บทที่ ๒
มารินทร์น้องสาวของไผทแวะมาบ้านช่วงหัวค่ำ คนที่แจ้งข่าวร้ายให้รู้ไม่ใช่พี่ชายแต่เป็นภรรยาของเขา มารินทร์ หรือ เดือน อายุน้อยกว่าไผทห้าปี เธอเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งผิวขาวเกลี้ยง ผมสีน้ำตาลไหม้ดัดเป็นลอนขับดวงหน้าให้ดูโดดเด่น นิสัยส่วนตัวเป็นคนหัวรั้น คิดอ่านกระชับฉับไวเหมือนไผท เคราะห์ดี เธอมักเลือกยืนอยู่ฝั่งพี่สะใภ้มากกว่าพี่น้องที่คลานตามกันมา
บทสนทนาสั้นๆ กับโชตช่วยให้เกนนิษฐาสบช่องช่วยสามี สิ่งแรกที่ทำหลังจากวางสายญาติผู้ใหญ่ คือการโทร. หาน้องสามี เกนนิษฐาสาธยายวิกฤตของแลนด์สเคปฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานภาพครอบครัวให้มารินทร์ฟัง และเมื่อประโยคว่าขายบ้านหลุดออกจากปาก น้ำเสียงคนที่อยู่ปลายสายก็ฟังไม่ค่อยสบอารมณ์ อดีตนักบริหารสาวในคราบแม่ลูกหนึ่งบอกว่ามีทางออกสำหรับปัญหานี้โดยไม่ต้องขายบ้านที่ไผทและมารินทร์เติบโตมา แน่นอน เกนนิษฐาชิงบอกเนิ่นๆ ว่าทางออกนั้นไม่ใช่การกู้ยืมเงินจากแม่ของเธอ เพราะสิ่งเดียวที่สองพี่น้องหัวรั้นเห็นตรงกันคือ ไม่นับช้องเป็นญาติ
หลังวางสาย เกนนิษฐารีบเดินไปหานายหน้าหัวใสและขอโทษอย่างสุภาพว่า เปลี่ยนใจไม่ขายบ้านหลังนี้ด้วยเหตุผลส่วนตัว ไผทซึ่งกำลังจดปากเซ็นสัญญาไม่เข้าใจท่าทีของภรรยา ทำได้เพียงบอกนายหน้าและผู้ซื้อว่าขอตัดสินใจอีกครั้งแล้วจะรีบติดต่อกลับ ชายหนุ่มพยายามถาม แต่เกนนิษฐาเกริ่นสั้นๆ
‘มีคนรับจำนองบ้านพร้อมที่ดินหลังนี้ในราคาสิบล้านบาท’ แววตาสงสัยของไผทเริ่มเปลี่ยนเป็นขุ่น แต่เกนนิษฐายิ้มน้อยๆ และพูดต่อ ‘คนที่ขอซื้อไม่ใช่คุณแม่’
“ฉันว่าเธอคงไม่ใช่เศรษฐีกระเป๋าหนักคนนั้นหรอกมั้ง” ไผทพูดติดตลก ชายตามองน้องสาวที่เพิ่งมาถึง “วางแผนอะไรอยู่สิท่าสองสาว”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เดือนอยากรู้ว่าพี่ดินไปทำอีท่าไหนบริษัทถึงเจ๊งกะบ๊งแบบนั้น จำได้ว่าปีก่อนยังมีกำไรพอจ่ายโบนัสให้พนักงานคนละสองสามเดือนอยู่เลย”
เทภานันทน์คนพี่เหลือบมองภรรยา “มีกาคาบข่าวไปบอกละสิ รู้แล้วก็เงียบๆ นะยายเดือน ถือว่าฉันขอ อย่าเพิ่งไปบอกแม่ เดี๋ยวแกจะกังวลเปล่าๆ”
“ก็ไม่ใช่ครั้งแรก” มารินทร์หย่อนตัวลงข้างๆ วินน์ อุ้มหลานชายมานั่งตัก แต่เด็กเล็กวัยเพียงสี่ขวบซนเกินกว่าอยู่นิ่ง ไม่นานก็สะบัดตัวหนี มารินทร์มองตามด้วยแววตาสงสาร “เห็นพี่เกนบอกว่าพี่จะขายบ้านหลังนี้ เดือนบอกตามตรงว่าไม่เห็นด้วย พอจะมีทางอื่นไหมพี่ดิน”
“ก็ลองถามพี่สะใภ้คนดีของเธอดูสิ ฉันก็รอฟังอยู่”
สายตาสองคู่จับที่เป้าเดียวกัน เกนนิษฐานั่งนิ่งไม่พูดจาตั้งแต่มารินทร์ย่างเท้าเข้ามาในบ้าน คล้ายกำลังประเมินว่าควรแทรกตอนไหน ก่อนรับบทแม่บ้านแม่เรือนเธอเคยเป็นโพรเจกต์เมเนเจอร์ของเอเจนซีเบอร์ต้นระดับประเทศ นอกจากใบหน้าสะสวย ทักษะการเจรจาก็ดูเป็นข้อเด่นติดตัว แม้ข้อเด่นที่ว่าจะทื่อไปบ้างเมื่อไม่ได้ลับคมหลังลาออกจากงาน
“มีคนรับจำนองบ้านหลังนี้ในราคาสิบล้านบาทพร้อมออปชันพิเศษ และเขาสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรกับที่ดินแปลงนี้ภายในระยะเวลาห้าปี”
“ใคร” ไผทถาม
“ญาติเกนคนหนึ่ง”
“ไม่” ชายหนุ่มตัดบททันที ไผทฝังหัวว่าศุภานุรักษ์ทั้งก๊กเป็นพวกเก่งเรื่องดูแคลนคน ตลอดเวลาที่พิสูจน์ความรักที่มีต่อเกนนิษฐาเขาถูกเหยียดซ้ำๆ ว่าชะเง้อมองดอกฟ้า บ้างว่าเขาหวังรวยทางลัดด้วยการทำหน้าให้หนาแล้วเดินหน้าตื๊อต่อไปเรื่อยๆ คนที่พูดประโยคนี้คือพวกศุภานุรักษ์สักคน หลังจากวันนั้นไผททุ่มแรงกายแรงใจให้แลนด์สเคปฯ หวังสร้างธุรกิจที่สามารถเลี้ยงลูกและเมียให้ไม่น้อยหน้าใคร แต่ดูเหมือนคนที่ได้ยิ้มในตอนท้ายไม่ใช่เขา
“ใจเย็นๆ สิพี่ดิน ฟังพี่เกนพูดให้จบก่อน ถ้าไม่ถูกใจค่อยปฏิเสธก็ยังทัน” เป็นอีกครั้งที่มารินทร์เลือกยืนข้างพี่สะใภ้ “พี่เกนบอกว่าคนที่จะซื้อบ้านไม่ใช่แม่ของพี่ แล้วเขาเป็นใครคะ”
“เป็นญาติที่ไม่ได้เจอกันมาหลายสิบปี และเป็นคนที่แม่พี่เกรงใจที่สุด”
“เดือนเคยเจอไหมคะ”
เกนนิษฐาส่ายหน้า “อย่าว่าแต่เดือนเลย ขนาดพี่เป็นหลาน ยังเคยเจอแค่ไม่กี่ครั้ง”
“อืม... แล้วจู่ๆ เขารู้ได้ยังไงว่าพี่ดินกำลังต้องการใช้เงิน ขนาดเดือนเป็นน้องแท้ๆ ยังไม่รู้”
นั่นเป็นข้อกังวลเดียวที่เกนนิษฐาคิดอยู่ ทำไมชายชราผู้ไม่เคยสุงสิงกับใครถึงปรากฏตัวในเวลาพอเหมาะ คิดในแง่ดีอาจเป็นโชค แต่หากมองในแง่ร้ายก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มีวาระลวงเร้นอะไรหรือไม่ แต่หญิงสาวคิดว่าจะหาคำตอบนั้นได้หากมีโอกาสพบหน้าตาน้อยสักครั้ง
“เราถึงต้องหาคำตอบกันไง” เกนนิษฐาพูดก่อนเหลือบมองสามีที่นั่งข้างๆ “ลองไปคุยกับตาน้อยสักครั้งนะคะดิน เกนขอ”
นั่นเป็นคำขอแรกของภรรยาหลังล่มหัวจมท้ายกันมาสี่ปี คนถูกรบเร้านิ่งคิด ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเสียเวลาคิดหากเรื่องนั้นเกี่ยวพันกับคนบ้านนั้น ไผทเหลือบมองน้องสาวเป็นการหยั่งเสียง เธอพยักหน้าสนับสนุนความคิดนั้น แน่ละ เกนนิษฐาเรียกเธอมาเพื่อสนับสนุน
สุดท้ายไผทหันไปมองลูกชาย น่าแปลก กระทั่งจอมซนวัยสี่ขวบยังยิ้มให้
ตารางงานของไผทแน่นเอียดทั้งวัน อดีตหุ้นส่วนแลนด์สเคปฯ นัดพบเพราะมีเรื่องสำคัญอยากปรึกษา น้ำเสียงกึ่งตระหนกจากปลายสายบอกให้ไปหาที่ออฟฟิศย่านพระรามสี่แต่เช้า ไผทหวังว่าเรื่องนั้นคงสำคัญพอ เขายังต้องไปพบลูกค้าหลายรายเพื่อชี้แจงปัญหาที่เกิดกับบริษัท ไม่นับต้องเจรจากับซัพพลายเออร์หลายเจ้าที่เวลานี้เปลี่ยนสถานะจากผู้ให้บริการเป็นเจ้าหนี้ นอกจากนั้นยังต้องเผื่อเวลาสำหรับนัดสุดท้ายซึ่งภรรยาสาวเป็นธุระจัดการให้เข้าพบกับญาติผู้ใหญ่รักสันโดษที่ชื่อโชต
ช่วงบ่าย มารินทร์กับเพื่อนชื่อวิมวัชร์ก็แวะมาที่บ้าน เขาเป็นชายรูปร่างสูง ผมหยักศกสีดำเสยตั้งอวดเครื่องหน้าคมเข้ม ปีกจมูกสอบรับริมฝีปากบางเฉียบ ดูผิวเผินเหมือนเป็นคนขรึมเงียบ แต่เนื้อแท้รวยอารมณ์ขันยิ่งกว่าใคร ไฮโซหนุ่มเป็นช่างภาพฝีมือดี ทำงานอยู่บริษัทเดียวกับเกนนิษฐา ทั้งสองสนิทสนมกลมกลืนเหมือนพี่น้อง ภายหลังจากที่เกนนิษฐาลาออกจากงานวิมวัชร์ยังคงแวะมาหาอยู่เสมอ จนวันหนึ่งได้พบกับมารินทร์ เมื่อนั้นต้นรักก็ผลิดอกระบัดใบในใจเขา
“พจมานกำลังเก็บของออกจากบ้านทรายทองเหรอฮะ” เสียงทุ้มห้าวลอยมา ที่ตามติดคือรอยยิ้มยียวนบนหน้า
สิ้นเสียงวิมวัชร์ วินน์ซึ่งกำลังฝึกระบายสีทิ้งอุปกรณ์ทุกอย่างในมือวิ่งโผเข้าหาชายหนุ่ม “น้าก้อง”
วิมวัชร์อ้าแขนรับ “คนเก่ง ทำอะไรอยู่ครับ”
“ระบายสีไดโนเสาร์อยู่ครับ” ไม่พูดเปล่า วินน์หยิบภาพไทรเซอราทอปส์ที่มีผิวกายสีรุ้งขึ้นอวด
“สวยมากเลย อืม แต่น้าก้องว่าเติมสีม่วงตรงหางอีกหน่อยจะสวยกว่านี้นะ”
วินน์ไม่รอช้าคว้าดินสอสีขึ้นมาระบายอย่างตั้งใจ
ชายหนุ่มทิ้งตัวเอกเขนกบนโซฟาตัวยาว แต่พอเห็นมารินทร์เดินเข้ามาจึงรีบเอาขาลง
หญิงสาวมองตาขุ่น “จะสบายไปปะ”
วิมวัชร์ยิ้มแหย “เค้าเผลอไปหน่อย ขอโทษนะตัวเอง”
“ตัวเองตัวเอิงอะไร เพื่อนเล่นเหรอ” มารินทร์ถลึงตามอง
“ไม่เป็นเพื่อน สงสัยอยากเป็นแฟน ได้นะเค้าไม่ติด” ขาดคำ ถุงขนมมอคคาทอฟฟีเค้กก็ลอยใส่หัว วิมวัชร์หน้าเหลอใช้สองมือคว้าไว้หวุดหวิด “ใจเย็นๆ สิคุณ ผมแค่ล้อเล่น”
“ไปเล่นที่อื่นเลยปะ คนกำลังซีเรียส” มารินทร์ทิ้งตัวลงนั่งข้างพี่สะใภ้ “วันนี้เดือนว่าง จะมาช่วยพี่เกนเก็บของ แต่อีตาเนี่ยสาระแนขอตามมาด้วย”
คนโดนแขวะยิ้มลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้าน หญิงสาวตีหน้ายักษ์อีกหนก่อนหันไปพูดต่อ “เออพี่เกน แล้วเรื่องที่คุยกันเมื่อวานตกลงว่าไง พี่ดินยอมไปปะ”
อีกฝ่ายพยักหน้า “แต่ไม่รู้เปลี่ยนใจรึยังนะ นี่ก็บ่ายกว่าแล้วยังไม่กลับมาเลย”
“แล้วลุงโชตเขาเป็นคนยังไงเหรอ”
“พูดจริงๆ นะเดือน พี่ก็จำไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่าสมัยเด็กๆ คุณแม่เคยพาไปไหว้อยู่สองสามครั้ง ท่านเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจา เหมือนคิดอะไรในหัวอยู่ตลอดเวลา ขนาดคุณแม่เป็นน้อง ตาน้อยยังแทบไม่คุยด้วย พูดไปก็สงสารนะ ตาน้อยไม่มีครอบครัว อายุก็มากแล้ว พลชีวันคงสิ้นสุดลงที่ท่านนี่ละ”
“ไม่ใช่ว่าเดือนไม่ไว้ใจญาติของพี่นะ แต่อย่างที่พวกเราคุยกัน หลายอย่างมันพอดีเกินไป พี่เกนคิดดูสิ บริษัทพี่ดินขาดทุนหนักจนต้องปิดกิจการ ต้องหาเงินมาปิดหนี้ แล้วจู่ๆ ตาน้อยของพี่ก็เข้ามาเสนอความช่วยเหลือ เดือนกำลังคิดว่ามันบังเอิญไปรึเปล่า”
“คุณก็ดูหนังสายลับมากเกินไป” วิมวัชร์แกล้งขัดอย่างที่ทำประจำ “ลุงแกจะทำแบบนั้นไปทำไม”
“ใครขอความเห็นไม่ทราบ อยู่เงียบๆ ก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอก”มารินทร์ขู่ฝ่อ
“พอทีทั้งสองคน ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้ ” เกนนิษฐาตีระฆังห้าม “เดือนไม่ต้องกังวลหรอก พี่ไม่ให้ใครมาเอาเปรียบพี่ดินแน่นอน ถึงคนคนนั้นจะเป็นญาติพี่ก็เถอะ”
คุยกันพักใหญ่กว่าไผทจะกลับมาถึงบ้าน สังเกตจากสีหน้าของเขา วันนี้คงเจอเรื่องร้ายมากกว่าดี สถาปนิกหนุ่มเล่าให้ทุกคนฟังว่าลูกค้ารายใหญ่สามรายฉีกสัญญาว่าจ้างไปแล้ว อีกสองรายกำลังพิจารณาพอร์ตโฟลิโอคู่แข่ง ซ้ำร้ายซัพพลายเออร์ยังเร่งให้เคลียร์ยอดหนี้ก่อนสิ้นเดือน ข่าวร้ายจากปากไผททำเอาข่าวดีดูกร่อยสนิทใจ
“แต่ผมกับไอ้รุตได้รับงานก่อสร้างบ้านพักตากอากาศที่หัวหิน พวกเราลองเคาะกันดูแล้ว ถ้าละเอียดกับวัสดุและงานก่อสร้างสักหน่อยก็น่าจะได้กำไรเยอะพอสมควร”
“ซึ่งก็ต้องหารสอง” มารินทร์ดักคอ
“พี่คุยกับรุตมันแล้ว หกสิบสี่สิบ”
“แต่มันเป็นโครงการระยะยาวนะคะดิน กว่าจะได้เงินครบก็คงอีกหลายเดือน” เกนนิษฐาหยั่งเชิง
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ผมเกริ่นกับไอ้รุตไว้แล้วว่าจะขอยืมเงินมันสักก้อน” ภรรยาสาวกำลังอ้าปาก ไผทรู้ดีว่าเธอจะพูดอะไรเขาจึงชิงพูดก่อน “แต่นั่นคือหลังจากที่เราไปคุยกับญาติของเกน”
มารินทร์หน้าบูดเมื่อรู้ว่าต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กแทนที่จะได้ตามไปเป็นผู้สังเกตการณ์ ตรงกันข้ามกับวิมวัชร์ที่ยิ้มไม่หุบ เขาพึงที่จะได้ใกล้ชิดกับน้องสาวไผทมากกว่าไปนั่งฟังข้อเสนอและตัวเลข นั่นไม่ใช่งานที่เขาถนัด และจะไม่มีวันถนัด ชายหนุ่มหยอกว่า เขา มารินทร์ และวินน์เหมือนเป็น พ่อ แม่ ลูก หญิงสาวได้ฟังก็เอ็ดตะโรลั่นบ้าน เกนนิษฐาไม่แน่ใจว่าความคิดที่ให้ทั้งสองคนอยู่รอฟังข่าวที่บ้านเป็นเรื่องดีหรือไม่ แต่เธอแน่ใจว่าจะคุยธุระได้เนื้อหนังมากกว่าถ้าไม่มีคู่กัดคู่นี้ตามไปด้วย
จุดหมายปลายทางซ่อนอยู่หลังกำแพงปูนสีหม่นสูงเฉียดสามเมตร ตัวเรือนสีน้ำตาลอ่อนอยู่กลางแมกไม้ ต้นวาสนากอใหญ่ขึ้นเบียดแน่นอยู่ใกล้ประตูไม้บานใหญ่ กระดิ่งลมหลายชนิดแข่งขันประชันเสียง
บริเวณเชิงชาน ชายสูงอายุยืนโปรยยิ้ม “สวัสดีหนูเกน”
หัวคิ้วหญิงสาวขมวดชิด เสียเวลาครู่ใหญ่กว่าจะขุดค้นความทรงจำเกี่ยวกับชายท่าทางสุขุม เวียงเป็นทนายประจำตระกูลพลชีวัน ครั้งสุดท้ายที่พบในงานศพป้าชุนตอนนั้นเขายังดูหนุ่มแน่น และผมไม่ถูกแต้มด้วยสีขาวมากเท่านี้
“อาเวียง?” เกนนิษฐาทวนชื่อ
“ใช่ครับ ไม่ได้พบกันนานทีเดียว” คนดูหนุ่มกว่าอายุฉีกยิ้มแล้วหันไปทักทายไผท “สวัสดีครับคุณดิน”
ไผทยกมือไหว้ แปลกใจเล็กน้อย เขาไม่เคยเจอเวียงมาก่อน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักตัวเขาพอสมควร
“คุณอาสบายดีรึเปล่าคะ เราไม่ได้พบกันเลยตั้งแต่งานศพคุณป้า”
“สบายดีครับ ไม่เจ็บไม่ไข้ อาต้องขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่ง ช่วงนั้นงานยุ่งจริงๆ แต่ถ้ายังไงอาว่าเสร็จธุระแล้วค่อยคุยกันดีไหม คุณโชตท่านรออยู่นานแล้ว”
สามีภรรยาก้าวตามขึ้นไปสมทบนายเวียง เขาผายมือไปที่ประตูไม้บานคู่ที่เปิดรออยู่ ภายในบ้านหลังนี้ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนน้อยชิ้น แต่ทุกชิ้นล้วนเก่าแก่มีมูลค่า ผนังสีเหลืองอ่อนอมแดดสุดท้ายช่วยขับให้ภายในสว่างเรื่อ ไผทลอบสังเกตเครื่องเรือนตามนิสัย พวกมันช่วยบอกว่าเจ้าของบ้านเป็นคนสมถะ เรียบง่าย ทว่าซ่อนด้วยความมีรสนิยมลุ่มลึก
และชายคนที่ว่านั่งรับแสงอาทิตย์สุดท้ายอยู่ตรงประตูบานเฟี้ยมติดสวน
โชต พลชีวัน ชายชราวัยแปดสิบเจ็ดนั่งนิ่งสงบอยู่บนเก้าอี้โยกราวรูปปั้น เส้นผมสีขาวดกดื่นเป็นประกายระยิบระยับ ริ้วรอยและแต้มกระบนใบหน้าบ่งบอกถึงชีวิตที่ยืนยาว ดวงตาไร้อารมณ์เหม่อมองไร้จุดหมาย
“ตาน้อยคะ” หลานสาวทัก
“เข้ามาใกล้ๆ” ชายชราตอบกลับทั้งที่ไม่หันมามอง เสียงนั้นแหบแห้งอ่อนแรง เขาปัดมือให้ทนายความประจำตัวออกไปรอด้านนอก เมื่อประตูปิดสนิทจึงเริ่มบทสนทนา “สบายดีใช่ไหมเกน”
“เกนสบายดีค่ะ แล้วตาน้อย...” เกนนิษฐากำลังถามกลับ แต่ชายแก่ชิงพูดก่อน
“แต่สามีหลานคงไม่สบายเท่าไหร่”
เหมือนศรแหลมปักเข้ากลางอก ไผทชายตามองภรรยา...สงสัยพลชีวันหรือศุภานุรักษ์ก็ไม่ต่างกัน
เขาน่าจะรู้ตั้งแต่ก่อนมาถึง พวกนี้สืบสาแหรกผู้ดีเก่า กิริยาท่าทางยกเหนือคนอื่นจนเหมือนเป็นสันดานเวียนว่ายในสายเลือด สถาปนิกหนุ่มหวังลึกๆ ว่าคุณโชตจะเหยียดผยองน้อยกว่าคุณช้องน้องสาว
“คนหนุ่มสมัยนี้ใจร้อน บุ่มบ่าม ไม่รอบคอบ”
“ด้วยความเคารพครับคุณโชต ผมรู้ข้อเสียของตัวเองดีกว่าใคร” เสียงไผทคล้ายว่าแข็งขึ้น
“ไม่...ฉันแน่ใจว่าเธอไม่รู้”
ไผทหันกลับไปมองภรรยา “เกน ผมว่าเรากลับกันเถอะ”
“แต่ฉันว่าเธอควรฟังข้อเสนอก่อนนะพ่อหนุ่ม”
ชายชราท้วงเสียงเรียบก่อนหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาสองซอง ซองแรกใหญ่ขนาดกระดาษเอสี่ อีกซองเท่าซองจดหมาย เขาบรรจงวางบนโต๊ะกระจกสีชา สองสามีภรรยาเพิ่งเห็นว่าบนโต๊ะมีกุญแจพวงใหญ่วางอยู่
“ใจจริงฉันก็อยากถามสารทุกข์สุกดิบหลานสาวฉันก่อน ไม่ได้เจอกันหลายปี แต่ดูเหมือนเธอจะใจร้อน ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยธุระกันเลยก็แล้วกัน...ที่วางอยู่บนโต๊ะคือเช็คเงินสดสิบห้าล้านบาทพร้อมสัญญากู้ยืม ลองอ่านดูสิ มีเงื่อนไขไม่กี่ข้อ คงไม่เสียเวลาเท่าไหร่หรอก”
สถาปนิกหนุ่มพยายามสำรวจคนยื่นข้อเสนอด้วยสองตา แต่เจ้าของร่างผอมซูบบนเก้าอี้โยกไม่แสดงความรู้สึกใดให้พิเคราะห์ แม้ขณะคนหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบซองเปิดออกอ่าน ชายชราคนนั้นก็ยังคงปั้นหน้าเรียบเฉย เป็นไผทเสียอีกที่เผยความรู้สึกออกมาหลังอ่านเอกสารฉบับนั้น
“นี่มันหมายความว่ายังไงครับ”
“ฉันคิดว่าคุณเวียงร่างสัญญาได้เข้าใจง่ายพอแล้วนะ”
“แต่ผมไม่เข้าใจ” ไผทยืนยัน
โชตเสมองไปนอกหน้าต่าง ราวกับว่ากิ่งไม้ในสวนน่าสนใจกว่าผู้ชายขี้สงสัยเบื้องหน้า “รายละเอียดก็ระบุชัดเจนตามนั้น ฉันยินดีรับจำนองบ้านของเธอในราคาสิบล้านบาทโดยไม่คิดดอก ไม่รื้อสร้างทุบถอนภายในเวลาห้าปีหลังวันทำสัญญา ส่วนเงินห้าล้านที่เหลือก็เป็นค่าจ้างเพื่อรีโนเวตบ้านเก่าหลังหนึ่ง ซึ่งฉันแน่ใจว่าคงไม่มีใครเหมาะสมกับงานนี้เท่ากับสถาปนิกฝีมือดีอย่างเธอ”
“เรื่องนั้นผมเข้าใจครับ แต่ที่ไม่เข้าใจคือเงื่อนไขข้อสุดท้าย คุณเขียนไว้ว่าระหว่างการซ่อมแซม ผมกับครอบครัวต้องไปอยู่ที่นั่น”
ผู้สูงวัยหันกลับมาสบตาคนตั้งคำถาม “ใช่ นั่นคือความต้องการของฉัน ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในบ้านหลังนั้นตกทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูล ฉันไม่อยากให้มันเสียหายระหว่างการซ่อมแซม มันเคยเกิดเรื่องแบบนี้มาแล้วและฉันก็รับไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเธอไม่พอใจเงื่อนไขก็แค่เดินออกไปแล้วลืมซะว่าเคยมาที่นี่”
ระหว่างที่โชตกับไผทกำลังเจรจาต่อรอง เกนนิษฐากลับนิ่งผิดสังเกต เธอไม่ได้ยินบทสนทนาใดๆ สายตาจับจ้องพวงกุญแจเก่าที่วางอยู่บนโต๊ะ ความรู้สึกบางอย่างทำให้ไม่อาจละสายตาจากมัน เหมือนถูกดึงดูดด้วยพลังงานลี้ลับ เธอเอื้อมมือออกไปและแตะกุญแจ
ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัส ก็เหมือนว่าโลกทั้งใบถูกห่มคลุมด้วยโดมสีดำสนิท ห้องรับแขกบ้านโชตเจิ่งนองไปด้วยเลือด ในเงาสลัว ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่กลางเงามืด บนไหล่เปลือยมีผ้าสีแดงคลุมอยู่ ชายผ้าส่ายพลิ้วอืดเอื่อยเหมือนร่อนอยู่ในน้ำ เธอเอี้ยวคอคล้ายหันมามองคนที่อยู่ด้านหลัง ใบหน้าครึ่งเสี้ยวโกรกไปด้วยเลือด เป็นเหตุให้อุณหภูมิในร่างลดต่ำ ไรขนชูยิบตกใจแทบสิ้นสติ!
ภาพสะเทือนขวัญหายไปหลังเกนนิษฐาถอนนิ้วออกจากกุญแจ
ความคิดเห็น |
---|