2

ไม่ใช่แค่ความบังเอิญ

                “สวัสดีครับ”

                ชายหนุ่มตอบรับปลายสายที่ติดต่อมาในยามวิกาลด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หญิงสาวคงไม่รู้ว่าหัวใจเขาเต้นแรงแค่ไหนเมื่อได้เห็นชื่อที่เคยบันทึกเบอร์ไว้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน อันที่จริงเขาเกือบถอดใจไปแล้ว แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงหวานความรู้สึกคาดหวังก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

“อุ๊ย หม่อมหลวงภาคย์ใช่ไหมคะ”

“ครับ ตกใจอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มถามกลับไป แค่เธอพูดมาเขาก็ยิ้มได้แล้ว

“ขอโทษทีค่ะ พอดีฉันลองกดเบอร์โทรศัพท์ในนามบัตรดู แต่ไม่คิดว่าคุณจะรับสายเร็วขนาดนี้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมดีใจที่คุณโทรมาหา”

หญิงสาวหยุดไปครู่หนึ่งแล้วถามกลับมา “แล้วคุณรู้หรือคะว่าฉันคือใคร”

                “รู้สิครับ มีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่มีเบอร์ผม”

            “ฉันควรดีใจใช่ไหมคะ ว่าแต่ฉันเป็นใครเอ่ย” เธอถามกวน พร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ

                “คุณน้ำผึ้งร้านเจ๊ง” เขาตอบทันทีโดยไม่ต้องทายเลยด้วยซ้ำ

            “คุณ!”

                “ฮ่า ๆ ผมทายเก่งใช่ไหม” ชายหนุ่มคิดถึงเจ้าของร้านเบเกอรี่คนสวยแล้วยิ้ม ป่านนี้เธอคงกำลังทำหน้ามุ่ย

            “เก่งค่ะ ว่าแต่คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไงคะ”

                “ก็คุณแทนตัวเองว่าน้ำผึ้งไงครับ”ชายหนุ่มตอบ แต่ไม่ใช่ความจริง เขารู้จักเธอมาก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่ถ้าพูดออกไปเธอคงไม่ชอบใจนัก

                “ว่าแต่ฉันกวนเวลานอนของคุณหรือเปล่าคะ”

                “ไม่หรอกครับ ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ น้ำผึ้งมีอะไรหรือเปล่าครับ”

                “คือว่า ยังไงดีล่ะ ฉันต้องเรียกคุณว่าคุณชายใชไหมคะ” คนปลายสายตามเหมือนไม่มั่นใจ

                “ไม่ต้องครับ ผมเป็นหม่อมหลวง ถ้าน้ำผึ้งจะเรียก เรียกผมแค่คุณภาคย์ หรือจะให้ดีเรียกพี่ภาคย์ก็ได้ครับ”

            “ฉันไม่กล้าเรียกคุณภาคย์ว่าพี่หรอกค่ะ”

                “ทำไมล่ะครับ ผมอายุสามสิบสี่แล้ว น้ำผึ้งน่าจะอ่อนกว่าผมหลายปีอยู่เหมือนกัน”

                “โห สามสิบสี่แล้วหรือคะ?” เสียงใสถามกลับมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

                “ฟังเหมือนน้ำผึ้งตกใจมากนะเนี่ย สามสิบสี่แล้วไม่ได้เด็กเหมือนหน้าตาครับ ว่าแต่น้ำผึ้งอายุเท่าไหร่” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ถูกใจที่หญิงสาวสดใส ต่างจากผู้หญิงเจ้าน้ำตาเมื่อหลายวันก่อน

                “ฉันยี่สิบเจ็ดค่ะ แต่หน้าตาคุณภาคย์ดูเด็กมากจริง ๆ นะคะ จนฉันคิดไปเองว่าคุณน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน”

                “ผมไม่เด็กแล้วครับ ว่าแต่ตอนนี้น้ำผึ้งเป็นยังไงบ้าง หายดีหรือยังครับ”

                “หายจากอะไรเหรอคะ” เธอถามเขากลับมา

                “ท่าทางน้ำผึ้งจะลืมง่าย ผมหมายถึงหายจากอาการเศร้าหรือยังครับ”

                “อ๋อ ดีขึ้นแล้วค่ะ ฉันย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ตามคำแนะนำของคุณแล้วด้วย”

                แต่เขาไม่ตอบกลับไปว่าทราบเรื่องนี้จากบิดาของเธอแล้ว ชายหนุ่มตอบรับเพียงสั้น เพื่อฟังในสิ่งที่เธอต้องการอธิบาย

                “ครับ ผมดีใจที่น้ำผึ้งก้าวผ่านความเศร้ามาได้”

                “ขอบคุณนะคะที่ให้กำลังใจฉันเมื่อวันนั้น”

                ชายหนุ่มยังไม่อยากให้หญิงสาวสรุปบทสนทนา เขาจึงถามเธอกลับไป “แล้วน้ำผึ้งจะไปสมัครงานที่ร้านกิ่งราชพฤกษ์ ตามที่ผมแนะนำหรือเปล่าครับ”

                “ทางร้านจะรับฉันหรือคะ”

                “ทำไมน้ำผึ้งถึงคิดว่าที่ร้านจะไม่รับล่ะครับ เอาอย่างนี้ไหมคุณลองเข้ามาคุย มาดูบรรยากาศร้านก่อนก็ได้ แล้วกลับไปคิดว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าชอบผมก็อยากให้น้ำผึ้งได้ไปทำงานที่นั่น”

                หญิงสาวหยุดคิดอีกครั้งแล้วจึงถามกลับมา “ฉันเข้าไปดูบรรยากาศร้านก่อนได้จริงหรือคะ”

                “ได้สิครับ แวะเข้ามาเป็นแขกของผมได้”

                “ถ้าอย่างนั้นฉันชวนเพื่อนไปด้วยนะคะ”

ครั้งนี้น้ำเสียงที่ถามกลับมาเหมือนตื่นเต้นไม่มั่นใจ แต่กลับทำให้หม่อมหลวงตาหวานยิ้มกว้างกว่าเดิม “ได้สิครับ งั้นพรุ่งนี้เที่ยง ผมจะรอพบคุณอยู่ที่ร้านอาหารนะครับ”

                “ค่ะ ขอบคุณจริง ๆ นะคะ ฉันติดหนี้มากมายเหลือเกินจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว”

                นั่นเข้าแผนการเขาเสียจริง ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ยากครับ พรุ่งนี้เช้าคุณก็โทรมาปลุกผมหน่อยก็แล้วกัน การตอบแทนเท่านี้ไม่ยากเกินไปใช่ไหมครับ”

                “ปลุกอย่างนั้นหรือคะ”

            “ใช่ครับ สักประมาณเจ็ดโมงเช้า ผมต้องไปทำงานก่อนเข้าไปที่ร้านอาหาร แต่ผมจะรีบไปให้ทันเจอคุณตอนเที่ยงนะครับ”

                “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ฉันจะไปเจอคุณที่ร้านอาหารตอนประมาณเที่ยงนะคะ”

                “ครับ แล้วพรุ่งนี้เจอกันครับ”

                “ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณภาคย์” เธอตอบกลับมา

                “ครับ ฝันดีนะครับน้ำผึ้ง” เขาบอกหญิงสาว ก่อนที่เธอจะตัดสัญญาณไปด้วยความรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก

                

หม่อมหลวงภาคย์ภาคินัย วางเครื่องมือสื่อสารลงบนตู้ไม้ข้างหัวเตียงแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังห้องแต่งตัวซึ่งอยู่ส่วนติดกันกับห้องนอน ขยับผ้าเช็ดตัวบนที่พันไว้บนสะโพกออก แล้วหยิบกางเกงนอนขายาวที่พับวางไว้บนตู้กลางห้องมาสวมใส่ ปกติเขาไม่ชอบสวมใส่เสื้อเวลานอน เพราะผืนผ้าทำให้เขาอึดอัด ยกเว้นแต่กางเกงที่ต้องติดกายไว้เผื่อมารดาเข้ามาโดยมิได้นัดหมาย ชายหนุ่มเท้าเอวพิจารณาเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ถูกรีดแขวนเรียงตามลำดับสี แล้วเลือกหยิบเสื้อสีฟ้าอ่อนเนื้อดีรีดจนเรียบกริบออกมาแขวนไว้บนราวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลือกสวม

เพราะทุกนาทีสำหรับเขาแล้วนั้นมีค่ายิ่งกว่าทองคำ ด้วยธุรกิจหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งงานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของบิดามารดา ซึ่งเขารับตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการซึ่งต้องช่วยบิดาคิดวางแผนดำเนินงานต่าง ๆ อีกที่เขาอาสาช่วยเจ้าของร้านอาหารกิ่งราชพฤกษ์ตรวจสอบบัญชี และดูแลสวัสดิการพนักงาน ซึ่งทุกอย่างต้องวางระบบความคิด หรือแม้แต่เรื่องส่วนตัวที่เขาพยายามควบคุมให้เป็นปกติสม่ำเสมอแต่ทุกอย่างก็ยากจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้า 

หม่อมหลวงหนุ่มวัยสามสิบสี่ปิดไฟห้องแต่งตัวกลับมานั่งลงบนที่นอนในห้องสีน้ำตาลขรึม คิดถึงเสียงหวานที่เพิ่งได้คุยเมื่อครู่แล้วอมยิ้มเป็นโชคของเขาที่ออกมาจากห้องน้ำพอดีตอนที่เสียงโทรศัพท์ดัง แม้จะลืมไปแล้วว่าเคยบันทึกหมายเลขโทรศัพท์เธอไว้ แต่พอได้เห็นหัวใจเขาก็เต้นแรง ภาพคนสวยร้องไห้ตาบวมแก้มแดง แววตาโศกเศร้ายังติดอยู่ในห้วงความคิดของเขามาตลอดสองสัปดาห์ ทั้งที่ไม่เคยคิดว่าตนเองจะหลงเสน่ห์ผู้หญิงที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก แต่วันนั้นทำให้เขาได้เห็นตัวตนจริง ๆ ของผู้หญิงสวยโปร์ไฟล์สมบูรณ์แบบ แม้สถานการณ์รุมเร้าให้หัวใจอ่อนล้า แต่เธอยังสามารถยิ้มออกมาถึงจะเป็นรอยยิ้มทั้งน้ำตาก็ตาม

ถ้าเธอยิ้มด้วยความสุข โลกจะสดใสเพียงใด

ความคิดเล่น ๆ วันนั้น ทำให้เขานึกอยากจริงจังในวันนี้...

ชายหนุ่มนึกตลกตัวเองเหมือนกัน เพราะหลายปีเขามัวแต่สนใจอยู่กับงานที่กำลังไปได้ดีจนลืมสนใจเรื่องความรัก ร้อนไปถึงทุกคนในครอบครัวที่กลัวว่าเขาจะครองตัวเป็นโสดเช่นเดียวกับคุณชายภาคิน โดยเฉพาะมารดาที่พยายามแนะนำลูกสาวเพื่อนให้รู้จัก แต่ก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ต้องตาต้องใจเขาสักคน

จนกระทั่งบิดาแนะนำให้รู้จักคุณนิวัฒน์ ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายของท่าน เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ผู้อาวุโสอารมณ์ดีชาวจังหวัดเชียงใหม่โฆษณาสรรพคุณบุตรสาวคนสุดท้องไว้จนเขานึกอยากรู้จัก อยากชิมฝีมือเบเกอรี่ที่ผู้เป็นพ่ออวดว่าเธอเก่งนักหนา

และเป็นจริงเช่นนั้น เพราะขนมฝีมือเธอทำให้หัวใจเขาสั่นสะเทือน เช่นเดียวกับความรู้สึกเวลานี้ที่ได้คุยโทรศัพท์กับเธอก่อนเข้านอน ชายหนุ่มยังคงยิ้มขณะที่นึกถึงน้ำเสียงหวานใสที่เพิ่งคุยเมื่อครู่

ดูเหมือนเขาทอดสะพานอ่อยเธอมากเกินไปหรือไม่ แต่คงไม่มากเกินไป หม่อมหลวงหนุ่มยังคงครุ่นคิดถึงการสนทนาเมื่อครู่ เขาเอื้อมมือปิดโคมไฟเหนือหัวเตียงก่อนเอนตัวลงนอนและหลับตา ปล่อยให้เวลายามค่ำคืนผ่านไป พร้อมต้อนรับเช้าวันใหม่ที่น่าจะสดใสกว่าเมื่อวาน

 

                อากาศร้อนอบอ้าวแตกต่างจากเชียงใหม่ทำให้เช้านี้ของภัทรียาไม่ค่อยสดชื่นเท่าที่ควร อีกทั้งคืนที่ผ่านมาเธอนอนกระสับกระส่าย หลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งแปลกที่ ทั้งกังวลเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่วางโทรศัพท์จากหม่อมหลวงภาคย์

                ปกติแล้วภัทรียาเป็นคนสนิทสนมกับคนยาก โดยเฉพาะเพศตรงข้าม เพราะตั้งแต่เด็กจนโตเธอมักถูกพี่ชายที่อายุต่างกันสองปีกลั่นแกล้งอยู่เสมอ โชคดีที่ได้เรียนโรงเรียนประจำหญิงล้วนจึงไม่ต้องกังวลช่วงวัยรุ่น แต่นั่นเองทำให้เธอไม่ชอบเข้าใกล้ หรือสุงสิงกับเพศชาย ยิ่งตอนคบหากับปิลันธ์ด้วยแล้ว เธอรู้สึกฝังใจว่าเพศชายเป็นเพศที่ตัวเหม็นน่ารังเกียจ ผิดกับเพศหญิงด้วยกันที่ตัวหอมสะอาด จนไม่อยากเข้าใกล้พวกผู้ชายไปโดยปริยาย

                และหม่อมหลวงภาคย์ ภาคินัย เป็นผู้ชายแท้ ๆ จนหญิงสาวรู้สึกประหลาดไม่คุ้นเคย ยิ่งเขาพูดจาไพเราะหวานหูด้วยแล้ว เธอยิ่งรู้สึกถึงความไม่น่าไว้วางใจของชายหนุ่ม ใจหนึ่งก็อยากได้งานทำ ใจหนึ่งกลับกลัวถูกคนแปลกหน้าหลอกลวง

                ดังนั้นภัทรียาจึงโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยอย่างนุสรา คนที่แนะนำให้เธอก้าวตามความฝัน และเตือนสติเวลาที่เธอมีปัญหามาตลอดหลายปี

                สิบโมงเช้าภัทรียาจึงมายืนอยู่หน้ารั้วสูงของบ้านหลังใหญ่สามชั้นทันสมัยย่านกลางเมือง ก่อนเธอจะเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนด้านใน เจ้าของบ้านรูปร่างเล็กผอมในชุดเสื้อยืดคอกลมกางเกงขาสั้นก็วิ่งออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใส

                รอยยิ้มของเพื่อนเก่าทำให้ภัทรียายิ้มกว้างแล้วโบกมือให้

“หวัดดีนิ้ง”

                “รีบเข้ามาเลยผึ้ง” นุสราเปิดประตูพร้อมควงแขนปากก็รีบถามตรงประเด็นจนเธอไม่ทันตั้งตัว “เล่ามาให้หมด ฉันอยากรู้เรื่องของแกมาก ทำไมถึงปิดร้าน แล้วไอ้พี่ปิ่นมันทำอะไร แกถึงต้องระเห็จกลับมากรุงเทพฯ แล้วผู้ชายที่แกเล่านั่นไว้ใจได้มากแค่ไหนกัน”

                “นี่แกอยู่คนเดียวเหรอ เด็ก ๆ ล่ะ” ภัทรียาถามเบี่ยงเบนความสนใจขณะเข้าไปยังตัวบ้าน อยากทำใจก่อนจะเล่าทุกอย่างที่เคยเกริ่นไว้กับเพื่อน

                “เปล่า เด็ก ๆ ไปโรงเรียน วันนี้มีฉันอยู่กับคุณน้าของพี่จอมแล้วก็แม่บ้านอีกคน” คนเป็นเพื่อนตอบรวดเร็วไม่เสียเวลาแล้วตบเบาะโซฟาหนังสีครีมสะอาดเป็นสัญญาณให้เธอนั่งลงด้านข้าง “ย้ายกลับมากรุงเทพฯ ก็ไม่บอก ไม่อย่างนั้นฉันไปช่วยแกจัดคอนโดแล้ว”

                “ฉันเกรงใจ ว่าแต่สามีแกไม่อยู่ใช่เปล่า” ถามไปก็ชะเง้อมองอย่างหวาดระแวง

                “ไม่อยู่ พี่จอมไปตรวจงานที่อุดร กลับวันเสาร์ ว่าแต่แกยังกลัวสามีฉันอีกหรือผึ้ง”

                “ก็สามีแกดุนี่นา” ภัทรียาหัวเราะอย่างเก้อเขิน

                ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัดด้วยกันทั้งคู่ เธอกับนุสราจึงจับฉลากได้อยู่หอพักเดียวกันตั้งแต่ปีหนึ่ง จนกระทั่งเธอย้ายออกไปอยู่คอนโดมิเนียมตอนปีสาม ส่วนนุสราจำต้องดร๊อปเรียนกลางคันช่วงที่บิดาป่วย และทำให้จบช้ากว่าเธอหนึ่งปี ซึ่งช่วงนั้นเธอบินไปเรียนทำขนมที่ฝรั่งเศสแล้ว แต่อย่างน้อยเพื่อนของเธอก็ยังโชคดีที่มีคนรักนิสัยดีดูแล จนเดี๋ยวนี้เป็นคุณนายลูกสองไปแล้ว

                “อย่าเบี่ยงประเด็นผึ้ง วันนี้แกต้องคุยเรื่องของแก” นุสรานั่งยืดตัวตรง คว้ามือเธอไปกุมไว้บนตัก ไม่เว้นช่องให้หายใจด้วยการจ้องตาจริงจัง

                “แกก็ ว่าแต่แกอยากรู้เรื่องไหนก่อน” เธอถาม พร้อมเล่าทุกอย่างให้ฟังตั้งแต่ตัดสินใจมาหาหล่อนแล้ว

                “เริ่มเรื่องแรก แกเลิกกับพี่ปิ่นสุดหล่อได้ไง”

                แค่ได้ยินชื่อเขาหัวใจภัทรียาก็รู้สึกปวดหน่วง เธอส่ายศีรษะเมื่อถูกตอกย้ำที่แผลเก่า 

“เขานอกใจฉันไปมีคนใหม่”

                “อะไรนะ ทอมบ้านั่นนอกใจแกอย่างนั้นเหรอ” นุสราถามตาวาวอย่างโกรธเคืองยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังออกท่าทางชกมือตัวเอง ใส่อารมณ์อย่างกับต้องการชกคนที่ถูกพูดถึงสักหมัด

                “ใจเย็น ๆ นิ้ง ฉันว่าแกดุใกล้เคียงสามีแกแล้วนะ”

                “ให้ฉันใจเย็นได้ไง ปีที่แล้วตอนฉันไปเจอแกที่เชียงใหม่ มันยังสัญญากับฉันว่าจะดูแลแกให้ดี แล้วมันมาทำแบบนี้กับแก เดี๋ยวฉันให้คนของพี่จอมขึ้นไปดักตีหัวเลยไหม”

                “บ้าแก ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” นุสราทำให้ภัทรียาหัวเราะออกมาได้ เธอตีตักเพื่อนตัวดีเบา ๆ ที่ชวนให้คิดเรื่องพิเรนท์

                “แต่มันน่านักผึ้ง นึกถึงหน้าตามันแล้วฉันก็โมโห นี่เลยทำให้แกหนีรักลงมาพักใจที่กรุงเทพฯ งั้นเหรอ”

                “ไม่ใช่หรอก ฉันตั้งใจมาเปลี่ยนบรรยากาศ ช่วงร้านกาแฟใกล้เจ๊งฉันรู้สึกเหมือนตัวเองหมดไฟ พอปิดร้านจริง ๆ ฉันก็เลยอยากหางานที่จุดพลังฉันกลับมาใหม่ นี่ก็ตัดผมเปลี่ยนตัวเองด้วย”

                นุสราพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ “แล้วผู้ชายที่แกเล่าให้ฉันฟังเมื่อเช้าล่ะ เกี่ยวไหม”

                “ไม่หรอก ฉันแค่บังเอิญได้รู้จักเขาวันที่ปิดร้าน” ภัทรียาตอบ

                “แล้วแกไว้ใจเขาได้เหรอ เขาเป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน”

                “ฉันก็ไม่ค่อยไว้ใจหรอก แต่วันที่เจอกันเขาแนะนำให้ฉันมาสมัครงานที่ร้านอาหารของเขา เขาบอกว่าที่ร้านอยากได้เชฟเบเกอรี่อยู่พอดี”

                “แกเลยชวนฉันไปดูร้านอาหารนั่นกับแก?”

                “ใช่ แกไปกับฉันนะนิ้ง ถ้าแกไม่ไปด้วยฉันก็ไม่กล้าไปที่นั่นคนเดียวหรอก ฉันกลัวต้องนั่งคุยกับเขาสองต่อสอง”

                “เขาหน้าตาน่ากลัวเหรอ แกถึงกลัวที่จะนั่งคุยกับเขาสองคน” คนแต่งงานแล้วย้อน

                “เปล่า เขาหล่อมากเลยแก แต่ฉันกลัวว่าเขาจะประหลาดใส่ฉัน แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบอยู่ใกล้ผู้ชาย”

                “อ้าว หล่อแล้วจะกลัวทำไม ถ้าเขาจีบก็ตกลงปลงใจไปเลย ยิ่งถ้าเป็นเจ้าของร้านอาหาร อีกหน่อยแกก็ได้ร้าน ดีเสียอีกไม่ต้องลงทุนเอง ได้ทั้งแฟน ได้ทั้งร้านอาหาร” แซวไปนุสราก็หัวเราะลั่น

                “นิ้ง แกคิดว่าฉันเห็นแก่เรื่องพวกนี้เหรอ แกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ฉันไม่อยากเจอหม่อมหลวงภาคย์ตามลำพัง นะแกนะ” ภัทรียาเขย่าขาเพื่อน

                “หม่อมหลวงเชียวเหรอ โห มีแฟนเป็นราชนิกุลเชียวนะ แกไม่สนใจเหรอไหน ๆ แกก็โสดแล้ว” นุสรายังไม่เลิกล้อเล่น หล่อนยิ้มกว้างอย่างคนอารมณ์ดี

                “ไอ้นิ้ง ถ้าไม่เลิกล้อ ฉันโกรธจริงด้วย” คนไม่ชอบเข้าใกล้ผู้ชายทำหน้าง้ำ

                “ไม่ล้อแล้วก็ได้ผึ้ง แต่ฉันต้องไปรับลูก ๆ ที่โรงเรียนอนุบาลตอนบ่ายสามโมง แกคิดว่าฉันขับรถกลับมาทันไหม” นุสรากลับเข้าสู่ภาวะจริงจังแล้วมองนาฬิกาคำนวณเวลา

                “ทันไหมแก แต่เราสองคนกินข้าวกันไม่นานอยู่แล้วนะ” ภัทรียาอ้อนเพื่อน อยากให้หล่อนไปด้วยมาก

                “เนอะ ฉันก็ว่าทัน” คนอยู่บ้านเฉย ๆ ยิ้มกว้าง อยากออกไปรับประทานอาหารกับเพื่อนอยู่แล้ว

                “ใช่” ภัทรียายิ้มกว้าง อยากกระโดดหอมแก้มเพื่อนรักที่ยอมไปเจอหน้าผู้ชายเป็นเพื่อน โดยเฉพาะผู้ชายไม่น่าไว้วางใจอย่างหม่อมหลวงภาคย์ ภาคินัย

                

ไม่นานรถยนต์คันเล็กของนุสราก็พาภัทรียาเดินทางถึงร้านอาหารไทยริมถนนสีลม ราชพฤกษ์ต้นใหญ่ออกดอกสีเหลืองสะพรั่งสดใสสูงเด่นเป็นสง่าข้างประตูทางเข้า สายลมเย็นช่วงต้นปีพัดช่อดอกสวยพลิ้วไสว และเมื่อรถยนต์จอดสนิทบนอาณาเขตกว้างที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศเงียบสงบ เย็นสบาย ราวกับมิได้ยืนอยู่ใจกลางเมือง ก็พลันทำให้หญิงสาวจากเมืองเหนือตื่นตะลึง เรือนไม้ทรงปั้นหยาสีครีมสองชั้นที่ตั้งอยู่ด้านหลังทางเดินซุ้มไม้ระแนง ที่เถาต้นการเวกปกคลุมให้ร่มเงา แตกต่างกับร้านอาหารสมัยใหม่ที่เธอเคยสัมผัส เสียงเพลงแจ๊สเปิดบรรเลงคลอเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือน เธอรู้สึกราวกับได้เข้ามาภายในบ้านอันอบอุ่น จนเผลออมยิ้มเมื่อเห็นรูปปั้นกามเทพสีขาวกำลังแผลงศรบนสนามหญ้าเขียวชอุ่ม ระหว่างเส้นทางเดินที่จะเข้าสู่ตัวเรือน

“ผึ้ง...ร้านนี้ไฮโซจังเลย” นุสรากระซิบ จับมือภัทรียาอย่างยากจะเก็บอาการตื่นเต้นไว้ได้

“อืม บรรยากาศอย่างกับหลงเข้ามาในวังโบราณยังไงไม่รู้” หญิงสาวตอบ มองทุกสิ่งรอบกายด้วยสายตาตื่นตะลึง “ท่าทางร้านอาหารคนจะเยอะเนอะ รถจอดหลายคันเลย”

“ว่าแต่ตรงไหนร้านอาหาร” เพื่อนสนิทถามหญิงสาว

“ตรงนั้นมีตึกดูใหม่ ๆ หน่อย น่าจะใช่ไหม” เธอตอบ ชี้นิ้วไปยังตึกสีขาวสองชั้นที่ติดกับกำแพงสูงซึ่งกั้นระหว่างถนนวุ่นวายและพื้นที่สงบ

ร้านอาหารกิ่งราชพฤกษ์ผ่านกาลเวลามากว่าสามสิบปี ซึ่งคุณชายผู้ก่อตั้งได้นำพื้นที่ส่วนด้านหน้าที่ติดถนนของวังภาคินัยมาประยุกต์สร้างเป็นร้านอาหารไทยตำรับชาววัง ด้วยความชื่นชอบสร้างสรรค์อาหาร ท่านจึงทำตัวร้านแยกออกมาจากเรือนเดิมซึ่งเป็นส่วนที่อยู่อาศัย

ภัทรียากับเพื่อนสนิทพากันจูงมือจากลานจอดรถยนต์ ออกมายังส่วนของตึกสีขาว บนกำแพงตึกแขวนป้ายโลหะสีเข้มรูปทรงช่อดอกกัลปพฤกษ์เป็นสัญลักษณ์เธอหยุดหน้าประตูกระจกสีเข้มเมื่อพนักงานสาวใหญ่ถือถาดใส่จานชามใช้แล้วสวนออกมา

“เชิญค่ะ สั่งอาหารเชิญด้านในได้เลยนะคะ” หล่อนบอกยิ้มแย้ม

“ค่ะ ฉันขอถามนิดนึงนะคะพี่ ไม่ทราบว่าถ้าฉันต้องการพบคุณภาคย์ ฉันต้องไปที่ไหนคะ” หญิงสาวถามอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้รู้สึกกังวลหากต้องพบชายหนุ่มด้านใน

แต่สิ่งที่ภัทรียาได้รับเป็นคำตอบคืออาการนิ่วหน้าขมวดคิ้วของอีกฝ่าย “คุณภาคย์หลานคุณชายหรือคะ ปกติคุณเขาไม่ค่อยเข้ามาที่ร้าน ถ้าคุณนัดคุณภาคย์ไว้ คุณจะไปทางเรือนใหญ่ดีกว่า” หล่อนตอบ สายตามองนำไปยังเรือนปั้นหยาสีขาว ก่อนปลีกตัวไปยังส่วนของห้องครัวซึ่งเป็นตึกชั้นเดียวติดกับห้องอาหาร

“เอาไงผึ้ง” นุสราถาม

“นั่นสิ ฉันไม่เข้าไปหาเขาที่เรือนนั่นสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก เอาอย่างนี้เราเข้าไปกินอาหารกันเถอะ เดี๋ยวฉันส่งข้อความไปบอกว่าฉันมาแล้วคงจะเหมาะกว่า” หญิงสาวบอกเพื่อน ไม่อยากรบกวนเวลาชายหนุ่มที่ต้องออกมาต้อนรับเธอ

ดังนั้นหญิงสาวจึงผลักประตูเข้าไปยังส่วนของห้องอาหาร และทันทีที่ประตูบานใหญ่เปิดออก หัวใจภัทรียาก็พลันพองโตเมื่อสะดุดตากับตู้กระจกบานใหญ่ ที่วางอวดโฉมขนมหน้าตาสวยสีสีนสดใสกว่าสิบชนิดอยู่ภายในราวกับทางร้านต้องการกระตุ้นน้ำย่อยผู้มาเยือนให้น้ำลายสอ ด้านขวามือยังมีเคาน์เตอร์บาร์หินอ่อนวางขนมปังที่ถูกจัดวางล้อมรอบแจกันใบใหญ่ที่ใส่ดอกไม้สดสีขาว แต่ดอกไม้สวยมิได้ส่งกลิ่นรบกวนความหอมหวานจากเนยและวนิลาสักนิดพื้นห้องโถงประดับด้วยหินอ่อนสีขาวนวลตัดกับโต๊ะไม้สีเข้มที่วางเรียงรายเป็นระเบียบ ขนาดแตกต่างตามจำนวนลูกค้าที่รับประทานอาหาร และที่ทำให้ร้านดูโดดเด่นกว่านั้นคือกระจกสีชาบานใหญ่มหึมาที่กั้นระหว่างอาคารกับถนนสีลม ให้ลูกค้าได้มองบรรยากาศริมทางของถนนสีลม

ถือเป็นโชคของสองสาวที่มาถึงก่อนช่วงเวลาเที่ยง เพราะหลังจากที่เธอสั่งอาหารเรียบร้อย ลูกค้าอื่น ๆ ก็ทยอยเข้าร้านจนโต๊ะเต็ม พนักงานกว่าสิบชีวิตทั้งหนุ่มทั้งสาวเล็กสาวใหญ่ต่างเดินกันวุ่นวายมิได้หยุด

“ผึ้ง ถ้าแกทำงานร้านนี้ มีหวังทั้งวันไม่ได้โผล่หัวออกมาจากครัวแน่ ๆ” นุสราที่นั่งตรงข้ามกับเธอบอกขณะรอคอยอาหาร

“แต่นิ้งแกเห็นเคาน์เตอร์ขนมหรือเปล่า อย่างกับบ้านขนมในฝันเลย” คนสนใจแต่เบเกอรี่แย้ง ใจมาเกือบเต็มร้อยตั้งแต่ได้กลิ่นขนมหอมหวาน

“แบบนี้ต้องลองชิมทุกอย่าง” เพื่อนสนิททำตาวาว

“ไหวเหรอแก” ภัทรียาหัวเราะเบา ๆ ใจอยากชิมอย่างที่เพื่อนบอกแต่คงยาก

“งั้นเราต้องกินข้าวน้อย ๆ แล้วกินขนมหลาย ๆ อย่างหน่อย”

ครั้งนี้เธอเห็นด้วยกับนุสรา หญิงสาวชวนเพื่อนดูขนมในตู้กระจกและช่วยกันคิดว่าจะสั่งอะไรมารับประทานต่อจากอาหารมื้อหลัก แล้วหญิงสาวก็ต้องชะงักเมื่อชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าหล่อจัดเปิดประตูเข้ามาในร้าน ดวงตาหวานขนตายาวมองมาที่เธอแล้วยิ้ม

เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หญิงสาวใจสั่น

“สวัสดีครับ” ผู้ชายเจ้าของเสียงทุ้มละมุนทักทายหญิงสาว แล้วดึงเก้าอี้ด้านข้างเธอออกมานั่งโดยไม่ขออนุญาต

“สวัสดีค่ะ” เธอตอบ ฝืนยิ้มตามมารยาทให้แล้วขยับตัวให้เว้นระยะให้ห่างจากชายหนุ่ม

“มาถึงกันตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ผู้ชายตาหวานส่งยิ้มให้ผู้หญิงทั้งสอง

“สักพักแล้วค่ะ นี่นิ้งเพื่อนของฉันค่ะ” เธอแนะนำเขากับเพื่อน

“ผมภาคย์ครับคุณนิ้ง ร้านกิ่งราชพฤกษ์ยินดีที่ได้ตอนรับคุณสองคนนะครับ”

“ร้านสวยมากเลยค่ะคุณภาคย์ บรรยากาศเหมือนนั่งอยู่ในบ้านผู้ดีเก่า หรูหราแต่อบอุ่น” นุสราบอกอย่างกระตือรือร้น

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะนำคำชมของคุณนิ้งไปบอกคุณลุงให้นะครับ”

“ค่ะ คุณภาคย์เองก็หล่อมากนะคะ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ว่าแต่คุณนิ้งกับน้ำผึ้งสั่งอาหารหรือยัง” ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้าง

“สั่งแล้วค่ะ” ภัทรียาตอบ สายตาจ้องเขม็งไปที่เพื่อนสาวที่ชมผู้ชายจนออกนอกหน้าส่วนเธอเองก็พยายามทำสีหน้าปกติ ไม่คิดถึงความรู้สึกอึดอัดรังเกียจเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดเพศชาย แต่ไอความร้อนจากร่างใหญ่ที่ห่างเพียงคืบทำใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งที่เขาไม่มีกลิ่นเหงื่อให้รังเกียจ แต่ยังเป็นความกระอักกระอ่วนเมื่อต้องอยู่ใกล้

“แล้วคุณภาคย์รู้ได้ยังไงคะว่าพวกเรามา” นุสราผู้มีชีวิตชีวาเหลือเฟือถามเขา

“บังเอิญครับ ผมเจอพี่สมรตอนที่ออกมาจากของบ้านคุณลุง แกบอกว่ามีผู้หญิงสองคนถามถึงผม”

“แล้วคุณภาคย์กินอะไรหรือยังคะ” คนนั่งตรงข้ามถาม สังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งเกร็งคอแข็งเหมือนถูกพิษตัวชา

“ยังครับ ว่าแต่คุณสองคนสั่งอะไรไปบ้าง”

“ฉันสั่งผัดไทกุ้งสด ส่วนผึ้งสั่งแกงเขียวหวานเนื้อกับโรตีค่ะ”

“สองเมนูนี้เป็นเมนูแนะนำของร้านเลยครับ ว่าแต่คุณสั่งของหวานอะไรกันครับ”

“ยังเลยค่ะ แต่ผึ้งคงอยากกินทุกอย่าง” คนคุยเก่งช่วยตอบแทน

“ใครบอกว่าฉันอยากกินทุกอย่างล่ะนิ้ง ฉันแค่อยากลองชิมเท่านั้นว่าจะอร่อยหรือเปล่า” คนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรีบตอบ เธอไม่ชอบความรู้สึกที่เกิดขึ้นเวลานี้แม้แต่นิดเดียว

“อร่อยสิครับ” ชายหนุ่มตอบ พร้อมยกมือเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกล “พี่ฤดีครับ ผมขอข้าวกับมัสมั่นไก่ ขนมปังหน้ากุ้ง แล้วก็ขอน้ำส้มคั้นสองแก้วเพิ่มให้เพื่อน ๆ ของผมด้วยครับมื้อนี้ให้ผมเลี้ยงคุณนะน้ำผึ้ง”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ” คนมือเย็นเฉียบตอบ

ภัทรียาพยายามซ่อนอาการตื่นตระหนกไว้ภายใน สายตามองต้นแขนชายหนุ่มที่อยู่ห่างจากต้นแขนเธอไม่ถึงสามเซนติเมตร ยิ่งตอนที่เขาขยับตัวพับแขนเสื้อขึ้น ข้อศอกเขาเกือบแขนเธอด้วยซ้ำ โชคดีที่เขามีกลิ่นกายหอมละมุนกว่าผู้ชายปกติ ทำให้เธอพออดทนกับการต้องนั่งใกล้ชิดเขาได้บ้าง

“ผึ้งเป็นอะไรหรือเปล่า” นุสราถาม เมื่อสังเกตสีหน้าซีดเซียวของภัทรียา

“นั่นสิ หน้าคุณดูซีด ๆ นะครับ” คนไม่รู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุถาม

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคงหิว” คนอดทนตอบพลางยกแก้วน้ำเย็นที่พนักงานเพิ่งเสิร์ฟขึ้นมาดื่ม หวังให้ความรู้สึกเหล่านี้ผ่อนคลายลง

“หรือเพราะแกนั่งใกล้คุณภาคย์” เพื่อนสนิทถาม

“ไม่เกี่ยว” ภัทรียาแย้งสวน แต่ยากเย็นเหลือเกินที่จะเก็บอาการไว้เมื่อชายหนุ่มขยับใบหน้าเข้าใกล้กว่าเดิม

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” หม่อมหลวงภาคย์ เอียงศีรษะมองเธอ

“เปล่าค่ะ” หญิงสาวรีบถอยหนี

“เปล่าอะไรผึ้ง” เพื่อนสนิทตัวดีเอ่ย แล้วอธิบายเสียละเอียดยิบ “น้ำผึ้งเป็นพวกหวาดระแวงผู้ชายค่ะคุณภาคย์ ถ้านางเข้าใกล้ตัวพวกผู้ชายเกินไปจะทำตัวไม่ถูก ระยะขนาดนี้นางทนได้นานขนาดนี้ถือว่าเก่งมากแล้วค่ะ”

“เปล่านะ” คนเป็นอย่างเพื่อนเผารีบเถียง

“จริงเหรอ” หม่อมหลวงหนุ่มอ้าปากเหมือนจะหัวเราะขณะที่หันไปใช้นิ้วชี้แตะลงบนต้นแขนภัทรียา

“คุณ! อย่ามาโดนตัวฉัน” คนเป็นอย่างถูกกล่าวหารีบขยับเก้าอี้ถอยออกห่างชายหนุ่ม

ทำเอาหม่อมหลวงภาคย์ชะงักกับเสียงดังของหญิงสาว ชายหนุ่มดึงมือกลับพร้อมพยักหน้า แต่ไม่ทันจะพูดอะไรออกมา พนักงานเสิร์ฟก็เข้ามาขัดจังหวะด้วยการนำอาหารมาวางตรงหน้าทำให้เขาได้แต่จ้องคนสีหน้าตื่นตระหนกแล้วนึกอยากกลั่นแกล้ง

“เป็นแบบนี้แล้วจะทำงานกับผมได้ยังไง” เขาถาม

“ทำได้สิคะ” หญิงสาวเถียงทันควัน จ้องกลับไปยังผู้ชายที่ทำเป็นเอาใจเพื่อนเธอด้วยการตักขนมปังหน้ากุ้งส่งให้ “ฉันเป็นเชฟขนม ต่อให้มาทำงานที่นี่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ใกล้คุณนี่คะ”

“ครับ” เขาพยักหน้า ก่อนตัดบทราวไม่ใส่ใจคำพูดเธอ “กินอาหารเถอะ ผมเองก็ไม่อยากนั่งใกล้คนไม่สวยอย่างน้ำผึ้งเท่าไหร่หรอก ถึงได้นั่งมองหน้าคุณนิ้งไงครับ”

“ค่ะ ฉันก็อยากนั่งห่าง ๆ คุณ”

“ฉันว่าเรากินอาหารกันดีกว่านะคะ” นุสราเสริม เลิกคิ้วใส่ภัทรียาเหมือนเป็นสัญญาณให้เธอสงบปาก

บรรยากาศอึดอัดทำให้มื้อกลางวันที่ควรเอร็ดอร่อยกลับกร่อยจนหญิงสาวอยากรีบกลับบ้าน ปฏิเสธข้อเสนองานที่คุณหม่อมหลวงปากเสีย แต่เธออุตส่าห์มาที่นี่เพื่อตกงานกลับบ้านไปอย่างนั้นหรือ? หญิงสาวครุ่นคิดจนลืมสนใจรสชาติอาหารตรงหน้า แม้แต่เค้กช็อคโกแลตก้อนใหญ่ แวววาวด้วยซอสสีเข้มฉ่ำเยิ้มที่เสิร์ฟพร้อมวิปปิ้งครีมเนื้อนุ่ม ก็ไม่ทำให้เธอหยุดเหลียวมองคนด้านข้างด้วยสายตาระแวดระวัง

“เค้กอร่อยมากเลยค่ะคุณภาคย์ นิ้งไม่เคยกินเค้กช็อคโกแลตที่ไหนอร่อยเท่านี้” คำพูดของเพื่อนสนิทที่นั่งฝั่งตรงข้าม เรียกสติภัทรียาออกมาจากภวังค์

                “ขอบคุณครับ เชฟได้ยินคงจะดีใจ”

                จะอร่อยสักแค่ไหนเชียว คนหมั่นไส้ผู้ชายข้าง ๆ คิดขณะตักชิ้นเค้กนุ่มใส่ปาก เมื่อเนื้อเค้กละมุนแตะลงบนปลายลิ้น กลิ่นหอมช็อคโกแลตผสมวนิลาและความหวานกระตุ้นเซลล์ประสาทอันว่องไวให้เคลิ้มราวกับตกอยู่ในความฝัน

                อร่อย!

                “อืม...” หญิงสาวหลับตาครางในลำคอพร้อมสูดลมหายใจซึมซับกลิ่นและรสสัมผัสที่กำซาบสู่กลางอก

                “อร่อยใช่ไหมแก”นุสรายื่นหน้าเข้ามาใกล้

                ภัทรียาลืมตาขึ้นหน้าเจื่อนลงเมื่อเห็นแววตาซุกซนและรอยยิ้มอย่างผู้ชนะของชายหนุ่มที่กำลังจ้องมา

“ก็เฉย ๆ” เธอตอบเร็วเท่าใจคิด

                “เหรอครับ” เขายังคงอมยิ้ม

                “รสชาติดี แต่ก็ไม่เท่าไหร่” เธอตอบเลี่ยงด้วยความขัดเขิน ทั้งที่อยากก้มหน้าก้มตาจัดการเค้กตรงหน้าให้หมดเกลี้ยงไม่ให้เหลือหลอ แต่สายตาและท่าทางเจ้าเล่ห์ของหม่อมหลวงภาคย์ทำให้ภัทรียาอยากบอกปฏิเสธ

                “คุณจะบอกว่าคุณทำเค้กช็อคโกแลตอร่อยกว่าเชฟประสบการณ์สามสิบปีอย่างนั้นหรือครับน้ำผึ้ง”

                “เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ถ้าคุณภาคย์คิดว่าฉันเป็นพวกเอาฝีมือตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็คิดไปเถอะค่ะ ฉันไม่คิดจะสนใจคำพูดคุณอยู่แล้ว” หญิงสาวเม้มริมฝีปาก หงุดหงิดแววตาที่เหมือนมองทะลุเข้าไปอ่านใจเธอ

                “ผึ้ง...” เพื่อนรักที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอื้อมมือมาแตะมือเธอเป็นเชิงเตือน

                “ไม่เป็นไรครับ ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าน้ำผึ้งคงจะเป็นเด็กที่มีอีโก้สูง ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเปิดร้านกาแฟแบบไม่ศึกษาตลาด ถึงเปิดร้านได้แค่หกเดือนก็เจ๊ง หาได้ยากนะแบบนี้”

                “คุณ! นี่คุณหมายความว่ายังไง” หญิงสาวโวย รู้สึกเหมือนถูกเขาหาเรื่องตอกย้ำความล้มเหลว ทั้งที่เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วเขายังให้กำลังใจเธอ

                “หมายความตามนั้นครับ” เขาตอบ ก่อนส่งยิ้มให้กับนุสรา “ขอโทษด้วยนะครับคุณนิ้ง ผมเป็นคนพูดอะไรตรง ๆ”

                “คุณต้องขอโทษฉัน ไม่ใช่เพื่อนฉัน” ภัทรียารู้สึกอับอายเกินจะทนได้ ชายหนุ่มไม่ใส่ใจแม้แต่จะหันมาคุยกับเธอดี ๆ

                “เออคือ คุณภาคย์ ผึ้ง ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ทันทีที่พูดจบนุสราก็รีบเผ่นหนีโดยไม่รอคำอนุญาตจากใคร

                “อย่าใจร้อนสิครับ” ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างสงบ

แต่น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาก็ไม่ทำให้ภัทรียาอุ่นใจเลยสักนิด เธอดึงกระเป๋าสะพายที่วางซ้อนไว้ด้านหลังขึ้นมาวางบนตัก อยากเรียกพนักงานมาเก็บเงินเต็มทน

                “เรื่องของฉันค่ะ” เธอตอบ พยายามชะเง้อสบตากับหนักงานสักคนที่เดินอยู่

                “แล้วจะทำงานที่นี่ได้ยังไง” เขาถาม

                “ใครบอกว่าฉันจะทำงานที่นี่ฉันแค่อยากมาดูบรรยากาศร้านอย่างที่คุณชวน”

                “มากินอาหารตามคำชวน แต่ไม่ได้อยากสมัครงาน แสดงว่ามาเพราะสนใจผมอย่างนั้นหรือ ถือว่าเป็นผู้หญิงใจง่ายดี”

                ใจง่าย!

                ภัทรียาลุกยืนแทบทันที สะดุ้งกับถ้อยคำดูถูกที่ออกจากปากชายหนุ่ม เธอจ้องตาเขาแล้วกัดฟันต่อว่าเขากลับไปอย่างลืมตัว

“เลิกดูถูกฉันได้แล้ว ฟังแล้วจำไว้เลย ฉันไม่ได้มาที่นี่เพราะสนใจผู้ชายอย่างคุณ ฉันมาที่นี่เพราะฉันอยากเห็นร้านอาหารที่เสนองานให้ แต่เจอแบบนี้ฉันก็ตัดสินใจได้ง่ายแล้ว รับรองว่าชาตินี้ให้ตายฉันก็ไม่มีวันทำงานกับคุณเด็ดขาด”

                “เสียงดังไปแล้วน้ำผึ้ง” ชายหนุ่มปรามเธอด้วยท่าทีสบาย ๆ แม้เสียงอันดังจะทำให้พนักงานในร้านพร้อมใจกันมองมาที่เขาและหญิงสาว

                “เรื่องของฉัน” เธอยังคงโวยวาย

“ถ้าไม่อยากทำงานกับผม สนใจอยากทำอย่างอื่นกับผมไหมล่ะ” เขาถามกวนประสาทไม่เลิก

                “คุณภาคย์!” หญิงสาวอยากกระชากคนนิสัยไม่ดีขึ้นมาแล้วตะโกนใส่หน้าให้หงาย

                “เรื่องเล็กน้อย อย่าคิดมากเลยน้ำผึ้ง” เขาตอบพร้อมยิ้มเยาะ

                ภัทรียายืนกำมือตัวสั่นอย่างอดทน และทันทีที่นุสราเดินกลับมาด้วยสีหน้าประหลาดใจเธอจึงดึงแขนหล่อนอย่างรีบร้อน

                “เรากลับกันเถอะนิ้ง” และเธอจะไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งที่สอง

                “จะรีบทำไมน้ำผึ้ง เรายังไม่ได้คุยกันเรื่องสัญญาจ้างงานเลยครับ”

                เมื่อพูดถึงสัญญาจ้าง หญิงสาวก็นึกสองจิตสองใจ ใจหนึ่งอยากทำงานในร้านอาหารไฮโซเพื่อเพิ่มประสบการณ์ แต่ใจหนึ่งนึกเกลียดขี้หน้าผู้ชายตาหวานนิสัยแย่คนนี้

                ไม่ทันที่ภัทรียาจะว่าอะไร นุสราที่ถูกเธอรั้งแขนไว้ก็แทรกขึ้น

                “ผึ้งฉันจะบอกว่า เมื่อกี้ครูที่โรงเรียนอนุบาลโทรมาบอกให้ฉันไปรับเด็ก ๆ เร็วหน่อย เพราะที่โรงเรียนมีเด็กป่วยเป็นมือเท้าปาก แล้วฉันจะพาลูก ๆ ไปคลินิกให้หมอตรวจด้วย”

                “งั้นฉันกลับด้วย” เธอบอกเพื่อนสนิท จะเลิกสนใจผู้ชายที่นั่งมองเธอแววตาเจ้าเล่ห์อีกต่อไป

                “ไม่ต้องห่วงน้ำผึ้งหรอกครับคุณนิ้ง เดี๋ยวผมไปส่งน้ำผึ้งให้ครับ”

                “ฉันไม่ได้ขอ” ภัทรียาแหวใส่ชายหนุ่ม

                “ไม่เห็นหรือไงว่าเพื่อนรีบ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งสิ” ชายหนุ่มต่อว่าเธออีกครั้ง

                ภัทรียาปากสั่นความดันเลือดในศีรษะพุ่งสูงขึ้นจนใบหน้าร้อนผ่าว เป็นไปได้เธออยากต่อว่าเขาให้เจ็บแสบไม่แพ้กัน

“ไม่เป็นไรค่ะคุณภาคย์ งั้น ฉันไปก่อนนะแก”เพื่อนรักตอบชายหนุ่มพร้อมส่งยิ้มหวานโบกมือให้และเดินจากไปโดยไม่คิดจะเห็นใจสักนิด ว่าจะปล่อยภัทรียาเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้ตามลำพังไม่ได้

                “คุณ ฉันตัดสินใจแล้ว”

                “ตัดสินใจอะไรครับน้ำผึ้ง” ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีรอยยิ้ม แววตาที่เคยคิดว่าสวยงามดูเจ้าเล่ห์จนเธออยากหลบไปให้พ้นระยะมองเห็น

                “ฉันจะไม่มีวันทำงานกับคุณอย่างเด็ดขาด” เธอตอบเสียงดังฟังชัด มือกำสายสะพายกระเป๋าไว้แน่น

                “ทำไมล่ะ” เขาถามพลางส่ายศีรษะ “นึกแล้วว่าคุณต้องเป็นพวกเหลาะแหละเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ มิน่าทำอะไรถึงไม่สำเร็จ นึกว่าจะเก่งแค่ไหน ถ้าทนแค่คำพูดคนไม่ได้ คุณก็กลับไปเกาะพ่อแม่กินต่อไปเลย”

                ภัทรียารู้สึกเหมือนถูกต่อยหน้าหันด้วยคำพูด หญิงสาวเจ็บจนจุกไปถึงอก หัวใจบีบรัดจนเธอเจ็บ ในเมื่อผู้ชายตรงหน้าดูถูกเหยียดหยามเธอจนเกินจะทนได้

                “เออ! ใครมันจะดีเลิศแบบคุณ” เธอตะโกนลั่น เลิกสนใจสายตาคนอื่นอีกต่อไป แล้วหยิบแก้วน้ำส้มคั้นที่เหลือครึ่งหนึ่งขึ้นมาสาดใส่ใบหน้าผู้ชายใจร้ายเข้าเต็มที่

                “เฮ้ย!” คนไม่ทันระวังตัวร้องเสียงหลง น้ำส้มเปรี้ยวกระเด็นเข้าตาจนเขาต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้า

                “ว้าย คุณภาคย์”

พนักงานในร้านร้องระงมเมื่อเห็นใบหน้าเจ้านายสุดหล่อเต็มไปด้วยเกล็ดส้ม เปื้อนไปจนถึงปกเสื้อราคาแพง

“จำไว้นะ คนเฮงซวย ต่อให้คุณเป็นผู้ชายคนสุดท้ายในโลก ฉันก็จะไม่ขอเจอ”

ภัทรียาตะโกนลั่นร้านก่อนวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้หม่อมหลวงหนุ่มนั่งกุมขมับกับความไม่มีเหตุผลของเธอ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น