7

อย่ามายุ่งกับผู้หญิงของฉัน


 

ชีคฮัยฟาอ์รับคบไฟจากบอดีการ์ดคนสนิทมาถือไว้ด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายจับจูงเจ้าสาวเดินไปยังกลางลานกว้าง แล้วก่อกองไฟจนเกิดเพลิงลุกโชน เสียงโห่ร้องตบมือด้วยความยินดีดังไปทั่วงาน ก่อนที่เขาจะงอแขนข้างหนึ่งเท้าเอวสอบ ดึงแขนของหญิงสาวให้คล้องแขนของเขาเอาไว้ราวกับนั่นเป็นคำสั่ง จากนั้นจึงพาหญิงสาวขยับไปรอบๆ ด้วยจังหวะสนุกสนานตามประเพณีของหมู่บ้านเจมิน ที่นอกจากจะนับถือองค์อัลเลาะห์แล้ว ยังบูชาไฟมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะไฟช่วยให้ความอบอุ่นต่อร่างกาย ทำให้ทะเลทรายยามค่ำคืนที่แสนหนาวเหน็บไม่ทรมานจนเกินไปนัก และไฟอีกนั่นละที่ก่อกำเนิดและพร่าผลาญทุกอย่างได้ในชั่วพริบตา

เริ่มแรกภัครติเก้อเขินเพราะไม่เคยเต้นรำเช่นนี้มาก่อน แต่จะเรียกว่าเต้นรำก็คงไม่ถูกนัก เพราะเจ้าบ่าวอสูรของเธอเต้นรำได้เหมือนหุ่นยนต์ไร้ชีวิตชีวา สีหน้าเรียบขรึม เดาไม่ออกเลยว่าเขามีความสุขกับการเต้นรำหรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่เธอสังเกตเห็นก็คือ แขกเหรื่อภายในงานทุกคนล้วนมองมายังชีคฮัยฟาอ์ราวกับตกตะลึงที่เขายอมเต้นรำเสียอย่างนั้น

หญิงสาวทั้งเกร็ง ทั้งเก้อเขิน แต่เพียงไม่นานเธอก็เริ่มสนุกสนาน ยิ่งมีการเปลี่ยนคู่เต้นรำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเต้นกับเจ้าบ่าวโรบอต เธอก็ผ่อนคลายและหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความขบขันเมื่อเธอสะดุดชายกระโปรงเจ้าสาวจนเกือบจะล้มหน้าทิ่มเสียหลายครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าบ่าวมองตามแทบทุกอิริยาบถ เขาแอบไม่พอใจลึกๆ ที่เธอยิ้มและหัวเราะกับใครต่อใคร ทว่ากับเขาเธอเอาแต่ก้มหน้านิ่งตลอดเวลา

“หนูภัค” บอดีการ์ดอาเหม็ดหาจังหวะเพื่อที่จะได้เต้นรำกับหญิงสาวที่เขามีใจ ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นเจ้าสาวของผู้เป็นเจ้านายไปเสียแล้ว ทว่าความรักความสิเน่หาที่เขามีต่อเธอกลับมิได้จางหายหรือแม้แต่จะลดน้อยลง เขาขบกรามแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเครียดและความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“คะพี่อาเหม็ด” หญิงสาวยิ้มกว้างขณะเต้น กระโดด แล้วยกเท้าขึ้นไปข้างหน้าและข้างหลังตามจังหวะเสียงกลองอย่างสนุกสนาน จนเหงื่อเม็ดเล็กเกาะพราวที่ใบหน้าสวย ชุดเจ้าสาวที่ยาวรุ่มร่ามไม่เป็นปัญหาสำหรับเธออีกต่อไป เพราะเธอใช้มือข้างหนึ่งรวบกระโปรงฟูฟ่องขึ้นมากอด อีกทั้งยังถอดรองเท้าแก้วแล้วเต้นรำไปรอบๆ ด้วยเท้าเปลือยเปล่า

“พี่ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะลงเอยอย่างนี้ ทำไมหนูภัคไม่ปฏิเสธท่านชีคไป จะได้ไม่ต้องฝืนใจเป็นเจ้าสาวของท่านชีค พี่เชื่อว่าท่านชีคเป็นคนมีเหตุผลพอ ถ้าหนูภัคไม่กล้าพูด เดี๋ยวพี่จะไปพูดให้เอง” หัวหน้าบอดีการ์ดหนุ่มเต็มใจเสนอตัวช่วยเหลือ

“เอ่อคือ...” ภัครติอึกอัก ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรดี จริงอยู่ที่ชีคฮัยฟาอ์บีบบังคับให้เธอแต่งงานกับเขาอย่างเอาแต่ใจ ทว่าเธอกลับมิได้รู้สึกเป็นทุกข์อย่างที่ควรจะเป็น ในทางกลับกันเธอกลับรู้สึกดีกับเขา แม้ว่าใครๆ จะมองว่าชีคฮัยฟาอ์ดูน่ากลัว เงียบขรึม ขี้โมโหจนไม่น่าเข้าใกล้ แต่ไม่ใช่เธอ...นั่นเพราะเธอรู้ว่าท่าทางเหล่านั้นเป็นแค่ฉากหน้าที่เขาสร้างมันขึ้นมาเพื่อเป็นกำแพงป้องกันตัวเองออกจากผู้คน

“พี่เข้าใจ...หนูภัคไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธ” บอดีการ์ดอาเหม็ดตีความหมายอาการอ้ำอึ้งของเธอไปอีกอย่าง เด็กผู้หญิงที่มีป้าเป็นแม่ครัวจะไปสู้รบตบมือกับคนที่มีอิทธิพลอย่างชีคฮัยฟาอ์ได้อย่างไร ทุกคนต่างก็รู้ว่าผู้เป็นนายมีนิสัยเด็ดขาดและค่อนข้างเผด็จการทุกๆ เรื่อง

ที่ผ่านมาเขารักและเคารพชีคฮัยฟาอ์ราวกับเป็นเจ้าชีวิต ไม่ว่าเรื่องไหนๆ หากชีคฮัยฟาอ์ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเขามักเห็นด้วยทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้

“ถ้าหนูภัคลำบากใจ อยากจะหนีไปจากที่นี่ พี่ยินดีจะพาหนูหนีไป”

“อะ...อะไรนะคะ!” ภัครติหยุดเต้น อ้าปากค้าง มองบอดีการ์ดหนุ่มด้วยท่าทางตกตะลึง การหนีเป็นสิ่งที่เธอไม่แม้แต่จะคิด นั่นเพราะเธอไม่ต้องการให้ชีคฮัยฟาอ์ต้องเจ็บช้ำไปมากกว่านี้ การถูกเจ้าสาวทิ้งถึงสี่ครั้งนับเป็นความเจ็บปวดมากเกินพอแล้ว เธอไม่อยากให้เขาต้องเสียใจอีกต่อไป

เธอไม่รู้หรอกว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร การเป็นเจ้าสาวของชีคฮัยฟาอ์ต้องพบเจอกับอะไรบ้าง แต่เธอก็พร้อมจะเผชิญทุกปัญหาที่กำลังดาหน้าเข้ามา นั่นเพราะเธอหลงรักเขา หลงรักผู้ชายมีแผลเป็นอัปลักษณ์ หลงรักผู้ชายบ้าอำนาจชอบทำหน้าบูดบึ้งราวกับโกรธเกลียดคนทั้งโลก เธอรัก...โดยไม่หวังว่าจะต้องได้รับความรักตอบแทน ขอเพียงแค่ได้เห็นเขาสมหวังในการแต่งงานครั้งนี้ แม้ว่าเธอจะกลายเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่เขามีไว้ให้กำเนิดบุตรชายก็ตาม

ความรักเป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน ไม่มีเหตุผล ไม่มีนิยามใดๆ จำกัดความคำว่า ‘รัก’ ได้เลย

“ฟังให้ดีนะหนูภัค...” บอดีการ์ดอาเหม็ดก้มหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าหญิงสาว หมายจะบอกแผนการด้วยเสียงกระซิบเพราะเกรงว่าจะมีใครได้ยิน หากแผนการล่วงรู้ไปถึงท่านชีค เขาและเธอคงแย่แน่

“ว้าย! พี่อาเหม็ด!”

ภัครติตกใจจนเผลอส่งเสียงร้องออกมา เมื่อจู่ๆ บอดีการ์ดอาเหม็ดก็ถูกกระชากออกห่างจากตัวเธอ ก่อนที่บอดีการ์ดตัวโตจะล้มคว่ำลงไปกองกับพื้นด้วยฝีมือของชีคฮัยฟาอ์...เจ้าบ่าวของเธอที่ทำหน้าบูดบึ้งราวกับไปกินรังแตนมาทั้งโลก

            “นี่มันอะไรกันครับท่านชีค” อาเหม็ดลุกขึ้นยืน แม้ท่าทางจะบ่งบอกว่าเคารพนบนอบต่อผู้เป็นนาย ทว่าสายตาของเขาก็ฉายชัดว่าไม่พอใจเช่นกัน มันเป็นสายตาของผู้ชายที่รักผู้หญิงคนเดียวกัน และพร้อมจะยื้อแย่งไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร

            “เด็กคนนี้เป็นเจ้าสาวของฉัน นายควรสำเหนียกให้ขึ้นใจนะอาเหม็ด ฉันไม่ชอบให้ใครมาทำรุ่มร่ามกับคนของฉัน!” ชีคหนุ่มเค้นเสียงลอดไรฟันด้วยความโกรธ เขาอยากทำมากกว่าการผลักอีกฝ่ายให้ล้มลง อยากจะตะบันหน้าบอดีการ์ดคนสนิทด้วยหมัดหนักๆ ให้ลงไปนอนนับสิบ แต่ก็ทำไม่ได้ ถึงอย่างไรอาเหม็ดก็เป็นลูกน้องที่จงรักภักดีและไว้ใจได้ ไม่ควรต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องผู้หญิง

            ก่อนหน้านี้อาเหม็ดอาจจะแอบรักแอบชอบภัครติ แต่นาทีนี้ผู้หญิงคนนี้เป็นของเขา เขาก็ควรจะแสดงออกและประกาศให้ชัดเจน...ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับเธอ!

            “ว้าย!”

            ภัครติร้องเสียงหลงอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ เจ้าบ่าวบ้าระห่ำก็หันมารวบร่างเธอขึ้นอุ้ม แล้วก้าวยาวๆ ออกจากฟลอร์เต้นรำ ท่ามกลางความงุนงงและอาการตื่นตะลึงของแขกเหรื่อ เพราะไม่เคยมีใครเห็นชีคฮัยฟาอ์ในมุมนี้มาก่อน สิ่งที่ทุกคนได้สัมผัสคือความเย็นชาและแข็งกร้าว แต่ท่าทางมุทะลุราวกับกำลังหึงหวงเจ้าสาวตัวน้อยเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น

            “เดี๋ยวค่ะ จะไปไหนกันหรือคะ”

บาลาซาน น้องสาวต่างสายเลือดของชีคฮัยฟาอ์เดินมาขวางพี่ชายเอาไว้ด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ รู้ทันว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร จึงเดินดุ่มๆ ทำท่าจะกลับเข้าไปในคฤหาสน์ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาส่งตัวเข้าหอ บัดนี้บาลาซานไม่ใช่สาวน้อยวัยสิบเก้าปีเหมือนในวันวาน แต่เธออายุยี่สิบเจ็ดปี มีบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวหนึ่งคน เธอแต่งกายด้วยชุดอาหรับสีชมพูกลีบบัวงดงาม กระโปรงลูกไม้พลิ้วชายยาวลากพื้น ดวงหน้าสวยหวาน ผิวเนียนละเอียดราวกับสาวน้อยแรกรุ่น ในขณะที่ชายซึ่งยืนด้านหลังมีรูปร่างสูง อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยไว้ในอ้อมกอด เขาคือชีคอินติซาร์ ผู้ปกครองรัฐอัลลิมาร์ซึ่งได้ลงนามในพันธสัญญา ‘กลัวเมีย’ เฉกเช่นเดียวกับชีครัฐอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากว่าชีคฮัยฟาอ์ร่วมลงนามด้วยอีกคน เห็นทีว่าจะจัดตั้งสมาคมกลัวเมียได้อย่างมั่นคง

“น้องบาลาซาน ชีคอินติซาร์ ฉันดีใจที่ทั้งสองมาร่วมงานแต่งของฉัน เชิญตามสบายนะ ฉันมีธุระต้องไปจัดการ” เจ้าบ่าวจำต้องเอ่ยทักทายอย่างขอไปที

“เดี๋ยวสิคะ ยังไม่ถึงเวลาเข้าหอเลย จะรีบร้อนไปไหน” บาลาซานยังคงยืนขวางอย่างเห็นขัน

“นั่นสิครับ เห็นว่าอีกตั้งสองชั่วโมง” ทารีฟ หนุ่มเจ้าสำราญเดินเข้ามาสมทบ ทารีฟคือน้องชายคนเล็กของพี่น้องต่างสายเลือดทั้งสี่ที่ประกอบด้วย ฮัยฟาอ์ ซอบีเราะห์ ทารีฟ และบาลาซาน ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเด็กที่ถูกขโมยมาจากอ้อมอกของผู้เป็นพ่อแม่โดยน้ำมือของเศรษฐีนาฟาซัส

“แกก็มาด้วยงั้นเหรอ”

“พี่ชายแต่งงานทั้งทีจะไม่มาได้ยังไงล่ะครับ ต่อให้พี่ฮัยฟาอ์แต่งงานอีกสักสิบสักร้อยครั้ง ผมก็จะมาอย่างแน่นอน”

ภัครติเริ่มดิ้นยุกยิก เธออยากจะทักทายพี่น้องของชีคฮัยฟาอ์ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมปล่อยเธอลงง่ายๆ ยังคงอุ้มเธอเอาไว้ราวกับไม่รู้สึกหนักเสียกระนั้น

            “นี่ใจคอพี่ชายจะไม่ยอมปล่อยเจ้าสาวเลยเหรอคะ” บาลาซานถามอย่างเห็นขันเมื่อเห็นใบหน้าปั้นยากของเจ้าสาววัยละอ่อน เห็นทีพี่ชายแสนดีของเธอจะตกหลุมรักสาวใช้อย่างที่พ่อบ้านดาริมโทรศัพท์ไปเล่าให้เธอฟังเสียแล้ว นี่ถ้าเธอไม่ได้มาเห็นกับตา จ้างให้เธอก็ไม่มีทางเชื่อ ในเมื่อสามสิบห้าปีที่ผ่านมาพี่ชายของเธอไม่เคยชายตาแลผู้หญิงคนไหนเลย การแต่งงานที่ล่มแล้วล่มอีกไม่เคยเกิดขึ้นจากความรัก

            แต่ดูเหมือนว่าการแต่งงานครั้งที่ห้าจะแตกต่างไปจากทุกครั้ง

            “ไม่ปล่อย!” ชีคฮัยฟาอ์ตอบห้วนก่อนจะหมุนตัวอุ้มเจ้าสาวเดินออกจากงาน ในเมื่อกลับเข้าคฤหาสน์ไม่ได้เพราะยังไม่ถึงฤกษ์ส่งตัวเข้าหอ ก็ออกไปข้างนอกเสียเลย ไปยังที่ที่จะไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับเขาให้ปวดหัว ชีคหนุ่มเหลือบไปเห็นม้าของผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงวางเจ้าสาวบนหลังม้า ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งซ้อนด้านหลัง แล้วควบทะยานออกจากอาณาบริเวณของคฤหาสน์หรูไปอย่างรวดเร็ว

            “ดูเหมือนว่าพี่ฮัยฟาอ์จะเสียท่าให้สาวน้อยคนนั้นเสียแล้วสิคะ” บาลาซานยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ณ เวลานี้เธอมีความสุขจนแทบล้นอก เธอมีสามีที่น่ารัก มีบุตรธิดาที่ว่านอนสอนง่าย และที่สำคัญเธอได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของบิดามารดาผู้ให้กำเนิดอย่างแท้จริง ในขณะที่พี่ชายต่างสายเลือดของเธอทั้งสองคน ฮัยฟาอ์และทารีฟยังมิอาจได้พบความสุขสมหวังเช่นเธอทั้งในเรื่องคู่ครองและครอบครัว

            “เสียท่าให้เด็กตอนแก่” ชีคอินติซาร์หัวเราะร่วนเย้ยหยันชีคฮัยฟาอ์ ด้วยทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมาไม่ค่อยลงรอยกันเท่าใดนัก เพราะก่อนหน้านี้ชีคฮัยฟาอ์หวงน้องสาวอย่างกับอะไรดี กว่าเขาจะฝ่าด่านหฤโหดจนได้ครองรักกับบาลาซานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

            “เสียท่าเหมือนใครล่ะคะ”

            “พี่ไม่ได้เสียท่า พี่ตั้งใจยอมตกเป็นของเธอต่างหากล่ะ”

            เมื่อบาลาซานได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะคิก ก่อนจะจูงมือสามีเข้าไปในงานเลี้ยงที่แขกเหรื่อกำลังกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน

ทารีฟมองอาการมุทะลุหวงแหนเจ้าสาวของพี่ชายแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยิ่งเมื่อหันมาเห็นท่าทางหวานชื่นของบาลาซานกับชีคอินติซาร์ก็ถึงกับส่ายหน้าไปมา ชายหนุ่มไม่คิดอยากมีความรัก การอยู่เป็นหนุ่มเจ้าสำราญไปวันๆ แบบนี้มีความสุขจะตายไป อิสระคือสิ่งที่เขาหวงแหนที่สุด เขาจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาพรากมันไปจากเขาเป็นอันขาด

 

            ภัครติหลับตาแน่น ซุกหน้าเข้าหาอกกว้าง ในขณะที่มือทั้งสองข้างบีบลงบนบ่าแข็งแกร่งของชีคฮัยฟาอ์ เธอไม่เคยขี่ม้ามาก่อน ยิ่งต้องมานั่งซ้อนข้างหน้าโดยที่คนตัวโตเอาแต่ควบม้าด้วยความเร็วยิ่งทำให้หญิงสาวกลัวจนตัวสั่น ดูเหมือนว่าคนตัวโตจะเพิ่งได้สติ เขาจึงค่อยๆ ลดความเร็วลงก่อนจะใช้มือหนาข้างหนึ่งโอบเอวคนตัวเล็กเอาไว้อย่างปลอบโยน

            หญิงสาวอ่อนเยาว์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปรอบๆ กายซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยผืนทรายกว้างสุดสายตา ทะเลทรายยามราตรีมีเพียงความมืดมิดจนรู้สึกราวกับว่าดวงตาของเธอมืดบอด หากว่าปราศจากหมู่ดาวนับแสนล้านดวง เธอคงรู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อมีแสงจากดวงดาวคอยให้ความสว่าง เธอกลับรู้สึกว่ามันช่างเป็นสถานที่ที่สวยงามจนแทบไม่อาจละสายตา

            อันที่จริงไม่ใช่เพราะแสงดาวหรอกที่ทำให้เธอไม่กลัวความมืด แต่เป็นเพราะอ้อมกอดของชีคฮัยฟาอ์ต่างหากที่ทำให้เธออบอุ่นหัวใจอย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้เธอรู้สึกเช่นนี้มาก่อน

            “ท่านชีคจะพาหนูไปไหนคะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้น เห็นปลายคางมีหนวดเคราขึ้นรกครึ้ม สันกรามคมชัดรับกับใบหน้ากระด้างแข็งแกร่งราวกับหินผา

            “...”

            หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อเห็นว่าชีคฮัยฟาอ์ขบกรามเป็นสันนูน บ่งชัดว่าภายใต้ใบหน้าเรียบขรึมเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทำให้เธออดคิดถึงบอดีการ์ดอาเหม็ดไม่ได้ ป่านนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงกลั้นใจถามออกไป “แล้วท่านชีคจะไล่พี่อาเหม็ดออกมั้ยคะ ความจริงแล้วพี่อาเหม็ดไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะคะ เราสองคนก็แค่คุยกันเรื่องทั่วไปเท่านั้นเอง”

            จะให้ชีคฮัยฟาอ์รู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าบอดีการ์ดอาเหม็ดชวนเธอหนีออกจากพิธีวิวาห์ เธอไม่อยากให้บอดีการ์ดอาเหม็ดต้องเดือดร้อน เพียงเพราะเขาหวังดีกลัวว่าเธอจะถูกบังคับขืนใจให้แต่งงานทั้งที่ไม่ได้รักก็เท่านั้นเอง

            “เธอเป็นห่วงอาเหม็ด?” เจ้าของเสียงห้วนถามคล้ายประชดอยู่ในที

            “ค่ะ” ภัครติพยักหน้าด้วยความซื่อ เป็นห่วงก็ตอบว่าเป็นห่วง ไม่รู้เลยว่าในคำถามของเจ้าบ่าวมีนัยบางอย่างแฝงอยู่ นั่นเพราะหญิงสาวไม่เคยคบหากับผู้ชายคนไหน เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอาการหึงหวงเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่าเจ้าบ่าวของเธอไม่ชอบที่บอดีการ์ดอาเหม็ดมาพูดคุยด้วย แต่จะเพราะเหตุผลอะไรก็ยากที่จะคาดเดา

            “ว้าย!”

            จู่ๆ ชีคหนุ่มก็อุ้มเธอกระโดดลงจากหลังม้า ก้าวยาวๆ ไปยังเนินทราย ก่อนจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระ กระนั้นดวงตาคมกร้าวกลับจ้องมองใบหน้าเธอราวกับกำลังจ้องจับผิดเชลย หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าชีคหนุ่มกำลังโกรธเรื่องอะไรกันแน่

            ทันใดนั้นเองเจ้าของมือหนาก็ยื่นมือมาบีบแรงๆ ที่ปลายคาง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงห้วนคาดคั้น “ตอบฉันมา!...ว่าเธอชอบมันใช่มั้ย”

            “หนูเจ็บค่ะ ท่านชีคปล่อยหนูนะ” ภัครตินิ่วหน้า พยายามเบือนหน้าหนีจากมือหนาราวกับคีมเหล็ก แต่ยิ่งเธอดิ้น เขาก็ยิ่งบีบแรง เธอจึงได้แต่ยื่นนิ่งด้วยสีหน้าเหยเก

            “ตอบฉันมาสิ ภัครติ เธอชอบมันใช่มั้ย”

            “หนูไม่เข้าใจท่านชีคหมายถึงอะไร”

            “ก็อาเหม็ดยังไงล่ะ เธอชอบมันใช่มั้ย!”

            ภัครตินิ่งอึ้งอย่างไม่เข้าใจคำถามนัก เธอจ้องมองใบหน้าเขาเนิ่นนานก่อนที่ใบหน้าเธอจะค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นเมื่อเพิ่งตระหนักว่า เขาอาจคิดว่าเธอรักชอบอยู่กับบอดีการ์ดอาเหม็ดฉันชู้สาว หญิงสาวจึงรีบตอบออกไปทันที เพราะถึงอย่างไรเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสาวของเขา ดังนั้นเขาไม่ควรต้องระแวงสงสัยอะไรในตัวเธอ

“ไม่ค่ะ หนูไม่ได้ชอบพี่อาเหม็ด”

            “แต่เธอเรียกมันว่าพี่”

            หญิงสาวอ้าปากค้างเมื่อถูกต่อว่าเช่นนั้น ดูเหมือนไม่ว่าเธอจะตอบอย่างไรเขาก็จะตีรวนหาเรื่องเธอได้ตลอดเวลา “ละ...แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเรียกพี่ด้วยล่ะคะ”

            “เธออย่ามาเบี่ยงประเด็น แล้วอย่าคิดโกหกฉัน ฉันใจกว้างพอและรับได้ ในเมื่อการแต่งงานของฉันกับเธอมันไม่ได้เกิดขึ้นจากความรัก มันก็แค่การแต่งงานตามเงื่อนไข เธอได้เงิน ฉันได้ลูกชาย จากนั้นถ้าเธอจะไปแต่งงานกับอาเหม็ด ฉันก็ไม่ว่า”

            ใครกันแน่ที่เบี่ยงประเด็นและกำลังพูดไม่รู้เรื่อง เธอหรือชีคฮัยฟาอ์กันแน่ ภัครติมึนงงราวกับถูกค้อนหนักๆ ทุบศีรษะ จู่ๆ ท่านชีคก็ต่อยอาเหม็ดจนล้มคว่ำแล้วอุ้มเธอขี่ม้าออกมากลางทะเลทรายยามค่ำคืน นี่ถ้าบอกว่าท่านชีคถูกผีสิงเธอก็คงเชื่อจนหมดใจ หญิงสาวพยายามตั้งสติก่อนจะตอบออกไปด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ

“หนูไม่ได้ชอบพี่อาเหม็ด”

            “อย่าโกหกฉัน เธอไม่รู้หรอกว่าเวลาฉันโกรธ ฉันทำอะไรได้บ้าง”

            “หนูไม่ได้ชอบพี่อาเหม็ดค่ะ” หญิงสาวยังคงยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“แต่เธอยิ้มให้มัน เรียกมันว่าพี่ แถมยังหัวเราะให้มันอีก ขนาดนี้แล้วเธอยังกล้าพูดว่าเธอไม่ได้ชอบมันอีกงั้นเหรอ เลิกโกหกฉันเสียที!”

“จะถามหนูอีกสักกี่ครั้ง หนูก็จะตอบเหมือนเดิมว่าหนูไม่ได้ชอบพี่อาเหม็ด คนที่หนูชอบคือท่านชีคต่างหากล่ะคะ” ภัครติหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ คนอะไรเอาแต่ใจ บ้าอำนาจ ไม่ฟังเหตุผลของคนอื่นเลย

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าแรงๆ เมินหน้าไปอีกทาง แต่เมื่อรู้สึกได้ว่าชีคหนุ่มนิ่งเงียบไป ไม่ได้หาเรื่องเธอเหมือนเมื่อสักครู่ เธอจึงหันกลับมา และนั่น...ทำให้เธอได้เห็นนัยน์ตาระยิบระยับพริบพราวแสนเจ้าเล่ห์ของเขา จึงสำเหนียกว่าเธอเผลอพูดความในใจออกไปด้วยความโกรธ

“ตายแล้ว!” หญิงสาวอ่อนวัยรีบยกมือขึ้นปิดปาก

ชีคหนุ่มก้าวเข้าหาเธอช้าๆ และแน่นอนหญิงสาวก้าวถอยหลังทันที “คือ...หนู คือว่า...คือ...” เวลานี้เธอกลายเป็นคนติดอ่างไปเสียแล้ว สะดุ้งสุดตัวเมื่อเขายื่นมือทั้งสองข้างมาจับไหล่ของเธอเอาไว้ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนเธอรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดลงบนหน้าผาก

            “ช่วยไม่ได้ถ้าฉันจะจูบเธอเดี๋ยวนี้ ก็ในเมื่อเธอจงใจยั่วยวนฉันก่อน...”

            “หา! อะไรนะคะ” ภัครติเบิกตาโพลง เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าไปยั่วยวนเขาตอนไหน แต่ที่รู้ตอนนี้ก็คือริมฝีปากอุ่นปิดลงบนเรียวปากของเธออย่างแนบแน่น เขาช่างหาเหตุผลมาจูบเธอได้อย่างน่างุนงงเป็นที่สุด กระนั้นเธอก็ไม่เคยนึกโกรธเขาเสียที มิหนำซ้ำยังถูกเขามอมเมาด้วยรสจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            พลันจูบหวานก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นจูบร้อนแรงดุดัน ปลายลิ้นร้อนแทรกผ่านกลีบปากสีกุหลาบเข้าไปสัมผัสความหอมหวานปานน้ำผึ้งอย่างหลงใหล ก่อนจะเกี่ยวกระหวัดรุกเร้าเร่งให้เจ้าของริมฝีปากหวานตวัดปลายลิ้นโต้ตอบโดยไม่รู้ตัว มือหนาสากปัดป่ายไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างตรวจตรา หงุดหงิดเล็กน้อยที่ชุดแต่งงานยาวรุ่มร่ามเกะกะ และดูเหมือนจะถอดยากเสียด้วย

            เขาค่อยๆ ผละออกจากริมฝีปากนุ่ม เลื่อนปลายจมูกโด่งฝังลงบนแก้มเนียนอย่างเชื่องช้า ไล่เรื่อยลงมายังลำคอเรียวระหง ถูเบาๆ ด้วยหนวดเคราแล้วจูบสัมผัสซอกคอด้วยริมฝีปาก บรรจงจูบจนทิ้งรอยคิสมาร์กเอาไว้ราวกับต้องการประกาศความเป็นเจ้าของ ก่อนจะกดร่างบางลงบนผืนทรายแล้วทาบทับเธอด้วยเรือนกายแข็งแกร่ง หมายจะจองจำเธอไว้ใต้เรือนร่างของเขาตลอดกาล

            “ทะ...ท่านชีค”

            ชีคฮัยฟาอ์ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียก กัดกรามเป็นสันนูน ดวงตากร้าววาววับดูน่าหวาดกลัวและน่าค้นหาไปในคราวเดียวกัน “อย่าเรียกฉันด้วยน้ำเสียงอย่างนั้น ถ้าเธอไม่อยากเสียตัวให้ฉันที่นี่! ตอนนี้!” ชีคหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน หันหลังให้หญิงสาวราวกับว่าการไม่มองเธอจะทำให้อาการตื่นตัวสงบลงเสียอย่างนั้น

            “อะ...อะไรนะคะ” ภัครติหายใจหอบ ใบหน้าแดงก่ำระเรื่อ เธอแหงนหน้าขึ้นมองเขาด้วยความงุนงง

            ชีคหนุ่มเค้นเสียงลอดไรฟัน “เธอยั่วฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กน้อย...เธอไม่ควรเล่นกับไฟ”

            “นะนี่...หนูยั่วท่านชีคอีกแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ ดูเหมือนไม่ว่าเธอจะขยับตัวทำอะไรก็ดูเป็นการให้ท่ายั่วยวนเขาไปเสียหมด

            “ใช่!” เจ้าทะเลทรายหันมาตวาดราวกับหมดความอดทน แต่เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาก็กำหมัดแน่น

“บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มสบถเสียงดังแล้วเดินดุ่มๆ ห่างออกไป เตะแรงๆ ลงบนผืนทรายระบายอารมณ์ เขาไม่ควรทำให้เธอกลัว เขาเป็นผู้ใหญ่ อายุมากกว่าเธอถึงสิบห้าปี เขาควรเป็นฝ่ายควบคุมอารมณ์ ไม่ใช่ใส่อารมณ์กับผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยังไม่ประสีประสากับเรื่องพวกนี้

            ภัครติยืนกระวนกระวาย น้ำตาคลอหน่วยตา เม้มริมฝีปากเข้าหากัน พยายามไม่ให้ริมฝีปากสั่น กลอกตาขึ้นมองบนท้องฟ้าเพื่อบังคับน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก เดินไปหยุดอยู่ด้านหลังของชีคฮัยฟาอ์ แล้วรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อเอ่ยขอโทษเขา

            “ถ้าหนูทำให้ท่านชีคโกรธ หนูขอโทษค่ะ”

            “ฉันไม่ได้โกรธเธอ ภัครติ”

            “ตะ...แต่ว่าท่านชีคตะคอกใส่หนู แล้วยังเตะทรายแบบนั้นอีก ถ้าท่านชีคโกรธจนอยากจะเตะหนูก็ได้นะคะ หนูยอมค่ะ” เธอพูดออกไปตามที่ใจคิด ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอก แล้วหันหลังให้เขา โดนเขาเตะสักทีสองทีน่าจะเจ็บ แต่ถ้าเป็นการไถ่โทษที่เธอเผลอยั่วเขาโดยไม่รู้ตัว มันก็คงเหมาะสมแล้ว

            ราวกับโลกหมุนตีลังกา เมื่อจู่ๆ เธอก็ล้มวูบลงไปนอนบนผืนทราย เปล่าเลย เธอไม่ได้โดนเจ้าบ่าวเตะ แต่กลับโดนเขารวบตัวเข้าไปกอดแล้วกดลงนอนบนผืนทรายอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าเข้มที่ห่างจากใบหน้าเธอไม่ถึงคืบ เขากอดเธอแน่น...แน่นเสียจนเธอขยับตัวไม่ได้เลย

            “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้โกรธเธอ แล้วฉันก็เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ทำร้ายผู้หญิงเด็ดขาด” ชีคฮัยฟาอ์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม ทั้งที่ภายในหัวใจเต็มไปด้วยความสับสนราวกับมีการก่อการจลาจลขึ้นในนั้น แล้วผู้นำก่อการร้ายก่อการรักก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าสาวแสนซื่อตัวแสบนี่เอง จะใครที่ไหนล่ะ

            “กะ...ก็หนูเห็นท่านชีคทำท่าไม่พอใจหนูนี่คะ”

            “นี่เธอจะให้ฉันอธิบายให้ได้เลยใช่มั้ยว่าไอ้อาการทั้งหมดของฉันมันคืออะไร” ชีคหนุ่มอยากจะบ้า ช่างน่าขันสิ้นดี ริอยากแต่งงานกับเด็กก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ เด็กช่างซัก ช่างถาม ช่างสงสัย ถ้าจะให้ตอบเธอหมดทุกอย่างที่เธออยากรู้ เขาก็กระดากเกินกว่าจะพูด แต่ในเมื่อเธอถามไม่จบสิ้น ทั้งยังคิดเองเออเองว่ากิริยาทั้งหมดของเขาคือการแสดงความโกรธ เขาก็คงต้องไขความข้องใจให้เธอเสียที

            “ก็หรือไม่ใช่ล่ะคะ ท่านชีคหน้าตาบูดบึ้ง โวยวาย ตะคอกเสียงดัง อาการแบบนี้มันโกรธชัดๆ”

            “อาการทั้งหมดนั่นฉันทำเพื่อข่มความต้องการ ฉันอยากได้เธอ เข้าใจมั้ยภัครติ...ตอนนี้ฉันอยากได้ตัวเธอ อยากนอนกับเธอจนฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว หรือว่าเธอยังไม่เข้าใจคำว่า ‘อยากนอนกับเธอ’ ฉันจะได้อธิบายให้เธอเข้าใจเดี๋ยวนี้เลย” ไม่พูดเปล่า มือที่โอบกอดเธอด้านหลังก็รูดซิปชุดเจ้าสาวออกอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือร้อนสากสัมผัสลงบนแผ่นหลังหญิงสาวจนเธอสะดุ้งไหว

            หญิงสาวตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบของชีคหนุ่ม “นะ...หนูเข้าใจแล้วค่ะ ท่านชีคปล่อยหนูได้แล้ว” เธอพยายามดันที่แผงอกเขา แต่ดูเหมือนชีคหนุ่มจะจดจ่ออยู่กับแผ่นหลังนวลเนียนของเธอจนไม่สนใจคำพูดใด

            “ฉันจะอธิบายชัดๆ เธอจะได้เข้าใจไง”

            “แต่ว่า...หนูเข้าใจแล้วนี่คะ” คนตัวเล็กร้อนผ่าวไปทั่วสรรพางค์กายราวกับจะเป็นไข้ อะไรกัน...นี่ท่านชีคต้องการเราอย่างนั้นเหรอ แค่คิดว่าเขาต้องการเธอ หญิงสาวก็ใจสั่นหวิวไหวราวกับหัวใจหลุดลอยหายไปในผืนทราย

แต่...ถึงเธอจะหลงใหลชีคฮัยฟาอ์มากสักแค่ไหน เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะตกเป็นของเขาที่นี่และตอนนี้ การเป็นภรรยาใครสักคนทำไมมันช่างยากขนาดนี้นะ

            “ฉันอยากจะสอน...แล้วเธอก็ห้ามปฏิเสธฉัน”

            “ตะ...แต่ว่านี่มันกลางทะเลทรายนะคะท่านชีค” บ้าจริง! ถ้าไม่ใช่กลางทะเลทราย แต่เป็นบนเตียงนุ่ม เธอจะกล้าปฏิเสธเขาหรือเปล่านะ บ้า บ้า บ้า ท่านชีคจะรู้หรือเปล่าว่าเราเขินจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

            “ช่างมัน นาทีนี้ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น” ดูเหมือนเขาจะคิดอย่างที่พูดจริง ชีคหนุ่มโน้มใบหน้าเข้าหาหมายจะจูบเธอ ทว่า...

            “ท่านชีคครับ ได้เวลาส่งตัวเข้าหอแล้วครับ” พ่อบ้านดาริมตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล เขาขับรถจี๊ปมาตามเจ้าบ่าวเจ้าสาวกลับไปร่วมพิธีสุดท้ายที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งเป็นการขัดจังหวะได้อย่างน่ากระโดดเตะขาคู่เป็นที่สุด

            “ก็ฉันกำลังเข้าหออยู่นี่ไง” ชีคหนุ่มกัดฟันอย่างหัวเสีย จำต้องรูดซิปชุดเจ้าสาวขึ้นกลับตามเดิม แล้วพยุงเธอลุกขึ้นยืน

            “ผมตามหาเสียแทบแย่ ที่แท้ท่านชีคก็พาเจ้าสาวมาชมดาวนี่เอง” พ่อบ้านดาริมยิ้มกว้าง แสร้งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสายตาอาฆาตของเจ้านายที่ส่งมายังตน ในขณะที่เจ้าสาววัยละอ่อนได้แต่ก้มหน้างุด คิมาร์สีขาวที่คลุมผมเอาไว้ยับยู่จนเกือบจะหลุดลุ่ย บ่งชัดว่าก่อนหน้านี้ท่านชีคคงไม่ได้ตระกองกอดเจ้าสาวเพื่อนั่งชมดาวแน่ๆ

            “อย่าพูดมาก จะไปก็รีบไป” ชีคหนุ่มฮึดฮัดก่อนจะหันไปอุ้มเจ้าสาวขึ้นรถจี๊ป โดยที่เขานั่งตำแหน่งคนขับ แต่ยังไม่ทันที่พ่อบ้านดาริมจะได้ตามขึ้นรถไปด้วย ชีคหนุ่มก็ขับรถออกไป ทิ้งให้พ่อบ้านยืนอ้างว้างอยู่กลางทะเลทรายกับม้าหนึ่งตัว

“นี่คือบทลงโทษที่ผมมาขัดจังหวะสินะครับ” พ่อบ้านยิ้มกริ่มก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้าด้วยท่าทางทุลักทุเลเพราะไม่ค่อยสันทัดการขี่ม้าเท่าใดนัก แต่เขายอมได้ ก็แหม...การได้แกล้งเจ้านายนี่มันมีความสุขเสียจริง ว่ามั้ย...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น