ห้า
สาวน้อยผู้ถูกบุรุษจ้องสังหาร
เจ้าของร่างบอบบางที่กระโดดลงมาจากหลังคามิอาจหยุดยั้งตัวเองมิให้ร่วงหล่นใส่จอมยุทธ์ชุดดำซึ่งยืนกอดอกอยู่เบื้องล่างริมกำแพงได้ เสียงร้องตะโกนของเด็กสาวทำให้จอมยุทธ์ผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมามอง และในชั่วพริบตาก่อนที่เขาจะหายตัวไปราวกับสายลมวูบหนึ่ง มู่สาวเย่าก็ได้เห็นรอยสักรูปเปลวอัคคีสีนิลตรงกลางหน้าผากขาวดุจหิมะของจอมยุทธ์ชุดดำผู้มีโฉมหน้าหล่อเหลาคมคายและสง่างามดุจองค์ชายผู้สูงศักดิ์
ตุ้บ!
ความตกใจทำให้มู่สาวเย่ามิได้เตรียมพร้อมกับการลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย นางจึงเสียหลักล้มหน้าคว่ำนอนจุมพิตพสุธาเมื่อเท้าทั้งสองข้างสัมผัสถึงพื้นดิน เด็กสาวมิอาจเสียเวลากับการร้องครางด้วยความเจ็บปวดได้ เพราะเวลานี้เสียงเหลาป่านสั่งให้บ่าวรับใช้ไขกุญแจประตูดังโหวกเหวกอยู่หลังกำแพงรั้ว มู่สาวเย่าจำต้องกัดฟันลุกขึ้นวิ่งหนีไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด
เหนือความชุลมุนวุ่นวายของคนในหอรื่นรมย์ขึ้นไปบนยอดต้นไม้ จอมยุทธ์รูปงามคนเดิมยืนกอดอกอยู่กลางท้องฟ้า ดวงตาคมมองลงมาที่เด็กสาวซึ่งกำลังวิ่งซอกแซกไปตามตรอกแคบๆ ของบ้านเรือน โดยมีเหล่าบ่าวรับใช้วิ่งไล่กวดอยู่ด้านหลัง
“เด็กสาวน่ารักคนนั้นช่างเคราะห์ร้ายจริงๆ ที่มาเห็นรอยสักเปลวอัคคีบนหน้าผากของท่านประมุข ไม่เกินสิบราตรีชีวิตนางต้องดับสูญแน่ๆ น่าสงสารยิ่งนัก” เด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดขวบปรากฏกายบนยอดกิ่งไม้ใกล้ๆ กับจอมยุทธ์รูปงาม พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งราวกับหญิงชรา
“ใจอ่อนนักก็ไปบวชเป็นนักพรตหญิงซะ ไม่ต้องมาตามรับใช้ข้า” บุรุษรูปงามกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชา ก่อนหายวับไปในสายลม
“ท่านประมุข ข้าผิดไปแล้ว รอข้าด้วย” เด็กหญิงหน้าเสีย รีบกระโดดขึ้นไปกลางท้องฟ้าแล้วหายลับเข้าไปในก้อนเมฆ
หลังจากหนีพ้นจากการถูกจับตัวกลับหอรื่นรมย์สำเร็จ มู่สาวเย่าก็เดินเที่ยวเล่นในตลาดจนพบกับมือปราบเจียงหลุน ซึ่งผ่านไปห้าปีเขาก็ยังเป็นหัวหน้ามือปราบอยู่ที่ศาลหมิงจูเหมือนเดิม เด็กสาวเดินเข้าไปหามือปราบเจียงหลุนที่กำลังติดใบประกาศบนผนังกำแพงหน้าศาลซึ่งกลายเป็นจุดสนใจของชาวเมืองที่สัญจรผ่านไปมา
“บุรุษในรูปเป็นใครหรือเจ้าคะ” มู่สาวเย่าถามมือปราบสูงวัยขณะมองดูภาพวาดครึ่งตัวของบุรุษหน้าตาดีเคียงคู่กับอินทรีตัวใหญ่
มือปราบเจียงหลุนหันมาทักทายมู่สาวเย่าด้วยความดีใจที่ได้เจอนาง ก่อนจะเล่าคราวๆ เกี่ยวกับบุรุษหน้าตาดีกับอินทรีในภาพวาด “เจ้านี่เป็นนักฆ่าพเนจร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ข้างกายจะมีอินทรีตัวใหญ่คอยติดตามราวกับเป็นเงาของกันและกัน จนผู้คนทั่วแผ่นดินตั้งฉายาเขาว่า นักฆ่าพญาอินทรี”
“แล้วเขาสังหารใครหรือเจ้าคะ ถึงได้โดนทางการประกาศจับ”
“ท่านเสนาบดีหลิวผู้ดูแลเสบียง การเงิน และคลังหลวง[1]”
“เอ๊ะ! ใช่ท่านเสนาบดีที่เคยถูกจอมโจรแต้จิ๋วขโมยแหวนหยกเขียวมรกตเมื่อห้าปีก่อนหรือไม่เจ้าคะ” มู่สาวเย่าสงสัย
“ใช่ๆ เจ้าความจำดีจริงๆ” มือปราบเจียงหลุนชม ก่อนป้องมือเอ่ยเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคน “อย่าพูดไปนะ ข้ารู้สึกยินดียิ่งนักที่เสนาบดีหลิวถูกลอบสังหาร”
“ทำไมล่ะเจ้าคะ หรือเพราะท่านเสนาบดีผู้นั้นเป็นพวกกังฉิน” เด็กสาวเลิกคิ้วสูง
“เจ้านี่เดาเก่งจริงๆ ใช่แล้ว เขาเป็นพวกโกงกิน ฉ้อฉลจนร่ำรวยขึ้นมา ไม่มีใครเศร้าเสียใจต่อการตายของเขาหรอก นอกจากพวกพ้องที่เป็นกังฉินด้วยกันเท่านั้นแหละ แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องทำตามกฎบ้านเมือง จึงมีราชโองการประกาศจับนักฆ่าพญาอินทรีพร้อมเงินรางวัลนำจับด้วย” พูดจบมือปราบเจียงหลุนก็ยื่นใบประกาศจับให้มู่สาวเย่าพร้อมกับกำชับ “เจ้าก็เก็บใบประกาศนี้ไว้ ถ้าเจ้าเจอคนกับนกในภาพก็รีบหนีล่ะ ไม่อย่างนั้นเจ้าถูกเจ้านี่ฆ่าตายแน่”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” มู่สาวเย่ารับใบประกาศจับมาพับเก็บใส่อกเสื้อชั้นใน แล้วกล่าวลาเพื่อไปยังสถานที่ที่นางมักไปเป็นประจำนับตั้งแต่ที่ชุนจื่อจากไป นั่นคือหอหมื่นคัมภีร์
หอหมื่นคัมภีร์เคยเป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนของฮ่องเต้และเหล่าองค์ชายแห่งแคว้นฮั่น แต่หลังจากวังหลวงมีหอคัมภีร์ใหม่ ที่นี่จึงถูกขายต่อๆ กันมา จนมิอาจรู้ได้ว่าใครคือเจ้าของหอหมื่นคัมภีร์ที่แท้จริง มีเพียงผู้เฒ่าน้ำใสที่เป็นผู้ดูแลหอแห่งนี้
มู่สาวเย่าเดินตัวปลิวเข้าไปในหอหมื่นคัมภีร์ที่มีลักษณะคล้ายตำหนักของฮ่องเต้ในวังหลวง ความสวยงามวิจิตรของหอหมื่นคัมภีร์ถูกโอบล้อมด้วยกำแพงหินหยกขาวและประตูไม้แกะสลักรูปมังกรคู่ซึ่งตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ใจกลางป่าไผ่ เมื่อข้ามธรณีประตูสู่ลานหินกว้างเข้าไปในห้องโถงมู่สาวเย่าก็เห็นผู้เฒ่าน้ำใสกำลังนั่งลูบเคราสีขาวของตัวเองและจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์
“ท่านผู้เฒ่า ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ” มู่สาวเย่าโค้งกายคารวะบุรุษวัยเก้าสิบสองที่ยังดูหนุ่มกว่าวัยราวกับผ่านฤดูทั้งสี่มาแค่หกสิบรอบ อีกฝ่ายเหลือบมองหน้าเด็กสาวแวบหนึ่งก่อนหันไปรินน้ำชาบนโต๊ะข้างกาย
“เมื่อไรที่เจ้าเลิกมาทำความสะอาดที่หอแห่งนี้ ข้าคงต้องลาออกจากการเป็นผู้ดูแลหอหมื่นคัมภีร์แน่ๆ” ผู้เฒ่าน้ำใสเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ
“ยังมีหนังสืออีกมากมายที่ข้ายังมิได้อ่าน อย่างไรข้าก็ต้องมาทำความสะอาดหอแห่งนี้เพื่อแลกกับการได้อ่านหนังสือไปอีกนานเจ้าค่ะ” มู่สาวเย่ากล่าว ก่อนเดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วที่พับเก็บไว้ในลิ้นชักตู้ตรงมุมห้องโถง จู่ๆ เด็กสาวก็พูดโพล่งออกมา
“วันนี้ข้าเห็นบุรุษที่มีรอยสักหมึกบนหน้าผากด้วย ถ้าจำไม่ผิดข้าเคยอ่านเจอว่าคนที่ถูกสักหมึกตามร่างกายจะเป็นนักโทษที่ถูกลงโทษสถานเบาที่สุดใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่” ผู้เฒ่าน้ำใสตอบเสียงเนิบๆ แล้วย้อนถามกลับ “รอยสักหมึกของบุรุษผู้นั้นเป็นรูปอะไรล่ะ”
“เปลวอัคคีสีนิลเจ้าค่ะ”
เพล้ง!
ผู้เฒ่าน้ำใสตกใจจนทำถ้วยชาในมือตกแตก พอได้สติท่านผู้เฒ่าก็รีบลุกจากเก้าอี้ไปจับแขนมู่สาวเย่าลากไปที่ประตู “เจ้ารีบหนีไปเดี๋ยวนี้เลย ไปให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเลยยิ่งดี หรือไม่ก็หาที่หลบซ่อนตัวภายในสิบวันอย่าออกมาเด็ดขาด”
มู่สาวเย่าพิศวงอย่างหนักกับคำพูดของผู้เฒ่าน้ำใส นางจึงถามให้คลายความสงสัย “ทำไมข้าต้องหนีหรือหลบซ่อนตัวด้วยเล่าเจ้าคะ”
“เจ้ามิรู้หรือ บุรุษที่มีรอยสักเปลวอัคคีสีนิลที่เจ้าเห็นน่ะ แท้จริงคือจอมมารแห่งยุทธภพ ผู้ที่คนทั่วหล้าไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์หรือขุนนางราชสำนัก แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังอกสั่นขวัญแขวน หากจอมมารผู้นี้ปรากฏกายต่อหน้า เพราะถ้าใครเห็นจอมมารผู้มีรอยสักเปลวอัคคีสีนิลนั้นเข้า นั่นเป็นลางบอกเหตุว่าภายในสิบราตรีชีวิตของคนผู้นั้นจะต้องดับสูญแน่นอน”
“ข้ามิได้มีเรื่องแค้นเคืองกับจอมมารผู้นั้นสักนิด เหตุใดเขาต้องเข่นฆ่าข้าด้วยเล่าเจ้าคะ” มู่สาวเย่ายังคงสงสัย
“ขึ้นชื่อว่าจอมมารย่อมเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นผักปลา ฆ่าโดยมิต้องหาเหตุผลใดๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะชีวิตเด็กสาวในหอคณิกาอย่างเจ้า ในสายตาจอมมารย่อมไร้ค่ายิ่งกว่าต้นหญ้าที่เขาเหยียบย่ำเสียอีก มีหรือที่เขาจะละเว้นชีวิตเจ้า”
“นั่นสิเจ้าคะ ชีวิตข้าด้อยค่าเยี่ยงนี้ มิคู่ควรให้มือของจอมมารต้องเปื้อนเลือดหรอกเจ้าค่ะ” มู่สาวเย่าหัวเราะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสไร้ความกังวล “ท่านผู้เฒ่ามิต้องเป็นห่วง เมื่อคืนข้าดูดาวประจำตัวข้าบนท้องฟ้า มันส่องสว่างสดใส มิได้เศร้าหมองแม้แต่น้อย แสดงว่าอีกไม่นานชีวิตข้าจะต้องรุ่งโรจน์ราวกับแสงอาทิตย์ แล้วข้าจะสิ้นชีพได้เยี่ยงไร”
พูดจบมู่สาวเย่าก็โค้งศีรษะให้ผู้เฒ่าน้ำใสหนึ่งครั้งเพื่อขอบคุณในความเป็นห่วงเป็นใยของเขา ก่อนกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงไปตามทางเดินสู่ห้องหนังสือด้านในสุด
“อย่าลืมนะ ห้ามขึ้นไปห้องชั้นบนสุดของหอเด็ดขาด” ผู้เฒ่าน้ำใสตะโกนไล่หลังไป เสียงมู่สาวเย่าตอบรับกลับมาทำให้ผู้เฒ่าวัยเก้าสิบสองถอนหายใจด้วยความโล่งอกและวิตกกังวลไปพร้อมกัน โล่งอกที่เด็กสาวเชื่อฟังเรื่องห้องชั้นบนสุด เพราะตั้งแต่นางทำงานที่หอนี้ก็ไม่เคยย่างกรายขึ้นไปชั้นบนเลยสักครั้ง ส่วนความวิตกกังวลก็เป็นเรื่องจอมมารที่จ้องสังหารเด็กสาวไร้เดียงสาโดยมิทราบสาเหตุ แต่การไม่เกรงกลัวจอมมารของมู่สาวเย่าทำให้ผู้เฒ่าน้ำใสถึงกับรำพึงออกมา
“เจ้าเด็กโง่เอ๋ย มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตาสิน่า”
มู่สาวเย่านั่งพิงผนังห้องและชันเข่าขึ้นมาเพื่อวางหนังสือบนเรียวขายาวภายใต้กางเกงสีฟ้าหม่นซึ่งเป็นชุดบ่าวของชุนจื่อ เด็กสาวไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนกระดาษอย่างรวดเร็วด้วยทักษะการอ่านจับใจความ ความเพลิดเพลินจากการอ่านจบลงในเวลาสองชั่วยาม มู่สาวเย่าจำต้องปิดหนังสือและเก็บตำราแพทย์ไว้บนชั้นไม้สี่ชั้นที่เป็นเหมือนตู้หนังสือ เพราะได้เวลาต้องทำความสะอาดหอหมื่นคัมภีร์อันกว้างขวางและใหญ่โต ซึ่งต้องแบ่งพื้นที่เป็นส่วนๆ แล้วค่อยทยอยทำความสะอาดทีละส่วนในแต่ละวัน และในวันนี้เป็นห้องชั้นสามซึ่งอยู่ใต้ห้องชั้นบนสุด
เสียงฝนตกกระทบหลังคาทำให้มู่สาวเย่าเริ่มวิตกเล็กน้อยว่าอาจจะต้องติดฝนอยู่ที่นี่ และถ้ากลับหอรื่นรมย์เลยยามซวีซึ่งเป็นเวลาเปิดบริการหอ เหลาป่านจะต้องทำโทษนางแน่ๆ ระหว่างที่เด็กสาวกำลังมองดูสายฝนโปรยปรายด้านนอกหน้าต่าง จู่ๆ ก็เกิดเสียงโครมครามราวกับสิ่งของมากมายหล่นลงพื้นมาจากห้องชั้นบนสุด เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมีใครกำลังอาละวาดอยู่ในห้องนั้น
มู่สาวเย่าเดินออกมาตรงเชิงบันไดที่เชื่อมทุกชั้น และร้องเรียกผู้ดูแลหอ “ท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่า”
ทว่าเด็กสาวมิอาจตะโกนเรียกผู้เฒ่าน้ำใสเสียงดังได้ เพราะเกรงว่าบุคคลบนชั้นสี่จะรู้ตัวและอาจหลบหนีไปได้ ด้วยความสูงของแต่ละชั้นทำให้ผู้เฒ่าน้ำใสที่อยู่ชั้นล่างไม่ได้ยินทุกสรรพเสียงใดๆ แม้แต่เสียงของมู่สาวเย่าหรือเสียงในห้องชั้นบนสุด
มู่สาวเย่ามองหาอาวุธป้องกันตัว จนได้ถังไม้ทรงกลมที่ใช้สำหรับซักผ้าขี้ริ้วมาถือติดมือไว้ ก่อนทำใจกล้าขึ้นไปชั้นบนเพื่อจับโจรที่ลักลอบเข้ามาในหอหมื่นคัมภีร์ เด็กสาวหยุดยืนอยู่หน้าห้องพลางก้มตัวลงมองลอดรูกุญแจตรงประตูเข้าไปด้านใน แต่ภาพที่เห็นคือข้าวของภายในห้องไม่ว่าจะเป็นเชิงเทียน เก้าอี้ ภาพวาด หรือแม้แต่โต๊ะก็ยังล้มระเนระนาด แต่กลับไม่เห็นตัวต้นเหตุ เด็กสาวตัดสินใจเอื้อมมือที่ว่างอยู่ผลักประตูเข้าไปอย่างช้าๆ ก่อนชะโงกหน้าเข้าไปดู แล้วนางก็ต้องกลั้นหายใจด้วยความตกใจ
‘พญาอินทรี!’
อินทรีทองตัวใหญ่มหึมาเกือบสองเท่าของมนุษย์ ขนเป็นสีน้ำตาลแกมสีเหลืองทองกำลังบินชนผนังไปมา นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าวของในห้องตกพื้นกระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง มู่สาวเย่าเห็นถึงปัญหาของพญาอินทรีที่มันตัวใหญ่คับห้องจึงขยับปีกบินได้ไม่ไกลก็ชนผนัง แต่ที่มันไม่ออกจากห้องทางหน้าต่างเป็นเพราะบุรุษหน้าตาดีผู้หนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น มู่สาวเย่าเดาว่าเขาคือนักฆ่าพญาอินทรีที่ทางการกำลังประกาศจับ
พญาอินทรีบินไปเกาะขาโต๊ะที่ล้มคว่ำกับพื้น นัยน์ตาอันเล็กกว่ามากเมื่อเทียบกับตัวจ้องมองมาที่มู่สาวเย่า มันทำราวกับเป็นองครักษ์พิทักษ์นักฆ่าพเนจรผู้เป็นเจ้านายของมัน เด็กสาวรู้ว่าพญาอินทรีมิอาจใช้กรงเล็บจิกตัวนางได้ เพราะอินทรีทองเป็นนักล่าในที่โล่ง ดังนั้นตัวนกจึงมิอาจจับเหยื่อในที่รกหรือแคบได้ และห้องนี้ก็แคบเกินกว่ามันจะทำร้ายนางได้
มู่สาวเย่าวางถังไม้ทรงกลมลงบนพื้นห้อง แล้วล้วงเอาไข่นกกระทาในกระเป๋ากางเกงสีฟ้าหม่นออกมายื่นให้พญาอินทรีดู เมื่อมันจ้องมองมาที่มือของมู่สาวเย่า นางจึงขยับเข้าไปใกล้ตัวมัน จนไข่นกกระทาอยู่ใต้จงอยปากของมัน พอพญาอินทรีก้มหัวลงมาเพื่อจะจิกกินไข่นกกระทาในมือ เด็กสาวกลับโยนไข่นกกระทาออกไปนอกหน้าต่าง มันจึงบินโฉบออกทางหน้าต่างซึ่งพังเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ตั้งแต่ตอนพญาอินทรีแบกนักฆ่าพเนจรบินเข้ามา
“เจ้าตื่นสิ อินทรีของเจ้าทำข้าวของในห้องพังหมดแล้ว รีบตื่นขึ้นมาเก็บกวาดเลย” มู่สาวเย่าเดินเข้าไปเขย่าตัวบุรุษที่นอนนิ่งมิไหวติงบนพื้นห้องด้านในสุด แต่เขากลับไม่รู้สึกตัวราวกับเป็นท่อนไม้ มู่สาวเย่าใช้นิ้วชี้ไปจ่อตรงปลายจมูกอีกฝ่าย
“ยังหายใจนี่นา” เด็กสาวขมวดคิ้ว ก่อนหันไปมองทางหน้าต่างก็เห็นพญาอินทรีเกาะกิ่งไม้อยู่ด้านนอก มันจ้องมองมู่สาวเย่าผ่านช่องโหว่ของหน้าต่าง
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้านายของเจ้าหรอกน่า” มู่สาวเย่าตะโกนบอกนกยักษ์ที่อยู่ด้านนอก แม้ในใจจะรู้ว่ามันมิอาจรู้ภาษามนุษย์ได้แต่ก็ยังพูดเพื่อความสบายใจของตัวเอง “ข้าจะไล่พวกเจ้าไปอย่างไรดี ถ้าผู้เฒ่ามาเห็นเข้า ข้าถูกห้ามไม่ให้เข้ามาที่นี่แน่”
“มู่สาวเย่า เจ้าอยู่ที่ไหน” ราวกับผืนแผ่นดินถล่มใส่ศีรษะมู่สาวเย่า เมื่อผู้เฒ่าน้ำใสเดินขึ้นบันไดมาชั้นบนและเรียกหานาง
“ตายแล้ว ข้าตายแน่ๆ” มู่สาวเย่ากระสับกระส่าย จะไปใส่กลอนประตูก็มิได้ เพราะห้องนี้มิได้ลงกลอนประตูตั้งแต่แรก หากลงกลอนผู้เฒ่าน้ำใสต้องเดาได้ว่านางอยู่ในห้องนี้แน่ๆ “ทำอย่างไรดี ท่านผู้เฒ่ากำลังขึ้นมาห้องนี้แล้ว”
มู่สาวเย่ารีบสอดส่ายสายตาหาตัวช่วยรอบตัวทันที จนกระทั่งเห็นหีบผ้าตรงมุมห้อง นางจึงรีบวิ่งไปเปิดดู จึงได้ผ้าฝ้ายสีขาวผืนใหญ่นำมาคลุมร่างเพรียวของนักฆ่ารูปงามตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า พร้อมกับร่างบอบบางของมู่สาวเย่าที่มุดเข้าไปนอนเคียงข้างบุรุษหน้าตาดีภายใต้ผ้าฝ้ายสีขาวนั้น ความที่ผ้ามิได้กว้างมากจึงมิอาจคลุมร่างทั้งสองคนได้อย่างมิดชิด ถ้ามู่สาวเย่าไม่ขยับตัวเข้าไปตะแคงข้างกอดร่างของนักฆ่าไว้
“มู่สาวเย่า เอ๊ะ!” ผู้เฒ่าอุทานเมื่อเปิดประตูเข้ามา ชายชรามองดูสภาพภายในห้องที่ข้าวของตกกระจัดกระจายและมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ตรงหน้าต่างจนเห็นภายนอกที่ฝนหยุดตกแล้วทำหน้ามุ่ย
“ใครทำห้องพังขนาดนี้เนี่ย แล้วเจ้าเด็กหนอนหนังสือนั่นไปไหนล่ะนี่” ผู้เฒ่าน้ำใสบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะปิดประตูลง มู่สาวเย่าได้ยินเสียงฝีเท้าลงบันไดไปก็ถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก แต่แล้วจู่ๆ ร่างเพรียวที่เด็กสาวกอดอยู่ก็พลิกตัวขึ้นทาบทับร่างบอบบางของนาง ไม่เพียงร่างกายเท่านั้นที่ถูกตรึง แม้แต่แขนเล็กๆ ของนางก็ยังถูกจับกดกับพื้นข้างกาย
มู่สาวเย่าตกตะลึงเมื่อนักฆ่าพเนจรตื่นขึ้นมาจับตัวนางในระยะใกล้ชิด ชนิดใบหน้าทั้งคู่ห่างกันเพียงแค่ลมหายใจรดกัน
“เจ้าเป็นใคร มาฆ่าข้าหรือมายั่วยวนข้ากันแน่” คำถามเต็มไปด้วยความสงสัยออกจากปากบุรุษรูปงามผู้เป็นนักฆ่าพญาอินทรี แม้คำถามเหมือนเป็นการหยอกเย้า แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นกลับเยียบเย็นราวกับภูเขาหิมะ
“สีหน้าท่าทางข้าเหมือนคนที่จะมาฆ่าหรือยั่วยวนท่านหรือเจ้าคะ ข้ามิได้ถืออาวุธและมิได้เปลือยกายต่อหน้าท่านเสียหน่อย” มู่สาวเย่าเลิกคิ้วสูง นางรีบเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกนักฆ่ารูปงามตรงหน้าจาก ‘เจ้า’ เป็น ‘ท่าน’ ด้วยถ้อยคำอ่อนน้อมขึ้นมาทันที ดั่งสตรีผู้รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี แต่โชคไม่เข้าข้างมู่สาวเย่าเอาเสียเลย เมื่อนักฆ่าพญาอินทรีเห็นมุมกระดาษสีขาวที่โผล่ออกมานอกอกเสื้อชั้นในของนาง เขาปล่อยร่างบางเป็นอิสระด้วยการลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือมาดึงแผ่นกระดาษที่พับเก็บไว้ในอกเสื้อของมู่สาวเย่าไปคลี่ดู
‘ใบประกาศจับ!’ มู่สาวเย่าเพิ่งนึกขึ้นได้ สิ่งที่มือปราบเจียงหลุนมอบให้ไว้เพื่อเตือนภัยกลับกำลังนำภัยมาสู่ตัวนางเอง
นักฆ่ารูปงามไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักกระบี่ออกจากฝักซึ่งคล้องไว้ด้านหลัง ตวัดส่วนปลายอันแหลมคมจะปักลงบนร่างบอบบางของมู่สาวเย่าที่ยังคงนอนราบอยู่บนพื้นห้องด้วยอาการใจระทึก
“ข้ารักษาโรคให้ท่านได้” มู่สาวเย่าตะโกนขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพื่อหยุดกระบี่ที่พุ่งลงมา และมันก็ได้ผล นักฆ่ารูปงามยั้งกระบี่ไว้ตรงหน้าอกซ้ายของเด็กสาวโดยมิได้เสียบแทงลงมา
“ใครว่าข้าป่วย” เขาว่า นัยน์ตาคมจ้องมองมู่สาวเย่าแน่วนิ่ง สีหน้าเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ใดๆ แม้แต่ความตกใจหรือสงสัยในถ้อยคำของนาง ทว่ามู่สาวเย่าก็ยังดูออก
“ถ้าท่านไม่ป่วย ไยจึงยั้งกระบี่ มิเสียบแทงข้าให้ดับดิ้นไปเสียเล่า นั่นเพราะท่านต้องการให้ข้าช่วยจึงละเว้นชีวิตข้าใช่หรือไม่” เด็กสาวน่ารักยิ้มน้อยๆ พลางใช้นิ้วปัดปลายกระบี่ให้พ้นตัว ก่อนลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นผงที่เกาะติดอาภรณ์ที่สวมอยู่ แต่อีกฝ่ายกลับจ่อปลายกระบี่มาที่ลำคอระหงของเด็กสาวอีกแล้วยิ้มหยัน
“เจ้าเป็นเพียงเด็กสาวในหอคณิกา มีหรือจะรู้วิชาแพทย์ขนาดจะรักษาข้าได้ อย่ามาโกหกเพื่อเอาตัวรอดจากคมกระบี่ของข้าหน่อยเลย”
มู่สาวเย่าทำหน้าประหลาดใจ “ท่านรู้จักข้าด้วยหรือ อ๋อ คงจะไปร่วมพิธีปักปิ่นของข้าเมื่อเช้านี้ด้วยละสิ ใช่แล้ว ข้าเป็นเด็กสาวที่เติบโตมาในหอคณิกา มีเพียงหญิงคณิกาเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้เท่านั้น มิได้มีปรมาจารย์เลื่องชื่อคอยถ่ายทอดวิชาความรู้ แต่ท่านอย่าได้ดูเบาข้า เพราะตลอดห้าปีที่ผ่านมาข้าอ่านตำราเรียน คัมภีร์ และบันทึกต่างๆ ภายในหอหมื่นคัมภีร์นี้ แม้มิอาจยกตัวว่าเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ แต่ข้าก็ดูออกว่าท่านเป็นโรคประหลาดที่มีสภาพเป็นผัก[2] ชั่วขณะ”
เด็กสาวหยุดพูดครู่หนึ่ง พลางชำเลืองมองนักฆ่าหนุ่มเพื่อดูปฏิกิริยาของเขา เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบมู่สาวเย่าก็รู้แล้วว่าตัวเองวินิจฉัยถูกจึงเอ่ยต่อ “ข้าเคยอ่านเจอในตำราแพทย์ว่าคนที่เป็นโรคมนุษย์ผักจะไม่ลุก ไม่เดิน ไม่ขยับ ไม่กินข้าวไปตลอดชีวิต แต่ท่านกลับรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาได้ นั่นแสดงว่าท่านจะเป็นมนุษย์ผักในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น และข้าก็สังเกตเห็นสายฝน จึงรู้ว่าท่านจะเป็นมนุษย์ผักในเวลาที่ฝนตกใช่หรือไม่”
“ยิ่งเจ้ารู้มากเท่าไร ข้ายิ่งต้องกำจัดเจ้า เพราะมีแต่คนตายเท่านั้นที่จะไม่พูดความลับออกมา” นักฆ่าหนุ่มง้างกระบี่ เด็กสาวรีบขู่เขาทันที
“ถ้าข้าตาย ท่านก็จะไม่หายจากโรคมนุษย์ผักนะ”
เขาชะงัก “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะรักษาข้าได้”
“ท่านหาโสมป่าพันปีได้หรือไม่เล่า มันช่วยรักษาโรคมนุษย์ผักของท่านได้” มู่สาวเย่าย้อนถาม
“ในใต้หล้านี้มีแต่โสมป่าร้อยปีเท่านั้น ไม่มีโสมป่าพันปีอย่างที่เจ้าอ้างมาสักนิด อย่ามาหลอกข้าดีกว่า” เขาว่า
“ไม่เชื่อก็ตามใจ ข้าเพียงแต่จะบอกท่านว่า ข้ารู้จักแหล่งกำเนิดของโสมป่าพันปี และต่อให้ท่านมีความสามารถหาโสมป่าพันปีมาได้ก็ต้องรู้จักวิธีสกัด ซึ่งต้องมีสมุนไพรอื่นเกือบสิบกว่าชนิดมาผสมจึงจะได้ยามารักษาโรคมนุษย์ผักของท่าน” มู่สาวเย่านั่งลงกับพื้นแล้วตะโกนท้า “เอาสิ อยากฆ่าก็เชิญฆ่าข้าเลย เอาตามที่ท่านพอใจ แต่อย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
นักฆ่าหนุ่มมองเด็กสาวที่นั่งเชิดหน้ากอดอกอย่างไม่เกรงกลัวก็หัวเราะในลำคอ พลางเก็บกระบี่เข้าฝักด้านหลังแล้วสั่งเสียงเข้ม “ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องตามข้าไปหาโสมป่าพันปีและปรุงยารักษาโรคให้ข้าตั้งแต่ตอนนี้เลย”
“ไม่ได้ ข้ามีแม่บุญธรรมต้องตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงข้ามา มีพี่เมี่ยวซินที่เป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆ หากข้าหายตัวไป พวกเขาจะต้องตามหาข้าแน่ๆ แล้วท่านก็จะถูกทางการตั้งข้อหาลักพาตัวอีกกระทงด้วย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ อีกสามวันจะมีการประมูลตัวข้าที่หอรื่นรมย์ ท่านก็ไปร่วมประมูลและไถ่ตัวข้าออกมาจากหออย่างถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติของหญิงคณิกาในหอคณิกาดีหรือไม่”
“เจ้าคิดว่านักฆ่าอย่างข้าจะมีเงินทองมากมายไปไถ่ตัวเจ้าอย่างนั้นหรือ” นักฆ่าหนุ่มเลิกคิ้วสูง “อย่าว่าแต่ไถ่ตัวเลย แม้แต่เงินที่จะประมูลเพื่อเปิดความบริสุทธิ์ของเจ้า ข้าก็ยังไม่มีจ่าย”
“ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่ยอมจ่ายมากกว่า” มู่สาวเย่าว่า ก่อนตัดบท “ถ้าท่านต้องการให้ข้าช่วยก็ต้องหาวิธีพาข้าออกจากหอรื่นรมย์ให้ได้”
เด็กสาวลุกขึ้นยืน แล้วเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพญาอินทรีเกาะอยู่บนกิ่งไม้ต้นเดิม ท้องฟ้าภายนอกมืดสลัวลงไปมาก ทำให้มู่สาวเย่าต้องบอกลานักฆ่าหนุ่มรูปงาม และวิ่งออกจากห้องโดยไม่ลืมย้ำเตือนเขาอีกครั้ง
“อย่าลืมนะ อีกสามวันต้องมาพาข้าออกจากหอรื่นรมย์ให้ได้นะ”
นักฆ่าพญาอินทรีมองประตูที่ปิดลงตามหลังเด็กสาวซึ่งวิ่งออกไป เขามิได้แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวลต่อการไถ่ตัวมู่สาวเย่าหรือดีใจที่จะมีเด็กสาวงดงามน่ารักมาร่วมเดินทาง พญาอินทรีบินโฉบเข้ามาในห้องแล้วเกาะบนขาโต๊ะที่ล้มคว่ำตัวเดิม
“สหายอวิ๋น เจ้าจะปล่อยให้เด็กสาวผู้นั้นมีชีวิตอยู่เช่นนั้นหรือ หากนางแพร่งพรายความลับเรื่องเจ้าเป็นมนุษย์ผักตอนฝนตกออกมา จะต้องมีชาวยุทธ์มากมาย รวมทั้งคนในราชสำนักใช้จุดอ่อนนี้สังหารเจ้าเป็นแน่” พญาอินทรีพูดภาษามนุษย์กับนักฆ่าหนุ่มรูปงาม
“เจ้าไม่ต้องห่วง เมื่อไรนางรักษาข้าให้หายจากโรคประหลาดได้ ข้าจะฆ่านางทันที แต่ก่อนจะถึงวันนั้นข้าจะเฝ้าดูนางมิให้คลาดสายตาเลยละ” นักฆ่าหนุ่มยิ้มมุมปาก
มู่สาวเย่าถูกเหลาป่านอบรมนานนับชั่วยามเมื่อเด็กสาวกลับมายังหอรื่นรมย์หลังยามซวี ซึ่งเป็นเวลาเปิดบริการหอ หลังจากถูกบ่นจนหูชามู่สาวเย่าก็ไปนั่งรอหลินเมี่ยวซินอยู่ในห้องนอนของหญิงคณิกาอันดับหนึ่ง โดยอ่านหนังสือฆ่าเวลาไปพลางๆ หลังเสร็จจากการต้อนรับลูกค้าหลินเมี่ยวซินก็กลับมายังห้องนอนตน สองสาวต่างวัยจึงได้พูดคุยกัน มู่สาวเย่าเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ปีนออกจากหอจนกระทั่งกลับมาถูกเหลาป่านอบรมให้พี่สาวรูปงามฟัง
“สาวเย่า เจ้าไปทำกรรมอะไรไว้นะ ถึงได้ไปเจอกับบุรุษที่จ้องสังหารเจ้าถึงสองคนได้” หลินเมี่ยวซินรำพึง สีหน้าแสดงความวิตกไม่น้อย
“ใครว่าเป็นกรรมล่ะเจ้าคะ เป็นบุญของข้าต่างหากที่ได้เจอบุรุษรูปงามถึงสองคน” มู่สาวเย่าพูดกลั้วหัวเราะ พลางยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างไร้ความกังวล
“ดูเจ้าไม่ทุกข์ร้อนเลยนะ ไหนเจ้าบอกข้าว่าเจ้าหลอกนักฆ่าพญาอินทรีเรื่องโสมป่าพันปีมิใช่หรือ ถ้าเกิดเขาจับโกหกได้ เจ้ามิถูกเขาฆ่าตายรึ หรือต่อให้เขาเชื่อเจ้าสนิทใจ แต่การร่วมเดินทางไปกับนักฆ่าเช่นนั้นจะไม่อันตรายหรือ ไหนจะคนในราชสำนัก ไหนจะเหล่าชาวยุทธ์ พวกเขาจะต้องตามไล่ล่าเขาแน่ๆ เจ้าอาจถูกลูกหลงก็เป็นได้”
“พี่เมี่ยวซินอย่าได้วิตก นักฆ่าคนนั้นจะต้องปกป้องข้าจากคมหอกคมกระบี่ที่พุ่งมายังข้าว รวมทั้งจอมมารที่จ้องสังหารข้าด้วย เขาต้องช่วยให้ข้ามีชีวิตรอดจนกระทั่งรักษาเขาให้หายจากโรคประหลาดเสียก่อน” เด็กสาวอธิบาย
“แล้วถ้าเกิดเขารู้ความจริงว่าเจ้าโกหกล่ะ” หลินเมี่ยวซินยังไม่คลายความวิตก
“ข้าจะถ่วงเวลามิให้เขาล่วงรู้ ระหว่างนั้นข้าก็จะค้นหาวิธีที่แท้จริงรักษาเขาให้สำเร็จ หลังจากเขาหายแล้วข้าก็จะหนีหายไปจากชีวิตเขา มิให้เขาตามตัวข้าเจอเด็ดขาด” มู่สาวเย่ากล่าวด้วยความมั่นใจ
“ดูเหมือนเจ้าคิดอุบายไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว โดยให้นักฆ่าพญาอินทรีไถ่ตัวเจ้าออกจากหอรื่นรมย์ตามที่เจ้าปรารถนา เหลาป่านก็ได้เงินเป็นค่าตอบแทนที่เลี้ยงดูเจ้ามา นักฆ่าต้องปกป้องคุ้มครองเจ้าจากจอมมารที่มุ่งมาดจะสังหารเจ้า และอนาคตที่จะหลบหนีไปจากนักฆ่าคนนั้นด้วย” หลินเมี่ยวซินเริ่มเข้าใจแผนการของเด็กสาว
“ข้าก็มิได้ต้องการหลอกใช้นักฆ่าพญาอินทรีหรอก แต่ข้าจำเป็นต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน ข้ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องการจะทำในชีวิต เพราะตั้งแต่ลืมตาดูโลกข้าก็มีชีวิตอยู่แต่ในหอคณิกาแห่งนี้ ข้าอยากท่องเที่ยวไปทั่วหล้า อยากช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก อยากเห็นสิ่งต่างๆ ที่เขียนไว้ในตำราเรียน”
“รวมทั้งการตามหาชุนจื่อด้วยใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากเจอพี่ชุนจื่อมาก อยากถามว่าเหตุใดจึงจากข้าไป ทั้งๆ ที่สัญญากันไว้แล้วว่าเขาจะคอยติดตามและพิทักษ์คุ้มครอง ช่วยเหลือข้าจนกว่าความฝันของข้าจะเป็นจริง ข้าอยากรู้เหตุผลจริงๆ เจ้าค่ะ”
“เจ้านี่ช่างจดจำทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในใจมิลืมเลือนเลยนะ” หลินเมี่ยวซินเอ่ย ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กสาว “อีกแค่สามวันเราสองคนก็ต้องจากกันแล้วสินะ ข้ารู้สึกใจหายไม่น้อย”
มู่สาวเย่าจับมือหลินเมี่ยวซินที่วางอยู่บนศีรษะลงมากุมกระชับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง “สักวันหนึ่งข้าต้องช่วยให้ท่านหลุดพ้นจากการเป็นหญิงคณิกาให้ได้”
หญิงคณิกาสาวมองเด็กสาวอย่างเอ็นดู แล้วยิ้มน้อยๆ “คนที่จะช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากสภาพการเป็นหญิงคณิกาได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าต้องไปขอร้องคนผู้นั้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะได้พบเขา”
“คนคนนั้นเป็นใครหรือเจ้าคะ” มู่สาวเย่าสงสัย
“ฮ่องเต้กวงอู่ตี้”
เด็กสาวจดจำชื่อนั้นไว้ในใจโดยมิได้เอื้อนเอ่ยใดๆ กับหลินเมี่ยวซินอีก เพราะหญิงคณิกาสาวปิดปากหาวหลายครั้ง ทั้งสองสาวจึงจบการสนทนาไว้เพียงแค่นั้นแล้วแยกย้ายกันเข้านอน
ณ สถานที่ซึ่งมีหญิงงามมากมายมิแตกต่างจากหอรื่นรมย์ ทว่าระดับการศึกษา ชนชั้นและฐานะของสตรีในที่แห่งนั้นกลับเหนือกว่าหญิงงามในหอรื่นรมย์ลิบลับ จนมิอาจเทียบชั้นกันได้ นั่นคือวังหลวงแห่งแคว้นฮั่น
“เสี่ยวอวี่ ข้ากลับมาแล้ว” เสียงตะโกนของพี่สาวต่างพระมารดา ทำให้องค์หญิงอวี่เยียนผู้มีสิริโฉมงดงามต้องวางพู่กันลงบนแท่นฝนหมึก ก่อนเงยหน้ามองตรงไปยังช่องประตูทางเข้า สตรีในคราบบุรุษเดินตัวปลิวเข้ามาภายในห้องทรงอักษรขององค์หญิงอวี่เยียนผู้เป็นขนิษฐา
“เสด็จพี่ ปลอมเป็นบุรุษอีกแล้วหรือเพคะ” ฮั่นอวี่เยียนแย้มยิ้ม เมื่อเห็นพี่สาวแต่งกายและทำผมเยี่ยงบุรุษรูปงามเดินตรงมาหานาง
“เจ้าอย่าเพิ่งตำหนิข้าเลย รู้หรือไม่วันนี้ข้าเจอเด็กสาวนางหนึ่ง ทั้งความงดงาม ความน่ารัก ความฉลาด และอายุเทียบเคียงกับเจ้าได้เลยเชียวนะ” องค์หญิงชิงชิงเล่าอย่างตื่นเต้น “นางใช้เขม่าดินทาหน้าเป็นสีดำเพื่อให้บุรุษที่ไปร่วมงานปักปิ่นของนางเปลี่ยนความคิดที่อยากจะยลโฉมหน้าอันงดงามของนางเพียงอย่างเดียว ให้หันมาร่วมแสดงความยินดีกับนางอย่างจริงใจ”
“นางคงทำให้บุรุษทุกคนผิดหวังแล้วค่อยเอ่ยวาจาด้วยถ้อยคำกินใจ จนสามารถโน้นน้าวจิตใจของบุรุษที่มาร่วมงานให้คิดตาม และยอมทำตามที่นางขอใช่หรือไม่เพคะ”
องค์หญิงชิงชิงทำหน้าคาดไม่ถึง “ทำไมเจ้ารู้ล่ะ พูดราวกับตาเห็นเลย นี่เจ้าคงไม่ได้สะกดรอยตามข้าไปใช่หรือไม่”
อวี่เยียนหัวเราะขัน ก่อนตอบ “ถ้าหม่อมฉันเป็นนางก็คงทำเช่นนั้นเพคะ สตรีใดเล่าอยากให้พิธีสำคัญในชีวิตอย่างการปักปิ่นต้องกลายเป็นงานแสดงสินค้า”
“ใช่ๆๆ แม่เล้าของหอรื่นรมย์ต้องการอวดเด็กสาวน่ารักงดงามคนนั้นให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาบุรุษในงาน มิแตกต่างจากการแสดงสินค้าอย่างที่เจ้าว่ามาเลย”
อวี่เยียนเลิกคิ้วสูง “เด็กสาวที่เสด็จพี่พูดถึงเป็นหญิงคณิกาหรือเพคะ”
“ไม่ๆๆ นางยังไม่ได้เป็นหญิงคณิกา แต่ข้าได้ข่าวมาว่าอีกสามวันข้างหน้าจะมีการประมูลในคืนวันรับแขกวันแรกของนาง ข้าอยากจะไปร่วมประมูลชิงตัวและไถ่ตัวนางด้วย แต่ติดที่นางรู้แล้วว่าข้าเป็นสตรีน่ะสิ” ชิงชิงทำหน้าผิดหวัง
“เสด็จพี่จะไถ่ตัวนางมาเพื่ออะไรเพคะ หรือว่าสงสารที่นางต้องกลายเป็นหญิงคณิกา” ผู้เป็นน้องสาวอดสงสัยมิได้
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้านางอยากเป็นหญิงคณิกาจริงๆ ข้าก็อยากส่งตัวนางไปเป็นหยิงชิ[3] ในกองทัพของรองแม่ทัพหานอี้น่ะ อย่างน้อยการเป็นหยิงชิก็ได้รับการยกย่องมากกว่าหญิงคณิกาในหอคณิกาเล็กๆ แบบนั้น” องค์หญิงชิงชิงอธิบาย พลางส่งสายตาอ้อนวอนให้อวี่เยียน “เจ้าช่วยข้าสักอย่างหนึ่งได้หรือไม่”
องค์หญิงผู้งดงามยิ้ม และเอ่ยอย่างรู้ทัน “เสด็จพี่จะขอให้หม่อมฉันปลอมเป็นบุรุษไปร่วมประมูลและไถ่ตัวนางออกมาจากหอรื่นรมย์ใช่หรือไม่เพคะ”
“เจ้าช่างฉลาดยิ่งนัก” องค์หญิงชิงชิงเอ่ยชม “ข้าอยากช่วยเด็กสาวคนนั้นจริงๆ นะ”
“หม่อมฉันก็อยากช่วยเสด็จพี่นะเพคะ แต่เสด็จพ่อมีรับสั่งให้หม่อมฉันกับรองแม่ทัพหานอี้ไปสืบเรื่องจอมมารซ่งเว่ยเชียนซี ภายในสามวันต้องเข้าเฝ้าเพื่อทูลถวายรายงาน ดังนั้นหม่อมฉันคงไม่สามารถไปร่วมประมูลได้หรอกเพคะ”
“เอ๊ะ! ข้ามีภาพวาดของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีนี่น่า” องค์หญิงชิงชิงนึกขึ้นมาได้ ทว่าองค์หญิงอวี่เยียนกลับไม่เชื่อ
“เป็นไปไม่ได้หรอกเพคะ เท่าที่หม่อมฉันถามขุนนางในวังต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้ใดที่เห็นโฉมหน้าของจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีจะต้องเสียชีวิตภายในสิบราตรี และหลักฐานทุกอย่าง รวมทั้งภาพวาดของเขาก็ถูกทำลายไปพร้อมกัน จึงไม่มีผู้ใดรู้จักหรือเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของจอมมารผู้นั้นเลยสักคน”
“เจ้าพูดมาก็ถูก แต่รองแม่ทัพหานอี้เคยไปสืบประวัติจอมมารซ่งเว่ยเชียนซีที่บ้านตระกูลซ่งในเมืองจินหลิง และได้พบกับพี่ชายของจอมมาร ท่านรองแม่ทัพจึงวาดภาพโดยเอาจุดเด่นของพี่ชายผู้นั้นรวมกับคำบอกเล่าของผู้ที่เคยเห็นบิดาจอมมาร จนวาดโฉมหน้าซ่งเว่ยเชียนซีออกมาได้หนึ่งภาพ ซึ่งภาพนั้นท่านรองแม่ทัพฝากข้าเอามาให้เจ้า” พูดจบองค์หญิงชิงชิงก็ล้วงภาพวาดแผ่นหนึ่งซึ่งพับเก็บไว้ในแขนเสื้อออกมาให้องค์หญิงอวี่เยียน อีกฝ่ายรับมาแล้วคลี่ออกดู
ใจขององค์หญิงอวี่เยียนเต้นระทึกราวกับตีกลองระรัว เพราะบุรุษในภาพวาดช่างรูปงามหล่อเหลายิ่งกว่าบุรุษรูปงามที่องค์หญิงอวี่เยียนเคยประสบพบมาหลายเท่านัก องค์หญิงผู้สิริโฉมถึงกับยกมือขึ้นกุมหน้าอก พลางคิดในใจ
‘นี่เพียงแค่ภาพวาดหัวใจข้ายังเต้นแรงถึงเพียงนี้ หากได้เห็นตัวจริงข้าจะห้ามใจตัวเองมิให้หวั่นไหวได้เยี่ยงไร’
[1] ขุนนางระดับสำคัญในราชสำนัก เทียบเท่าเสนาบดีเจ้ากรมต่างๆ มี 9 ตำแหน่ง โดย 1 ใน 9 คือตำแหน่งต้าซือหนง (大司农) มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเสบียง การเงิน และคลังหลวง
[2] หรือที่เรียกว่า ‘เจ้าชายนิทรา’ หรือ ‘เจ้าหญิงนิทรา’ ซึ่งทางการแพทย์ปัจจุบันเรียกว่า ‘สภาพผัก’ (Vegetative State) เป็นภาวะที่สมองสูญเสียความสามารถในการรับรู้ ความเข้าใจ การตอบสนองต่อสิ่งเร้า
[3] คำว่า ‘หยิงชิ’ แปลตรงตัวได้ว่า ‘โสเภณีในค่ายทหาร’ เป็นหญิงคณิกาที่มีอิสระอย่างเป็นทางการพวกแรกในประวัติศาสตร์จีน มีหน้าที่บำเรอทหารในกองทัพของฮ่องเต้ในขณะเดินทัพระยะไกล หยิงชิได้รับการยกย่องว่ามีบทบาทในการมอบมิตรภาพให้แก่ชายชาติทหาร
ความคิดเห็น |
---|