บรรยากาศตอนเช้ามืดเหมือนเช่นทุกวัน รอบด้านมีเพียงแสงรำไร รมณจอดรถคันเล็กของตัวเองตรงที่เดิม ความจริงหากเธอจะเดินจากบ้านเจ้าสัว ตรงมาที่ ย. ยอดยิมก็ได้ แต่มันคงใช้เวลาพอสมควร ดีไม่ดีเธออาจไปช้า ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอแน่ เพราะเธอมั่นใจว่ายอดผาต้องใช้ข้ออ้างตรงนี้ไม่เป็นเทรนเนอร์ให้เธอ
รมณปิดประตูรถและล็อกเรียบร้อย ก็เดินเข้าไปในซอยลึก หญิงสาวชะงัก เพ่งมองฝ่าความสลัวของฟ้าที่เริ่มสาง เธอเห็นร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งกำลังวอร์มร่างกายด้วยการกระโดดไปมา และซ้อมชกกลางอากาศ แถมยังใส่ฮู้ดปิดศีรษะ
ใครกัน รมณถามตัวเอง เริ่มมองไปรอบด้าน ยามที่คิดว่าผู้ชายคนนั้นอาจไม่ใช่คนดี
มุมปากหนาของยอดผายกสูงขึ้น เมื่อเห็นอาการชะงักหยุดของรมณ ชายหนุ่มดึงฮู้ดลงต่ำ ปิดใบหน้าให้มากกว่าเดิม ก่อนวิ่งเหยาะตรงไปทางที่หญิงสาวยืนนิ่ง แล้ววิ่งผ่านไปอย่างไม่สนใจ การทำเช่นนั้นทำให้ร่างบางที่ยืนตัวเกร็งถอนหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งอก แล้วออกเดินไปยัง ย. ยอดยิมอีกครั้ง โดยไม่เห็นว่าผู้ชายที่วิ่งเหยาะผ่านเธอไปนั้นวกกลับมา
มุมปากหนากระตุกยิ้มเล็กน้อย ดวงตาคมกริบพราวระยับ นึกอยากแกล้ง อยากรู้ว่าถ้าหากเธอสติแตก เธอยังเก็บอารมณ์ทำเย็นชาได้หรือไม่ ยอดผาเดินเข้าไปใกล้ ระวังไม่ให้คนที่เขาหมายตาเอาไว้รู้ตัว ก่อนจะโผเข้าไปล็อกคอ พร้อมกับเค้นเสียงขู่ ดัดเสียงให้ดูเข้มขึ้น
“อย่าร้องนะ ถ้าไม่อยากถูกบีบคอ”
หัวใจของรมณหล่นวูบลงไปอยู่ปลายเท้า ชาวาบไปทั้งตัว ใบหน้าซีดเผือด พยายามดิ้นรนให้พ้นจากการจับกุมของเจ้าโจรร้าย แต่มือหนากลับล็อกร่างเธอไว้แน่น แถมยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้เธอร้องขอความช่วยเหลือ
“อ่อยอั๊นนะ อ่อย (ปล่อยฉันนะ...ปล่อย)”
เสียงที่ดังลอดฝ่ามือหนาของมหาโจรคนนั้น เธอว่าเธอเปล่งเสียงออกมาสุดกำลังแล้ว แต่ทำไมมันถึงได้ดังแค่นิดเดียว
“ปล่อยเหรอ ปล่อยได้ไง สวยขนาดนี้”
ดูเหมือนมหาโจรจะรู้สึกสนุกกับการดัดเสียงให้ใหญ่ขึ้น น้ำเสียงขึงขังนั้น ทำให้คนในอ้อมแขนถึงกับตัวสั่นสะท้าน ด้วยความกลัว
“อ้วยอ้วย (ช่วยด้วย)”
รมณพยายามขืนตัวออกจากลำแขนที่เหมือนปลอกเหล็ก รัดร่างของเธอเอาไว้ แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจ กลับก้มลงมาใกล้ๆ สูดลมหายใจแรงๆ
“หืม...ตัวก็หอม ผมก็หอม อย่างนี้น่าเอาไปทำเป็นเมีย ดีไหม”
ยิ่งขู่ก็ยิ่งสนุก ยิ่งเห็นอาการดิ้นรนเอาตัวรอดของรมณ ยอดผาก็ยิ่งอย่างแกล้งให้มากกว่าเดิม
“ไม่มีใครบอกหรือไง ว่าอันตรายมันมีทุกที่”
“อ้วย อ้วย (ช่วยด้วย)”
รมณพยายามตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่เสียงเธอก็ดังแค่ในลำคอ เพราะถูกฝ่ามือหนาปิดกั้นเอาไว้ น้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลพราก รินรดมือที่ปิดปากเธอเอาไว้
ยอดผาสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้น เขาคลายมือออกโดยอัตโนมัติราวกับถูกของร้อน แล้วจับร่างบางที่สั่นไปทั้งตัวให้หันมาเผชิญหน้า พอเห็นใบหน้าซีดเผือด น้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งใบหน้า ริมฝีปากสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ คนที่ตั้งใจแกล้งก็ถึงกับสะอึก อึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไร
“เอ่อ...เอ่อ...”
เมื่อเห็นว่าเป็นใคร คนที่หวาดกลัวก็ถึงกับปล่อยโฮ ทรุดตัวลงนั่งยองกับพื้น สะอื้นไห้อยู่พักใหญ่ เล่นเอายอดผาทำตัวไม่ถูก ยืนมองรมณร้องไห้อยู่อย่างนั้น ร้องอยู่เป็นนานกว่าที่รมณจะดึงสติตัวเองกลับมาได้ นี่ยอดผาเกลียดเธอมากจนต้องแกล้งเธอให้กลัวด้วยวิธีนี้เชียวหรือ มือเล็กเช็ดน้ำตาที่แก้มทั้งสองข้าง ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับยอดผา นัยน์ตายังแดงก่ำ
“คุณสนุกนักหรือไงคะ”
คำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาตัดพ้อของหญิงสาว เล่นเอาคนถูกถามปากหนักอึ้ง พูดไม่ออกเสียอย่างนั้น ยอดผาไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองกำลังมองน้ำตาของรมณ ราวกับว่ามันคือสิ่งประหลาดที่เขาไม่เคยเห็น ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเผือด เขาเคยบอกกับมารดาว่า เขาจะไม่ทำให้ผู้หญิงเพศเดียวกับมารดาเสียน้ำตาเป็นเด็ดขาด แต่นี่อะไร
“ถ้าการแกล้งทำให้ฉันกลัว มันทำให้คุณมีความสุขละก็ คุณก็คงสมหวังแล้ว หรือว่าที่ทำทั้งหมดนี่ เพราะไม่อยากเป็นเทรนเนอร์ให้ฉัน”
พูดจบรมณก็หมุนกายเดินไปยัง ย. ยอดยิม จึงไม่เห็นมือหนาที่ยกค้างกลางอากาศ หมายจะเรียกให้หญิงสาวหยุด และเอ่ยปากขอโทษที่ทำให้เธอกลัว แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะรมณเดินไปไกลเกินกว่าที่จะเรียกกลับ มือหนาตกลงข้างลำตัว แววตาเสียใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเฉยชา
‘บ้าแล้วไอ้ยอด ช่างเขาสิ โกรธ เกลียด ได้ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องมารบกวนเวลาซ้อมมวยของเรา’
ยอดผาพยายามปลอบตัวเองแบบนั้น แต่จิตใจส่วนลึกก็ไม่ได้สดชื่นสักเท่าไร เขาตื่นแต่เช้าเพื่อมารอรมณ เพราะคิดว่าแม้ซอยนี้จะไม่เคยมีประวัติปล้นฆ่า แต่มันก็ไม่น่าไว้ใจ ชายหนุ่มยกมือตัวเองขึ้นมาดู มือข้างนี้ที่สัมผัสน้ำตาของรมณ
‘สติๆ ไอ้ยอด สติ’ ชายหนุ่มเรียกสติตัวเอง ก่อนเดินตามหลังรมณกลับเข้าไปในค่ายมวย
รมณยกมือบางขึ้นปาดหยาดน้ำตาให้เลือนหายไปจากใบหน้า สูดลมหายใจเข้าปอด ปรับสีหน้าตัวเองให้ดีขึ้น เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูค่ายมวย และเห็นจ้อยยืนอยู่
“สวัสดีจ้ะจ้อย”
“อ้อ! พี่สาวคนสวยนั่นเอง เห็นพี่ยอดหรือยังครับ ออกไปรอแต่เช้ามืด”
ชื่อนั้นเกือบจะทำให้รอยยิ้มที่ตั้งใจส่งให้จ้อยจืดจางลง เธอไม่ได้ตอบคำถาม เพราะแค่ไม่กี่วินาที จ้อยก็กล่าวขึ้นมาใหม่ พร้อมกับสายตาที่มองผ่านเธอไปยังคนข้างหลัง ซึ่งไม่บอกก็รู้ว่าเขาเป็นใคร
“พี่ยอด มาแล้วเหรอ จ้อยเพิ่งถามพี่สาวคนสวยเองว่า ไม่เจอพี่ยอดหรือไง เห็นออกไปรอพี่เขาแต่เช้ามืด”
ยอดผาอ้าปากจะตอบคำถามของจ้อย แต่รมณกลับถามแทรกขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มจึงต้องหุบปากเงียบ มีเพียงสายตาที่มองเธอด้วยความรู้สึกหลากหลาย บอกไม่ถูก
“ลุงชนะยังไม่ออกมาอีกหรือครับจ้อย”
“มาแล้วครับ เดินตรวจรอบค่ายอยู่ โน่นครับ มาโน่นแล้ว”
รมณยิ้มซีดเซียวให้ผู้ใหญ่ที่เดินเข้ามาสมทบ ยกมือไหว้ทักทายอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะลุงชนะ”
“ว่าไงหนูน้ำมนต์ มาแต่เช้า ยังไม่ออกวิ่งกันอีกเหรอ เห็นเจ้ายอดไปรอแต่เช้ามืด”
สายตาผู้ใหญ่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปรกติ ยามหันไปมองลูกชายที่เมินไปมองทางอื่น และสีหน้าเรียบเฉยของรมณ มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่
“หนูอยากให้ลุงชนะเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้หนูค่ะ ลุงชนะช่วยหนูได้ไหมคะ”
คำขอร้องของรมณทำให้ยอดชนะอดประหลาดใจไม่ได้ คิ้วที่เริ่มมีขนสีขาวแซมเลิกขึ้นสูง
“ทำไมล่ะ”
“หนูคิดว่าคุณยอดผาคงไม่อยากจะเป็นเทรนเนอร์ให้หนูจริงๆ หนูไม่อยากบังคับจิตใจใคร แค่ได้เรียนมวยเอาไว้ป้องกันตัว ให้ลุงชนะเป็นเทรนเนอร์ให้ก็ได้ ลุงชนะคงไม่รังเกียจ”
“เออดีนะ! เมื่อวานทำแทบตายเพื่อให้ผมเป็นเทรนเนอร์ให้ มาวันนี้เปลี่ยนใจง่ายๆ นี่แหละผมถึงไม่อยากเป็นเทรนเนอร์ให้พวกคนไม่มีความอดทน”
ยอดผาเดินมาหยุดตรงหน้ารมณ เห็นใบหน้าหวานเชิดขึ้น เรียวปากบางเม้มเข้าหากัน แววตาถือดีมองเขานิ่ง เพียงครู่ก็หันไปมองยอดชนะ
“ลุงชนะเป็นเทรนเนอร์ให้หนูนะคะ”
“เอ่อ...”
“ถ้าอยากจะฝึกมวย ผมจะเป็นเทรนเนอร์ให้คุณเอง ไม่ต้องไปกวนป๊า แต่ถ้าเปลี่ยนใจไม่ฝึก ก็เชิญคุณกลับไปได้เลย”
“ถ้าลุงชนะไม่อยากเป็นเทรนเนอร์ให้หนูก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่เรียนก็ได้”
ยอดผาออกอาการฉุนจัด เขาพูดกับหญิงสาว แต่เธอกลับพูดกับบิดาของเขา ทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด เหมือนเขาเป็นแค่อากาศ
“ไม่ได้ยินหรือไง ผมบอกว่าอย่าไปกวนป๊า!”
ด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ยอดผาจึงลืมตัว ตะโกนใส่หน้าหญิงสาว เดือดร้อนยอดชนะต้องรีบออกโรงช่วย
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเปลี่ยนใจล่ะหนูน้ำมนต์ เห็นตอนแรกยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าอยากให้เจ้ายอดเป็นเทรนเนอร์ให้”
“หนูก็แค่ไม่อยากฝืนใจคุณยอดผา แค่นี้เขาก็ทำให้หนูรู้แล้วว่าเขาไม่อยากเป็นเทรนเนอร์ให้หนู”
คำพูดนั้นทำให้ยอดชนะหันไปมองลูกชายด้วยสายตาเอาเรื่อง
“แกทำอะไรหนูน้ำมนต์ เจ้ายอด!” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงขึงขังเช่นเดียวกับสีหน้า
“เปล่าหรอกค่ะ คุณยอดผาไม่ได้ทำอะไรหนูหรอกค่ะ เพียงแต่หนูกลับไปคิดถี่ถ้วนแล้ว เมื่อวานคุณยอดผาพูดเองว่าไม่อยากเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้หนู...หนูแค่ไม่อยากฝืนใจเขาเท่านั้นเองค่ะ”
“พูดมาเจ้ายอด แกไปทำอะไร ทำไมหนูน้ำมนต์ถึงเปลี่ยนใจเร็วแบบนี้” ยอดชนะคาดคั้น เพื่อเอาความจริงจากบุตรชาย
ยอดผามองหน้าบิดาอย่างหวาดๆ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น
“ทำอะไรเล่าพ่อ ก็แค่แหย่เล่นนิดหน่อย”
“ไม่นิดหน่อยละมั้ง หนูน้ำมนต์ถึงเป็นแบบนี้” ตำหนิบุตรชายอย่างจริงจัง ทั้งน้ำเสียงและสายตา
“ผมก็แค่อยากทดสอบว่าเขามีพื้นฐานมวยมั้ย ถ้าเจอเหตุการณ์แบบกระชั้นชิด เข้าถึงตัว เขาจะทำยังไง ก็เท่านั้นเอง ใครจะคิดว่าคุณเธอจะใจเสาะขนาดนี้”
“เอาละๆ ในเมื่อเจ้ายอดไม่อยากเป็นเทรนเนอร์ให้หนูน้ำมนต์ ลุงเป็นให้เองก็ได้ ลุงจะสอนมวยให้เก่งกว่าเจ้ายอดอีก เอาให้ต่อยหน้าเจ้านี่ให้คว่ำเลย”
“เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมจะเป็นครูฝึกให้เขาเอง มานี่! ออกไปวิ่งกัน”
ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว แต่มือหนาของยอดผาคว้าข้อมือเล็กของรมณไว้มั่น ลากหญิงสาวให้ออกวิ่งพร้อมกับเขา ไม่สนใจอาการขืนตัว และไม่เต็มใจของหญิงสาวแม้แต่นิด
“ปล่อยฉันนะ”
รมณขืนตัว พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุม เป็นจังหวะเดียวกับที่ยอดผาตั้งใจปล่อยมือหญิงสาวอยู่แล้ว ทำให้เธอเกือบเซถลาเพราะไม่ได้ผ่อนแรงขืนของตัวเอง
“เฮ้ย!”
ยอดผาร้องอุทานเสียงหลง พร้อมกับคว้าแขนเล็กของรมณไว้อย่างฉับพลัน ดึงเข้าประชิดตัว ประคองหญิงสาวไว้ด้วยอ้อมแขน ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ครู่เดียวรมณก็สลัดตัวออก แล้ววิ่งไปก่อน ทิ้งให้ยอดผายืนอึ้ง ใจสั่นอยู่พักใหญ่ กว่าจะตั้งสติวิ่งเหยาะๆ ตามไปประกบข้าง
“คุณ!”
เงียบกริบ! ไม่พูดไม่จา ไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ยอดผาเม้มปากแน่น แกล้งวิ่งปาดหน้า ให้หญิงสาวหยุดวิ่งกะทันหัน ก็ไม่ได้ยินเสียงต่อว่า เธอเพียงเบี่ยงตัวให้พ้นเขา ออกวิ่งไปเรื่อยๆ โดยมียอดผาวิ่งเหยาะตามหลัง ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมต้องรู้สึกหงุดหงิด ตอนที่รมณทำเหมือนไม่สนใจ ไม่มีเขาอยู่ในสายตา
รู้ดีว่าตัวเองผิดที่แกล้งเธอแบบนั้น อยากจะขอโทษแต่ปากก็หนักเหลือเกิน ยิ่งเห็นหน้าเชิดๆ ของรมณด้วยแล้ว กลัวว่าขอโทษไปแล้วเธอตอกหน้าเขากลับมา เขาจะทำอย่างไร
“นี่คุณน้ำกรด...อยากจะด่าผมไหม ถ้าอยากด่าก็ด่าได้นะ ไม่ต้องเก็บอารมณ์ตัวเองแบบนั้นหรอก เดี๋ยวมันจะกระอักเลือดออกมา”
ไม่มีเสียงตอบรับ รมณยังคงวิ่งไปเงียบๆ ทำให้ยอดผายิ่งหงุดหงิด รีบวิ่งแซงไปดักหน้า แล้วก็หยุดวิ่งเสียอย่างนั้น ดีที่ระยะห่างพอตั้งตัวได้ รมณจึงหยุดได้แบบไม่กระชั้นชิดเท่าไร ยอดผากลั้นหายใจ รอให้หญิงสาวต่อว่า หรือพ่นคำด่าออกมา แต่มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่ออีกฝ่ายยังปิดปากเงียบ เบี่ยงตัวออกแล้ววิ่งเหยาะไปข้างหน้า
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ยกมือขึ้นเท้าเอว สุดจะทนไหว
“โอเค! ผมมันนิสัยไม่ดี น่าเกลียด ไม่สุภาพ ปากหมา คุณอยากพูดแบบนี้ใช่ไหมล่ะ ด่ามาเถอะ ไม่ต้องอมไว้ในปากหรอก เห็นแล้วอึดอัดแทน”
คำพูดนั้นทำให้ร่างบางที่ออกวิ่งไปได้นิดหยุดชะงัก ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ไม่ได้หันกลับมามองคนพูด ยอดผาถอนหายใจพรืดใหญ่ เดินมาหยุดตรงหน้าแม่คนอวดดี มือทั้งสองข้างยกขึ้นเท้าเอว เอียงคอมองคนที่เชิดหน้า ปรายตามองไปทางอื่น
“อย่าโกรธน่า ดูหน้าสิ หน้าตาก็น่าเกลียดอยู่แล้ว มาทำหน้าบึ้งตึง ปากยื่น คอเชิด โกรธแบบนี้ ยิ่งน่าเกลียด ไม่น่ามองมากกว่าเดิมอีก”
คิดผิด ยอดผาคิดผิดเสียแล้ว เพราะคิดว่ารมณต้องทนไม่ไหวกับคำพูดของเขา แต่ที่ไหนได้ หญิงสาวกลับเงียบ ไม่ตอบ ใบหน้ายังเชิด ตอนนี้ฟ้าเริ่มสาง ยอดผาจึงเห็นคนหน้าตึงชัดเจนขึ้น
“อะไรกันนี่คุณ! ว่าถึงขนาดนี้แล้วยังเงียบอยู่ได้ ผมบอกแล้วไง ไม่พอใจอะไรก็ให้พูดออกมา ด่าผม เตะผม หรือต่อยก็ได้ ถ้าคุณโกรธ นี่คงแอบแช่งชักหักกระดูกผมอยู่ในใจละสิท่า”
ยอดผายิ้มมุมปากเมื่อร่างบางหมุนกายมามองเขา มุมปากเกือบจะยกสูงขึ้นส่งยิ้มให้อีกฝ่าย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเย็นชาของรมณดังขึ้น
“คุณมัวแต่เรียกร้องให้คนอื่นเห็นตามคุณ แต่คุณเคยคิดที่จะขอโทษในสิ่งที่คุณทำผิดไหมคะ คุณยอดผา ถ้าไม่เคยคิด ไอ้สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นี่มันก็ไร้ค่า ฉันคงไม่ต้องเสียเวลามาสนใจ”
เพียงแค่หญิงสาววิ่งผ่านเขาไป กายหนาของยอดผาก็สั่นสะท้าน เสียงหัวเราะที่พยายามกลั้นเอาไว้ ดังในอก
‘ด่าแล้วเหรอแม่คุณ’
เห็นเงียบแบบนี้ ใช่ว่าจะไม่มีปากมีเสียง แต่ปากเสียงของรมณมันสุภาพจนเขานึกอายตัวเอง ยอดผาส่ายศีรษะ นึกต่อว่าตัวเองในใจว่าจะมายืนยิ้มอยู่ทำไม โดนด่าแล้วยังหน้าเป็นอยู่ได้ สายตามองตามคนสุภาพที่ออกวิ่งไปไกลพอสมควร ก่อนจะวิ่งตาม ทิ้งระยะห่างไว้
วันนี้รมณวิ่งได้ดีกว่าเมื่อวาน มีแรงแผ่วบ้าง แต่ก็ไม่หยุด ตลอดเวลายอดผาไม่วิ่งนำหน้าหญิงสาว ได้แต่คอยวิ่งตามหลัง ยามใดที่หญิงสาวอ่อนแรง เขาก็จะผ่อนฝีเท้า วิ่งเหยาะอยู่ใกล้ๆ ไม่นำหน้ากลับไปค่ายมวยก่อน
ฟ้าสว่างจัดแล้ว กว่ารมณและยอดผาจะวิ่งกลับมาถึงค่ายมวย ตอนนี้นักมวยทุกคนกำลังรับประทานอาหารเช้า ยอดชนะยืนยิ้มต้อนรับ นึกชมในใจว่าวันนี้หญิงสาววิ่งได้ดีกว่าเมื่อวาน ปรับสภาพร่างกายได้อย่างน่าชื่นชม เขาหันไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดฝาผนังห้องซ้อมมวยประกอบการพูด
“วันนี้วิ่งได้ดีนี่หนูน้ำมนต์ เวลาเริ่มดีแล้ว”
“ขอบคุณค่ะลุงชนะ”
ยอดผามองรมณที่ยิ้มหวานให้คนเป็นพ่อแล้วนึกเคืองในใจ ดูสิ...เขาวิ่งกับเธอมาตลอดเส้นทาง ไม่เคยพูด ไม่เคยยิ้มให้เขาแบบนี้สักนิด
“ยอด วันนี้จะเริ่มสอนหนูน้ำมนต์หรือยัง”
“ก็ว่าจะสอนละครับ แต่เขาดูเหมือนไม่อยากจะเรียน”
“น้ำมนต์พร้อมค่ะลุงชนะ”
สุดที่จะทนต่อไป ยอดผาเดินมาหยุดตรงหน้ารมณ สีหน้าบึ้งตึง มองหญิงสาวอย่างขุ่นเคือง
“นี่คุณ! ผมพูดกับคุณ คุณก็ต้องพูดกับผมสิ นี่อะไร ทำเหมือนไม่มีผมอยู่ตรงหน้าคุณงั้นแหละ จะโกรธอะไรนักหนา อยากด่าก็ด่ามาเลย ไม่ต้องทำเหมือนผมเป็นอากาศธาตุ ไร้ตัวตน”
ยอดชนะแอบยิ้มกับอาการหาเรื่องของลูกชาย ปรกติแล้วคนอย่างยอดผาไม่เคยแคร์ความรู้สึกใคร...คนไหนไม่สนใจก็ไม่เคยง้อด้วยซ้ำ แต่กับผู้หญิงตัวเล็กคนเดียว แถมไม่มีปากมีเสียง แต่รมณกลับทำให้ยอดผาออกอาการเดือดเนื้อร้อนใจกับความไม่สนใจของเธอ
“หนูน้ำมนต์โกรธอะไรเจ้ายอดมันเหรอ อภัยให้ลูกชายลุงหน่อยเถอะ เกิดมามันก็ปากหมา ไม่ค่อยจะมีมารยาทกับผู้หญิงนักหรอก ถ้าหนูจะช่วยฝึกให้มันมีมารยาทหน่อยก็ดีนะ เอาอย่างนี้ ไม่ต้องเสียค่าจ้างเรียนมวยหรอก แลกกับการฝึกมารยาทให้เจ้ายอดมัน ถือว่าช่วยลุงอีกทาง ดีไหม”
คนเป็นลูกถึงกับอ้าปากค้าง คาดไม่ถึงว่าคนเป็นพ่อจะพูดออกมาแบบนี้ นี่เท่ากับฉีกหน้าเขาชัดๆ ป๊านะป๊า หักหลังกันแบบนี้เลยหรือ
“ป๊า!”
“จะเรียกทำไม ก็มันจริงที่หว่า อยู่แต่กับนักมวยผู้ชายมากเกินไป แกเลยไม่มีความอ่อนโยนกับผู้หญิง ถ้าแม่แกยังอยู่คงอบรมแกได้ดีกว่านี้”
“โห...พี่น้ำมนต์นี่สุดยอด ถ้าลุงชนะเข้าข้างนะ ต่อให้สิบพี่ยอช์ตก็ไม่ต้องกลัว”
ยอดผาถลึงตาใส่ จ้อยจึงรีบหลบไปทางอื่นให้พ้นจากปลายเท้าของยอดผา
“ทะลึ่งละไอ้จ้อย”
“ดูสิพี่น้ำมนต์ กับเด็กก็ยังไม่เว้น พี่น้ำมนต์ต้องช่วยขัดเกลาพี่ยอดแล้วละ”
คำพูดของจ้อยเรียกเสียงหัวเราะจากบรรดานักมวยที่ซ้อมอยู่บริเวณนั้น แต่สำหรับรมณแล้ว เธอกลับนิ่งเฉย ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิด
“นี่ก็สายแล้ว อยู่ทานข้าวที่นี่เลยแล้วกันนะหนูน้ำมนต์”
“เอ่อ...จะดีเหรอคะ น้ำมนต์ไม่อยากรบกวน”
“รังเกียจ ไม่อยากทานอาหารพื้นๆ ว่างั้นเหอะ”
หญิงสาวไม่พูด มีเพียงแววตาเย็นชาที่เหลือบไปมองยอดผานิ่ง แต่แค่นั้นก็ทำให้เขาลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก
“ไปเถอะ หนูน้ำมนต์ อย่าไปถือสาปากหมาๆ ของไอ้ยอดมันเลย”
ยอดชนะเอ่ยปากชวนรมณอีกครั้งจนหญิงสาวปฏิเสธไม่ได้ จำต้องเดินตามชายสูงวัยไปนั่งที่โต๊ะอาหาร โดยมียอดผาตามไปห่างๆ เวลาของอาหารเช้า ผ่านไปพร้อมกับการพูดคุยระหว่างพ่อกับลูก รมณกินอาหารอยู่เงียบๆ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสนทนานั้น
แต่มันทำให้เธอได้รู้อย่างหนึ่งว่า ยอดผากับยอดชนะนั้นรักและสนิทสนมกันมากแค่ไหน สายตาของยอดผายามมองผู้เป็นบิดาเต็มไปด้วยความรักและนับถือ เธอสังเกตว่า ทุกครั้งที่ยอดชนะตำหนิ หรือเตือนอะไร ยอดผามักจะฟังโดยไม่แย้งแม้แต่นิด
หญิงสาวแอบคิดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ วันนี้ทำให้เธอรู้ว่า ยอดผาไม่ได้เลวร้ายหรือน่ากลัวสักนิด ถ้าไม่นับนิสัยชอบแกล้งของเขา
รมณไม่รู้ตัวเลยว่า รอยยิ้มของเธอนั้นทำให้คนที่ลอบมองอย่างยอดผาหัวใจเต้นแรง ชายหนุ่มรีบหันหน้าหนีไปทางอื่น ปรามตัวเองในใจ
“เอาละ พักกันมาพอควรแล้ว ลุงต้องไปช่วยครูพนมซ้อมเจ้าตัวเล็ก ใกล้แข่งเต็มทีแล้ว เจ้ายอดฝึกให้หนูน้ำมนต์ดีๆ ล่ะ เก็บปากเสียๆ เอาไว้กินข้าวอย่างเดียวพอ เข้าไจ๊”
คำสั่งของคนเป็นบิดาทำให้ยอดผาอดไม่ได้ที่จะค้อนกลับ แต่ก็เพียงนิดเดียว ก่อนที่ดวงตาคมกริบจะตวัดมองคนข้างกายจึงเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าอมยิ้ม
หน็อย! แม่คุณ มีความสุขมากสินะที่เห็นเขาโดนตำหนิ
“คุณมีพื้นฐานเกี่ยวกับการต่อสู้ด้านมวยมากแค่ไหน”
คำถามนั้นทำให้รมณเงยหน้าขึ้น ปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปรกติ รอยยิ้มเลือนหายไป ส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ไหนลองกำมือสิ”
มือเล็กกำเข้าหากันตามคำสั่ง ยอดผาเห็นแล้วถึงกับส่ายหน้า ถอนหายใจแรงๆ ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ เอื้อมมือไปจับมือบางของเธอ จัดนิ้วให้กำปั้นของเธอกำแน่นขึ้น ในลักษณะที่เรียกว่ากำหมัด
“คุณต้องกำให้แน่นแบบนี้ แบมือให้นิ้วมือทั้งสี่นิ้วติดกัน แล้วพับนิ้วทั้งสี่เข้าหาอุ้งมือ กดทับด้วยนิ้วโป้ง ให้เฉียงกับนิ้วชี้และนิ้วกลาง ทำแบบนี้เพื่อให้หมัดกระชับ และแน่นขึ้น”
ยอดผาพูดพร้อมกับทำให้รมณดู หญิงสาวจึงทำตามอย่างว่าง่าย
“แบบนี้เขาเรียกว่ากำหมัด การต่อยมวยเราต้องใช้หมัดเป็นอาวุธ กำให้แน่น เอ้า...ทีนี้ลองต่อยมาที่มือผมซิ”
ยอดผาแบมือแล้วยกขึ้น หันฝ่ามือให้รมณ พยักหน้าให้เธอต่อยมาที่ฝ่ามือเขา แต่เธอเอาแต่มองอย่างลังเล
“อ้าวคุณ เร็วๆ สิ นี่ถ้าคุณมีคู่แข่งอยู่ตรงหน้า แล้วคุณลังเลแบบนี้นะ คุณถูกต่อยคว่ำลงไปกองกับพื้นให้กรรมการนับสิบแล้วมั้ง”
เรียวปากบางเม้มเข้าหากัน นึกเคืองกับคำดูถูกของชายหนุ่ม หญิงสาวกำหมัดแน่น ต่อยออกไปชนฝ่ามือของเขาอย่างแรง แต่แรงของเธอกับแรงของเขาแตกต่างกัน สิ่งที่กระทบกับฝ่ามือของยอดผาจึงเบาราวกับนุ่น
“คู๊ณ...ต่อยมวยนะครับ ไม่ใช่เล่นตบแปะ ตั๊กแตนยังต่อยแรงกว่าคุณเลยมั้ง ข้าวเช้าก็กินไปแล้ว ออกแรงให้มันเยอะหน่อยสิ ต่อยน่ะ รู้จักคำว่าต่อยไหม”
รมณเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำถากถาง หญิงสาวออกแรงมากกว่าเดิม
“แรงอีกนิดสิ เอาเป็นว่าคุณโกรธใครก็ระบายใส่กำปั้นนี้ได้เลย”
รมณหยุดต่อย สายตาของเธอจับจ้องที่ยอดผานิ่ง เรียวปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ได้! โกรธใครก็ต่อยคนนั้นใช่ไหม หมัดแรกที่ปล่อยออกไปนั้น เธอนึกถึงใบหน้าของยอดผา เมื่อเห็นใบหน้านั้นชัดขึ้นหมัดที่สอง สาม สี่ ก็ตามมาเป็นลำดับโดยไม่หยุดพัก ไม่ว่าจะต่อยถูกหรือผิดวิธี เธอก็เหวี่ยงกำปั้นสะเปะสะปะไปทั่ว
“เฮ้ย! คุณ! เดี๋ยวๆ”
ยอดผาร้องเสียงหลง เพราะเธอรัวหมัดใส่เขาไม่หยุด
“โอ๊ย! นี่ไม่ใช่ต่อยแล้วนะ มันทั้งตบ ทั้งตี คุณ!”
ยอดผาเอะอะโวยวาย ปัดป้องกำปั้นของรมณออกจากตัว
“โกรธใครก็ต่อยเหรอ นี่แน่ะ! นี่ๆ”
รมณรัวหมัดใส่ ทั้งเหวี่ยงทั้งทุบ ปะปนไปสารพัด ตอนนี้เธออยากทำร้ายผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ให้เขารู้รสความเจ็บเสียบ้าง
ภาพการต่อยรัว และการตะโกนร้องเสียงหลงเกินจริงของยอดผา ทำให้นักมวยหลายคนละมือจากการซ้อม เพื่อรอลุ้นผลของคนทั้งคู่
“เบาๆ คุณ ผมกลัวแล้ว โห! ลูกศิษย์คนแรกของผมนี่ต่อยเจ็บใช่เล่น สู้ยิบตาแบบนี้ ไม่เสียแรงที่ ยอดผา ศิษย์ยอดชนะ เป็นเทรนเนอร์ให้”
ยอดผากระโดดเหย็งๆ ปัดป้องราวกับกลัวหมัดของเธอ ส่งยิ้มแหยๆ ให้ รมณรู้ดีทีเดียวว่านั่นคือการง้องอนของเขา หมัดของเธอจะไปเจ็บอะไรเมื่อเทียบกับหมัดลุ่นๆ ที่เขาเคยเผชิญมา แต่เห็นท่าทางของเขาแล้วเธอก็อดยิ้มไม่ได้ และรอยยิ้มนั้นมันก็ทำให้คนมองอึ้ง หัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้งหนึ่ง พักใหญ่กว่ายอดผาจะเรียกสติของตัวเองให้กลับคืน
ชายหนุ่มทำเสียงเคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง
“ทีนี้คุณทำตามผมนะ ท่านี้เรียกว่าการตั้งท่าจดมวย คือพร้อมที่จะสู้ทุกเวลา คุณต้องรู้เหลี่ยมมวย ว่าตัวเองถนัดซ้าย หรือถนัดขวา เหลี่ยมซ้ายนั้น คือหมัดขวาอยู่ข้างหน้า สูงระดับหางคิ้ว หมัดซ้ายอยู่ชิดคาง เท้าขวาอยู่ข้างหน้า ให้ปลายเท้าชี้ไปยังคู่ต่อสู้ เท้าซ้ายอยู่ด้านหลัง ในลักษณะตั้งฉากกับเท้าหน้า ลำตัวเหยียดตรง
“เหลี่ยมขวาก็ไม่ต่างจากเหลี่ยมซ้ายสักเท่าไร คือยื่นหมัดซ้ายไปข้างหน้า สูงระดับหางคิ้ว หมัดขวาอยู่ชิดคาง เท้าซ้ายอยู่ข้างหน้า เท้าขวาอยู่ด้านหลัง ยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย เพื่อปิดคาง กันหมัด ขณะตั้งท่าจดมวย สายตาคุณก็เล็งไปที่ศัตรู จ้องมันให้นิ่ง เอามันให้ตายด้วยสายตานี่แหละ ไหนลองทำสิ”
รมณทำท่าทางเหมือนที่ยอดผาสอนทุกอย่าง ตามองยอดผานิ่ง ดวงตาวาววับจ้องเขาราวกับเป็นศัตรู จนครูสอนมวยถึงกับแปลกใจ เป็นครู่จึงนึกออกว่าตัวเองพูดอะไรออกไป จึงหัวเราะออกมาพร้อมกับเอ่ยพูดสิ่งที่อยากพูด
“ถ้าคุณมองผมขนาดนั้น คุณด่าผมตรงๆ เลยก็ได้นะ ผมมันเป็นพวกประเภทคิดเองไม่ได้เสียด้วยสิ ต้องให้โดนด่าแรงๆ ถึงจะสำนึก”
ยอดผาเอ่ยออกมาอย่างขำปนฉุน แม่เจ้าประคุณเล่นด่าทางสายตาเสียขนาดนั้น ต่อให้โง่ขนาดไหนก็ดูออก
“ฉันเป็นคนมีมารยาทพอค่ะ”
“อ๋อ...จะว่าผมไม่มีมารยาทว่างั้นเหอะ”
“ฉันไม่ได้พูดนะคะ”
“ไม่ได้พูดด้วยปาก แต่พูดด้วยสายตา”
รมณคิดว่าตัวเองตาฝาดไปด้วยซ้ำเมื่อเห็นอาการปรายตาค้อนของยอดผา หญิงสาวเผลอหัวเราะออกมากับกิริยาของเขา
เลือดในกายของยอดผาเย็นวาบ หยุดไหลเวียน เพราะสีหน้าและเสียงหัวเราะราวกับระฆังแก้วของรมณ เป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่าผู้หญิงอะไร หัวเราะได้สวยที่สุด เพราะที่สุด
การมองนิ่งของยอดผาทำให้คนหัวเราะเริ่มวางตัวไม่ถูก ก้มหน้าลงต่ำ แก้มสาวร้อนวาบทั้งสองข้าง หลบสายตาพราวหวานของชายหนุ่ม ดูเหมือนยอดผาจะรู้ตัวเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มกระแอมเรียกสติอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะตั้งสติ เรียกสมาธิ
“เหนื่อยหรือยัง”
“ยังค่ะ”
คำลงท้ายอย่างเพราะพริ้งทำให้ยอดผาอดยิ้มไม่ได้
“คุณนี่มารยาทดีนะ พูดค่ะทุกคำเลย”
“คุณก็เหมือนกัน มารยาทแย่มาก พูดไม่เห็นมีครับสักคำเลย”
คำย้อนหน้านิ่งของหญิงสาวเล่นเอายอดผายกมือขึ้นเท้าเอว มองหญิงสาวอย่างหาเรื่อง
“ผมจะพูดครับกับป๊าและคนที่นับถือเท่านั้น”
“แต่ฉันเป็นสุภาพสตรี สุภาพบุรุษที่ดีควรให้เกียรติสุภาพสตรีด้วยคำพูดที่เหมาะสมค่ะ”
“ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นสุภาพบุรุษนี่ ผมเป็นนักมวย”
สีหน้ากวนอารมณ์กับการเถียงข้างๆ คูๆ ของยอดผา ทำให้รมณต้องสูดลมหายใจระงับความขุ่นเคือง
“คุณลุงชนะบอกว่าฉันมีสิทธิ์อบรมคุณได้ ต่อไปนี้เวลาพูดกับฉันต้องมีครับลงท้ายทุกคำ”
“ไม่!”
“ฉันจะฟ้องลุงชนะ”
“เชิญ!” ยอดผาพูดอย่างไม่สนใจ
“ฉันคงดูต่ำต้อยจนนักมวยที่มีชื่อเสียงอย่าง ยอดผา ศิษย์ยอดชนะ จะลดตัวลงมาพูดจาดีๆ ด้วยไม่ได้ ฉันเข้าใจค่ะ”
ไม่ใช่แค่พูดเสียงสั่นสะท้านอย่างเดียว กิริยาก้มหน้าลงต่ำ กระพือเปลือกตาปริบๆ ราวกับเธอกำลังกลั้นน้ำตานั้นทำให้ยอดผาถึงกับพูดไม่ออก นึกอยากจะสบถออกมาให้ลั่น ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงเฉยชาอย่างรมณจะเล่นไม้นี้กับเขา นี่มันแม่มดชัดๆ
“คุณนี่มัน! ซ้อมต่อได้แล้ว”
“ครับด้วย”
“เออๆ ซ้อมต่อได้แล้วครับ”
รมณยิ้มจริงใจออกมาเป็นครั้งแรกอย่างลืมตัว อย่างน้อยเธอก็พอรู้แล้วว่า ผู้ชายแข็งกระด้างอย่างยอดผานั้นไม่ได้กักขฬะจนน่ารังเกียจ หากเธอต้องใช้ชีวิตคู่กับเขาก็คงไม่น่ากลัวนัก หัวใจดวงน้อยของหญิงสาวเต้นแรงยามเมื่อนึกถึงการใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน เธอพยายามสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งแล้วตั้งใจกับการสอนมวยของยอดผา
ในการฝึกท่ามวยไทยเบื้องต้น วันนี้เธอรู้จักการต่อย และการเตะ เมื่อก่อนนั้นเธอรู้จักแต่คำว่าเตะต่อย แต่ไม่เคยรู้หลักเลยว่าควรเตะแบบไหนถึงถูกวิธี และต่อยแบบไหนที่ทำให้ตัวเองเจ็บมือน้อยที่สุด
เมื่อขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน คนขับกลับอมยิ้ม ยามคิดถึงตอนที่บังคับให้ยอดผาพูดครับทุกครั้งที่พูดกับเธอ ถ้ามีประโยคไหนที่เขาไม่ลงท้ายด้วยครับ เธอก็จะแย้งออกมาทันที
ไม่ใช่แค่เพียงรมณคนเดียวที่มีอาการคิดไปยิ้มไป ยอดผาเองก็เช่นเดียวกัน ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงกว้างอย่างหมดแรง หลังจากรมณกลับไปแล้วเขาก็ฝึกหนัก ทดแทนเวลาที่เสียไปกับเธอ เพราะอีกไม่กี่วันเขาต้องแข่งขันนัดพิเศษ ซึ่งเป็นงานการกุศล มุมปากยกสูงขึ้น ดวงตาพราวแสง คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ระหว่างเขากับเธอ
“ครับ! ครับ!”
ยอดผาหัวเราะลั่น เมื่อนึกถึงความเพี้ยนของตัวเอง เขาเป็นเอามาก ถึงกับต้องมาฝึกพูดครับก่อนนอน แล้วจะฝึกเพื่อใคร
“บ้าแล้วไอ้ยอด เพี้ยนขึ้นทุกวัน สงสัยจะซ้อมหนักไปหน่อย”
ยอดผาบ่นพึมพำ ยกหมอนขึ้นปิดหน้าตัวเอง และเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้แต่เพียงว่าเขาหลับไปพร้อมกับการฝึกพูดครับๆ ในใจตั้งหลายคำ
สีหน้าของเจ้าสัวยอดชายฉายแววกังวลยามที่เห็นรมณเดินเข้ามา ท่านคิดผิดหรือถูกที่ขอให้รมณช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับยอดผา หลายคนอาจจะคิดว่าเขาเห็นแก่ตัว แต่เขาก็รักรมณเหมือนเป็นสายโลหิตคนหนึ่ง หากเขาเป็นอะไรไป ยอดผาคือผู้รับมรดกทั้งหมด และหากรมณอยู่กับยอดผา เธอจะไม่ลำบาก เขาเชื่อสายตาตัวเอง ยอดผาไม่ใช่คนที่จะทำร้ายผู้หญิงได้ หลานชายของเขาคนนี้รักมารดามากที่สุด และต้องรักคนที่เป็นเพศเดียวกับมารดาด้วยเช่นเดียวกัน และที่สำคัญ เขาเชื่อว่ายอดชนะคงเลี้ยงดูและกล่อมเกลายอดผามาอย่างดี เช่นเดียวกับที่ดูแลยอดธิดามาอย่างดี จวบจนถึงวาระสุดท้ายของยอดธิดา
“กลับมาแล้วเหรอน้ำมนต์ เหนื่อยมากเลยเหรอลูก เป็นไงบ้าง ไปทำความรู้จักกับพี่เขา ดีไหม”
รมณยิ้มออกมา เมื่อเห็นแววตื่นเต้นและยินดีในดวงตาคู่เศร้าของเจ้าสัวยอดชาย
“ดีค่ะ คุณยอดผาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หนูคิดไว้”
ยิ้มอ่อนฉายบนใบหน้า ยามที่คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา
“ตาค่อยเบาใจหน่อย ถึงตาจะมั่นใจว่าเจ้ายอช์ตมันจะทำให้หนูมีความสุขก็เถอะ”
“คุณตาไม่ต้องกังวลนะคะ หนูพร้อมที่จะเรียนรู้คุณยอดผาค่ะ อย่างไรเสียความตั้งใจของคุณตาจะต้องสำเร็จแน่ค่ะ หนูจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณยอดผาลดความบาดหมางระหว่างเขากับคุณตา”
สายตาอ่อนโยนของเจ้าสัวมองหลานนอกไส้อย่างเอ็นดู
“ตาขอบใจหนูมากนะ ที่ทำตามคำขอร้องของคนแก่ ตารู้ว่าตาเห็นแก่ตัวกับหนูอย่างร้ายกาจ ที่ขอร้องให้หนูทำตามความต้องการของตา โดยไม่คิดถึงจิตใจของหนู แต่เชื่อเถอะว่าเจ้ายอช์ตมันดีพอสำหรับหนูแน่”
“หนูไม่มีสิ่งไหนทดแทนบุญคุณคุณตาเลยค่ะ นอกจากสิ่งนี้ หนูทำให้คุณตาด้วยความเต็มใจนะคะ ไม่ใช่โดนคุณตาบังคับแต่อย่างใด คุณตาไม่ต้องกังวลหรือคิดมาก คุณตาบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่าหลานชายของคุณตาไม่ได้เลวร้ายอะไร ระยะเวลาอาจทำให้เราสองคนรักกันก็ได้ค่ะ”
ถึงแม้ความหวาดหวั่นจะผุดขึ้นมาในใจก็เถอะ แต่สิ่งที่รมณทำได้ในตอนนี้คือยิ้ม ส่งกำลังใจให้แก่ชายสูงวัยตรงหน้า
“ขอบใจลูก ขอบใจมาก”
“คุณยอดผาเป็นคนที่แข็งนอก แต่จิตใจอ่อนโยนมากค่ะ หนูเชื่อว่าแท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เกลียดคุณตาหรอกค่ะ แต่อาจเป็นเพราะโกรธเท่านั้นเอง”
เจ้าสัวพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของรมณ ดวงตาของผู้สูงวัยเหม่อมองไปทางอื่น ภาพที่ยอดผาตากฝน นั่งอ้อนวอนให้เขาไปเยี่ยมแม่ที่ป่วยหนัก และกำลังจะจากโลกนี้ไปยังคงติดตา รอยรื้นในดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางปรากฏออกมาอย่างชัดเจน เพราะคำว่าทิฐิตัวเดียว พอคิดได้ ทุกอย่างก็เหมือนจะสายไปหมด สิ่งเดียวที่ท่านได้รับจากยอดผา นั่นคือความเกลียดชัง
“ตาก็ขอให้เป็นแบบนั้น ขอให้ตายอช์ตแค่โกรธ ไม่ใช่เกลียดตา”
น้ำเสียงของเจ้าสัวยอดชายสั่นสะท้าน
“ค่ะ! ต่อไปนี้ เรามาช่วยกันทลายความโกรธของคุณยอดผากันนะคะ”
มือเล็กเอื้อมไปจับมือที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลเวลาอย่างให้กำลังใจ ดวงตาทอดมองชายชราด้วยความรัก เธอรู้ว่าเจ้าสัวยอดชายเคยทำผิดพลาดในอดีต แต่นั่นเพราะความรักที่มีต่อบุตรสาว เจ้าสัวจะอยู่บนโลกใบนี้อีกสักกี่ปี เธอไม่อยากให้ท่านต้องทุกข์ใจอีกต่อไป
“ขอบใจมากลูก ถ้าไม่เป็นเพราะตาเห็นแก่ตัว เรื่องแบบนี้มันคงไม่เกิดขึ้น”
“ไม่เอาค่ะ อย่าโทษตัวเองสิคะ น้ำมนต์รู้ว่าคุณตาเสียใจมาก คนเป็นพ่อ ทำได้แค่แอบมอง แอบส่งลูกตัวเองขึ้นสวรรค์ มันทรมานใจมาก”
มือที่เหี่ยวย่นบีบตอบมือเล็กของรมณอย่างแรง บอกให้รู้ว่าคำพูดของเธอนั้น ตรงกับใจของเขาที่สุด
“คุณตาขึ้นไปพักผ่อนเถอะค่ะ อย่าคิดมาก ปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นหน้าที่ของหนูนะคะ”
ผู้สูงวัยมองหญิงสาวด้วยแววตาขอบคุณอีกครั้ง แล้วเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน ทิ้งให้รมณนั่งอยู่ตรงโซฟาห้องรับแขก รอยยิ้มอ่อนเลือนหายไป เหลือเพียงใบหน้าเศร้าสร้อย หากวันใดวันหนึ่ง ยอดผารู้ความจริงว่าเธอเข้าหาเขาด้วยเหตุผลอะไร รอยยิ้มกับสายตาที่เป็นมิตรในวันนี้ คงเลือนหายไป
คนที่เธอคิดว่าขึ้นชั้นบนไปแล้วนั้นหยุดมองรมณอยู่ตรงบันได เห็นอีกฝ่ายนั่งทอดถอนลมหายใจอยู่ ความรู้สึกผิดก็วิ่งมาเกาะกุมหัวใจ หรือบางที เขาต้องหาวิธีอื่น หาคนอื่น เพื่อมาเป็นตัวเลือก หรือเขาควรตริตรองเรื่องนี้ใหม่อีกสักครั้ง
ความคิดเห็น |
---|