7

บทที่ ๗

บทที่ ๗

 

คอนโดสไตล์ลอฟต์ขนาดห้าสิบแปดตารางเมตรตกแต่งเรียบหรู เฟอร์นิเจอร์เกือบทุกชิ้นเป็นสีโทนเข้ม ดูสวยงามเมื่อถูกขับด้วยไฟดาวน์ไลต์สีส้มนวล ผนังปูนเปลือยกระดำกระด่างประดับด้วยประติมากรรมลอยตัวรูปหัวกวางทำจากสแตนเลส เขาสัตว์จำลองเป็นพุ่มวาววับเมื่อกระทบแดดเช้า ผนังอีกด้านมีภาพถ่ายแปะอยู่เต็ม ทั้งภาพวิว ภาพเจ้าของห้องถ่ายคู่กับแลนด์มาร์กทั่วโลก อาทิ หอไอเฟล ปราสาทนอยชวานชไตน์ หอเอนเมืองปิซา วัดพระแก้ว รวมไปถึงภาพมารินทร์

บนโต๊ะทำงานชาเอิร์ลเกรย์ส่งกลิ่นหอมละมุน วิมวัชร์ยกขึ้นจิบเป็นระยะระหว่างรอคัดลอกไฟล์ภาพลงคอมพิวเตอร์ ชายหนุ่มยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงใบหน้าถมึงทึงของมารินทร์ตอนเธอถูกเขาเรียกว่าภรรยา หญิงสาวเห็นอะไรใกล้มือเป็นคว้าแล้วปาใส่อย่างหงุดหงิด ไม่รู้เพราะอะไรวิมวัชร์ชอบเห็นเธอโกรธเป็นฟืนไฟมากกว่าซึมสงบ ไฮโซหนุ่มรู้จักมารินทร์เมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาไปเยี่ยมเกนนิษฐาที่บ้าน แรกนั้นเป็นอาการหมาหยอกไก่ ไฉนไปๆ มาๆ เขากลายเป็นหมาผู้ซื่อสัตย์ต่อไก่ตัวนั้นเสียฉิบ วิมวัชร์เข้าใจตัวเองไม่ผิด มูลเหตุที่ทำให้ชอบมารินทร์เป็นเพราะเธอมีอุปนิสัยบางอย่างคล้ายกับเกนนิษฐา เขายอมรับว่าเสียใจเมื่อได้ยินข่าวบุตรสาวคุณช้อง ศุภานุรักษ์ แต่งงานกับสถาปนิกหนุ่มอนาคตไกล แต่วิมวัชร์ยินดีเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเกนนิษฐาให้เป็นเพียงพี่สาวแสนดี เพราะอย่างไรเสียเธอก็ไม่เคยมองเขาเกินไปกว่าน้องชาย

ดูเหมือนพระเจ้าคงเห็นใจ วันหนึ่งจึงประทานมารินทร์มาให้

มือข้างหนึ่งเลื่อนเมาส์ อีกข้างยังยกหูแก้วชาขึ้นจิบ จอไอแมคโปรแสดงภาพมารินทร์ในอิริยาบถต่างๆ โดยมีบ้านไทยโมเดิร์นเป็นแบ็กกราวนด์ ที่เหลือเป็นภาพมุมสวยในบ้านพลชีวันที่วิมวัชร์ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกหลายสิบรูป เมื่อคลึงนิ้วไปถึงภาพสุดท้าย ชายหนุ่มวางถ้วยชา โน้มไปจ้องพลางนึกถึงที่มาของภาพ เขาถ่ายมันบนชั้นสองโดยบังเอิญ ตอนนั้นเกนนิษฐากรีดร้องเธอบอกว่าเห็นอะไรบางอย่าง

 

บัวนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น ตัวของเธอยังสั่นไม่หยุด หน้าเซียว ปากซีดขาว แต่ตาไม่กลอกไปมาอย่างก่อนหน้า

“เกิดอะไรขึ้นไหนลองเล่ามาซิ” เกนนิษฐาถาม

“บะ บัว เห็น...ผีค่ะ” แม่บ้านสาวละล่ำละลัก

“ผี?” หางเสียงไผทยกสูง “เหลวไหล ผีเผอมีจริงที่ไหน ดูละครมากไปสิท่า”

เกนนิษฐาหันไปมองสามีตาเขียว “อย่าเพิ่งขัดสิคะ ฟังบัวเล่าให้จบก่อน” 

ค้อนสามีจบจึงสั่งให้แม่บ้านสาวเล่าต่อ หญิงชาวพม่าพูดกระหมุบกระหมิบ

“เมื่อคืนพอหนูปิดประตูหน้าต่างหมดแล้วก็เดินกลับเข้าห้อง สักพักใหญ่ๆ ได้ยินเสียงดัง เหมือนมีอะไรล้มเลยออกมาดู พอไปถึงห้องใหญ่เห็นไฟเปิดอยู่นึกว่าคุณเกนยังไม่นอน เลยเดินไปดูที่ห้องรับแขก หนูไม่เห็นคุณเกนแต่เห็น...” แม่บ้านสาวเบิกตากว้าง ไรขนลุกชูอย่างพร้อมเพรียง

“เห็น? เห็นอะไร” นายจ้างสาวถาม

“ผู้หญิง...” เจ้าของเสียงพูดเบาจนเกือบกระซิบ “หน้าเป็นเงาดำๆ ยกเว้นดวงตาเป็นสีแดงเหมือนถ่านไฟ”

ลมหายใจคนถามหยุดชั่วขณะ 

‘หน้าเป็นเงาดำๆ ยกเว้นดวงตาเป็นสีแดงเหมือนถ่านไฟ’

ความทรงจำเมื่อกลางดึกย้อนคืนกลับ หลังจากสมองไม่แล่นพอสร้างสรรค์บทความ เกนนิษฐาจึงเลือกเข้านอนแทนฝืนทำงานต่อ เธอเดินผ่านระเบียงที่มีกระจกบานใหญ่รับแสงจันทร์ แต่แสงจันทร์ที่ต่างไปจากทุกคืนบังคับเกนนิษฐาให้หยุดมอง แสงสลัวเป็นสีค่อนไปทางแดง 

ตึ้ก...ตึ้ก

คิดได้เพียงเท่านั้นหูก็สดับเสียงดังมาจากโถงกลางที่เพิ่งเดินจากมา เธอตัดสินใจย้อนกลับไปดู เสียงดังกล่าวมีที่มาจากชั้นสอง...เท้าเปล่าเปลือยของเธอสัมผัสผิวขั้นบันได แต่สิ่งที่ทำให้เย็นวาบไม่ใช่ไอเย็นที่คายออกมาจากแผ่นไม้สักเลื่อมเงา ทว่าเป็นบางอย่างที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เงาดำปริศนาที่มีดวงตาแดงก่ำ!

ภาพเหตุการณ์มากมายแล่นวาบเข้ามาในหัวเกนนิษฐา แม่น้ำเจ้าพระยา โกดังสินค้า ชายหญิงผู้มีหน้าตาคล้ายวิมวัชร์กับมารินทร์ ต้นสกุลพลชีวัน และชายหนุ่มผู้มีเครื่องหน้าคมคายราวเทพบุตร แต่เสี้ยววินาทีต่อมา ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็หายไปจากความทรงจำหญิงสาวราวกับไม่เคยฝันถึง

เกนนิษฐาเจ็บแปลบบริเวณหลังศีรษะ เธอเอื้อมมือลูบ บริเวณนั้นปูดนูนเป็นผลมะนาว

“พอได้แล้ว” นายจ้างหนุ่มซึ่งเงียบฟังอยู่นานเอ่ยในที่สุด “เธอตาฝาดมากกว่า ฉันเคยเตือนแล้วนะว่าอย่าดูหนังดูละครให้มาก จะเสียงานเสียการได้ นี่มันยุคไหนแล้วยังเชื่อเรื่องงมงายแบบนี้อีก ฉันจะบอกอะไรให้ คนที่บัวเห็นก็คุณผู้หญิงของบัวนั่นละ คุณเกนทำงานจนหลับคาโต๊ะในห้องรับแขก” ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วเดินแยกตัวออกไป

แม่บ้านเหลือบมองนายจ้างสาว บัวแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด ต่างกับเกนนิษฐาที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานได้อย่างไร

 

ระหว่างรอผลตรวจร่างกายของภรรยา ไผทโทรศัพท์นัดแนะผู้รับเหมาหลายเจ้าให้เข้ามาดูหน้างานเพื่อประเมินราคาซ่อมแซมและจัดสวน เขามีภาพในจินตนาการพรั่งพร้อมในหัว บ้านสไตล์โคโลเนียล เหมาะกับสวนอังกฤษ เพียงเติมสนฉัตรหน้าบ้านสักหกหรือเจ็ดต้น พร้อมไม้พุ่มอีกสักสองสามชนิด บ้านพลชีวันจะมีทัศนียภาพดีขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า ติดแค่ว่านายจ้างจะยอมรับไอเดียนี้หรือไม่เท่านั้น

คล้อยหลังไม่นาน เกนนิษฐาเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมแพทย์วัยกลางคน นายแพทย์อธิบายสั้นๆ ว่าเกนนิษฐามีสุขภาพเป็นปกติดี แค่ร่างกายอ่อนเพลียเล็กน้อย พักผ่อนสองสามวันอาการหน้ามืดก็จะทุเลาลง

ขณะเดินไปลานจอดรถ หญิงสาวบอกสามีว่าอยากแวะไปเยี่ยมมารดาก่อนเข้าบ้าน ไผทอาสาไปส่ง แต่ไม่สะดวกเข้าไปกราบสวัสดี เพราะติดนัดสำคัญกับลูกค้ารายใหญ่ซึ่งว่าจ้างให้พัฒนาโครงการบ้านพักตากอากาศที่หัวหิน

ไผทขับรถมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ย่านศาลาแดง หลังภรรยา ลูกชาย รวมไปถึงแม่บ้านลงจากกรถชายหนุ่มก็รีบบึ่งจากไปเพราะใกล้เวลานัดหมาย คนขับรถบ้านศุภานุรักษ์ที่ชื่อแสงรีบกุลีกุจอมาเปิดประตู เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าแขกคือเกนนิษฐา นายแสงคนนี้เป็นญาติห่างๆ ของบัว

“เป็นไงลุงแสง สบายดีไหม” เกนนิษฐาทักอย่างกันเอง

“สบายดีครับ ผมไม่ได้พบคุณเกนหลายเดือนเลย”

หญิงสาวยิ้มรับ “คุณแม่อยู่บ้านไหม”

“อยู่ครับ เห็นแม่เนียมมันบอกว่าคุณท่านบ่นคิดถึงคุณเกนกับคุณหนูวินน์มาหลายวันแล้ว เชิญคุณเกนเข้าบ้านครับ ข้างนอกแดดมันร้อน” ชายวัยห้าสิบพูดจบก็เหลือบมองบัวอย่างสงสัย “นังบัว เอ็งไม่สบายรึเปล่าหน้าซีดเชียว”

บัวไม่ตอบ แต่ลากแขนญาติผู้ใหญ่แยกไปอีกทาง เกนรู้ล่วงหน้าว่าบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนจะเป็นเรื่องอะไร เธอถอนหายใจก่อนจูงลูกชายเดินเข้าบ้าน

ช้อง ศุภานุรักษ์ กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาหนังเดย์เบดตัวใหญ่ เธออายุหกสิบแปด ดวงหน้ารี ผมสีดำแซมแทรกด้วยขาวประปราย ตาและจมูกโตพอเหมาะ ปากเป็นกระจับ สวมแว่นกรอบบางสีชา ริ้วรอยบนหน้าน้อยกว่าคนวัยใกล้กันทั้งที่ไม่เคยข้องแวะกับมีดหมอ เธอชายตามองแขก ยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นลูกสาวและหลานชาย เมื่อกางแขนออกวินน์ก็วิ่งพรวดเข้าไปกอดคุณยาย

“หลานรักของยาย” ช้องโอบวินน์อย่างทะนุถนอมเช่นทุกครั้ง บรรจงหอมแก้มทั้งสองข้าง “ไม่ได้มาหายายนานเชียว คิดถึงคุณยายไหมครับ”

“คิดถึงค้าบ” วินน์ตอบกลับ

“โอ้โห ชื่นใจจัง ไหนหอมคุณยายหน่อยซิ”

หลังใช้จมูกจิ๋วจิ้มแก้มยายตามคำขอความคิดถึงจึงเริ่มลดระดับ ที่เพิ่มขึ้นคือความรู้สึกอยากเล่นสนุกตามประสาเด็ก และที่บ้านศุภานุรักษ์ก็มีห้องซึ่งช้องตกแต่งไว้ให้หลานชายคนเดียวของเธอ ภายในมีของเล่นมากมาย เด็กชายดิ้นออกจากวงรัดแล้ววิ่งลับตาไปโดยมีป้าเนียม ภรรยาของนายแสงตามไปเป็นพี่เลี้ยง

เกนนิษฐาทักทายมารดาเรียบร้อยจึงนั่งลงที่โซฟาตัวข้างๆ หญิงสาวสังเกตเห็นว่ารอยยิ้มบนใบหน้าช้องหายไปพร้อมวินน์

“พ่อดินไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” ช้องเริ่มป้อนคำถามทันที

“พี่ดินแวะมาส่งเกนกับวินน์ค่ะ แต่พอดีมีนัดกับลูกค้าเลยไม่ได้เข้ามากราบคุณแม่”

“แค่เข้ามาทักทายสักหน่อยมันจะเสียเวลาแค่ไหนกันเชียว ทีเข้าไปคุยกับคุณโชตไม่เห็นรีบร้อนแบบนี้”

ฝ่ายลูกชะงักไปเล็กน้อย “คุณแม่ทราบ?” 

หญิงสาวคิดขณะรอคำตอบ ใครบอก ตาน้อยหรืออาเวียง

“หึ ผิดจากที่แม่พูดที่ไหน สุดท้ายนายนั่นก็เอาตัวไม่รอด” ช้องฝืนยิ้ม ลึกๆ เธอไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ที่แสดงกิริยาดังว่าเพราะทิฐิส่วนตัวล้วนๆ “แต่แม่แปลกใจมากกว่าทำไมคุณโชตถึงรู้เรื่องนี้ ที่สำคัญยังติดต่อไปหาลูกโดยตรง ขนาดแม่ คุณโชตเธอยังไม่เคยโทร. หาสักครั้ง”

คำพูดมารดาพาให้ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนหน้าอีกครั้ง เกนนิษฐาเองสงสัยเรื่องนี้ไม่แพ้ใคร เธอถนัดไขความจริงจากอากัปกิริยาคน เช่นเดียวกับที่หญิงสาวรู้ว่าความรังคัดรังแคที่ช้องมอบให้ลูกเขยลดน้อยลงมาก เธอหวังใช้ทักษะนั้นค้นเอาจากญาติผู้ใหญ่ผู้รักสันโดษ แต่เกนนิษฐาไม่มีโอกาสใช้มันกับโชต เพราะความสนใจทั้งหมดถูกดึงไปที่พวงกุญแจบ้านพลชีวัน และนิมิตสยดสยองยังติดตรึงในห้วงทรงจำ

“แล้วคุณโชตเธอว่ายังไงบ้าง” ช้องถาม

“ตาน้อยให้เงินมาก้อนหนึ่งค่ะคุณแม่ ส่วนหนึ่งเป็นค่ารับจำนองบ้านพี่ดิน ที่เหลือเป็นค่าจ้างรีโนเวตบ้านพลชีวัน แต่ระหว่างที่รีโนเวตท่านขอให้พวกเราเข้าไปอยู่ที่นั่นชั่วคราว” 

ช้องจ้องหน้าลูกสาวนิ่ง นานเสียจนเกนนิษฐารู้สึกผิดสังเกต 

“มีอะไรรึเปล่าคะคุณแม่”

“แปลก...แปลกมาก” คนพูดเหมือนรำพันกับตัวเองมากกว่าอธิบายคนถาม

“แปลก? ยังไงคะคุณแม่”

หญิงวัยใกล้เลขเจ็ดทอดตามองภาพพระยาพิทฯ ในกรอบหลุยส์บานเล็กๆ ที่ประดับบนผนัง เขาสวมชุดราชปะแตน ใบหน้าเคร่งขรึม ตาดุราวกับเสือ หนวดเป็นแพยิ่งเสริมให้ดูน่าเกรงขาม “คุณโชตเธอหวงบ้านหลังนั้นอย่างกับอะไร ไม่เคยให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามสักครั้ง สมัยก่อนช่วงไหนซ่อมแซมบ้าน แกก็จะเข้าไปคุมงานเองทุกครั้ง ตอนลูกเล็กๆ แม่เคยพาไปเที่ยวที่นั่นสองสามครั้งก็จริง แต่ถ้าจำไม่ผิด คุณโชตไม่เคยให้ใครค้างที่บ้านหลังนั้น”

“ทำไมเหรอคะ”

“แม่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ป้าชุนเคยบอกว่าเกี่ยวกับคุณชิต”

‘คุณชิต’ ชื่อนั้นทำให้เกนนิษฐารู้สึกปวดหัวแปลบ เธอโคลงหัว ใช้ปลายนิ้วคลึงขมับเบาๆ

“ลูกเป็นอะไรรึเปล่า” ช้องซึ่งลอบสังเกตอยู่ก่อนถามด้วยความเป็นห่วง

“เวียนหัวนิดหน่อยค่ะคุณแม่ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ”

“หึ เครียดกับสามีตัวดีของลูกละสิ แล้วค่าจำนองบ้านน่ะเท่าไหร่”

“สิบล้านค่ะคุณแม่”

“ลูกรีบเอาเงินไปคืนคุณโชตเลยนะ เดี๋ยวแม่ให้คนโอนเงินให้ ความจริงแม่อยากจัดการเองให้เรียบร้อย แต่ก่อนที่ลูกจะมา แม่โทร. ไปปรึกษาเรื่องนี้กับคุณโชตแล้ว บอกว่าจะคืนเงินทั้งหมด แต่เธอบอกว่าหลังซ่อมแซมบ้านพลชีวันเสร็จค่อยว่ากัน ยังไงก็ไปเร่งสามีตัวดีของลูกหน่อยละกัน ไม่เข้าใจเลย มีปัญหาทำไมไม่มาปรึกษากันก่อน น่านักเชียวผัวเมียคู่นี้”

 คนกลางได้แต่ยิ้มแหย

ช้องสั่งแม่ครัวทำอาหารมื้อเย็นชุดใหญ่ต้อนรับลูกสาวกับหลานชาย เธออยากให้ทั้งคู่ค้างเสียที่บ้านศุภานุรักษ์ แต่เกนนิษฐาขอผัดผ่อนเป็นคราวหน้า หญิงสูงวัยตีหน้าขรึมอีกครั้งหลังได้รับคำตอบ แต่ก็เผลอไผลยิ้มทุกครั้งเมื่อถูกหลานชายออดอ้อน หลังทานอาหารเสร็จจึงสั่งให้นายแสงขับรถไปส่งทั้งสองที่บ้านพลชีวัน โชเฟอร์วัยห้าสิบซึ่งรับใช้คุณช้องมานานนิ่งเงียบตลอดทาง เขาเหลือบมองเกนนิษฐาผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะ จนเกนนิษฐาใจอ่อนยอมเปิดโอกาสให้ถามทั้งที่รู้แก่ใจอยู่แล้วว่าคำถามนั้นคืออะไร

 “ว่าไงลุงแสง มีอะไรรึเปล่าคะจ้องหน้าเกนอยู่ได้”

“บ้านคุณโชตมีผีจริงเหรอครับ” คนขับรถเปิดประเด็นทันที

หญิงสาวปรายตามองคนที่น่าจะเป็นต้นเรื่อง “ไม่มีอะไรหรอกลุงแสง บัวเค้าตาฝาดไปเอง”

“บัวไม่ได้ตาฝาดนะคะคุณเกน” แม่บ้านท่าทางซื่อๆ ตอบเสียงแผ่ว “บัวแน่ใจว่าคนที่อยู่ในห้องไม่ใช่คุณเกน”

“แล้วบัวกลัวไหมล่ะ” นายจ้างสาวถามกลับ

“ก็กลัวสิคะ”

“ถ้างั้นช่วงนี้บัวก็ไปทำงานที่บ้านใหญ่ละกัน เดี๋ยวฉันให้ป้าเนียมมาช่วยงานแทน... ลุงแสงเลี้ยวรถกลับ”

“โธ่ คุณเกนอย่าแกล้งบัวแบบนี้สิคะ ยังไงบัวก็ต้องอยู่รับใช้คุณเกนอยู่แล้ว”

เกนนิษฐายิ้ม “ดี ถ้างั้นอย่าพูดเรื่องนี้ให้ฉันได้ยินอีกเข้าใจไหม”

แม่บ้านสาวพยักหน้ารับคำอย่างจำใจ

 

การนำเสนอโครงการบ้านพักตากอากาศที่หัวหินดำเนินไปในเชิงบวก ผู้เข้าร่วมประชุมพึงพอใจกับพรีเซนเทชันสี่สิบห้าหน้าที่ไผทกับวิศรุตช่วยกันระดมสมองทำออกมาได้แทบไร้ข้อบกพร่อง ภาพเรนเดอร์วิลลาไฮ-เอนด์ตรงโจทย์ผู้จ้างวานเป็นอย่างดี ทุกคนชื่นชอบคอนเซปต์สไตล์โมเดิร์น บีชรีสอร์ตที่แตกต่างจากคู่แข่งทั่วไป อย่างไรก็ตาม ไผทและวิศรุตต่างรู้ดีว่า ต่อให้ทุกคนชอบมากแค่ไหน ถ้าเจ้าของเงินทุนปฏิเสธ ที่ลงแรงไปเท่ากับสูญเปล่า 

สิริ หรือ มิ้ม คือเจ้าของโพรเจกต์นี้ เธอเป็นทายาทธุรกิจจิวเอลรีที่หันมาลงทุนในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่เพียงรวยทรัพย์ รูปสมบัติยังต้องตาต้องใจเพศตรงข้าม ดวงหน้ากลมมนได้รูป ตาโตดุจไข่ห่านรับคิ้วเรียว จมูกโด่งแลเป็นสันสูง ริมฝีปากอวบอิ่ม ไม่แปลกที่วิศรุตอยากสละโสดตั้งแต่แรกพบ

“คุณมิ้มมีคอมเมนต์เพิ่มเติมไหมครับ” วิศรุตยิงคำถามถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจ ไฮโซทรงเสน่ห์นิ่งอยู่นานพอดูจึงตอบกลับ

“โดยรวมมิ้มโอเคนะ แต่มิ้มอยากให้ทางเข้าโครงการดูโมเดิร์นกว่านี้ ไม่ทราบคุณดินพอจะแนะนำอะไรได้ไหมคะ”

วิศรุตยิ้มแกนๆ ก่อนหลีกให้ไผทเป็นคนตอบคำถาม

“เราอาจถอดหรือปรับซุ้มตรงนี้” ไผทชี้ไปที่หออิฐด้านข้าง “แล้วแทนด้วยงานประติมากรรมที่ดูแล้วให้อารมณ์ธรรมชาติมากขึ้น อืม...อาจเสริมด้วยเลเยอร์สูงต่ำจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้ผู้เข้าชมโครงการ และยังอาจเป็นแลนด์มาร์กให้นักท่องเที่ยวได้อีกด้วยครับ”

ริมฝีปากอิ่มสวยเผยยิ้ม “โอเคค่ะ ถ้างั้นรบกวนคุณดินช่วยปรับแบบและส่งมาให้มิ้มแอปพรูฟอีกทีนะคะ” 

“รับทราบครับ” สถาปนิกหนุ่มรับคำพร้อมหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นดู เมื่อเห็นข้อความจึงค่อยเบาใจ เพราะภรรยาแจ้งว่ากำลังเดินทางกลับโดยมีสารถีบ้านศุภานุรักษ์คอยบริการ ครั้นละสายตาจากจอมือถือต้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อนายจ้างสาวสวยยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

“มีธุระด่วนอะไรรึเปล่าคะ” เธอถาม

“เปล่าครับ คุณมิ้มมีอะไรเพิ่มเติมแจ้งได้เลยครับ”

“อืม นิดหน่อยค่ะ แต่มิ้มว่าเราไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่าไหมคะ นี่ก็เย็นมากแล้ว เชิญคุณรุตด้วยนะคะเดี๋ยวมิ้มเป็นเจ้าภาพเอง”

“ไม่ได้เลยครับคุณมิ้ม น่าเกลียดแย่ ผมขอเป็นเจ้าภาพเอง ว่าแต่คุณมิ้มสะดวกแถวไหนครับ”

“อืม เลอ นอร์มันดี ก็ได้ค่ะ มิ้มจองไว้พอดี แต่วันนี้มิ้มไม่ได้ขับรถมา คงต้องขอติดรถคุณรุตไปด้วย”

“ยินดีเลยครับ ถ้างั้นคุณมิ้มรอสักครู่นะครับ ผมกับดินขอเก็บของแป๊บเดียว”

“เฮ้ย” ไผทกระซิบพลางลากวิศรุตออกจากห้อง “ใครบอกว่าฉันจะไปกับแกวะ”

“อ้าว ก็ลูกค้าชวน ไม่ไปน่าเกลียดแย่ เอาน่า ไปกินแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับ เออ แต่ให้คุณมิ้มนั่งรถแกไปนะ วันนี้ฉันเอากระบะมาว่ะ”

“อะไรวะ ถ้างั้นแกก็ขับรถฉันไป เดี๋ยวฉันไปขับรถแกเอง”

“แกขับเกียร์แมนนวลเป็นเหรอวะ”

ไผทส่ายหน้า

“ถ้างั้นแกก็ไปกะคุณมิ้ม”

 

ฟ้าเริ่มมืด เหลือแสงม่วงแกมแดงเป็นสัญญาณบอกว่าราตรีใกล้มาเยือน มวลอากาศเย็นเริ่มแทรกแทนความอบอ้าว การจราจรบนถนนใจกลางเมืองคับคั่งอย่างเคย กว่าจะมาถึงสี่พระยาทุกคนก็เผลอหลับไปหลายงีบ เกนนิษฐาลูบไล้ไรผมวินน์ที่กำลังหลับพริ้มอยู่บนตักอย่างเอ็นดู

รถซีดานหรูหักเลี้ยวเข้าซอย ขับไปราวยี่สิบเมตร ชายชราคนหนึ่งยืนชะเง้ออยู่กลางถนน ดูเหมือนเขาคนนั้นไม่ทันสังเกตแสงจากไฟคู่หน้าที่สาดเข้าแผ่นหลัง จนนายแสงต้องบีบแตรเบาๆ เขาจึงหันมองพร้อมกับที่เกนนิษฐาเลื่อนกระจกเพื่อทักทายเพื่อนร่วมซอย

“สวัสดีค่ะคุณลุง เดินออกกำลังกายเหรอคะ”

นายทหารเกษียณค่อยแย้มยิ้ม “ยืดเส้นยืดสายนิดหน่อย” เขาเขม้นมอง “หนูเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่รึ หน้าไม่คุ้นเลย”

 “ไม่เชิงค่ะคุณลุง แค่มาพักชั่วคราวที่บ้านหลังสุดซอยน่ะค่ะ”

ครั้นได้ยินคำตอบ รอยยิ้มก็เหือดหายไปจากใบหน้าอดีตนายทหารปืนใหญ่ ที่แทรกแทนคือความหวาดกลัว ดวงหน้าซีดเผือดจ้องคู่สนทนา เสียงตะกุกตะกักแผ่วมาพร้อมลมชื้น

“บะ บ้านหลังนั้นปิดไปก็ดีอยู่แล้ว” 

เขาถอยกลับเข้าใต้ชายคา ทิ้งเกนนิษฐางงงันกับสัมพันธภาพที่ยังไม่ทันก่อตัว ประตูรั้วอัตโนมัติเลื่อนบังร่างเพื่อนบ้านวัยดึกช้าๆ เขาจ้องหญิงสาวไม่วางตา ก่อนประตูปิดสนิท ชายวัยชราเอ่ยอีกครั้งด้วยเนื้อเสียงพร่า

“ถ้าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นก็ไปถามเอากับคุณโฉม”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น