1

บทที่ 1

บทที่ ๑    

 

“น้องเฟิร์น” ฟ้ารดาย่อตัวลงพูดกับเด็กหญิงตัวน้อยๆ วัยเจ็ดขวบที่มีท่าทางต่างจากเด็กทั่วไป ไม่สบตา ไม่ยิ้ม ไม่ตอบโต้เสียงเรียกชื่อหรือกิริยาโบกมือของครูสาววัยยี่สิบห้า “ไว้เจอกันวันจันทร์นะคะ ครูฟางสัญญาว่าอาทิตย์หน้าจะมีวุ้นเหมียวๆ ที่น้องเฟิร์นชอบให้ทานแน่ๆ สัญญา” 

เหมือนคำว่า ‘เหมียวๆ’ จะเรียกความสนใจของเด็กหญิงได้ เธอเอียงคอพยักหน้า 

“อยากทานไหมคะ ถ้าอยากทานก็มองตาครูฟางก่อน...โอเคค่ะ ดีมาก งั้นก่อนแยกกันต้องทำยังไงคะ” 

เด็กหญิงตัวน้อยตอบสนองช้า แต่สุดท้ายก็ทำอย่างที่สอนได้ นั่นคือยกมือไหว้คุณครูที่ใจดีกับเธอ ส่งผลให้คนเป็นพ่อแม่ที่มารับเธอยิ้มดีใจกับการตอบสนองที่ดีขึ้นของลูกสาวเมื่อเข้ามาได้รับการดูแลในโรงเรียนเด็กพิเศษที่ชื่อ ‘บ้านรักษ์ใจ’ แม้เป็นโรงเรียนที่ไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครอง บอกปากต่อปากว่าที่นี่เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ขึ้นชื่อเรื่องดูแลเด็กพิเศษ

เมื่อรถผู้ปกครองเด็กเคลื่อนออกไปพ้นโรงเรียน หญิงสาวจึงก้มมองนาฬิกาข้อมือซึ่งบอกเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ตามปกติแล้วในวันศุกร์อย่างนี้ผู้ปกครองจะต้องมารับเด็กกลับบ้านไม่เกินสองทุ่ม แต่วันนี้มีครอบครัวหนึ่งที่ติดธุระทำให้มารับลูกช้า ฟ้ารดาจึงต้องอยู่รอเป็นเพื่อนเด็ก กระทั่งเด็กคนสุดท้ายมีคนมารับกลับจึงได้ถึงเวลากลับบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ไกลจากโรงเรียนนัก ปกติเธอจะเดินไปกลับ แต่ช่วงเวลาดึกอย่างนี้ในซอยค่อนข้างเปลี่ยว ก็อาศัยซ้อนท้ายจักรยานยนต์ของภารโรงที่มีน้ำใจคอยไปส่งในวันที่ต้องกลับดึกอย่างเช่นวันนี้ 

“ขอบคุณนะคะลุงฉ่ำ” หญิงสาวบอกเมื่อลงจากรถที่เพิ่งมาจอดหน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นที่มีรั้วรอบขอบชิด ในวันที่เธอกลับดึกตัวบ้านจึงยังมืดสนิท “ไว้เจอกันวันจันทร์นะคะ” 

“สุขสันต์วันเกิดนะครับครูฟาง ทั้งที่วันนี้เป็นวันเกิด แทนที่จะได้ไปเที่ยวกับคุณแทน กลับต้องอยู่โรงเรียนจนดึก แย่จริงๆ เลย” 

ฟ้ารดาไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มกับการพยายามจับคู่เธอกับ ‘แทนคุณ’ หลานชายเจ้าของโรงเรียน ทั้งที่เธอไม่ได้คิดอะไรกับเขามากไปกว่าพี่ชายคนหนึ่ง แต่คนรอบตัวก็คอยเชียร์อยู่เสมอ 

“ว่าแต่ครูฟางลืมอะไรหรือเปล่าครับ...ก็ดอกกุหลาบช่อโตที่คุณแทนส่งมาให้ไงครับ ผมกลับไปเอามาให้นะครับ คุณวางไว้ที่ห้องทำงานใช่ไหม”

“ไม่ต้องหรอกค่ะลุง ฟางตั้งใจเอาไว้ที่โรงเรียนค่ะ” ความจริงแล้วเธอไม่อยากรับดอกกุหลาบช่อนั้นด้วยซ้ำ แต่ปฏิเสธคนให้ไม่ได้ เพราะถ้าไม่รับเขาคงไม่ยอมกลับ คงจะตื๊ออยู่เป็นเพื่อนเธอและมาส่งเธอที่บ้าน นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เธออึดอัด “งั้นฟางเข้าบ้านก่อนนะคะลุง” 

ลุงฉ่ำพยักหน้าและรอให้หญิงสาวเดินเข้าบ้านปิดประตู แกจึงได้ขับรถออกไป ผิดหวังเบาๆ ที่ดูเหมือนจะเชียร์หลานชายผู้อำนวยการไม่ขึ้นแล้วจริงๆ เพราะถึงแม้ฟ้ารดาจะเพิ่งเข้ามาเป็นครูที่บ้านรักษ์ใจได้เพียงแค่ปีเศษๆ แต่ทุกคนก็จะได้เห็นความชัดเจนของหญิงสาว โดยเฉพาะเรื่องการถูกตามจีบ ด้วยความที่เป็นหญิงสาวหน้าตาสวยหมดจด บุคลิกดี วางตัวดี จึงมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หมายตาเธออยู่ไม่น้อย แต่ทุกคนก็จะถูกกันให้ไปอยู่ในโซนพี่ชายหรือโซนเพื่อนร่วมงานไปเสียหมด มีก็แต่แทนคุณที่ดูจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะรู้จากเพื่อนสนิทฟ้ารดาว่าหญิงสาวยังไม่มีใคร จึงยังคงมีหวัง 

ไฟรอบตัวบ้านเปิดสว่าง เผยให้เห็นบริเวณบ้านเช่าที่กว้างขวาง ฟ้ารดาย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ตอนเริ่มงานที่บ้านรักษ์ใจเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ความที่เป็นคนไม่ชอบเที่ยวทำให้หญิงสาวมีเพื่อนไม่มาก นานๆ จะมีญาติท่าทางผู้ดีแวะมาหาบ้าง เป็นญาติที่คอยดูแลเธอตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน ตอนที่เธอเสียพ่อและแม่ไปในอุบัติเหตุ 

‘ฟาง...ทำใจดีๆ ไว้นะลูก...ฟังน้าให้ดีนะ’ เสียงเพื่อนของแม่ที่ยืนอยู่ข้างเตียงคนป่วยสั่นพร่าจนเธอที่เจ็บอยู่บนเตียงเหมือนใจสลาย ‘เอมิกับคุณอานนท์...แม่กับพ่อของฟาง...ไม่อยู่แล้วนะลูก...แต่ฟางยังมีซี...เจ้าซีปลอดภัย พวกหนูยังปลอดภัย นั่น...สำคัญที่สุด หนูทำใจดีๆ นะลูก หนูยังเหลือเจ้าซี ยังมีน้อง...’

ใช่ เธอเคยเชื่ออย่างนั้น แม้อุบัติเหตุทางรถยนต์จะพรากพ่อและแม่ไป เธอก็ยังเหลือน้องชาย ในความโชคร้ายที่รถของครอบครัวเธอถูกรถคนเมาแล้วขับชน ในความโชคร้ายที่เธอต้องสูญเสียพ่อแม่ เธอก็ยังมีน้องชายที่นอนอยู่บนเตียงข้างๆ กัน แม้น้องยังไม่ฟื้น แต่น้องก็ยังมีลมหายใจ น้องที่เธอพยายามลุกขึ้นไปกุมมือไว้ ในวันนั้นเธอรู้สึกตัวตื่นโดยมีเพื่อนแม่บอกข่าวร้าย การไม่เห็นหน้าครอบครัวนั้นเจ็บปวดและยิ่งทำให้หวาดกลัว แต่เธอจะไม่ให้น้องรู้สึกอย่างนั้น เธอจะเป็นคนแรกที่น้องลืมตามาเจอ 

‘ซี...ไม่เป็นไรนะ ซียังมีพี่ฟางนะ เรายังมีกันสองคนพี่น้อง’

เชื่ออย่างนั้น กระทั่งมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาหา คนที่แนะนำตัวว่าเป็นตัวแทนของ ‘ตระกูลอาชิโมโตะ’ สิ่งที่ทำให้เธอตกใจไม่ใช่การที่อีกฝ่ายแนะนำตัวว่าตระกูลนี้เป็นเจ้าของบริษัทรถยนต์จำนวนมากที่เห็นแล่นอยู่บนท้องถนน แต่เป็นคำพูดที่เขาบอกว่า มาที่นี่เพื่อพาตัวน้องชายเธอกลับไปหาครอบครัวที่แท้จริงของน้องที่ประเทศญี่ปุ่น

‘คุณกนธีไม่ใช่น้องชายของคุณ ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับคุณเลย เธอคือลูกติดคุณเอมิ เหมือนที่คุณเป็นลูกติดคุณอานนท์’ 

คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงบนตัวฟ้ารดา เธอส่ายหน้าปฏิเสธ และพยายามอธิบายว่าพวกเขาเข้าใจผิด กนธีจะไม่ใช่น้องชายของเธอได้อย่างไร ชีวิตเธอตั้งแต่จำความได้ก็มีน้องชายคนนี้ เธอจะไม่ใช่ลูกของแม่เอมิได้อย่างไร มันไม่มีทางเป็นอย่างที่คนแปลกหน้าพวกนี้พูด!

‘คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่สำคัญ แต่เมื่อคุณเอมิเสีย คุณกนธีจะต้องไปอยู่ในการปกครองของพ่อ...กลับไปสู่ครอบครัวอาชิโมโตะตามชอบธรรม ผมรับหน้าที่มาจัดการเรื่องนี้ และเราจะพาคุณกนธีกลับญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุดตามความต้องการของท่านคาโอรุ พ่อแท้ๆ ของคุณกนธี’

ฟ้ารดาไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย ตลอดมาสิ่งที่เธอรู้คือเจ้าซี หรือกนธี คือน้องชายของเธอ นี่เรื่องกลายเป็นว่าคนในครอบครัวคนเดียวที่เธอคิดว่าเหลืออยู่กำลังถูกพรากไป เธอไม่มีทางเชื่อเรื่องพวกนี้ และจะไม่ยอมให้ใครเอาน้องไป แต่เพราะความที่เป็นเด็ก ความที่ญาติฝ่ายเธอก็เพิ่งออกมายืนยันข้อนี้ทำให้เธอพูดไม่ออก 

‘มันเป็นความตั้งใจของอานนท์และเอมิ พ่อกับแม่เลี้ยงของฟางขอร้องคนในครอบครัวไว้ พวกเขาอยากให้เจ้าซีและฟางโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่ามีพวกเขาเป็นพ่อเป็นแม่จริงๆ อยากเลี้ยงทั้งคู่ให้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดจริงๆ เราขวางเขาไม่ได้หรอกฟาง พวกเขามีสิทธิ์ในตัวเจ้าซี ฟางต้องให้น้องไป ให้เจ้าซีไปอยู่กับครอบครัวเขาเถอะ นั่นดีที่สุดแล้ว แล้วพวกเราเลี้ยงเด็กสองคนไม่ได้ โดยเฉพาะเด็กที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับพวกเรา ยังไงซะเจ้าซีก็ไม่ใช่คนในครอบครัวเรานะฟาง อย่าลืมความจริงข้อนี้’

ไม่ใช่ได้อย่างไร นี่คือน้องชายของเธอ...

เจ้าซีคือคนเดียวที่เธอเหลืออยู่...

แต่ต่อให้บอกตัวเองอย่างนั้น สุดท้ายน้องก็ต้องไป...

‘ฟาง เดี๋ยว! ขอร้อง! พี่ฟังผมก่อน...ขอร้อง เป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วจริงๆ ใช่ไหม ที่พวกเราต้องถูกแยกจากกันเพราะเราต่างเป็นเด็กใช่ไหม เพราะพี่เป็นแค่เด็กสิบเจ็ด ผมแค่สิบห้าใช่ไหม...งั้นรอผมนะฟาง...วันที่โตกว่านี้ผมจะกลับมา คอยนะ! ไม่ว่าจะยังไงผมก็จะกลับมา จะตามหาพี่ให้เจอ! แล้ววันนั้นจะไม่มีใครมาแยกเราได้อีก จะไม่ให้ใครเอาพี่ไปจากผมด้วยเหตุผลงี่เง่าแบบนี้อีก! คอยนะฟาง! คอยผมนะ...สัญญาสิว่าจะคอย!’

พี่จะคอย พี่สัญญาว่าจะคอยเจ้าซี...คอยน้องพี่กลับมา 

คำพูดที่ได้แต่บอกตัวเองและมองน้องถูกพาตัวไป 

แปดปีผ่านไปแล้ว หลังคำสัญญานั้น

แปดปีที่เธอยังคงต้องอยู่ลำพัง...

เหมือนไม่เหลือคนในครอบครัว...

“สุขสันต์วันเกิดนะซี” หญิงสาวที่เพิ่งกลับเข้ามาในบ้านยกมืออธิษฐานกับขนมปังก้อนเล็กซึ่งเธอปักเทียนไว้ง่ายๆ “มีความสุขมากๆ ซีมีความสุขอยู่ใช่ไหมไม่ต้องห่วงพี่ฟางนะ พี่ฟางมีความสุข มีความสุขดี...พี่ฟางของซีไม่ได้รอซีหรอกนะ ไม่ได้หวังให้ซีกลับมา ขอแค่ซีมีความสุขก็พอ...แฮปปีเบิร์ทเดย์ ฟางซี”

ประโยคสุดท้ายคือสิ่งที่ครอบครัว ‘พรหมสุรินทร์’ พูดหลังจากที่ร้องเพลงแฮปปีเบิร์ทเดย์จบ สองพี่น้องเกิดวันเดือนเดียวกัน ต่างกันแค่ปีเกิดที่ห่างกันสองปี ทุกๆ ปีคนเป็นพ่อจะทำขนมเค้กก้อนใหญ่เองกับมือ เขียนตัวหนังสือประดับหน้าเค้กว่า ‘HBD P’Fang & N’Sea’ แล้วให้พี่น้องอธิษฐานขอพรก่อนจะเป่าเทียนด้วยกัน จากนั้นก็จะตัดเค้กนั่งกินด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูก นั่นคือภาพจำที่เคยมีเมื่อนานมาแล้ว ยิ่งผ่านไปนานเท่าไรก็ยิ่งคิดถึงมากขึ้นเท่านั้น ใครนะช่างว่าเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง มันไม่ใช่ความจริงเลยสำหรับฟ้ารดา

“ไม่อร่อยเลยค่ะ” หญิงสาวเอ่ยกับรูปครอบครัวที่เธอเอามาวางร่วมโต๊ะอาหาร “เค้กที่ไหนๆ ก็ไม่อร่อย ไม่เคยอร่อยเหมือนเค้กที่พ่อทำ...ฟางคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่” พยายามไม่ให้น้ำตาไหลแต่ก็ยังไหล มันยิ่งทำให้รู้สึกเศร้าและหดหู่ “พี่ฟางคิดถึงซี...คิดถึงเจ้าซีเหลือเกิน...อยากเจอ แต่เจอไม่ได้ใช่ไหม...พี่ฟางเจอเจ้าซีไม่ได้...ไม่ควรเจอ”


ณ เมืองซัปโปโร จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น

ในเดือนที่หิมะขาวโพลนไปทั่วทุกพื้นที่ ในค่ำคืนที่หิมะยังโปรยปราย ความหนาวเหน็บแผ่ไปทั่ว ตรงจุดที่ลับสายตาคนของคฤหาสน์หลังใหญ่ กนธี หรือคนที่นี่รู้จักเขาในชื่อ ‘อาชิโมโตะ ซาคาอิ’ ชายหนุ่มหน้าตาดีที่เพิ่งอายุยี่สิบสามเต็ม ยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดิมเหมือนทุกๆ ปี ในวันครบรอบวันเกิด เขาจะมาอยู่ตรงนี้พร้อมเค้กก้อนเล็กๆ แล้วจุดเทียนร้องเพลงแฮปปีเบิร์ทเดย์ให้ตัวเอง ก่อนจะจบลงด้วยประโยคเดิมๆ

“แฮปปีเบิร์ทเดย์ทู...ฟางซี...มีความสุขมากๆ นะฟาง มีความสุขอยู่ใช่ไหม มีความสุขเผื่อผมอยู่ใช่ไหม” ไอน้ำลอยออกจากปากที่เอื้อนเอ่ยเพียงลำพังอย่างเหงาๆ “หวังว่าฟางจะมีความสุข อย่างน้อยก็คงมีความสุขมากกว่าผม...ผมที่ไม่เคยมีความสุขเลย ตั้งแต่วันที่แยกกับฟาง” 

สีหน้าและแววตาสะท้อนความคิดถึงโหยหา 

ในขณะที่ดวงตาคมมองเปลวไฟบนเทียน 

“แต่ทุกอย่างกำลังจะจบ ผมจะไปหา...จะไปหาฟาง กลับไปหาคนที่ผมคิดถึงที่สุด”

ความคิดถึงไม่ได้ลดน้อยลงเลยตลอดแปดปีที่ต้องแยกจากกัน ทั้งที่เคยคิดว่าจะไม่มีวันนั้น จะไม่มีวันยอมไปกับคนแปลกหน้าที่บอกว่าเป็นคนของพ่อเขา นั่นคือสิ่งที่เขาให้คำมั่นแก่ฟ้ารดาที่กลัวถูกแยกจากกันจนร้องไห้ไม่หยุด ร้องอย่างขวัญเสีย เพราะเพิ่งสูญเสียพ่อและแม่ไปไม่นานก็มีเรื่องมากระทบใจอีก เรื่องที่บอกว่าเขาและพี่ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเขารู้เรื่องนี้มานานแล้ว รู้ตั้งแต่เขาอายุได้สิบขวบจากปากของแม่ แต่แม่ขอให้เขาปิดเป็นความลับไม่ให้บอกพี่สาว ซึ่งเขาก็ทำตาม จนเรื่องมาแดงในวันที่พ่อแม่เสีย สุดท้ายพี่สาวก็รู้ นั่นทำให้เธอเจ็บปวดและหวาดกลัวว่าจะมีคนมาพรากพวกเขาไปจากกัน 

‘มันจะเป็นไปได้ยังไง พวกเขาโกหกใช่ไหมซี เราจะไม่ใช่พี่น้องกันได้ยังไง พี่ไม่มีใครแล้วนะ พี่มีแค่ซี พวกเขาจะมาเอาซีไปได้ยังไง พวกเขาเอาซีไปไม่ได้ใช่ไหม พวกเขาจะแยกเราไม่ได้ใช่ไหม เรามีกันแค่นี้นะ’

สำหรับกนธีแล้วฟ้ารดาคือพี่สาวที่เข้มแข็ง ในวันที่ครอบครัวสูญเสีย พี่และเขาเจ็บหนัก แต่พี่ก็ยังคอยให้กำลังใจ พูดเพียงว่าไม่เป็นไร เจ้าซียังมีพี่ เรายังมีกันและกัน 

‘ไม่ต้องห่วง ผมไม่ไปหรอก จะไม่ไปกับพวกเขา ผมจะอยู่กับฟาง ถ้าพวกเขาวุ่นวายกับพวกเรา ก็หนีกันเถอะฟาง ไปใช้ชีวิตของพวกเรากัน มีแค่ฟางกับผม ให้พวกเขาหาเราไม่เจอ ไม่ต้องห่วงนะฟาง ไม่ต้องร้องไห้ ผมไม่ไปไหน จะไม่ให้ใครมาแยกเรา เราจะอยู่ด้วยกัน เหมือนที่ฟางเคยบอกผม...ผมยังมีฟาง ฟางยังมีผม เราจะมีกันและกันตลอดไป’

นั่นคือสิ่งที่กนธีพูดออกไปและเขาเชื่อว่าจะทำให้มันเป็นจริง จะจับมือฟ้ารดาไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่ให้ใครมาแยกพวกเขาออกจากกัน เขาเฝ้าทำอย่างนั้นได้พักใหญ่เกือบสามเดือน ก่อนที่วันหนึ่งพี่จะเดินเข้ามาหาและบอกเขาว่าพอแล้ว ทางออกที่ดีสำหรับคนทั้งคู่คือต่างคนต่างไป ไปอยู่กับครอบครัวญาติของตัวเอง 

‘พวกเรายังเด็ก ซี เราอยู่กันเองไม่ได้ ญาติของพี่ไม่รับดูแลซี แล้วพี่ก็ไปอยู่ญี่ปุ่นกับซีไม่ได้ เราไม่ใช่พี่น้อง มันคือความจริง...พ่อแม่ที่เชื่อมพวกเราไว้ด้วยกันไม่อยู่บนโลกนี้แล้วซี ไปเถอะนะ ไปอยู่กับครอบครัวซีที่โน่น ซีจะมีพี่สาว มีน้องสาว...มีคนที่สืบสายเลือดเดียวกัน ไม่เหมือนพี่ ตอนนี้เราไม่ใช่พี่น้องกันแล้ว’

ถึงแม้ฟ้ารดาจะบอกอย่างนั้น แต่กนธีก็ยังหนักแน่น เขารู้ว่าพี่สาวก็แค่เด็กคนหนึ่งที่ทนรับแรงกดดันจากคนรอบตัวไม่ไหว ตั้งแต่พ่อแม่เสีย พวกเขาก็ถูกพาไปบ้านญาติ ไม่ให้อยู่กันลำพังเหมือนเมื่อก่อน มีคำพูดกรอกหูตอกย้ำว่าพวกเขาไม่ใช่พี่น้อง จะอยู่ใกล้ จะกอด จะแสดงความรักเหมือนตอนมีพ่อแม่อยู่ไม่ได้ ทุกครั้งที่มีการตอกย้ำเรื่องนี้ เขาจะเห็นพี่สาวร้องไห้เหมือนเธอสูญเสียน้องชายไปจริงๆ สูญเสียไปพร้อมกับพ่อแม่ 

‘ช่างมันฟาง! ช่างหัวมัน!’

‘ไม่ได้! ห้ามพูดคำหยาบนะเจ้าซี! คุณพ่อไม่อยู่ตีซีแล้ว พี่นี่แหละจะตีให้นิ้วหักเลย’ 

‘ก็มันน่าโมโหนี่ฟาง ทำไมชอบย้ำอยู่ได้ ไม่ใช่พี่น้อง งั้นเราก็ไม่ต้องรักกันแบบพี่น้อง เรารักกันแบบคนรักก็ได้ แบบนี้ก็ไม่ผิดใช่ไหม เราคบกันแบบคู่รักก็ได้ เป็นแฟนกันนะฟาง ผมจะดูแลฟางเอง’

‘ซี! อย่าพูดอะไรแบบนั้นนะ ห้ามพูดสิ่งที่เหมือนไม่เคารพความเป็นพี่น้องของเรา ห้ามพูดสิ่งที่เหมือนลืมคำสอนของพ่อแม่ พ่อกับแม่บอกว่าเราเป็นพี่น้องกัน พวกเขาไม่บอกความจริงเราเพราะอยากให้เราเป็นพี่น้องกันจริงๆ ถึงแม้มันจะไม่ใช่...’

สามเดือนหลังแม่ตาย กนธีค่อนข้างเชื่อว่าเขาจะรักฟ้ารดาอย่างคนรักได้ ในขณะที่อีกคนเฝ้าแต่ปฏิเสธ เหมือนกับเชื่อว่าถ้ายอมรับมัน ก็หมายถึงเธอเป็นคนชั่ว คนไม่ดี จึงเฝ้าปฏิเสธและไม่ปล่อยให้เด็กหนุ่มพูดเรื่องนี้ แม้เขาไม่อยากเห็นฟ้ารดาร้องไห้ แต่เขาก็พยายามชัดเจน ไม่ได้แสดงออกว่าคุกคามทางเพศให้พี่สาวอึดอัด แต่ก็ไม่แคร์สายตาคนที่มองพวกเขาเหมือนนักโทษที่ต้องเฝ้าจับตาโดยเฉพาะเมื่ออยู่ลำพัง ราวกับกลัวว่าพวกเขาจะทำเรื่องผิดจารีตร้ายแรงก็ไม่ปาน จึงต้องพยายามแยกพวกเขาออกจากกันให้มากที่สุด

เท่านั้นคงไม่เพียงพอที่จะทำให้กนธีสะทกสะท้าน ทว่าตรงข้ามกับฟ้ารดา หญิงสาวแบกรับคำว่า ‘พี่’ ถูกคนรอบตัวกดดันให้คิดในฐานะผู้ใหญ่ ทั้งที่เธอเป็นแค่เด็กสิบเจ็ด อ้างว่าควรเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อน้อง กนธีจะมีอนาคตที่ดีกับครอบครัวเขา 

‘ไม่มีทาง ไม่มีที่ไหนดีกว่าที่ที่มีฟาง อย่ายอมแพ้ง่ายๆ ถ้าเราไม่ยอมพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ รับปากสิฟางว่าจะสู้ เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ’

ตอนที่ถูกขอร้อง ฟ้ารดาพยักหน้า แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็เลือกทำตามความต้องการของผู้ใหญ่ แน่นอนว่ากนธีไม่ยอมรับ เขาพยายามบอกอย่างที่รู้สึก บอกว่าเขารักฟางแบบคู่รักก็ได้ ไม่เป็นน้องชายก็ได้ ยังคงยืนกรานคำเดิม และฟ้ารดาก็ยังคงปฏิเสธ ทั้งดุทั้งขอร้อง แต่กนธีก็ไม่ยอมฟัง จนเธอทนไม่ไหว ท้าทายความเชื่อและความรู้สึกน้องชายที่ยืนยันว่าจะไม่รักเธออย่างพี่สาวอีกแล้ว  

‘ยี่สิบสามปีเต็ม พ่อนนท์เคยบอกว่าผู้ชายจะเป็นผู้ใหญ่ตอนยี่สิบสามปีเต็ม จะรู้ว่ารักเป็นยังไง แปดปีจากนี้ห้ามติดต่อ ห้ามเจอหน้า ทำได้ไหม พิสูจน์สิ! รับคำท้า! ถ้าความรู้สึกซียังไม่เปลี่ยน พี่จะเชื่อว่าที่เราเป็นอยู่...ไม่ใช่รักของ...พี่น้อง’ 

ทุกครั้งที่เสียงตะโกนท้าทายทั้งน้ำตาของพี่สาวดังก้องขึ้นในหัว กนธีก็ยังคงเจ็บปวด เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงเจ็บไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเจ็บด้วยความรู้สึกอย่างไร มันก็คือเจ็บ ความเจ็บปวดที่เด็กสิบเจ็ดกับสิบห้าไม่สามารถจัดการได้ดีไปกว่ายอมแยกจากกัน ตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ตัดสินไปแล้วว่าดีต่อพวกเขาที่สุด 

‘ตอนนี้เราคือพี่น้องนะซี นี่คือพี่ฟางของเจ้าซี แล้วนั่นคือเจ้าซี น้องชายของพี่! อย่าพูดว่าเป็นอย่างอื่น เพราะพี่จะไม่ฟัง...จะไม่ฟังสิ่งที่ซีพูดเหลวไหลอีกนอกจากรับคำท้าพี่ ถ้าคิดว่ารู้จักตัวเองก็รับคำท้ามา! แปดปีนับจากนี้เราจะไม่เจอ ไม่ติดต่อกัน!’


นัยน์ตาคมที่จับอยู่ที่เปลวเทียนค่อยๆ เปลี่ยนไปพร้อมสีหน้าที่เรียบเฉยขึ้น กิริยายืดตัวขึ้นนั่งตรงเป็นท่าทางที่ผู้ชายคนนี้กำลังจะเปลี่ยนตัวจากกนธีไปเป็นซาคาอิ พี่ชายแฝดที่เสียชีวิตตอนที่เขาอายุสิบห้า และนั่นเป็นสาเหตุที่เขาถูกไปรับตัวมาจากไทย เพื่อมาเป็นซาคาอิ ไม่ได้รับมาในฐานะลูกชายแฝดอีกคน แต่มาเพื่อแทนที่คนที่ตายไปแล้ว ด้วยเหตุผลทางธุรกิจและเหตุผลทางจิตใจของคนที่รับไม่ได้ว่าหลานชายสุดที่รักจากโลกนี้ไปแล้ว และรู้ว่าจะเอาตัวเด็กคนนั้นคืนจากความตายได้อย่างไร 

‘เป็นซาคาอิให้ท่านปู่ ฉันขอจากแกแค่นั้น ท่านปู่แก่มากแล้ว ท่านอยู่ได้อีกไม่นาน หลังจากนั้นพ่อจะไม่บังคับแกอีกเลยเซย์จิ...ไม่ชอบให้เรียกชื่อนี้สินะ ก็ได้ ฉันจะเรียกแกว่าซี...ไม่ใช่สิ ต่อไปนี้แกก็คือซาคาอิ ไม่เคยมีซีหรือเซย์จิในโลกของพวกเราอยู่แล้ว ยังไงซะแกก็กลับไปหาพี่สาวตอนนี้ไม่ได้ไม่ใช่หรือ อยู่กับฉันที่นี่ เป็นคุณชายน้อยตระกูลอาชิโมโตะผู้ร่ำรวยมั่งคั่งมีอะไรไม่ดี แกจะมีทุกอย่างที่แม่แกให้ไม่ได้ แค่ช่วยทำให้ท่านปู่มีความสุข แล้วหลังจากนั้นฉันจะตามใจแกทุกอย่าง จะให้ทุกอย่างที่แกต้องการ...ทุกอย่างที่แกต้องการ ฉันขอแกแค่นั้น แค่ทำให้ท่านปู่มีความสุข ทำให้ฉันได้ไหม ซาคาอิ’ 

แม้ไม่ได้เต็มใจทำ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามคำขอนั้น โดยคำขอสิ้นสุดลงไปตั้งแต่สามปีแรกที่เขามาที่นี่ ท่านปู่จากไปอย่างสงบและเชื่อว่ามีหลานชายคนโปรดอยู่ด้วยจนวาระสุดท้าย นับจากนั้นกนธีก็ได้รับอิสระ แต่เขาก็ยังกลับไปหาฟ้ารดาไม่ได้เพราะคำท้าทายของเธอ เขายังอายุไม่ครบยี่สิบสามปี ยังไม่โตพอที่จะรู้ใจตัวเองว่า ที่เขารู้สึกกับพี่สาวไม่แท้คือรักแบบไหนกันแน่ 

คำท้าทายที่ตัวฟ้ารดาหวังเพียงจะซื้อเวลาเพื่อให้เด็กคนหนึ่งได้โตขึ้นแล้วเข้าใจความรัก แยกแยะความรู้สึกตัวเองได้ถูก แต่กลับกลายเป็นว่าใจของผู้ชายคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนตลอดแปดปีที่ผ่านมา ชายหนุ่มที่โตขึ้นจนอายุยี่สิบสามเต็ม เท่ากับคนที่อานนท์บอกว่าโตพอที่จะแยกแยะความรักออก และเขาพร้อมจะกลับไปทวงถามคำสัญญาที่ฟ้ารดาให้ไว้

“ครบแปดปีแล้วนะฟาง ผมโตแล้ว โตพอที่จะกลับไปหาฟาง แต่จะไม่ใช่ในฐานะน้องชาย” กนธีที่เวลานี้เป็นซาคาอิรู้ดีว่าฟ้ารดาคงไม่ชอบใจสิ่งนี้ เพราะเธอหวงแหนความสัมพันธ์พี่สาวน้องชายมาก แต่เขาไม่สนใจ “ผมไม่แคร์ว่าฟางจะรักผมแบบไหน รักยังไง แต่ฟางเป็นของผม...ของผมคนเดียวเท่านั้น!”

นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาทนได้ตลอดแปดปีที่ผ่านมา 

“หวังว่าฟางจะยังรักษาสัญญา เพราะถ้าไม่แล้ว ฟางจะต้องเสียใจ...เสียใจที่กล้าผิดคำสัญญากับผม เพราะผมจะไม่มีวันยอมแยกกับฟางอีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม!” 

แววตาของชายหนุ่มเปลี่ยนไปหลังประโยคสุดท้าย

แววตาที่ฟ้ารดาไม่เคยเห็น...ไม่เคยเห็นน้องชายที่แสนน่ารัก

น้องชายที่เธอว่าอ่อนโยน...จะใช้แววตาน่ากลัวอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้!


ปัจจุบัน ประเทศไทย

‘ซาคาอิซังอยู่ตรงไหนแล้วครับ’ (เอียง)

‘ตอบข้อความหรือโทร. หาผมหรือก็พี่โทคิโอะด้วย’ (เอียง)

‘พลีส...อย่าเงียบสิครับ ส่งสติกเกอร์กลับมาก็ยังดี’ (เอียง)

‘พวกผมมารออยู่ที่สนามบินกว่าชั่วโมงแล้ว ขอร้องนะครับ’ (เอียง)

‘อย่าอ่านข้อความแล้วเงียบสิครับ ซาคาอิซัง’ (เอียง)

‘ผมรู้คุณอ่านผ่านหน้าจอล็อก ผมรู้คุณยิ้มอยู่’ (เอียง)

‘นายกำชับมาว่า ห้ามตามคนแปลกหน้าไปนะครับ!’ (เอียง)

ประโยคสุดท้ายที่เด้งขึ้นมาทำให้ชายหนุ่มตัวสูงที่นั่งข้างคนขับแท็กซี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วพิมพ์ข้อความกลับไปเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า 

‘อย่ามาลามปาม นารูโตะจัง ถ้าไม่อยากหัวขาด’

ทั้งที่นั่นเป็นคำขู่ แต่การที่คนพิมพ์ข้อความยิ้มอยู่ได้บ่งบอกว่าเขาไม่ได้จริงจังกับมัน และอีกฝั่งของคนรับข้อความก็รู้ จึงยังคงโต้ตอบกลับมาเป็นสติกเกอร์โค้งศีรษะให้ แล้วย้ำว่ารับโทรศัพท์ด้วย จากนั้นก็มีสายเรียกเข้า 

“หวัดดีนารูโตะจัง เบื่อจังคนรู้ทัน ฝากบอกอากิระซังด้วยว่าผมไม่ใช่เด็กนะ จะได้เตือนไม่ให้ตามคนแปลกหน้าไป” 

บทสนทนาเป็นภาษาญี่ปุ่น ยิ่งทำให้คนขับแท็กซี่มั่นใจว่าลูกค้าที่แค่ยื่นที่อยู่จุดหมายปลายทางให้เขาไม่ใช่คนไทย การที่เขาไม่โต้ตอบด้วยคำพูดทำให้คิดไปเองว่า ผู้ชายคนนี้เป็นนักท่องเที่ยวที่ยอมตามแท็กซี่เถื่อนอย่างเขามาที่รถอย่างคนที่ไม่รู้อะไรเลย

“อย่าบ่นนักเลย ไม่ดีใจเหรอ ผมมีข่าวดีมาบอกนะ ไม่ต้องตามมาดูแลผมแล้ว กลับบ้านกันได้เลย ตอนนี้ผมออกมาจากสนามบินได้ครึ่งทางแล้วละ...ทำอย่างนั้นทำไม ก็ผมไม่อยากให้มีครูฝ่ายปกครองอย่างนารูโตะจังและโทคิโอะซังมาคุมไง แค่นี้นะ ไม่ต้องตามมา...กลับแท็กซี่ ไม่ต้องห่วงหรอก คนขับก็ดูท่าทางเป็นตาลุงใจดี คงไม่ทำอะไรผมหรอกนา...ใจร้ายจัง ทำไมพูดอย่างนั้น ที่มาเมืองไทยคือซี กนธีนะ ไม่ใช่ซาคาอิ บอกแล้วว่าเลิกเรียกผมว่าซาคาอิซะที ถ้ายังเรียกเดี๋ยวก็ปล่อยซาคาอิออกมาจริงๆ ซะหรอก...แค่นี้นะ ห้ามตามมา...แต่เตรียมของไว้ให้ผมแล้วใช่ไหม...โอเค เดี๋ยวผมจัดการเองได้ ถ้าต้องการอะไรผมจะติดต่อไป ฝากหวัดดีอากิระซังกับพี่ผึ้งและคานะจังด้วย ไว้ผมแวะไปหา...แวะไปกินขนมฝีมือพี่ผึ้งนะ ให้อากิระซังรอต้อนรับด้วย อย่าหนีกันล่ะ...บ๊ายบาย ไว้เจอกัน” 

ก่อนวางสายชายหนุ่มหัวเราะร่วน จากนั้นก็หันมายิ้มให้คนขับแท็กซี่ที่เหมือนมีแผนร้ายในหัว เพราะขับพาผู้โดยสารหนุ่มที่เขาคิดว่าเป็นเหยื่อออกนอกเส้นทาง ตรงไปยังพื้นที่เปลี่ยวนอกเมือง แต่ก็ยังเนียนเป็นคนขับใจดี สื่อสารให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังพาลูกค้าไปยังจุดหมายปลายทางตามที่อยู่ในกระดาษที่ถูกยื่นให้ 

“ไม่ต้องห่วงนะครับ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึง...ใช่ๆ ครึ่งชั่วโมง”  

“ชั่วโมง ครึ่งชั่วโมง อ้อ โอเค” 

ชายหนุ่มยิ้มหวานยังคงพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นพลางชี้ที่นาฬิกาข้อมือ ทำท่าทางเหมือนเข้าใจคำพูดของคนขับแท็กซี่ในคราบโจรซึ่งกำลังกระหยิ่มใจเมื่อมองเห็นสิ่งที่ลูกค้ามีติดตัวมา การทำอาชีพนี้ทำให้มองออกว่า เหยื่อที่ตกมาได้ในวันนี้เป็นพวกนักท่องเที่ยวมีอันจะกิน ไม่ว่าเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือแม้แต่นาฬิกาและโทรศัพท์ที่ใช้ล้วนเป็นของดีราคาแพง ตีราคาในหัวก็เหยียบหลักหลายแสน ยังไม่นับเงินในกระเป๋าที่เขาเห็นตอนชายหนุ่มหยิบกระดาษจดที่อยู่ออกมาให้

“ลุง เลือกให้ดีๆ นะ พาผมไปหาฟางดีๆ อย่าหาเรื่องใส่ตัว ผมยังอยากเป็นซี ยังอยากอารมณ์ดี อย่าทำผมอารมณ์เสียดีกว่า เพราะลุงคงไม่ชอบใจแน่ ถ้าได้เจออีกคนในตัวผม”

เพราะชายหนุ่มพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นพร้อมรอยยิ้มไร้เดียงสา อีกฝ่ายจึงไม่รู้ตัวว่าถูกจับได้แล้ว ยังคงขับรถฝ่าความมืดพาผู้โดยสารที่เขาคิดว่าเป็นเหยื่อชั้นเยี่ยมไปยังโรงเชือดประจำที่จะจับเหยื่อลอกคราบเอาทุกอย่างมาเป็นของตน โดยหารู้ไม่ว่าเหยื่อคนนี้ไม่ได้เป็นแค่นักท่องเที่ยววัยละอ่อนจากแดนอาทิตย์อุทัย แต่เขาคือวายร้ายที่แม้แต่หัวหน้ายากูซ่าที่ว่าแน่ยังต้องยอมลงให้ แล้วคู่สายที่เขาเพิ่งโทรศัพท์คุยด้วยเมื่อครู่ก็เป็นลูกน้องยากูซ่าที่ถูกส่งมาเป็นบอดีการ์ดให้เขา แต่จะเรียกว่าเป็นบอดีการ์ดก็คงไม่ถูก ต้องเรียกว่าเป็นผู้ปกครองที่ถูกส่งมาคุมพฤติกรรมห่ามๆ ของเขาไม่ให้เผลอไปก่อเรื่องมากกว่า 

“จอดรถทำไมครับ” ยังคงตีบทใสๆ มองฝ่าความมืดสองข้างทาง สื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่น แน่นอนว่าคนขับแท็กซี่ในคราบโจรก็ฟังไม่ออก “ปวดฉี่เหรอครับ ดีเหมือนกัน ผมก็ปวดเหมือนกัน...”

“ยกมือขึ้น แล้วลงจากรถ” ปืนในมือคนขับแท็กซี่ที่จ่อมาข้างตัวทำให้รอยยิ้มของผู้โดยสารหายไป “ดีมาก...เด็กดี ยอมทำตามง่ายๆ แล้วลุงจะให้รางวัล...พิเศษแบบจัดเต็ม” 

ดูเหมือนโจรรายนี้จะไม่ใช่แค่หวังเงินทองของผู้โดยสาร 

เพราะสายตาที่มันมองเขา...บ่งบอกว่าต้องการมากกว่านั้น

“อย่าดีกว่านะลุง อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย อย่าดีกว่า!” 

กนธียังคงสื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่น้ำเสียงห้วนสั้นยามพูดประโยคสุดท้าย บวกกับสีหน้าแววตาที่เปลี่ยนไป บ่งบอกว่าหมดเวลาสวมบทบาทนักท่องเที่ยวใสซื่อแล้ว แต่การมีปืนในมือทำให้ไอ้โจรร้ายมองไม่เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของผู้โดยสาร คิดแต่ว่าตัวเองเป็นผู้คุมเกม 

“หันหลังมา...ใส่นี่ไว้” 

‘นี่’ ที่ว่าคือกุญแจมือซึ่งอีกฝ่ายกำลังสวมล็อกข้อมือกนธีที่ถูกจับไพล่หลัง แล้วสั่งให้เขาคุกเข่าลง ชายหนุ่มยังไม่มีทีท่าว่าจะทำตาม มันจึงทำเป็นขึ้นไกปืนขู่ เขาจึงต้องฟังคำสั่ง คุกเข่าลงข้างทางเหมือนจะยอมจำนน ทำให้ไอ้โจรโรคจิตเอื้อมมือไปลูบแขนด้วยแววตาหื่นกระหาย 

“เด็กดี...เด็กดีของลุง...”

“อย่า...ถ้าไม่อยากตาย ก็อย่าคิดเอามือน่าขยะแขยงนั่นมาโดนตัว...กู!” 

สิ้นเสียง คนที่คุกเข่าอยู่ก็ทิ้งตัวลงพื้น ดีดขาขึ้นแตะปลายกระบอกปืนให้พ้นตัว ก่อนจะตวัดปลายเท้าล็อกคอคนที่ปืนหลุดมือ เสี้ยววินาทีต่อมาสถานการณ์ก็เปลี่ยน เมื่อ ‘ซาคาอิ’ ขึ้นไปยืนเหนือร่างไอ้โจรหื่นที่ถูกเหยียบอยู่แทบเท้า เขาปลดกุญแจมือออกไปพ้นแขนทั้งสองข้าง แล้วก้มลงไปกระชากตัวไอ้หื่นขึ้นมาเผชิญหน้าอย่างคนที่มีอำนาจ มีแรงเหนือกว่า...มาก!

“มือข้างนี้ใช่ไหมที่โดนตัวกู!” การสื่อสารเปลี่ยนเป็นภาษาไทย บอกไอ้โจรให้รู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน พลาดอย่างแรงที่คิดว่าเหยื่อเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ “มึงจะไม่มีโอกาสใช้มือนี้จับอะไรอีก!”

“อ๊ากกก!”

เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดกรีดผ่านความมืด 

ตามมาด้วยเสียงเนื้อกระทบของแข็ง...ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า 

แสงไฟหน้ารถส่องสะท้อนให้เห็นเลือดสีแดงที่เกิดจากเนื้อปริแตกกระเด็นใส่เสื้อยืดขาวจนเลอะไปหมด แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่หยุด ซัดหมัดใส่หน้าคนที่ทำให้เขาโกรธ โกรธที่ถูกสัมผัสโดยไม่เต็มใจและทำให้รู้สึกขยะแขยงจนสติหลุด 

“ยอมแล้ว กลัวแล้ว อย่าฆ่า...อย่า...พอแล้ว ผมกลัวแล้ว ขอโทษ! อย่าทำเลย ผมขอโทษ อย่าฆ่าผมเลย...โอ๊ย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น