เจ้าของร่างสูงในชุดโต๊บ สีน้ำตาลอ่อน ซึ่งเป็นชุดสวมใส่ในชีวิตประจำวันเฉพาะในกลุ่มอาหรับ ยาวคลุมข้อเท้า ผ่าหน้ากว้างพอสำหรับสวมศีรษะได้ แขนเสื้อยาว นั่งดีดลูต ซึ่งเป็นเครื่องดีดชนิดหนึ่งคล้ายกีตาร์ อยู่บนพรมหนาริมหน้าต่างสูงที่โค้งมนคล้ายดอกบัวตูม เหนือขึ้นไปมีกระจกโมเสกสีขาวขุ่นและสีน้ำเงินกรุเป็นลวดลายเรขาคณิต ผนังห้องสีส้มอิฐประดับภาพวาดรูปนกอินทรีขนาดใหญ่ เป็นเจ้าแห่งท้องฟ้าผงาดเหนือผู้ใด ในตัวนกประกอบด้วยตัวอักษรอาหรับร้อยเรียงกัน
ผนังห้องอีกด้านหนึ่งมีหนังสือนับพันเล่มเรียงรายแน่นขนัดจดเพดาน ภายในห้องไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยใดๆ มีเพียงตะเกียงน้ำมันฉลุลายแขวนไว้ทำหน้าที่ส่องสว่างยามค่ำคืน แต่เมื่อเป็นเวลากลางวัน หน้าต่างทุกบานจะเปิดกว้างเพื่อรับแสงธรรมชาติจากภายนอก กลางห้องมีแท่นไม้สี่เสาปูทับด้วยพรมสีเข้ม เสาทั้งสี่ด้านพาดพันด้วยผ้าสักหลาดหนาหนัก ดูน่าเกรงขาม
นี่คือห้องพักผ่อนซึ่งเป็นห้องโปรดของเจ้าของคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งอย่างประณีต คงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมอาหรับโบราณแทบทุกกระเบียดนิ้ว นั่นเพราะเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้มีความภูมิใจในเชื้อชาติและแผ่นดินเกิดของตนเป็นอันมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยรู้เลยว่าใครเป็นผู้ให้กำเนิดตนเองก็ตาม
ท่วงทำนองเพลงเศร้าดังแผ่วไปตามสายลม คนในคฤหาสน์ต่างคุ้นชินกับเสียงดนตรีที่ไม่ต่างจากเสียงร่ำไห้ของผืนทรายยามรัตติกาล แต่ไม่ใช่เด็กสาวอย่างภัครติ เด็กสาวเพิ่งมาทำงานที่นี่เป็นวันที่สอง วันแรกนั้นแทบไม่ต้องพูดถึงเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางจนนอนหลับสลบไสล ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันทำงานที่แท้จริง และเป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงเพลงนี้
“เพลงเศร้าจัง...เศร้าจนอยากจะร้องไห้เลย”
เสียงเพลงทำให้สาวน้อยวัยสิบเก้าปีใจหาย เธอรับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกจนอยากรู้ว่าใครหนอเป็นผู้บรรเลงบทเพลงบาดจิตนี้ เธอเดินตามเสียงดนตรีนั้นไปเรื่อยๆ โดยทิ้งงานเช็ดถูตู้เก็บเครื่องลายครามที่ผู้เป็นป้ามอบหมายให้ทำเอาไว้เบื้องหลัง
ด้านหลังคฤหาสน์ตกแต่งคล้ายสวนป่า ไม่น่าเชื่อเลยว่ารัฐที่ดูแห้งแล้งจะปลูกต้นไม้ได้เขียวชอุ่มขนาดนี้ แต่อย่างว่าละ เงินบันดาลได้ทุกสิ่ง เธอได้ยินป้าเล่าว่าเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้รวยมาก รวยชนิดที่ว่านั่งกินนอนกินไปอีกสิบชาติก็ไม่หมด
“ว้า เลยไม่เห็นเลยว่าใครกำลังเล่นเพลงนี้อยู่” หญิงสาวมองพุ่มไม้ขนาดใหญ่ที่บดบังหน้าต่างบานสูงเอาไว้ พยายามเขย่งปลายเท้า แต่ความสูงของเธอช่างไม่เอื้อเอาเสียเลย อุตส่าห์เดินตามเสียงเพลงมาถึงนี่แล้ว ถ้าจะเดินย้อนกลับไปโดยไม่ได้เห็นหน้าคนเล่นเพลงนี้คงน่าเสียดายแย่ หญิงสาวชั่งใจอยู่เพียงนิดก็เหลือบเห็นต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากบริเวณพุ่มไม้นัก
“แบบนี้สิ ค่อยน่าสนุกหน่อย” หญิงสาวถลกแขนเสื้อเชิ้ตลายตารางขึ้น ส่วนกางเกงยีนขาสามส่วนนั้นไม่ใช่ปัญหา ไม่กี่อึดใจเธอก็ปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยความคล่องแคล่ว
แล้วในที่สุดหญิงสาวก็ปีนขึ้นมาได้สำเร็จ เธอชะเง้อมองเข้าไปในหน้าต่าง เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีดำหยักศกยาวจนขมวดมวยไว้เหนือท้ายทอยได้ เขากำลังนั่งดีดเครื่องดนตรีสายที่มีรูปทรงคล้ายกีตาร์ด้วยดวงตาหม่นเศร้า และที่น่าตกใจที่สุดก็คือ ใบหน้าด้านหนึ่งของชายหนุ่มมีแผลเป็นขนาดใหญ่ แผลนั่นทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูน่ากลัวราวกับอสูรร้าย
บทเพลงที่เขาบรรเลงทำให้เธอรู้สึกหวิวโหวงในหัวใจ หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่บนต้นไม้เพื่อฟังเสียงดนตรี มองเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จึงไม่รู้ว่าเพลงหยุดลงนานแล้ว พร้อมๆ กับดวงตาคมกร้าวที่มองมายังเธออย่างไม่ชอบใจ
“เธอเป็นใคร!” เจ้าของเสียงดุทรงอำนาจตวาดลั่น
เท่านั้นเองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนต้นไม้จึงหันกลับมามองคนตัวโตที่ยืนอยู่เบื้องล่างด้วยความตกใจ และนั่น...ทำให้เธอหงายหลังร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้
“ว้าย!” หญิงสาวหวีดร้อง พยายามคว้ากิ่งไม้เอาไว้ แต่ไม่ทัน เธอคิดว่าคงร่วงหล่นลงมากระแทกพื้นดินแน่ๆ แต่ผิดคาด เธอหล่นลงมาในอ้อมแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ ที่บัดนี้ใช้แผ่นหนังสีดำปิดดวงตาและใบหน้าข้างหนึ่งเอาไว้ ไม่ได้เปิดเปลือยอย่างตอนที่กำลังเล่นลูต
ภัครติเบิกตากว้างเมื่อได้สติ ใบหน้าหวานมอมแมมซีดเผือด เมื่อเขาปล่อยเธอจากอ้อมกอด เธอก็ก้มหน้างุดเอ่ยขอโทษชายหนุ่ม “ขอโทษค่ะ”
เมื่อสิ้นสุดคำขอโทษ เจ้าตัวก็โกยแน่บวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มมองตามหลังหญิงสาวที่แต่งตัวทะมัดทะแมงด้วยความแปลกใจ ใบหน้ามอมแมม ผมยาวจดเอวทั้งสองข้างถักเปียเอาไว้ คงยังเด็กถึงได้มาปีนป่ายเล่นแถวนี้ ว่าแต่เป็นลูกหลานของใคร หรือจะเป็นหลานสาวของแม่ครัวจันทร์เพ็ญ ที่พ่อบ้านบอกเขาเอาไว้หลายวันแล้วว่าจะมีเด็กรับใช้คนใหม่เข้ามาทำงานที่คฤหาสน์
สงสัยว่าจะเป็นเด็กกะโปโลคนนี้กระมัง
สองมือหนาไขว้ไปทางด้านหลัง ปล่อยลูตทิ้งไว้บนพื้นพรมอย่างไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมาเล่นอีก เจ้าของร่างสูงเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่สิ...เขามีจุดมุ่งหมาย แต่ขืนบอกใครคงโดนหัวเราะเยาะ คนที่มีเงินมีอำนาจอย่างเขากลับต้องการเพียงแค่การยอมรับจากผู้ให้กำเนิด ความรักความอบอุ่นจากครอบครัวที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมันเลยสักครั้ง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย
ชีคหนุ่มยกมือขึ้นจับใบหน้าซีกขวาของตนเอง ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวที่เมื่อใครพบเห็นก็ต้องผงะด้วยความตกใจ มันคือบาดแผลที่จารจารึกถึงชาติกำเนิดที่บิดเบี้ยวในอดีต มีนายแพทย์ศัลยกรรมมือดีของโลกมากมายเสนอตัวผ่าตัดแปลงโฉมให้เขา ทว่าเขากลับปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาตรึกตรองเลยสักนิด นั่นเพราะเขาต้องการเก็บบาดแผลนี้ไว้เตือนใจตัวเอง ให้รอยแผลย้ำชัดถึงอดีตที่ปวดร้าว ให้รอยแผลเป็นเครื่องพิสูจน์และคัดกรองคนที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา ซึ่งนับว่าแผลเป็นอัปลักษณ์นี้ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว มันไม่เพียงคัดกรองคน แต่ยังสร้างความหวาดผวาให้ผู้พบเห็น จนไม่มีใครอยากใช้ชีวิตคู่กับเขาฉันสามีภรรยา
สามครั้งแล้วที่งานวิวาห์ของเขาล่มลงอย่างไม่เป็นท่า เพียงเพราะเจ้าสาวที่ถูกคัดสรรเพื่อเป็นชีคคาและให้กำเนิดทายาทได้เห็นใบหน้าอัปลักษณ์ราวกับอสูรของเขาในวันแต่งงาน พวกเธอก็พร้อมใจกันหนีหาย ปล่อยให้เขาเป็นเจ้าบ่าวที่ปราศจากเจ้าสาว สร้างความอับอายและตอกย้ำให้เขาจำฝังใจ ว่าเขาเป็นชีคอสูรอัปลักษณ์ที่น่ารังเกียจ!
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ เขาไม่ได้หันกลับไปหรือเอ่ยถามว่าใครที่กล้ามาขัดจังหวะการพักผ่อนของเขา ด้วยรู้ดีว่าคนที่กล้าเคาะประตูห้องนี้มีเพียงสองคนเท่านั้น นั่นก็คืออาเหม็ด บอดีการ์ดคนสนิท และดาริม พ่อบ้านคนเก่าคนแก่ที่อยู่ด้วยกันมานาน
“เข้ามา”
ชายวัยห้าสิบปีเดินเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม ดาริมคืออดีตพ่อบ้านที่คฤหาสน์ของนาฟาซัส จอมวายร้ายที่สร้างบาดแผลให้เจ้านายน้อยของเขาอย่างยากจะลบเลือน เมื่อเจ้านายเก่าอย่างนาฟาซัสเสียชีวิตลง อีกทั้งคฤหาสน์และทรัพย์สินต่างๆ ถูกทางการยึดไปจนหมด ‘หมด’ ในที่นี้คือส่วนที่จับต้องและเข้ายึดได้ แต่ส่วนที่ถูกฝังเก็บไว้ในห้องใต้ดินอย่างมิดชิดนั้นถูกจัดสรรปันส่วนออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นเงินสด ทองคำแท่ง เครื่องเพชรเลอค่า รวมมูลค่ากว่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์
ฮัยฟาอ์ ซอบีเราะห์ ทารีฟ และบาลาซาน ทั้งสี่คนได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน ซึ่งคนที่จัดการทุกอย่างอย่างยุติธรรมก็คือฮัยฟาอ์ พี่ใหญ่ของน้องๆ นั่นเอง น้องที่เติบโตร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน ก่อเกิดเป็นความรักความผูกพันประหนึ่งร่วมสายเลือด เมื่อแพแตก ดาริมตัดสินใจเดินเข้าหาฮัยฟาอ์ ขอติดตามเขาซึ่งถือเป็นผู้นำคนต่อไป ข้าเก่าแทบทั้งหมดของนาฟาซัสจึงตามฮัยฟาอ์มาอย่างจงรักภักดี
เปล่าเลย...เขาไม่เคยภักดีต่อนาฟาซัส คนโฉด โหดเหี้ยม เต็มไปด้วยความเลวทรามอย่างนาฟาซัสไม่สมควรได้รับความภักดี ใครๆ ต่างก็เกลียดชังนาฟาซัส แต่ทุกคนหวาดกลัวอำนาจจึงไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง หรือแม้แต่จะถอยห่างออกมาแม้เพียงก้าวเดียว เพราะการถอยออกมาเท่ากับการก้าวสู่ความตายนั่นเอง
แตกต่างจากฮัยฟาอ์ ชายหนุ่มเด็ดขาด ยุติธรรม ดังนั้นเขาจึงขอฝากชีวิตไว้กับเจ้านายคนใหม่อย่างไม่ลังเล
แน่นอนว่าความจงรักภักดีที่เขามีให้ฮัยฟาอ์นั้นทำให้เขามิอาจนิ่งนอนใจต่อข่าวคราวที่เพิ่งได้รับจากบอดีการ์ดอาเหม็ดไปได้
“ท่านชีค...”
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกฉันแบบนั้น...”
“เห็นทีผมคงต้องขอขัดคำสั่ง การที่พวกเราและชาวบ้านเรียกท่านว่า ‘ท่านชีค’ ก็ด้วยความรักและความเคารพในตัวท่านผู้นำของเรา โปรดน้อมรับความเคารพจากผมและชาวบ้านด้วยเถอะครับ” ดาริมเป็นชายวัยกลางคนที่นอกจากจะภักดีกับเจ้านายอย่างสุดหัวใจแล้ว เขายังมีความดื้อดึงและยึดมั่นในความเชื่อของตนเองสูงอีกด้วย
“อยากเรียกอะไรก็ตามใจ เพราะฉันรู้ดีว่าฉันก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง” เจ้าของสายตาปวดร้าวมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ไกลออกไป...พ้นจากกำแพงสูงสีอิฐที่ล้อมรอบคฤหาสน์ของเขาเอาไว้คือหมู่บ้านขนาดใหญ่ ‘หมู่บ้านเจมิน’
ที่นี่เป็นดินแดนเล็กๆ ซึ่งอยู่ระหว่างรอยต่อของประเทศฟาอิกสถาน ซึ่งมีทั้งหมดหกรัฐอยู่ภายใต้การปกครองของชีค มีรัฐบาลกลางบริหารประเทศทั้งหมด กับประเทศเตอร์ฮาน ซึ่งปกครองโดยสุลต่านเชอร์กี สุไลมาน วาจดาห์
ฮัยฟาอ์เข้ามาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ช่วยดูแลชาวบ้าน จากเดิมที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ในเบตชารา ซึ่งเป็นเต็นท์ที่ทำจากขนแพะ และบารัสตี หรือกระท่อมใบปาล์ม ก็เริ่มมีงาน มีอาชีพ นำมาซึ่งรายได้ เมื่อหมู่บ้านเจริญขึ้น ชาวบ้านสร้างบ้านด้วยอิฐและปูน อีกทั้งยังมีโรงเรียน โรงพยาบาล และสาธารณูปโภคต่างๆ มากมาย ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันยกย่องให้ฮัยฟาอ์เป็นชีคปกครองพวกตนนับตั้งแต่นั้นมา และด้วยอำนาจของเขาทำให้ประเทศฟาอิกสถานและประเทศเตอร์ฮานไม่คิดเข้ามาก้าวก่าย ด้วยไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง เพราะปัจจุบันยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าหมู่บ้านเจมินเป็นเขตพื้นที่ของประเทศใดกันแน่
อีกทั้งผู้ปกครองทั้งสองประเทศมองว่าความสัมพันธ์ของบ้านพี่เมืองนอกมีมาอย่างยาวนาน ไม่ควรต้องมีข้อพิพาทขัดเคืองใจกันจนอาจก่อให้เกิดสงครามด้วยเรื่องนี้ จึงทำให้หมู่บ้านเจมินรอดพ้นจากการรุกราน และปกครองดูแลตนเองได้อย่างสงบสุขเรื่อยมา
“ว่าแต่เข้ามาหาฉันมีอะไรหรือ”
“เอ่อ...” ดาริมลอบถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามออกไปว่า “ท่านชีคเป็นอย่างไรบ้างครับ ผมได้ข่าวจากอาเหม็ดว่า...” พ่อบ้านคนสนิทเอ่ยถามด้วยท่าทางหวาดหวั่น จะพูดออกไปตรงๆ ก็ไม่กล้า จะอ้อมค้อมก็รู้ว่าเจ้านายไม่ชอบให้ชักแม่น้ำทั้งห้าให้มากความ เพราะชีคฮัยฟาอ์เป็นคนเด็ดขาด ชอบความชัดเจนตรงไปตรงมา
“ร่างกายฉันยังครบสามสิบสอง นายดูสิว่ามีตรงไหนในร่างกายฉันบุบสลายหรือเปล่า” เจ้าของรอยบากบนใบหน้าหันกลับมา เพื่อให้พ่อบ้านคนสนิทมองได้อย่างเต็มตา
“ขอเถอะนะครับท่านชีค อย่าทำแบบนี้อีกเลย” ดาริมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ แค่คิดว่าหากระเบิดลูกนั้นไม่พลาดเป้า เจ้านายของเขาก็คงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ คงไปเข้าเฝ้าองค์อัลเลาะห์เรียบร้อยแล้ว
“ฉันทำอะไรหรือดาริม นายก็เห็นนี่ว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันใช้ชีวิตอย่างปกติที่สุดแล้ว ฉันพยายามเลี่ยงการปะทะเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคือผู้ให้กำเนิด แต่ดูสิ่งที่ฉันได้รับสิ นายคิดว่าฉันจะรอดชีวิตแบบนี้ไปได้อีกสักกี่ครั้งกัน” ชีคฮัยฟาอ์ยิ้มเยาะโชคชะตา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนลอบสังหาร เมื่อสองเดือนก่อนเขาถูกดักซุ่มยิง แต่พวกมันพลาด บอดีการ์ดคนสนิทของเขาเคราะห์ร้ายรับกระสุนแทน ครั้งที่สองรถของเขาโดนตัดสายเบรกจนเกือบพลิกคว่ำ และล่าสุดรถของเขาโดนระเบิดทั้งคัน!
เขารู้ว่านี่คือการเตือน คนอย่างสุลต่านเชอร์กี หากจะสั่งฆ่าใครสักคนคงไม่พลาดถึงสามครั้งแบบนี้แน่ น่าขันสิ้นดี คนเป็นพ่อต้อนรับลูกชายที่ถูกขโมยไปตั้งแต่อายุสามขวบด้วยการสั่งคนมาฆ่าอย่างนั้นหรือ เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ เขาทำอะไรผิดนักหนา หากเกลียดชังเขานัก เหตุใดจึงทำให้เขาเกิดขึ้นมา
ใครเลยจะรู้ว่ามันเจ็บปวดสักเพียงไรที่ต้องมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีใครต้องการ!
“ผมอยากให้ท่านชีคหลบไปที่อื่นสักพัก ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่สบายใจเลย” ดาริมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ถ้าฉันหนี ฉันก็ต้องหนีไปทั้งชีวิต ดาริม...นายก็เห็นนี่ว่าเศษเดนอย่างฉันจะตายหรืออยู่...ก็ไม่สำคัญ” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะในลำคอ สมเพชชีวิตของตนเองเหลือแสน
“แต่ว่า...”
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ฉันไม่อยากฟัง” ผู้เป็นนายบอกปัดแล้วเบือนหน้าออกไปยังนอกหน้าต่าง แน่นอนเขาซ่อนแววตากร้าวปวดร้าวราวกับสัตว์ป่าบาดเจ็บได้อย่างมิดชิด ทว่าดาริมรู้...เขารู้ว่าภายใต้ท่าทางแข็งกร้าวของชีคฮัยฟาอ์นั้นมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ แต่มันถูกซ่อนเร้นเอาไว้ลึกสุดใจ แทนที่ด้วยการเฉยชาราวกับไม่ยี่หระสิ่งใด นั่นเป็นเพราะสิ่งเลวร้ายที่ชายหนุ่มได้รับมาตลอดสามสิบห้าปี มันหล่อหลอมให้ชายหนุ่มแข็งกร้าว เมื่อเขาถูกหักหลังจากผู้ที่เขาเรียกว่าบิดาอย่างนาฟาซัส และผิดหวังซ้ำอีกครั้งเมื่อพบว่าบิดาที่แท้จริงอย่างสุลต่านเชอร์กีส่งคนมาฆ่าเขาถึงสามครั้ง
“ผมว่างานแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้นในอีกสามวันน่าจะเลื่อนออกไปก่อนดีมั้ยครับท่านชีค” สีหน้าของพ่อบ้านดาริมบ่งชัดว่ากังวลถึงงานแต่งงานที่จะมีขึ้นไม่น้อย กลัว...ว่าจะเกิดปัญหาเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
“ไม่! ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม” ชีคหนุ่มปฏิเสธ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องการแต่งงานมีทายาท ขอเพียงมีผู้หญิงสักหนึ่งคนที่รับทุกอย่างที่เขาเป็นได้ ยอมตั้งท้องให้กำเนิดบุตรแก่เขา บุตรที่จะเติบโตขึ้นปกครองหมู่บ้านเจมินและทรัพย์สมบัติมากมายที่เขาสร้างขึ้น
เพราะไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไปอีกนานสักแค่ไหน ดังนั้นเขามิอาจรอช้า ต้องรีบมีทายาทให้เร็วที่สุด!
ความคิดเห็น |
---|