9

บทที่ ๙

บทที่ ๙

 

“ลวาด?

มารินทร์ทวนคำ แต่คนที่จมลงสู่ภวังค์คือเกนนิษฐา เธอเคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน แต่ที่ไหน หรือใครเป็นเจ้าของนามดังกล่าวหญิงสาวไม่แน่ใจ อาจเป็นศุภานุรักษ์ ไม่ก็พลชีวันสักคน เกนนิษฐาพยายามตั้งสติ เพราะสิ่งที่ควรรู้คือลวาดเป็นใคร เหตุใดถึงอันตราย ซึ่งจากคำเล่าของโฉมบอกกลายๆ ว่าเธอกับบัวอาจไม่ได้ตาฝาด

“เขาคือใครเหรอคะ”

แววตาหญิงชรามีน้ำซึมคลอ เธอพยายามฝืนราวกับว่าน้ำตาเป็นสิ่งน่าอาย ทว่าการเบือนหน้าหนีนั้นง่ายกว่า “ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่นำความวิบัติมาสู่สองตระกูล” 

สุ้มเสียงโฉมฟังอ่อนล้า ระทดท้อ รอบกายเธอมีบรรยากาศของความเศร้าและอาดูรเหมือนโชต ที่ต่างออกไปคือโฉมอ่อนไหวทางอารมณ์ชัดเจนกว่า น้ำที่หางตาเป็นหลักฐานอย่างดี

“คุณท่านจะพักก่อนไหมครับ” นิมิตรถามแทรก

“ไม่เป็นไร” นายจ้างชราภาพตอบพลางปัดมือช้าๆ “เธอออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ”

แม้นิมิตรออกไปครู่หนึ่งแล้ว แต่แม่เฒ่ายังคงนิ่งเงียบ ปล่อยสายลมและต้นไม้รอบบ้านสะบัดใบประชันเสียงกับกระดิ่งลมที่แขวงเรียงเป็นแนวอยู่เชิงชายคา เสียงที่เหมือนแก้วเนื้อบางกระทบช่วยลดระดับความรุ่มร้อนในใจ สองสาวที่เยาว์กว่านั่งรออย่างสงบ เกนนิษฐาอาศัยช่วงเวลานั้นสังเกตเครื่องเรือนที่ประดับตกแต่งภายในบ้าน ดูเหมือนโฉมนิยมสะสมของโบราณ อย่างตู้ไม้แกะสลัก เครื่องถม เปียโน โต๊ะทำงานที่ปูด้วยสักหลาดขนาดราวหนึ่งในสามของโต๊ะพูล เกนนิษฐาสงสัยว่าโทรศัพท์เก่าเก็บที่วางอยู่บนนั้นยังใช้งานได้หรือไม่

“ฉันยังจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ดีเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน” หลังเงียบไปนานโฉมเริ่มเล่า “คู่รักที่น่าอิจฉา ฟ้าส่งมาให้พวกเขาครองคู่กัน ทั้งฐานะและชาติกำเนิดราวกับกิ่งทองใบหยก คนหนึ่งมาจากตระกูลนายทหาร หล่อนชื่อรสนี บุตรสาวนายพันตรีสนั่นโยธิน  เป็นคุณอาของฉัน ส่วนอีกคนคือบุตรชายพระน้ำพระยา เชื่อเหลือเกินว่าเธอคงเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง...หลวงฉันทวณิช หรือชิต พลชีวัน”

หัวของเกนนิษฐาปวดหนึบเมื่อได้ยินชื่อสกุลญาติผู้ใหญ่บรรพบุรุษ ในโพรงหูเหมือนมีใครลั่นกลองใส่

“คุณอาของฉันเธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติ ฉันไม่เคยเห็นใครงามเท่าเธอมาก่อน ผมดำขลับ ตากลมโตเช่นไข่ห่าน ปากนิดจมูกหน่อย ใครเห็นเป็นต้องลุ่มหลง ส่วนคุณหลวงเธอก็หล่อเหลือเกิน สง่าผ่าเผย ช่างพูดช่างคุย ผู้หญิงทั้งพระนครหมายปองเธอกันทั้งนั้น คุณหลวงเป็นหนุ่มนักเรียนนอก จบมาจากอังกฤษ กลับมารับราชการได้ไม่นานก็ได้เป็นหลวง มีคนลือกันขรมว่าได้ดิบได้ดีเพราะเจ้าคุณพ่อซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวง แต่ไม่จริงเลย คุณหลวงเธอมีความสามารถ ผู้บังคับบัญชาก็ชมชอบ”

นั่นเป็นครั้งแรกที่เกนนิษฐาได้ยินเรื่องของตาใหญ่ ก่อนหน้านี้ช้องเคยเล่าให้ฟังเล็กน้อย น้อยเสียจนไม่เล่าก็ค่าเท่ากัน

“ทั้งสองพบกันที่งานสโมสรก็ตกหลุมรักกันทันที วันนั้นคุณหลวงใส่สูทขาวสะอาด เด่นเป็นสง่าแม้ยืนอยู่ท่ามกลางนายทหารระดับสูง ตอนแรกเธอดูหงุดหงิดนะที่ต้องออกงานสังคม แต่ความรู้สึกนั้นก็จางไปเมื่อคุณอาของฉันเดินทางมาถึง โอ...เธอเหมือนเทพธิดาจำแลงมาเชียวละ” หญิงชราหลับตาพริ้ม คล้ายกับพาตัวเองย้อนสู่อดีต “เจ้าคุณพาคุณหลวงมาแนะนำกับคุณอารสนี นับแต่วินาทีนั้นโลกของทั้งสองคนก็มีเพียงกันและกัน”

ขณะที่เกนนิษฐาสนใจเรื่องราวที่ไม่เคยได้รับการเปิดเผย มารินทร์กลับรู้สึกตรงข้าม สาเหตุที่นำให้เธอมาที่นี่เพราะประวัติอันคลุมเครือของบ้านหลังนั้น ไม่ใช่ตำนานรักของใคร

“หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็ตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน แม้สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนั้นไม่ปกติ แต่งานสมรสระหว่างคุณหลวงกับคุณอาก็จัดอย่างยิ่งใหญ่ มีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย ทุกคนพากันอิจฉาคู่สามีภรรยาในอุดมคติ แต่เมื่อพิธีฉลองมงคลสมรสใกล้จบลง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัว”

“นังลวาด?” มารินทร์พูดอย่างรู้จังหวะ

โฉมผงกหัวรับ

“หล่อนเทียวพูดต่อหน้าแขกในงานว่าเป็นเมียของคุณหลวง เยาะเย้ยคุณอารสนีว่ากินน้ำใต้ศอก คุณลุงของฉัน พ่อของอารสท่านโกรธมาก สั่งให้คนพาตัวออกไป ฉันจำได้ดี หล่อนพูดด้วยสีหน้าคลุ้มคลั่งว่า...” เสียงของโฉมขาดหาย ความหวาดหวั่นย้อนชำแรกในดวงตาอีกครั้ง

“ว่าอะไรคะ” คนใจร้อนอย่างมารินทร์รีบซัก

“บอกว่า ไม่มีใครพรากคุณหลวงไปจากหล่อนได้ และคุณหลวงจะกลับไปหาหล่อนอย่างแน่นอน”

จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมในอดีตคืออะไร เกนนิษฐาพอเดาออก “แล้วคุณตาชิตก็กลับไป”

โฉมพยักหน้าน้อยๆ ก่อนบอก “ไม่ใช่เพราะความรัก...แต่เพราะคุณไสย”

 คุณไสย?

เกนนิษฐารู้สึกเหมือนลมหายใจถูกกระชากออกจากช่องท้อง

“คุณหลวงที่โดนทำเสน่ห์หลงผู้หญิงคนนั้นหัวปักหัวปำ พาหล่อนไปพำนักบ้านพลชีวันที่เจ้าคุณพิทย์ ท่านสู้อุตส่าห์สร้างให้เป็นของรับขวัญคราวเธอกลับมาจากเมืองนอก การกระทำของคุณหลวงทำให้ท่านเจ้าคุณกับคุณลุงของฉันโกรธมาก แต่นั่นยังไม่เท่ากับความโศกเศร้าของคุณรสนี โถ...คุณอาของโฉม”

“แล้วคุณทวดของเกนท่านทำยังไงคะ” เกนนิษฐาถามต่อ หญิงสาวแน่ใจว่าใกล้ถึงแก่นความจริง

“ต้องยอมรับว่าแม่นั่นมีโชคอยู่ไม่น้อย เพราะเวลานั้นคุณลุงของฉันกับท่านเจ้าคุณเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มนายทหารที่คิดล้มรัฐบาล ท่านเลือกข้างผิด ก่อนที่จะได้ดำเนินการอะไรกับแม่ผู้หญิงคนนั้น ภัยก็มาถึงตัวพวกท่านเสียก่อน คุณลุงเสียชีวิตในวันกวาดล้างครั้งใหญ่ ส่วนเจ้าคุณพิทย์ฯพลอยโดนหางเลขไปด้วย ท่านถูกตัดสินจำคุก แต่ติดได้ไม่กี่วันก็ล้มป่วย ภรรยาของท่านขอร้องให้คุณหลวงกลับมาดูใจบิดา กลับมาเป็นขวัญกำลังใจให้แม่ เมีย และบ่าวในบ้าน แต่อนิจจา มนตร์ดำของผู้หญิงคนนั้นแรงนัก คุณหลวงปฏิเสธ ไม่นานท่านเจ้าคุณก็เสียชีวิต ภรรยาท่านก็ตรอมใจตาย และสุดท้าย...” เสียงแหบเครือ หย่อมน้ำรื้นในดวงตาโฉม “คุณอารสนีก็สิ้นใจตามไป”

หญิงชราไม่อาจเก็บกักน้ำตาไว้ได้อีก พรั่งพรูราวกับเป็นเด็กน้อยที่สูญเสียของรัก เกนนิษฐาสะเทือนใจ แต่มารินทร์ถึงกับอารมณ์คุกรุ่น เธอคลายความสงสัย เหตุใดหญิงชราที่ดูท่าทางเป็นผู้ดีไปทุกกระเบียดจึงแสดงท่าทางเดียดฉันท์และเรียกนามผู้หญิงคนนั้นว่านังลวาด กระนั้นเกนนิษฐาและมารินทร์ยังสงวนทีท่า รอบทสรุปสุดท้ายของเหตุอาเพศในเขตบ้านพลชีวัน

 “ถ้ายายน้อยไม่สะดวกเล่า...” เกนนิษฐาเอ่ย เธอพยายามไม่สนใจน้องสามีที่สะกิดอยู่ข้างๆ แน่นอนว่ามารินทร์ไม่เห็นด้วยกับเธอ

หญิงชราโคลงหัว “แม้จะเกิดเรื่องเลวร้ายมากมายที่ทำให้พลชีวันกับผดุงบุญห่างเหิน แต่ขอให้รู้ ฉันรักพวกเธอเสมือนลูกหลาน และฉันคงเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ใช้ไม่ได้หากไม่เตือนว่าพวกเธอกำลังเจออยู่กับอะไร” โฉมนิ่งไปอึดใจ ก่อนพูดต่อ “คนที่เคยอยู่ที่นั่นลือว่าวิญญาณนังลวาดสิงอยู่ในบ้านพลชีวัน”

มารินทร์เอื้อมไปกุมมือพี่สะใภ้ แผ่นมือของทั้งคู่เย็นเฉียบ

“ผู้หญิงคนนั้นทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงที่นั่น” โฉมเล่าต่อ “หล่อนลักลอบได้เสียกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นบ่าวในบ้าน และเมื่อเรื่องถึงหูคุณหลวง เธอก็บันดาลโทสะพลั้งมือฆ่าหล่อน แต่คุณหลวงเธอน่าเวทนาเหลือเกิน แม้นังลวาดตายไปแล้ว แต่คุณไสยก็ไม่คลายออก กลับส่งผลร้ายยิ่งกว่าเดิม คุณหลวงคลุ้มคลั่งกับการเสียชีวิตของผู้หญิงคนนั้น ในที่สุดคุณหลวงก็เลือกจบชีวิตตัวเองในบ้านพลชีวัน”

เกนนิษฐายอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกชิงชังเพศเดียวกัน

“คุณโฉมจะบอกว่ามีผีในบ้านพลชีวันเหรอคะ” มารินทร์หน้าเสีย

“ฉันไม่อาจยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง แต่คนที่เคยอาศัยในบ้านหลังนั้นเล่าให้ฟังว่าเห็นวิญญาณหญิงสาวปรากฏกายพร้อมผ้าแพรสีแดง”

แพรสีแดง?

เกนนิษฐานึกย้อน ภาพหญิงสาวที่ชุ่มไปด้วยเลือดนั่งหันหลังอยู่กลางเงามืดปรากฏในหัว บนไหล่เปลือยมีผ้าสีแดงคลุมอยู่

 

วิศรุตอาศัยโลเกชันที่ไผทแชร์ให้เมื่อหลายวันก่อนนำทางมายังบ้านพลชีวัน ฝนเม็ดเล็กที่พรมไปทั่วก่อปัญหาใหญ่ในเมืองหลวง รถติดยาวหลายกิโลเมตร มัณฑนากรหนุ่มยอมรับว่าคิดเลี้ยวรถกลับไม่น้อยกว่าสามครั้ง แต่สภาพการจราจรของถนนอีกฝั่งที่ไม่ต่างกันทำให้ไม่มีทางเลือกมากนัก ใจชื้นขึ้นบ้างเมื่อเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ของหญิงสาวดังลอดออกมาจากสมาร์ตโฟน เธอบอกว่าอีกห้าร้อยเมตรให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอย

บ้านละแวกนี้ส่วนใหญ่มีกำแพงสองชั้น ชั้นแรกเป็นอิฐ อีกชั้นเป็นพุ่มไม้ทึบ กว่าครึ่งเป็นบ้านนายทหารและตำรวจ ครั้นถึงท้ายซอย คล้ายว่าความหงุดหงิดที่สะสมมาถูกชะล้างด้วยหยาดฝน วิศรุตอ้าปากค้างเมื่อเห็นอาคารที่ตั้งตระหง่านอยู่หลังเหล็กดัดและซุ้มไม้เลื้อย รถวิศรุตเคลื่อนผ่านประตูรั้วที่เปิดอ้าอยู่ เพื่อนสนิทของเขาคุยอยู่กับกลุ่มผู้รับเหมาบริเวณใต้ชายคาหน้าบ้าน

“ไอ้รุต! มาได้ไงวะ” ไผทตะโกนเรียกทันทีที่วิศรุตก้าวลงจากรถ ชายหนุ่มเจ้าของบริษัทตกแต่งภายในวิ่งฝ่าละอองฝนเข้าหลบใต้ชายคา

“ก็มาดูว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง เผื่อเสร็จเร็วจะได้ไปดูหน้างานที่ประจวบสักหน่อย” เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดแว่นตา เมื่อสวมกลับเข้าที่อีกครั้งก็สำรวจเคหสถานนั้นผ่านเลนส์ใส “บ้านสวยอย่างที่แกบอกเลย กี่ตารางวาวะ สองร้อยหรือสองร้อยห้าสิบ”

“ประมาณนั้นละ” ไผทตอบ เขาหันไปสั่งงานกับหัวหน้าคนงานก่อนพาวิศรุตแยกออกมาอีกด้าน “ว่าแต่คุณมิ้มบรีฟอะไรเพิ่มเติมไหม ฉันจะได้แก้แบบแล้วส่งให้เขาดูอีกรอบก่อนลงไซต์”

“เขาคงไม่อยากคุยกับฉันเท่าไหร่หร้อก” วิศรุตทำเสียงสูง “ตอนนี้เอะอะก็คุณดินๆ เฮ้อ ฉันละอิจฉาแกชะมัด เห็นเปรยว่าจะไปดูหน้างานกับเราด้วย แต่บอกก่อนนะโว้ย คนนี้ฉันจองแล้ว ขืนแกทำอะไรรุ่มร่ามขึ้นมา ฉันฟ้องเกนแน่ๆ”

“เพ้อเจ้อน่า ไป เข้าบ้าน ตรงนี้ฝนสาดเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ไผทเดินนำเข้าไปก่อน ส่วนวิศรุตเดินตามหลัง แต่ขณะวางเท้า เขากลับชะงักกึกอยู่ตรงธรณีประตู ไผทเห็นจึงถาม “เป็นอะไรวะรุต”

คนถูกถามยืนนิ่งอยู่นาน หัวคิ้วย่นเข้าหากัน วิศรุตกวาดตามองภายในบ้านก่อนตอบ

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่รู้สึกแปลกๆ”

คำตอบของเพื่อนทำให้ความกังวลที่เจือจางไปแล้วเข้มข้นขึ้น ก่อนคณะผู้รับเหมาเดินทางมาถึงไม่กี่นาทีไผทขึ้นไปสำรวจชั้นสองของตัวบ้าน เสี้ยวนาทีหนึ่งเกิดรู้สึกเย็นเยือกโดยไม่มีสาเหตุ ช่วงเวลาเดียวกันนั้นแม่บ้านสาวเดินตามขึ้นมา บัวตั้งใจแจ้งนายจ้างว่าผู้รับเหมางานภายนอกรออยู่ด้านล่าง แต่สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของเธอมีเพียงคำเดียวสั้นๆ ‘...เงา’

ใบหน้าของเธอซีดเหมือนขาดเลือดไปเลี้ยง แต่โชคดีที่แม่บ้านวัยกำดัดไม่มั่นใจในสายตาตัวเองเท่าไรนัก หรือไม่ก็ท่าทางนิ่งขึงของไผททำให้เธอคิดว่าตัวเองอาจตาฝาด

“แกสิแปลกไอ้รุต พูดอะไรไม่รู้เรื่อง” สถาปนิกหนุ่มประคองเสียงให้เป็นปกติ ปรับให้กระด้างขึ้นตอนสั่งให้บัวเตรียมน้ำและของว่างมารับแขก 

เขาพาวิศรุตเข้าไปในห้องทำงาน ดูเหมือนวิศรุตจะลืมความรู้สึกก่อนหน้าไปชั่วคราวเมื่อเห็นเครื่องเบญจรงค์และเครื่องลายคราม จากนั้นชายหนุ่มไปหยุดอยู่หน้าภาพวาดพอร์ตเทรตพระยาพิทยบริบาลในชุดข้าราชการเต็มยศ เขาถามว่าคนในภาพคือใคร ไผทจึงอธิบายเท่าที่จำได้

“เกนเล่าให้ฟังว่ารับราชการอยู่กระทรวงอะไรสักอย่าง...อ๋อ กระทรวงเศรษฐการ เป็นถึงระดับพระยาเชียวนะ” ไผทเล่าพลางเปิดคอมพิวเตอร์ “ชื่อเดิมเห็นว่าชื่อเชิด ถ้าไล่สาแหรกกันดูก็เป็นทวดของเกนละมั้ง แต่ไม่ใช่สายตรงหรอกนะ ทายาทพลชีวันคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เจ้าของบ้านหลังนี้ไง”

“คนที่ชื่อโชตน่ะเหรอ”

“อืม น่าสงสารแก ลูกหลานก็ไม่มี”

“ท่าทางคุณโชตคนนี้คงรวยไม่เบา อย่างบ้านหลังนี้ถ้าขายพร้อมที่ดินคงไม่ต่ำกว่าเจ็ดถึงแปดสิบล้าน” วิศรุตทำท่าจะพูดต่อ แต่พอเห็นบัวเข้ามาเสิร์ฟของว่างก็เปลี่ยนเรื่อง “บัวใช่ไหม ไม่สบายรึเปล่า หน้าซีดเชียว นี่ไอ้ดินมันใช้งานหนักขนาดนั้นเลยเหรอ” 

แม่บ้านสาวยิ้มแกนๆ ก่อนเดินกลับออกไป

หัวข้อสนทนาหลังจากนั้นเป็นเรื่องของธุรกิจเสียส่วนมาก โดยเฉพาะโพรเจกต์ใหญ่ที่หัวหิน ทั้งสองตั้งใจว่ากลางสัปดาห์หน้าจะเดินทางไปประจวบคีรีขันธ์ แต่ก่อนหน้านั้นไผทอยากคุยกับโชตอีกสักครั้งเพื่อแจ้งความคืบหน้าของงานที่ได้รับมอบหมาย สถาปนิกหนุ่มประเมินแล้วว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมแล้วไม่เกินสองล้านบาท และเขาประสงค์แจ้งตัวเลขนี้แก่ผู้จ้างวานโดยตรงไม่ฝากผ่านใคร

ไม่นานฝ่ายภรรยาก็กลับมาถึง เกนนิษฐามอบรางวัลสำหรับการทำหน้าที่เป็นสารถีที่ดีโดยชวนวิมวัชร์กินข้าวเย็น เช่นเดียวกับไผทที่ทำอย่างเดียวกันกับวิศรุต ค่ำนั้นจึงครึกครื้นที่สุดนับแต่ครอบครัวเทภานันทน์ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ไผทเลียบเคียงถามภรรยาว่าไปทำธุระที่ไหน แต่ดูเหมือนเกนนิษฐาคิดว่าบนโต๊ะอาหารไม่เหมาะสำหรับการพูดคุยเรื่องนั้น แถมเธอยังใช้สายตาปรามมารินทร์กับวิมวัชร์ไม่ให้โพล่งอะไรออกไป จะมีก็เพียงวินน์ที่ร่ำๆ ว่าบ้านเขียวๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจที่เด็กน้อยพูดเท่าไรนัก

 

ราตรีหวนคืนมาพร้อมมวลอากาศยะเยือกกว่าเดิม ความมืดโอบล้อมเรือนหลังงาม เสียงลมที่ครวญครางอยู่นอกบ้านเหมือนปีศาจกระซิบชวนขนลุก สิ่งที่โฉมเล่าทำเอามารินทร์อยากเก็บเสื้อผ้ากลับไปอยู่บ้าน ถึงภายนอกเธอดูเป็นคนกระด้างกระเดื่อง ปากกล้าหน้ามั่น แต่ภายในนั้นอ่อนไหว หลังบอกกับเกนนิษฐาว่าไม่อยากนอนที่บ้านหลังนี้ พี่สะใภ้ของเธอยิ้มและบอกให้ขับรถกลับดีๆ เพียงแค่นั้นมารินทร์ก็เปลี่ยนใจ เธอไม่ชอบความรู้สึกนี้เท่าไรนัก...ห่วงคนอื่นก่อนตัวเอง ราวกับรู้ใจน้องสามี หลังจากนั้นเกนนิษฐาก็คว้าสมุดบันทึกเล่มเล็กติดมือแล้วแยกตัวไปพักผ่อน ปล่อยให้ไผทมาเลียบเคียงถามว่าวันนี้ไปไหนกันมา

มารินทร์อยากเล่าทุกรายละเอียดให้พี่ชายฟัง แต่ก็ไม่อยากทำลายความไว้ใจของพี่สะใภ้ พอๆ กับไม่อยากโดนสามีของพี่สะใภ้เหน็บแนมว่ากลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง ลงท้ายหญิงสาวจึงปิดปากเงียบแล้วมานั่งจับเจ่าอยู่บริเวณโถงกลางบ้านโดยมีบัวเป็นเพื่อนคุย

“บัวอยู่กับพี่เกนมากี่ปีแล้ว จำได้ไหม”

แม่บ้านสาวนิ่งคิด “สิบกว่าปีแล้วค่ะ ลุงแสงพามาเมืองไทยตั้งแต่ยังไม่เต็มสิบขวบ ตั้งแต่ตอนที่คุณผู้ชายยังไม่เสีย”

“คุณผู้ชาย? สามีคุณช้องน่ะเหรอ”

บัวพยักหน้า “พอคุณเกนแต่งงาน คุณผู้หญิงท่านเลยให้บัวมาอยู่กับคุณเกน บัวเคารพแล้วก็รักคุณผู้หญิงกับคุณเกนมากเลยนะคะ”

“อ้าว แล้วพี่ดินล่ะ เกลียดเขาเหรอ”

“เปล่านะคะ คุณดินบัวก็เคารพค่ะ” เธอก้มหัว ผ่อนเสียงเบาลง “แต่คุณดินชอบเอ็ด บัวกลัว”

“อย่าไปกลัวพี่ดินเลย รายนั้นน่ะใจดีจะตาย เผลอๆ ใจป้ำกว่าคุณช้องของบัวด้วยซ้ำ” มารินทร์ถือโอกาสเหน็บเล็กๆ ก่อนหันไปมองนาฬิกาโบราณกลางบ้าน ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มเศษ อากาศเย็นเยียบเร้าให้กลับเข้าห้อง เธอต้องปะทะคารมกับวิมวัชร์ในโปรแกรมแชตอีกยกก่อนนอน นั่นเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน

ห้องพักอยู่ถัดจากห้องสองสามีภรรยา มารินทร์เร่งฝีเท้าก้าวผ่านห้องอาหารและระเบียงยาวที่มีกระจกบานใหญ่ แสงจันทร์เป็นลำทอทอดผ่านหน้าต่าง กลางแสงนวล มารินทร์เห็นอะไรบางอย่าง สิ่งนั้นคล้ายหมอก กระนั้นกลับสีจัดจนเกือบเป็นแดง แต่พอกะพริบตามันก็หายไป หญิงสาวคิดว่าตัวเองตาฝาด ทว่าเธอไม่ได้ตาฝาด หมอกแดงสายนั้นลอยลับไปในห้องนอนใหญ่

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น