รีบอาบน้ำเข้าห้องนอน กดส่งภาพถ่ายบ้านพักวิวหลักล้านของเธอลงในกลุ่มไลน์ครอบครัว ก่อนพิมพ์ข้อความไปว่า

Milky : บรรยากาศดีมากค่ะ ท่านผู้โช้มมม มองจากบ้านพักของพยาบาลสาวสวยลงไปทางโรงพยาบาลจะเห็นวิวของเมืองทั้งเมืองเพราะโรงพยาบาลอยู่จุดสูงสุดของตัวอำเภอ แต่หลังบ้านน่ากลัวหน่อยนะคะ เพราะพอพ้นเขตรั้วโรงพยาบาลออกไปก็เป็นเขตป่าสวนยางยาวไปถึงภูเขาแบ่งเขตกับอีกอำเภอ

แล้วเธอก็ส่งการ์ตูนฉีกยิ้มกว้างเข้าไปในไลน์

Madam Bee : อุ๊ย! ไฮโซ สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย

หญิงสาวอมยิ้มขันยามนึกถึงแม่ แม่เป็นผู้หญิงอารมณ์ดีมาก ต่อท้ายด้วย ก ไก่ล้านตัว แม่คือรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสุข และศูนย์รวมความสนุกสนานของทุกคนในครอบครัว แม่ชอบแหย่ แม่ชอบแกล้ง เมื่อไรก็ตามที่แม่อยู่กับพี่ชายคนรอง เมื่อนั้นทุกคนในบ้านต้องระวังจะถูกแหย่หรืออำ ในขณะที่พ่อเป็นผู้ชายเคร่งขรึม เจ้าระเบียบ และออกแนวดุสมกับเป็นทหารเก่า พี่ชายทั้งสองอาจจะ ‘เกรง’ พ่อ แต่ไม่ใช่อัศวินี แค่เธออ้อนพ่อก็ใจอ่อนแล้ว หญิงสาวยิ้มเหมือนเด็กซุกซน

ทันทีที่แม่โพสต์ พ่อก็ส่งรูปการ์ตูนกลอกตามองบนเข้ามา พลอยให้สมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ ส่งสติกเกอร์หัวเราะเข้ามารัวๆ อัศวินีหัวเราะอยู่คนเดียว ก็เพราะครอบครัวของเธอน่ารักแบบนี้นี่เอง...อยู่ที่ไหนถึงไม่เคยรู้สึกถึงความโดดเดี่ยว รู้สึกได้ถึงสายใยความรักความผูกพันของครอบครัววนเวียนรอบกาย

Benz : บ้านพักอยู่จุดสูงสุดแบบนี้ อนาคตเกาะคานได้สบายเลย

พงศ์นรินทร์ ญาติของเธออีกคนซึ่งพ่อแม่รักเหมือนลูกชายแท้ๆ เขี่ย แล้วบรมวิชชุ์ก็รับทันควัน

Beer Paru : สบายดีที่คานทอง

พี่ชายสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย อัศวินีเผลอยิ้มย่นจมูก ค้อนให้ลมให้แล้งราวกับพี่ชายจอมกวนประสาททั้งสองอยู่ตรงหน้า

 

Milky : เดี๋ยวจะไปทำป้ายโตๆ ติดตรงสามแยกบ้านต้องเหมือนผู้แทนฯ หาเสียง โสดโปรดจีบ อัศวินี...โสด สวย และรวยมาก

สามแยกบ้านต้องคือบริเวณสามแยกใหญ่ที่อำเภอธาตุพนม ถ้าเลี้ยวซ้ายจะเข้าตัวอำเภอธาตุพนม เลาะเลียบโขงมุ่งหน้าขึ้นเหนือเข้าสู่ตัวจังหวัดนครพนม ส่วนถ้าเลี้ยวขวาก็จะมุ่งหน้าลงใต้ไปจังหวัดมุกดาหาร อำนาจเจริญ เรื่อยลงไปถึงอุบลราชธานี

Blue Eagle : น่าอยู่มากค่ะน้องมิ้ว วิวสวยมาก 

พี่บลูคนดีส่งข้อความเข้ามาบ้าง แล้วก็เป็นตาของเรือไฟ พี่สะใภ้คนสวยส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนกอดปลอบใจเข้ามา ถึงเธอจะโดนพี่ชายอย่างบรมวิชชุ์และพงศ์นรินทร์แกล้งแหย่หรือกวนประสาทแค่ไหน แต่ก็จะมีพี่ชายคนโตและพี่สะใภ้คนรองที่น่ารักคอยเป็นกองหนุน ปลอบโยน ให้กำลังใจเสมอ อัศวินียิ้มด้วยความสุขใจยามนึกถึงความสุขความอบอุ่นที่ได้รับจากครอบครัว

บรมวิชชุ์...พี่ชายคนรองของเธอซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นตำรวจพลร่มอยู่ยะลาหลายปีบอกว่าฝากให้เพื่อนซึ่งเป็นทหารบกดูแลเธอ เดี๋ยวเพื่อนพี่ชายจะมารับ พาไปเที่ยวซื้อของในเมือง และแน่นอนว่าเพื่อนที่พี่ชายฝากฝังให้ช่วยดูแลน้องนั้นมีครอบครัวแล้วจ้าาา 

อัศวินีได้แต่มองบน เธอจะขึ้นคานก็เพราะไอ้ความหวงน้องของพี่เบียร์นี่ละ หญิงสาวทั้งหมั่นไส้และนึกขำปนกัน แต่จะว่าไปแล้วก็คงไม่มีใครที่จะรักและหวังกับเธอเท่ากับคนในครอบครัวอีกแล้ว 

ก่อนนอนคืนนั้นอัศวินีสวดมนต์ไหว้พระ สำหรับเธอแล้ว...คนไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไรแต่สิ่งที่มองไม่เห็นนี่สิ 

ฮื้อ...อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยนะเจ้าคะ หนูมาดีเจ้าค่ะ ตั้งใจมาทำงานช่วยเหลือคนเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้มาทำให้ใครเดือดร้อน ขอคุณพระคุณเจ้า คุณพ่อคุณแม่คุ้มครอง ใครอยากให้ทำบุญอะไรให้ก็ไปเข้าฝันคนอื่นนะเจ้าคะ เดี๋ยวลูกไปทำบุญให้เอง แต่อย่ามาเข้าฝันลูกเล้ยยย เจ้าประคู้นนน...
 

วันแรกของการทำงานในสถานที่ทำงานแห่งใหม่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีที่สุด อย่างที่ใครๆ บอกว่า ‘First impression’ อัศวินีสวมชุดพยาบาลขาวสะอาด หมวกขาวติดขีดดำพอดีเป๊ะกับขอบหมวก รวบผมเก็บเรียบร้อย ใบหน้าจิ้มลิ้มแต่งแต้มเพียงบลัชออนสีชมพูจางๆ เติมลิปกลอสสีอ่อนเข้ากัน หญิงสาวซ้อมฉีกยิ้มกว้างให้กระจก สำรวจความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนพยักหน้าเรียกกำลังใจให้ตัวเอง 

ถ้าจะว่าไปแล้วเธอค่อนข้างให้ความสำคัญแก่การแต่งกายเรียบร้อย สะอาด สุภาพ เหมาะสมกับกาลเทศะ อาจจะด้วยวินัยของทหารที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อด้วยส่วนหนึ่ง และการปลูกฝังที่ได้รับมาจากแม่ซึ่งเป็นพยาบาลด้วยส่วนหนึ่ง ตอนเรียนพยาบาล อาจารย์ทุกท่านก็พร่ำสอนเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชุดยูนิฟอร์ม พยาบาลพันธุ์ใหม่ต้องฝึกบุคลิกภาพให้ดูดี Getsmart ห้ามพกหน้ามันย่อง ผมเผ้ายุ่งเหยิงขึ้นวอร์ด สิ่งที่ได้รับการปลูกฝังเมื่อปฏิบัติเป็นประจำจึงกลายเป็นความเคยชินไปโดยปริยาย

หน้าห้องตรวจผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลมีคนไข้มารอรับบริการประปราย พยาบาลซึ่งคาดว่าคงเป็นพยาบาลเวรดึกห้องฉุกเฉินเยี่ยมหน้าออกมามองด้วยแววตาเป็นมิตรกึ่งลังเล อัศวินีคาดคะเนท่าทางคงอายุมากกว่าเธอแน่ๆ จึงไม่รอช้าที่จะฉีกยิ้มกว้างแจ่มใสสร้างสัมพันธภาพไปก่อนและยกมือไหว้

“สวัสดีค่ะพี่ หนู...อัศวินีค่ะ เป็นพยาบาลใหม่มาปฏิบัติหน้าที่วันแรกค่ะ”

เรื่องมารยาทงาม ใบหน้ารับแขกนี้ไม่ต้องให้ใครบอกค่ะ คุณนายบี...คุณนายแม่ของดิฉันฝึกมาดี หญิงสาวนึกขำๆ ในใจ

“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ พี่เนตรนภาค่ะ ยินดีมากที่มีน้องใหม่มาร่วมงานกันนะคะ”

หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เวรเช้าคนอื่นๆ ทยอยมาปฏิบัติงาน อัศวินีแจกยิ้ม ไหว้ดะทุกคน เจ้าหน้าที่หลายคนเริ่มส่งยิ้มทักทายผู้มาใหม่ บางคนก็เข้ามาคุยด้วย ทำให้หญิงสาวใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง ก่อนเดินทางมาใช่ว่าเธอจะไม่วิตกกังวลเรื่องการปรับตัวเข้ากับสถานที่ทำงานแห่งใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างทางขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนา 

ภาคเช้านั้นอัศวินีได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกคนที่มาทำงานพร้อมกันและอยู่บ้านหลังเดียวกัน เธอเพิ่งมาถึงตอนเช้าและแนะนำตัวว่าชื่อพีระพร เมื่อตอนปฐมนิเทศยังไม่รู้จักกันเพราะคนเยอะ ดังนั้นในระหว่างที่รอพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการ สองสาวจึงมีโอกาสได้พูดคุยทำความรู้จักกัน 

“มิ้วเป็นคนกรุงเทพฯ เหรอ แล้วทำไมถึงมาทำงานที่นี่” 

พีระพรไม่ใช่คนแรกที่ถามเธอแบบนี้ แต่อัศวินีก็ไม่รำคาญที่จะตอบคำถามเดิมซ้ำๆ เพราะเข้าใจถึงความกังขาของทุกคน 

หญิงสาวอมยิ้มแก้มตุ่ยก่อนเอ่ยทีเล่นทีจริงว่า

“จริงๆ บ้านเราอยู่ธาตุพนม ไม่ใช่คนเมืองกรุงโดยกำเนิดหรอก แล้วที่มาก็...มาตามหาคุณเข้ม” ไม่ได้หวังหรอกว่าประโยคนั้นจะทำให้เพื่อนใหม่เข้าใจ เพราะถ้าไม่ใช่คนบ้าอ่านนิยายอย่างเธอก็มักจะไม่รู้จัก ‘คุณเข้ม’ 

แต่ผิดคาด พีระพรทำตาโตก่อนหัวเราะคิก “อุ๊ย! ตายแล้ว น่ารักจังเลยหนูตุ่น งั้นเราจะเป็นใครดีนะ มัยมูเนาะเหรอ ว้า...ไม่ดีๆ มัยมูเนาะก็ตาย ถ้าจะเป็นซัมซียะก็เด็กเกินไป”

คราวนี้เป็นตาของอัศวินีที่ตื่นเต้นบ้าง “ตะวันก็รู้จักหนูตุ่นกับคุณเข้มด้วยเหรอ”

“แหม...ก็หนังสืออ่านนอกเวลาตอนเรียน ม. ปลาย นี่จ๊ะ ออกจะดัง ปุลากง ของ ‘โสภาค สุวรรณ’ สมัยเป็นนักเรียนจำได้ว่าปลื้มคุณเข้มมากๆ จนทุกวันนี้ก็ยังปลื้ม บางทีสามีของเรายังแอบบ่นน้อยใจเลย กลัวปันใจให้สุภาพบุรุษสามพรานอย่างคุณเข้ม”

พีระพรแต่งงานแล้วตั้งแต่เรียนจบมาใหม่ๆ สามีเป็นนายทหารลูกทัพบก พบรักกันตอนที่ฝ่ายชายถูกส่งตัวลงมาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ส่วนฝ่ายหญิงเป็นนักศึกษาพยาบาลที่มีโอกาสได้ดูแลฝ่ายชายเมื่อครั้งที่อีกฝ่ายถูกยิงได้รับบาดเจ็บ

อัศวินีฟังแล้วก็ทำตาลอยๆ ตามประสาคนช่างฝัน

“ว้าว! โรแมนติกมากเลย” ครั้นแล้วใบหน้าจิ้มลิ้มก็ปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ ป่านนี้ ‘คุณเข้มของมิ้ว’ จะทำอะไรอยู่นะ แล้วหญิงสาวก็เหมือนถูกนางฟ้าฝ่ายดีในหัวดีดหน้าผากดังเป๊าะให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง 

สามีชาวบ้านจ้ะ...สามีชาวบ้าน...อย่าได้แม้แต่จะคิดเชียวนะ ต้นงิ้วในนรกหนามคม หึๆ

ภายหลังพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการ สองสาวก็ได้รับทราบเกี่ยวกับนโยบายการปฏิบัติงาน ตลอดจนหน้าที่ของพวกเธอ ตารางการปฏิบัติงานเดือนแรกเป็นการเรียนรู้ระบบงานของโรงพยาบาล และติดตามออกหน่วยบริการสาธารณสุขเคลื่อนที่เพื่อให้บริการทางสุขภาพแก่ประชาชนพื้นที่รอบนอก ผลจากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ทำให้ประชาชนไม่กล้าออกมารับบริการ คนที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังเมื่อไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อาการของโรคจึงทวีความรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหลายแห่งขาดแคลนบุคลากร ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงเร่งหาทางช่วยเหลือโดยการจัดหน่วยบริการสาธารณสุขเคลื่อนที่ออกให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นด้านการรักษา การส่งเสริมสุขภาพ และทันตกรรมทั่วไป แม้จะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนที่ผ่านมา หากก็ยังดีกว่าตั้งรับในโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว 

และหลังจากเรียนรู้การทำงานในโรงพยาบาลแล้ว ผู้อำนวยการจะถามความสมัครใจอีกครั้งก่อนตัดสินใจออกไปปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น