9

9

9

 

กระบะสีดำจอดปะปนกับรถผู้มารับบริการด้านหน้าตึกผู้ป่วยนอก จากจุดที่จอดรถทำให้เห็นสภาพทั่วไปของตึกได้อย่างชัดเจน ผู้รับบริการนั่งรอเต็มม้านั่งยาวหน้าห้องตรวจ ในขณะที่พยาบาลก็ซักประวัติอย่างขะมักเขม้น และแม้จะมีผู้มารับบริการมาก สตรีร่างแบบบางในชุดพยาบาลสีขาวสะอาดตาผู้นั้นก็ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสยามเจรจากับคนไข้ กิริยาหยิบจับข้าวของเครื่องใช้ดูกระฉับกระเฉงเพลินตานัก

คนที่นั่งกอดอกนิ่งนานถอนใจยาว ได้แต่มอง...แต่ไม่กล้าแม้แต่จะเดินเข้าไปทักทายหรือพูดคุยเหมือนวันวานที่ผ่านมา สุดท้าย...นายตำรวจหนุ่มก็ละสายตาจากภาพนั้น ก่อนออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นทุกครั้ง

“กลับฐานกัน”

กระบะสีดำคันนั้นมองผ่านๆ ก็เหมือนไม่มีคนสนใจ แต่ยังไม่ทันจะลับสายตาด้วยซ้ำ ทหารที่ถูกส่งมารักษาความปลอดภัยร่วมกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็ต่อสายถึงผู้บังคับบัญชาทันที

“สารวัตรกลินท์เพิ่งออกไปครับ หลังจากที่จอดอยู่ประมาณชั่วโมงครึ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้นเช่นเคยครับ”

“ดีมาก จับตาต่อไป”

‘เป้าหมาย’ ยังคงสนุกกับการทำงานและไม่ได้ระมัดระวังตัวเป็นพิเศษแต่อย่างใด เพราะมั่นใจในความปลอดภัย ตราบใดที่เธอยังไม่ก้าวขาออกจากโรงพยาบาล อัศวินีไม่รู้ตัวเลยว่า...บัดนี้...เธอตกเป็นที่จับตามองของบุคคลถึงสองกลุ่มด้วยกัน!

พ.ต. กองทัพ นรารักษ์ กดตัดสัญญาณด้วยแววตาเคร่งขรึม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา นับตั้งแต่ ‘หญิงสาวผู้นั้น’ มาอยู่ที่นี่ คนมีศักดิ์เป็นทั้งเพื่อนและน้องเขยดูเหมือนจะเริ่มมีพฤติกรรมเหมือนหน่วยสืบราชการลับเข้าไปทุกวัน 

ติดตาม แต่ไม่กระโตกกระตาก

จากที่ได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดระยะเวลาตั้งแต่เธอมาทำงานที่นี่ นอกจากทำงานที่โรงพยาบาลแล้วพยาบาลสาวผู้นั้นก็แทบไม่ได้ออกไปไหน มีเพื่อนเขา พ.ต. ชเยศกับภรรยา และเพื่อนเธอซึ่งมีสามีเป็นตำรวจมารับออกไปข้างนอกเพียงสองครั้งเท่านั้น ทำให้กองทัพค่อนข้างแน่ใจแล้วว่า... ‘ทั้งสอง’ ไม่ได้ติดต่อกันจริงๆ 

นายทหารหนุ่มถอนใจยาว ถ้าจะว่าไปแล้วในสถานการณ์นี้คนที่น่าสงสารที่สุดคืออัศวินี เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเธอเลย ตรงกันข้าม...เธอต่างหากคือคนที่ถูกกระทำ เขาไม่แน่ใจว่าเรื่องราวระหว่างกลินท์ อัศวินี และการะบุหนิงจะเป็นไปในทิศทางใด เดาไม่ออกเลยจริงๆ และในสถานการณ์แบบนี้เขาควรมีบทบาทอย่างไรดี เป็นครั้งแรกที่นายทหารหนุ่มผู้เคยทะนงในศักยภาพและความสามารถของตัวเองถึงกับกุมขมับ 

ดวงหน้าจิ้มลิ้ม รอยยิ้มสดใส แววตาเป็นประกายคล้ายเด็กซุกซนเป็นนิตย์เด่นชัดในความทรงจำ โดยเฉพาะครั้งล่าสุดที่เจอกัน

...ฮัลโล่ที่รัก เมื่อเช้าลืมโกนหนวดอีกแล้วสิ แต่ก็เท่ดีนะ เถื่อนดี มิ้วชอบ!

กองทัพเผลอหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหัวไปมาด้วยความหมั่นไส้แกมเอ็นดู

ยายเปี๊ยกเอ๊ย เป็นน้องเป็นนุ่งจะจับตีให้ก้นลายเลย 

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                    

รถตู้สีขาวประทับตรากระทรวงสาธารณสุขแล่นไปบนถนนลาดยางซึ่งบางช่วงบางตอนทรุดบ้าง เป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง ภายในรถบรรทุกบุคลากรสาธารณสุขรวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านในพื้นที่บริการ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 20 กิโลเมตร สองข้างทางเป็นทุ่งนาโล่งๆ สลับกับป่าละเมาะและป่าสวนยางหนาทึบ นอกจากคนขับรถจะต้องเพ่งสมาธิกับการหลบหลีกหลุมแล้ว สายตายังระแวดระวังภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด 

อัศวินีมองสองข้างทางด้วยความตื่นเต้น ข่าวที่ได้รับรู้ผ่านทางสื่อต่างๆ และจินตนาการที่มีล้นเหลือทำให้เธอทั้งอยากรู้อยากเห็นและตื่นเต้น ในขณะที่นายแพทย์วิทิตย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งผ่านโลกผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร อดที่จะเหลือบมองใบหน้าอ่อนใสของลูกน้องสาวคนใหม่ไม่ได้ หน้าตายังดูคล้ายเด็กมัธยมอยู่เลย กิริยาร่าเริง ดวงตาเป็นประกายแจ่มใส คงคิดว่าโลกนี้มีแต่สิ่งสวยงามตามประสาคนรุ่นหนุ่มสาวช่างฝันกระมัง ไม่กล้าเดาเลยว่าเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าได้ไปเห็นสภาพการณ์จริง

“ผมอยากให้น้องได้ไปเห็นสภาพของ รพ. สต.ปาโต๊ะก่อน ไปสัมผัสกับพื้นที่จริง แล้วต่อไปน้องจะเลือกอยู่ที่โรงพยาบาลหรืออนามัยก็สุดแล้วแต่” ผู้อำนวยการบอกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าปรานี 

อัศวินียิ้ม และกล่าวขอบคุณในความเมตตาของผู้บริหาร

ระหว่างการเดินทางก็มีเสียงสนทนาเบาๆ ด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลชุมชนเล็กๆ ผู้ร่วมงานจึงรู้จักกันทั่วถึงแทบทุกคน ประกอบกับเผชิญสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่มาด้วยกันทำให้มีความเข้าอกเข้าใจ รักใคร่ผูกพันกันมาก แม้เพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน แต่บรรยากาศการทำงานก็อบอุ่นและเป็นกันเอง ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติหรือศาสนาอย่างที่เคยได้ยินใครหลายคนเล่าต่อๆ กันมา 

เมื่อถึงที่หมายมีคนมารอต้อนรับมากมาย ทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสองคนสามีภรรยา คณะครู ผู้นำหมู่บ้าน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) สถานที่ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยบริเวณโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล แต่ชาวบ้านมารับบริการบางตาเป็นพิเศษ สอบถามได้ความว่ามีผู้ไม่หวังดีส่งใบปลิวข่มขู่ว่าถ้าใครออกมารับบริการจะโดนพิพากษาขั้นรุนแรง ดังนั้นจึงมีชาวบ้านมารอรับบริการเพียงประปราย รวมถึงนักเรียนที่คุณครูให้มารับบริการถอนฟัน ขูดหินปูน และตรวจสุขภาพทั่วไป    

กระบะสี่ประตูเลี้ยวเข้ามาในบริเวณนั้น ทหารหลายนายลงมาจากรถ นายทหารรูปร่างสูงใหญ่ในชุดพรางผู้หนึ่งดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าเดินเข้ามาทักทายผู้อำนวยการโรงพยาบาลและผู้นำชุมชนด้วยท่าทางสนิทสนมคุ้นเคย ตาคมกริบราวกับเหยี่ยวกวาดไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็วคล้ายเสือระวังภัย ครั้นแล้วก็หยุดที่สตรีร่างแบบบางที่แสนจะคุ้นตาในชุดฟอร์มอนามัยชุมชน มุมปากปรากฏรอยยิ้มนิดๆ ก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว

“วันนี้ลาดตระเวนหรือครับผู้พัน” ผู้ใหญ่การิม ผู้ใหญ่หมู่บ้านนี้ทักทายด้วยความคุ้นเคย 

ผู้ใหญ่การิมให้ความร่วมมือกับทางการเป็นอย่างดี และต่อต้านกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ ถูกลอบยิงมาก็หลายครั้ง แต่ก็แคล้วคลาดมาได้ทุกครั้ง รู้จักกับนายทหารหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่อีกฝ่ายเข้ามาในพื้นที่ใหม่ๆ ยังเป็นทหารยศ ร.ท. ตราบจนเลื่อนยศเป็นนายพันก็ยังออกพื้นที่ นำหน้าลูกน้องด้วยความองอาจ กล้าหาญ ไม่หวั่นภยันตรายใดๆ แม้จะถูกลอบทำร้ายจนนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม เขาจึงศรัทธาและ ‘เชื่อมือ’ ในตัวนายทหารหนุ่มผู้นี้นัก

“ครับผู้ใหญ่ เพิ่งกลับมาถึง ช่วงนี้ยังมีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านเราบ้างหรือเปล่า”

“คนแปลกหน้าไม่มีหรอกครับ กลัวก็แต่ไอ้เด็กรุ่นลูกรุ่นหลานจะไปเข้ากับฝ่ายนั้น คราวนี้ไม่รู้เลยว่าใครเป็นใครเพราะไอ้พวกนี้มันเก็บความลับได้ดีนัก สงสารก็แต่ชาวบ้าน นับตั้งแต่ตาเฒ่าโซะถูกฆ่าตัดคอคราวก่อน ไม่มีใครอยากออกจากหมู่บ้าน คนเฒ่าคนแก่เจ็บป่วยก็ไม่กล้าไปหาหมอ พวกที่เป็นเบาหวานความดันพอยาหมดก็ไม่กล้าไปโรงพยาบาล ท่านผู้อำนวยการท่านก็ดีนัก อุตส่าห์พาหมอมาถึงที่นี่แต่ชาวบ้านเราก็ไม่ค่อยกล้าออกมาเพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วันมีใบปลิวข่มขู่”

พ.ต. กองทัพถอนหายใจยาว เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นล้วนส่งผลกระทบต่อทุกคน ชาวบ้านเดือดร้อน ทหารตำรวจถูกส่งลงมาปฏิบัติหน้าที่ ห่างครอบครัว ห่างคนที่รัก และก็ใช่ว่าจะได้กลับไปแบบมีลมหายใจทุกคนเสมอไป

...   

“เห็นพระเอกยังมิ้ว” เนตรนภาอดมากระซิบไม่ได้เมื่อผู้มารับบริการเริ่มเบาบางลง 

อัศวินีเงยหน้าขึ้นจากการวัดความดันคนไข้ ทำหน้างงๆ “พระเอกไหนคะพี่”

“อ้าว...ก็ผู้พันกองทัพยังไงล่ะ คนที่ตัวสูงใหญ่กว่าใครเพื่อน เห็นใครบอกว่าเป็นลูกชายนายทหารผู้ใหญ่ในกองทัพภาค โสดด้วย...สนเปล่า”

เพราะเคยพูดหยอกล้อกันขำๆ กับพี่ที่ทำงานว่าเธอชอบคนในเครื่องแบบ ถ้าจะมีแฟนก็จะมองแต่หนุ่มในเครื่องแบบ ทำให้พี่ๆ หลายคนเริ่มทำหน้าที่เป็นแม่สื่อแม่ชัก แนะนำคนโน้นคนนี้ให้รู้จักเพราะอยากให้น้องขายออกซะที อัศวินีได้แต่นึกขำ จริงๆ เธอก็แค่พูดไปเพื่อให้มีเรื่องมาคุยมาแซวกันขำๆ เท่านั้นเอง แต่ถ้าได้จริง...ก็ดี คนอารมณ์ดีคิดขำๆ ในใจ 

“ไม่ทันได้มองเลยค่ะ” เธอก็เห็นแวบๆ เหมือนกันว่ามีทหารกลุ่มใหญ่เข้ามาบริเวณที่กำลังตรวจสุขภาพให้ชาวบ้านแต่ก็ไม่ได้สนใจนัก เพราะยามปฏิบัติงานหญิงสาวจะทุ่มเทสมาธิจดจ่อกับงานตรงหน้าจนไม่ได้สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว 

“ระดับพันตรีนี่น่าจะอายุสามสิบอัปแล้ว อืม...น่ากลัวจะเป็นเกย์ ไม่งั้นก็หาความหล่อไม่เจอหรือเปล่าคะถึงยังไม่มีแฟน” คนที่เคยประกาศว่าชอบเครื่องแบบกลับว่าเสียอย่างนั้น 

มือเรียวของสาวรุ่นพี่ฟาดเผียะเบาๆ ที่ท่อนแขนของพยาบาลสาวรุ่นน้องด้วยความหมั่นไส้แกมขัน พลางเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ต๊าย...ไปว่าเขา รูปหล่อโพรไฟล์เลิศออกอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นจริงนี่เสียดายทรัพยากรบุคคลเพศชายแย่เลย” ท้ายประโยคออกแนวระแวงหน่อยๆ เหมือนกัน 

“ว่าแต่ไม่สนจริงอ้ะ...”

“แค่ที่มีก็สับรางแทบจะไม่ทันแล้วเจ๊” ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับราวเด็กซุกซน

“แหวะ...ขี้โม้ ก็เห็นบอกว่าชอบคนในเครื่องแบบนี่นา พอเราจะแนะนำก็ยังไม่สนอีก”

อัศวินีอมยิ้มขัน ก็พูดไปอย่างนั้นเอง สนุกสนานไปตามประสา แต่พอเอาเข้าจริงๆ ใครจะกล้าไปแสดงความสนใจออกนอกหน้าเล่า ไม่งาม ไม่เหมาะ ไม่ควรจ้า แหม...ของอย่างนี้มันต้องมีเชิงกันบ้าง หญิงสาวนึกขำๆ คนเดียวแล้วก็หันมาสนใจงานตรงหน้า หมดความสนใจเรื่อง ‘ผู้พันกองทัพ’ เพียงเท่านั้น

 

ดวงตะวันตรงศีรษะพอดีเมื่อพยาบาลสาวซักประวัติคนไข้คนสุดท้ายเรียบร้อยก่อนส่งพบแพทย์ วันนี้เมื่อยมือและปวดหัวพอสมควร เพราะชาวบ้านและนักเรียนที่มารับบริการส่วนใหญ่พูดภาษาไทยไม่ได้ ต้องอาศัยล่ามสลับกับใช้ภาษามือ แต่ก็สนุกดี มือเรียวสาละวนอยู่กับการเก็บอุปกรณ์บนโต๊ะ ครั้นเห็นเงาวูบวาบก็ไม่ทันได้มอง แต่ทักทายเสียงใสไปก่อนว่า “เชิญนั่งเลยค่ะ วันนี้เป็นอะไรมาคะ”

“เป็นทหารครับ”

หญิงสาวขำแกมฉุนปนกัน นี่กวนหรือว่าไม่เข้าใจที่ถามกันแน่ ครั้นแล้วอัศวินีก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดพรางเต็มตา แม้เธอจะเห็นเคยเห็นเขาเพียงสองครั้ง (ตามที่จำได้) แต่ใบหน้าหล่อร้าย เคราเขียวๆ ผมเกรียนๆ ดูดิบเถื่อนได้ใจแบบนี้...เธอจำได้แม่น!

“สวัสดีครับ”

กองทัพจงใจที่จะยิ้มใส่ตาโตๆ คู่นั้น นึกขำเหมือนกัน เออแน่ะ...ดูเจ้าหล่อนทำหน้าเข้าสิ ยังกับโดนผีหลอกอย่างนั้นละ

“คะ? เอ่อ...สวัสดีค่ะ” หญิงสาวทักตอบ เสียงตะกุกตะกัก ใจก็เต้นกระหน่ำ 

ตายแล้ว...กามเทพมีจริง กามเทพมาเยือนเมืองไทยแล้ว ไชโย้...ในที่สุดคำอธิษฐานของอัศวินีก็เป็นจริง เจอกันครั้งที่สามแล้ว...เราคงต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ เลย

เสียงในอกร้องด้วยความยินดี ดวงตาเป็นประกายสุกใสอย่างที่เจ้าตัวลืมรักษาฟอร์มไปสนิท ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นรึก็ช่างเปล่งปลั่งน่าดูน่าชมนัก

นายทหารหนุ่มอมยิ้มด้วยความขบขัน เหลือบตามองไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ จึงหันมาส่งยิ้มใส่ตาโตๆ คู่นั้นอีก

“เอ๊ะ...วันนั้นเป็นเจ้าหญิง แต่วันนี้เป็นนางฟ้าสีขาว...พยาบาลหรอกหรือครับ”   

แน่ะ...มาแซวเราอีก อายนะจะบอกให้ พวงแก้มสาวแดงก่ำด้วยความอายเมื่อนึกได้ว่าวันนั้นเธอดันทะลึ่งแซวเขาอย่างไรบ้าง ก็ใครจะไปนึกล่ะว่าจะได้เจอกันอีก ครั้นตั้งสติได้...ความเป็นตัวของตัวเองถึงได้กลับมา  

“ใช่ค่ะ เป็นพยาบาล พอดีวันนั้นแสดงอาการวิทยาคนไข้จิตเวชให้น้องนักศึกษาดูเป็นกรณีศึกษาค่ะ ตัวจริงเป็นคนเรียบร้อยค่ะ แต่เพื่อการศึกษาก็ทำได้ค่ะ คนสวยและใจบุญทำอะไรไม่น่าเกลียด”

กองทัพหัวเราะเบาๆ ด้วยความขันแกมหมั่นไส้ คนอะไร้...พูดออกมาได้หน้าตาเฉยว่าตัวเองสวย เรียบร้อย 

“อืม...สวย เรียบร้อย ใจบุญ โอเคครับ ตามนั้น” ดวงตาสีสนิมเหล็กเป็นประกายขบขัน ขัดกับใบหน้าที่ดูดุดัน ดิบเถื่อน ทำเอาคู่สนทนามือไม้สั่นอย่างช่วยไม่ได้ 

ฮื้อ...สเปกหนูเลย ดิบเถื่อนแบบนี้ทำเอาใจเต้นระรัว พยาบาลสาวคร่ำครวญในอก แต่ภายนอกพยายามบังคับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ 

ไม่ได้ๆ แกจะระริกระรี้ไม่ได้นะมิ้ว หญิงไทยใจงามต้องรักษาภาพลักษณ์นะเฟ้ย

คนที่บอกหน้าตาเฉยว่าตัวเองสวยจึงพยายามทำหน้านิ่งๆ ทั้งที่แก้มนวลแดงปลั่ง ดวงตาเป็นประกายวิบวับบ่งบอกถึงความรู้สึกภายใน 

กองทัพมองแล้วก็ทั้งขำ เอ็นดู และอยากแกล้งปนกัน “มีอะไรให้ผมช่วยไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก”

แค่นี้ก็มือสั่นจะแย่อยู่แล้ว ช่วยไปไกลๆ ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวได้ยินเสียงหัวใจง่ายของมิ้วกี้เต้นเป็นจังหวะแดนซ์เพลงหมอลำ

ขั้นแรกของการลืมแฟนเก่าคือต้องหาตัวช่วยมาดามใจสินะ อัศวินีแอบนึกขำๆ ยามเมื่ออีกฝ่ายเดินไปคุยกับผู้อำนวยการและผู้นำชุมชน แม้จะเป็นวิธีที่ไม่ยุติธรรมกับคนใหม่นัก แต่เธอก็คิดว่าถ้ามีใครเอาชนะใจเธอสำเร็จ เธอคงลบภาพแฟนเก่าที่ปัจจุบันเป็นสามีชาวบ้านทิ้งไปได้อย่างแน่นอน

 

ขากลับผู้พันกองทัพแจ้งเปลี่ยนแผนการเดินทางกะทันหัน สั่งให้รถกลับอีกเส้นทางเพื่อป้องกันการถูกลอบทำร้ายจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี กระนั้นแล้วคนที่รู้จักเส้นทางดีก็ยังอดที่จะอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ เพราะเส้นทางใหม่ที่ต้องผ่านนั้นภูมิประเทศสองข้างทางเต็มไปด้วยป่ารกทึบและภูเขาสูงขนาบ คาดว่าผู้อำนวยการคงปรึกษากับทางทหารแล้วเพราะก่อนหน้านี้เห็นยืนคุยกันด้วยท่าทางเคร่งเครียด

ร่างสูงใหญ่ในชุดพรางสวมเสื้อเกราะพร้อมอาวุธครบมือกระโดดเกาะท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของลูกน้องซึ่งติดเครื่องรอทำให้เจ้าหน้าที่สาวๆ หันไปกระซิบกระซาบกันแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“เท่จังเลยเนอะ เหมือนพระเอกหนังเลย”

ครั้นขบวนมอเตอร์ไซค์ของทหารล่วงหน้าไปก่อน ตามด้วยรถตู้ของโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บนรถตู้หลายคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เฮ้อ...ดีจังเลยนะที่ผู้พันอาร์มกับลูกน้องลาดตระเวนนำหน้าไปก่อน”

“นั่นสิคะ อุ่นใจขึ้นมาบ้าง”

อีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “อุ่นใจ แต่อีกใจก็ยังกังวลเพราะตอนนี้เป้าของการโจมตีคือทหาร ถ้าเผื่ออยู่ใกล้ทหารก็กลัวถูกลูกหลงไปด้วย”

“คงไม่หรอกค่ะ ผู้พันพาลูกน้องลาดตระเวนล่วงหน้าแบบนั้น ถ้าเกิดมีอะไรก็คงรับมือก่อน หรือถ้าเกิดเหตุจริงๆ ทหารก็คงวิทยุขอความช่วยเหลือจากหน่วยที่อยู่ใกล้ๆ ได้ทันเพราะอีกหน่อยพอพ้นเขตนี้ไปประมาณ 5 กิโลเมตรก็เป็นฐาน ตชด.”

พี่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีสามีเป็น ตชด. เอ่ยขึ้นมาด้วยความรู้จักพื้นที่และเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี

“อืม...ผู้พันแกเก่งเนอะ นอกจากกล้าหาญ ฝีมือดี แล้วยังได้ข่าวว่าลูกน้องรักนัก เข้าหมู่บ้านก็ได้ใจผู้นำหมู่บ้านและชุมชน คนแบบนี้หายาก” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชม ตามด้วยเสียงสนับสนุน

“นั่นสิ...คนมุ่งมั่นทำงาน ครองตน ครองคน ครองงานแบบนี้หาได้ยาก เห็นแฟนพี่บอกว่าแกก็เป็นอีกคนที่ถูกตั้งค่าหัวเหมือนกัน”

“แต่ถึงจะเก่งยังไงเราก็อดที่จะห่วงไม่ได้ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ ตอนทำงานก็ไม่ค่อยมีใครเห็นถึงความสามารถหรอกนอกจากลูกน้องที่ทำงานด้วยกัน หรือชาวบ้านที่ได้ไปสัมผัสคลุกคลี พอตอนตายในขณะปฏิบัติหน้าที่นี่สิถึงได้เป็นวีรบุรุษ”

เจ้าหน้าที่ผู้หญิงพูดคุยกันด้วยความเข้าใจ เพราะส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีสามีเป็นทหารหรือตำรวจแทบทั้งสิ้น

“เป็นอะไรมาก็ดังชั่วข้ามคืน ไม่นานคนก็ลืม สงสารก็แต่พ่อแม่ลูกเมีย คนที่อยู่ข้างหลัง”

อัศวินีฟังแล้วก็ได้แต่สะท้อนในอกลึกๆ เพราะที่ฟังก็ล้วนแต่เป็นแบบนั้นจริงๆ ครั้นแล้วก็ต้องหูผึ่งเมื่อใครบางคนพูดขึ้นมาว่า

“เอ...ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าผู้พันยังโสดนะ เคยมีแฟน แต่เลิกกันไปเป็นปีหรือสองปีแล้วแล้วมั้ง เห็นใครไม่รู้เล่าว่าแกรักงานมากกว่าแฟน ผู้หญิงทนไม่ได้ก็เลยเลิกไป”

คนแอบฟังตาวาว ว้าว...พี่เถื่อนโสดเหรอคะ เสร็จเรา! หุๆๆ

“แหม...พูดแล้วก็เสียดายแทนเนอะ ทหารอย่างผู้พันอาร์มหายากนะ เก่งๆ แบบนี้มีโอกาสเป็นใหญ่เป็นโตในกองทัพ ตอนยังเป็นทหารยศเล็กๆ ก็เป็นธรรมดาแหละที่ต้องทำงานหนักหน่อย สั่งสมประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ อีกหน่อยพอยศสูงขึ้น เป็นใหญ่เป็นโตก็สบายแล้ว เมียก็ได้เป็นคุณหญิงคุณนาย มีคนนับหน้าถือตา”

“แต่แหม...กว่าจะถึงตอนนั้น เป็นใครก็ต้องคิดหนักหน่อยละค่ะ เพราะเงินเดือนก็รู้ๆ กันอยู่ แถมยังทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนี้อีก หาความมั่นคงในชีวิตยากจริงๆ”

คนรู้ดีถูกคนรู้ดีกว่าตีเผียะเบาๆ ที่ท่อนแขนด้วยความหมั่นไส้ ก่อนที่คนรู้ลึกกว่าจะเอ่ยขึ้นมาว่า

“อุ๊ย...น้องขา ไม่รู้อะไร บ้านผู้พันแกมีฐานะค่ะ เพียบพร้อมทุกอย่าง เห็นแฟนพี่บอกว่าที่แกมาเป็นทหารแกก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินเดือนเท่าไหร่หรอก พอเงินสวัสดิการหรือเบี้ยเลี้ยงลูกน้องออกช้า แกก็เอาเงินตัวเองสำรองเป็นกองกลางก่อนทุกครั้ง”

อัศวินียิ้มด้วยความขบขันบทสนทนาบนรถตู้ แต่เลือกที่จะฟังเงียบๆ แต่แอบเก็บข้อมูลมาเพียบเหมือนกัน ก็เนื้อคู่ของเรานี่นา อิๆๆ แต่ไอ้ครั้นจะให้ไปผสมโรงพูดคุยแสดงความคิดเห็นหรือกระตุ้นให้คนเล่ายิ่งอยากเล่ามากกว่าเดิมเห็นจะไม่ใช่วิสัยเธอแน่ๆ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างที่แม่เคยสอน

‘ถ้าผู้หญิงคุยกันเรื่องของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรา โดยเฉพาะเป็นประเด็นในแง่ลบ เลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยงลูก อย่าไปอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ฟังเงียบๆ ไม่ต้องไปแสดงความคิดเห็น อย่าไปสนุกปากกับเรื่องของชาวบ้าน’

“อู้ย...น่าเสียดายแทนแฟนเก่าผู้พันจังเลยเนอะ ผู้ชายหล่อเลิศ โพรไฟล์เยี่ยมแบบนี้ใช่จะหาได้ง่ายๆ”

“แต่จะว่าไปแล้วเลิกกันตอนนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะเท่าที่รู้มาแฟนผู้พันเป็นแอร์ฯ ทำงานที่กรุงเทพฯ อีกหน่อยถ้าแต่งงานกันไป คนหนึ่งทำงานเสี่ยงอันตรายที่นี่ อีกคนอยู่ในเมือง นานวันเข้าก็ไม่รู้จะเป็นยังไง อาจจะมีเรื่องความห่างไกล ไม่มีเวลาให้กัน หรือไม่เข้าใจในงานของอีกคน เลิกกันไปตอนมีลูกมีเต้าด้วยกันแล้วสงสารเด็กแย่เลย”

นักข่าววิเคราะห์ข่าวของชาวบ้านเสร็จสรรพคล้ายกับมีญาณล่วงรู้อนาคตได้ ใครอีกคนก็เสริมขึ้นมาว่า

“นั่นสิ...คนที่ทำงานในพื้นที่ถ้าจะมีเมียสักคนก็ต้องเป็นคนที่เข้าใจจริงๆ เข้าใจและให้กำลังใจคนทำงาน ไม่ใช่สักแต่ว่าพูดว่าเข้าใจ”

พอหมดจากเรื่องของคนที่อุตส่าห์ลาดตระเวนล่วงหน้าไปก่อน ผู้หญิงซึ่งเป็นเพศช่างคุยอยู่แล้วก็มีเรื่องอื่นๆ มาคุยกันได้ไม่หยุดปาก 

อัศวินีหลับตานิ่งๆ คล้ายอ่อนเพลียจากการออกหน่วยฯ ทั้งที่จริงๆ แล้วซ่อนความปลื้มอกปลื้มใจไว้ต่างหาก ตายแล้ว...พี่เถื่อนยังโสด คริๆ เธอไม่ได้คิดอะไรเกินเลยจริงๆ นะ ก็คงเหมือนกับเวลาเราปลื้มดาราสักคน แค่ยืมหน้ามาเข้าฝันก็มีความสุขแล้ว อิๆๆ

 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น