พิน็อคคิโอ
หญิงสาวตรงหน้ามีเรือนร่างที่น่าหลงใหลชวนสะกดสายตา...
มือหนาเชยคางมนให้หันมาสบตากัน ก่อนจะไล่สายตาเพ่งพิศทุกสัดส่วนบนใบหน้านวลอย่างพิจารณา คิ้วเรียวสวยเข้ากับโครงหน้าหวานละมุน จมูกโด่งเชิดรั้นรับกับริมฝีปากหยักได้รูป ขณะที่ดวงตาที่มองสบกันดูสดใสไร้เดียงสา ทว่าก็แฝงความเย้ายวนอยู่ในที
สวย...
สวยจนไม่อาจละสายตาไปได้เลย...
ผิวแก้มนวลหอมสดชื่นเหมือนกลิ่นกุหลาบยามเช้า แม้จะสัมผัสเธออย่างละมุนละไม ค่อยเป็นค่อยไป แต่พอความหวานล้ำเริ่มแทรกซึมสู่ประสาทสัมผัส ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนจะเสียการควบคุม
อยาก...
อยากรู้จักเธอมากกว่านี้...
มือหนารั้งท้ายทอยของหญิงสาวให้เงยขึ้น บดเบียดริมฝีปากร้อนเข้าหาอย่างล้ำลึกและเร่งเร้า พอเธอเผยอปากตอบสนอง ปลายลิ้นหนาก็ดุนดันเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็ก กวาดชิมความหวานไปทั่วโพรงปากนุ่มอย่างเพลิดเพลิน
จูบเธอลึกขึ้น...
ลึกขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าหญิงสาวดูไม่ประสีประสากับเรื่องนี้
ลิ้นเล็กๆ ตอบรับกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะปรนเปรอเธออย่างมันเขี้ยว
ทั้งสอดปลายลิ้นเข้าไปรัดรึง...ยั่วเย้า
ทั้งขบเม้มปากอิ่มอย่างเร่าร้อน...หิวกระหาย
จูบแนบแน่นราวกับจะสูบวิญญาณเธอให้กลายเป็นของเขา
มือหนาเลื่อนไปปลดตะขอบราเซียร์ออก แววตาสว่างวาบยามเห็นเนินเนื้อขาวอมชมพูที่ชูชันสู้สายตา ผิวเนียนละเอียดชวนให้นึกอยากใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปทั่ว โดยเฉพาะอกอิ่มที่ยังไม่ทันได้ลองสัมผัส ก็มั่นใจว่าจะเต็มไม้เต็มมือและเข้ากันดีกับอุ้งปากของเขา
สวย...
สวยไม่มีที่ติ
ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะแตะปลายลิ้นลงไปบนปลายยอด ไล้เลียเบาๆ ทีละข้างราวกับจะทำความรู้จัก ผิวของเธอหอมละมุนไม่ต่างจากที่จินตนาการไว้ ยิ่งได้กลืนกินก็ยิ่งคลั่งไคล้ ทำให้นึกสงสัยว่าตรง...ส่วนนั้นของเธอจะหวานฉ่ำขนาดไหน
“อ๊ะ...”
ชายหนุ่มละจากการคลอเคลียอกสวยมามองสีหน้าของคนใต้ร่าง ความกังวลที่แฝงอยู่บนใบหน้านวล ทำให้มือหนาลูบเส้นผมนุ่มเบาๆ ราวกับปลอบประโลม
“คุณเกร็ง...”
“ฉัน...”
รอยเอ็นดูปรากฏชัดบนใบหน้าคมคาย แม้จะไม่แน่ใจนัก แต่ชายหนุ่มพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายอ่อนประสบการณ์กับเรื่องนี้ เขาแตะปลายยอดสีทับทิมด้วยข้อนิ้วก่อนจะสะกิดเบาๆ พอเห็นว่าตุ่มไตแต่ละข้างแข็งขึงก็เข้าครอบครองด้วยปาก ทั้งดูดทั้งเลียจนเปียกฉ่ำไปทั้งสองข้าง
“อื้อ...คุณ”
ดูเหมือนว่าเธอจะชอบ...
เสียงหวีดร้องอย่างสุขสมดังก้องไปทั่วห้องนอนที่เงียบสงบ ร่างเล็กแอ่นกายเข้าหากันอย่างเผลอไผล ชายหนุ่มมองสายตาที่วาวโรจน์นั้นอย่างย่ามใจโดยที่ปากและลิ้นก็ยังทำงานไม่หยุด
“อ๊ะ...”
“ชอบให้ทำแบบนี้สินะครับ”
หญิงสาวไม่ตอบ ทว่าดวงตาที่เปิดเปลือยทุกสิ่งบอกชัดว่าเธอพอใจกับการปลุกเร้าของเขา ร่างสูงเคลื่อนใบหน้าไปบดริมฝีปากล่างที่เผยอขึ้นอีกครั้งก่อนจะซอกซอนลิ้นเข้าไปรุกไล่ ขณะที่มือก็บีบเคล้นอกนุ่มไปมาอย่างเพลิดเพลิน
ดี...
ดีเป็นบ้า
ดีจนไม่น่าเชื่อว่าเขากับเธอจะเพิ่งทำเรื่องนี้ด้วยกันครั้งแรก
ตอนที่ได้เห็นหญิงสาวในงานเลี้ยง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกมนตร์สะกดเข้าครอบงำ เท้าทั้งสองข้างก้าวเข้าไปหาเธอพร้อมความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง คนอย่าง ดลธี พฤกษดำรง ไม่เคยต้องเข้าหาใครก่อน เพียงแค่กระดิกนิ้วก็ได้ทุกอย่างตามต้องการ ทว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรกที่ทำให้เขายอมฝืนกฎตัวเองแบบนี้
เพราะอะไรกันนะ
“คุณ...คุณคะ”
“ครับ?”
“ช้า...ช้ากว่านี้ได้ไหม”
หญิงสาวหอบหายใจถี่ระรัว ริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อจากจูบมาราธอนของเขา แม้จะรู้สึกมึนเมาอยู่บ้างเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ดลธีมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้เป็นอันขาด
คืนที่จะได้ ‘รัก’ หญิงสาวที่เหมือนนางฟ้านางสวรรค์
คืนที่ได้ฟังเสียงครางอย่างไพเราะจากผู้หญิงที่ถูกใจตั้งแต่แรกพบ
คืนที่จะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต...
“ช้ากว่านี้หน่อยนะคะ...”
ดลธียิ้มพราย มือหนาปลดตะขอกางเกงโดยที่สายตาก็ยังมองคนที่นอนระทดระทวยตาไม่กะพริบ เขารั้งมือเล็กตรึงไว้เหนือศีรษะ ก่อนจะลดสายตาลงมองอะไรบางอย่างที่กำลังขยับขยายอย่างต่อเนื่อง แล้วส่ายหน้าช้าๆ
ไม่...
ไม่ได้หรอก
ตัวตนของเขารอนานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
“นะคะ...ช้ากว่านี้หน่อยนะ”
ริมฝีปากหยักได้รูปบดคลึงกลีบปากเล็กแทนคำตอบ เขาหลับตาฟังเสียงครางอู้อี้ในลำคอด้วยหัวใจที่สั่นเทิ้มไปด้วยเพลิงปรารถนา ขณะที่มือหนาสัมผัสได้ถึงความฉ่ำเยิ้มที่หลั่งรินออกมาจากกายบาง
ยิ่งเธอหลบหลีก เขายิ่งรุกไล่ พอเธอเคลิบเคลิ้ม เขายิ่งบดขยี้ ทุกการปลุกเร้าของเขาเรียกเสียงครางจากคนใต้ร่างได้ดี
“อื้อ...”
ไพเราะ...
ไพเราะมาก...
เสียงหวานๆ ของเธอดังกังวานราวกับบทเพลงแห่งสรวงสวรรค์
“อ๊ะ...คุณ”
“รู้ไหมว่าคนที่ช้าก็คือผม...”
“คะ?”
ร่างสูงผละมามองแววตาที่สะท้อนไปด้วยไฟพิศวาสอย่างหลงใหล ภาพที่อยู่ตรงหน้างดงามยิ่งกว่าภาพวาดของจิตรกรเอกคนใดในโลก ยิ่งเห็นว่าเรือนร่างอ้อนแอ้นบิดเร่าพลางมองเขาอย่างไม่เข้าใจ รอยยิ้มชั่วร้ายก็ยิ่งฉายชัดบนใบหน้าคมคาย
คนที่เร็วคือเธอต่างหาก...
เธอสุขสมนำหน้าเขาไปก่อนแล้ว
“อดใจรอหน่อยนะครับ...”
ดลธียิ้มชิดผิวแก้มนวล นัยน์ตาสีนิลพราวระยับอย่างพึงใจกับความหอมละมุนที่ยังติดตรึงที่ปลายจมูก ก่อนที่เขาจะเลื่อนริมฝีปากไปกระซิบที่ข้างหูเล็กด้วยเสียงแหบพร่า
“คืนนี้ผมจะสอนคุณทุกอย่างเลย...”
ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง...
ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวในชุดราตรีเข้ารูปสาวเท้าอย่างมาดมั่นตรงไปยังประตูทางเข้าของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ ผิวกายของเธอขาวสว่าง แล้วยิ่งดูเปล่งประกายเมื่ออยู่ในชุดสีกรมท่า แม้จะมีหน้ากากแฟนซีปกปิดใบหน้าส่วนบนเอาไว้ ทว่าก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความงดงามที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นได้เลย
“สวัสดีค่ะ ได้นำการ์ดเชิญมาด้วยไหมคะ”
ร่างบางค้อมหัวน้อยๆ รับคำถามของพนักงานสาวก่อนจะส่งการ์ดในมือให้อีกฝ่าย แล้วจึงเดินตามพนักงานอีกคนเข้าไปด้านใน
“ยินดีต้อนรับสู่โลกนิทานที่คุณคือผู้เขียนบทค่ะ ขอให้สนุกกับงานในวันนี้นะคะ”
แพรวไพลินยิ้มบางให้คนพูด เมื่อพนักงานต้อนรับผละไปแล้ว หญิงสาวก็กวาดสายตาไปรอบๆ ห้องแกรนด์บอลรูมที่ตกแต่งเป็นธีมโลกนิทานอย่างพิจารณา งานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าระดับท็อปสเปนเดอร์ของห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่อย่างดิเอ็มเมอรัล มีแขกที่ได้รับเชิญเพียงยี่สิบคนเท่านั้น แต่ละคนล้วนอยู่ในตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยติดอันดับท็อปเท็นของประเทศ ไม่ก็เป็นบุตรหลานของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง แน่นอนว่าพวกเขามีหน้าที่การงานและฐานะทางสังคมอยู่ในระดับที่ดีมาก
แตกต่างจากเธอโดยสิ้นเชิง...
แพรวไพลินเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่คงไม่มีวันได้รับเชิญให้มางานเลี้ยงแบบนี้ เงินเก็บทั้งชีวิตของเธอรวมกันยังไม่เท่ารายได้ปีหนึ่งของพวกเขาคนใดคนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
และสาเหตุที่เธอปลอมตัวมาที่นี่ ก็เพราะต้องการสืบเรื่องราวบางอย่างจากใครบางคนที่เป็นหนึ่งในแขกของงาน...
คิมหันต์ พฤกษดำรง
นักแสดงหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ลูกชายคนโตของพัลลภและอิษยา พฤกษดำรง คณะกรรมการบริหารของดีพีโกลบอลมีเดีย บริษัทที่ผลิตและจัดจำหน่ายสื่อบันเทิงรูปแบบต่างๆ
ทว่าเป็นเพราะคนที่มาร่วมงานล้วนสวมหน้ากากแฟนซีเพื่อปกปิดใบหน้าของตัวเอง รวมทั้งต้องตั้งชื่อแฝงตามตัวละครในโลกนิทาน แพรวไพลินจึงต้องใช้ความพยายามในการมองหาบุคคลเป้าหมาย โดยที่เธอเองก็เลือกใช้นามแฝงว่าอลิซ เด็กสาวที่หลงเข้าไปอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์และพบกับสิ่งมีชีวิตประหลาดมากมาย
ไม่ต่างจากสถานการณ์ของเธอในตอนนี้เลย...
“เจอผู้ชายคนนั้นหรือยังเจ๊”
พลอยพรรณถามผ่านหูฟัง ขณะที่แพรวไพลินรับแก้วเครื่องดื่มที่บริกรนำมาเสิร์ฟคนในงาน ก่อนจะเดินไปหลบข้างเสาที่แกะสลักเป็นลายดอกกุหลาบ
“ยังเลย ทางแกล่ะ เจอหรือยัง”
“กำลังหาอยู่ แต่ยากมากเลย คนในงานเล่นใส่หน้ากากกันแบบนี้”
“แล้วแฮกเข้าไปดูระบบลงทะเบียนได้ไหม”
“ในระบบไม่มีระบุชื่อจริงแขกเลย มีแต่นามสกุลกับนามแฝง เจ๊จำได้ไหมว่าคิมหันต์นามสกุลอะไร”
“พฤกษดำรง” เธอตอบพลางค้อมหัวทักทายชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีเข็มกลัดชื่อปีเตอร์ แพนติดอยู่ที่ชุดสูท
“เจอแล้ว! นามแฝงของคิมหันต์คือพิน็อคคิโอ!”
“พิน็อคคิโอ?”
“ใช่เจ๊ เจ้ลองเดินหาดูอีกทีนะ เดี๋ยวหนูจะดูภาพจากกล้องวงจรปิดต่อ”
หญิงสาวพึมพำขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะมองไปรอบๆ พอลองนับจำนวนแขกที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของห้างสรรพสินค้าหรือพนักงานของโรงแรมแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะมีสมาชิกที่ไม่อยู่ในห้องนี้ถึงสามคน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคิมหันต์อยู่ในกลุ่มนี้หรือไม่
แพรวไพลินเดินไปนั่งที่บาร์เครื่องดื่มก่อนจะสั่งค็อกเทลแก้วโปรดของตัวเองพร้อมลอบสังเกตพฤติกรรมของแขกที่มาร่วมงานไปด้วย คนส่วนใหญ่กำลังเต้นอย่างสนุกสนานอยู่หน้าเวที และมีอีกไม่น้อยที่กำลังนั่งพูดคุยกันตามมุมมืด
หลังจากที่ศึกษาประวัติส่วนตัวและนิสัยใจคอของคิมหันต์ผ่านบทความ คลิปสัมภาษณ์ รวมทั้งข่าวฉาวต่างๆ ที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ แพรวไพลินสรุปได้ว่าเป้าหมายของเธอเป็นคนหน้าตาดี เขาสูงถึงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร และมีผิวขาวจัดตามแบบฉบับคนไทยเชื้อสายจีน นอกจากนี้ก็ยังเป็นคนพูดเก่ง มีคารมคมคาย จึงมักดึงดูดผู้คนให้เข้าหาอยู่เสมอ
ดูเหมือนนิสัยของคิมหันต์จะเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากทีเดียว
แต่ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่เปลี่ยนไป
เธอเองก็เปลี่ยนแปลงไปมากเหมือนกัน
หญิงสาวทวนลักษณะของนักแสดงหนุ่มในใจ สันนิษฐานว่าชายหนุ่มไม่ได้อยู่รวมกลุ่มกับคนที่กำลังกระโดดโลดเต้นหน้าเวที เพราะพวกเขาไม่ได้มีความสูงและสีผิวตรงตามข้อมูลที่ได้รับ ส่วนที่ยืนสนทนากันตามมุมต่างๆ ก็เดาไม่ได้ว่ามีเจ้าตัวอยู่ในนั้นหรือไม่
ร่างบางเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างใช้ความคิด ตั้งใจว่าถ้าหมดแก้วนี้แล้วจะไปเดินดูรอบๆ เพื่อแอบสังเกตรูปลักษณ์และนามแฝงที่ติดอยู่บนชุดของแขกคนอื่นๆ ทว่าจู่ๆ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น
“ขอคอสโมโพลิแทนให้คุณผู้หญิงท่านนี้อีกแก้วครับ”
แพรวไพลินละสายตาจากเครื่องดื่มตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองคนที่ก้าวมานั่งข้างกัน พอเห็นป้ายชื่อที่ติดอยู่ที่ปกเสื้อของเจ้าตัวด้วยแล้ว ดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างอย่างตกใจ
พิน็อคคิโอ
‘เจอแล้ว! นามแฝงของคิมหันต์คือพิน็อคคิโอ!’
แสดงว่าผู้ชายคนนี้คือ...คิมหันต์ พฤกษดำรงงั้นเหรอ
ร่างบางพยายามข่มความตื่นเต้นไว้ภายในแล้วทำเป็นหมุนแก้วเหล้าทรงสูงในมือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ดูเหมือนวันนี้โชคจะเข้าข้างเธออยู่บ้าง ถึงได้ส่งบุคคลเป้าหมายมาให้ถึงที่แบบนี้
“คุณคงจะชอบดื่มคอสโมโพลิแทน”
“แล้วคุณล่ะคะ ชอบดื่มอะไร” หญิงสาวถามกลับพลางหันไปสบตากับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา ผิวกายของคนตรงหน้าขาวจัด ความสูงก็น่าจะเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ลักษณะใกล้เคียงกับ คิมหันต์ พฤกษดำรง อยู่ไม่น้อย ขณะที่มุมปากของชายหนุ่มยกสูงขึ้น ก่อนที่เขาจะพูดกับบาร์เทนเดอร์โดยไม่ละสายตาจากเธอว่า
“ขอเดอร์ตี มาร์ตินีครับ”
แพรวไพลินหรี่ตามองคนตัวโตอย่างพิจารณา ดูเหมือนชายหนุ่มกำลังประกาศว่าตัวเองคอแข็งกว่าที่เธอคิด เป็นที่รู้กันดีว่าเดอร์ตี มาร์ตินีมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าค็อกเทลประเภทอื่น และคอสโมโพลิแทนของเธอก็ดูเป็นเด็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มของเขา
น่าหมั่นไส้จริงๆ
หญิงสาวละสายตาจากอีกฝ่ายมามองน้ำสีแดงสดที่บริกรหนุ่มเสิร์ฟให้ อมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นกุหลาบแดงที่ประดับมากับแก้ว เธอชอบสไตล์การตกแต่งของบาร์ที่ประดับด้วยภาพวาดดอกไม้หลากหลายชนิด แถมยังมีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่เธอชอบ แม้จะเป็นอินโทรเวิร์ตที่ชอบดื่มเงียบๆ คนเดียวที่บ้านมากกว่าไปสังสรรค์กับคนอื่น แต่บรรยากาศของงานเลี้ยงนี้ก็สร้างความผ่อนคลายให้เธอไม่น้อย
“ไม่ออกไปสนุกเหมือนคนอื่นเหรอครับ”
แพรวไพลินเบือนหน้าไปมองคนถาม แล้วเห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายมองไปยังลานกว้างที่สมาชิกส่วนใหญ่ยังคงเต้นอย่างเมามันกันอยู่ตรงนั้น
“ฉันไม่ชอบความวุ่นวายค่ะ”
“ผมก็เหมือนกัน การต้องมางานแบบนี้ไม่ใช่แนวของผมเลย”
หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เธอรู้มาว่า คิมหันต์ พฤกษดำรง เป็นตัวพ่อเรื่องวงการปาร์ตี เขามีความสุขที่ถูกรายล้อมด้วยผู้คนมากมาย การที่ชายหนุ่มเอ่ยปากว่าไม่ชอบเข้าสังคม ดูจะขัดกับข้อมูลที่เธอมีอยู่ไม่น้อย
หรือเขาจะโกหก เพราะไม่อยากให้เธอรู้ตัวตนที่แท้จริง
“ว่าแต่ทำไมคุณถึงเลือกเป็นอลิซเหรอครับ”
“อลิซเป็นตัวละครที่ฉันชอบค่ะ...” หญิงสาวตอบโดยไม่ละสายตาจากแก้วเครื่องดื่มตรงหน้า “เธอคือเด็กที่เรียนรู้ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พยายามตามหาเส้นทางของตัวเอง รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละครั้ง แม้จะต้องหลงอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่ไม่รู้ว่าจะได้ออกไปเมื่อไหร่ก็ตาม...”
นัยน์ตาสีเข้มมองเสี้ยวหน้านวลของคนเล่าด้วยสายตาที่อ่อนลง น้ำเสียงของอีกฝ่ายอ่อนหวาน นุ่มนวล คล้ายกับเธอกำลังเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กน้อยอย่างเขาฟัง
“ถึงจะไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นยังไง ต้องเจอกับสิ่งมีชีวิตประหลาดอีกมากมายแค่ไหน แต่อลิซก็เลือกที่จะเผชิญหน้าอย่างเข้มแข็ง เพราะเธอเชื่อว่าบนโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้...”
“น่าสนใจดีนะครับ”
“แล้วคุณล่ะคะ ทำไมถึงเป็นพิน็อคคิโอ”
“เพราะผมไม่ใช่เด็กดีละมั้ง” ชายหนุ่มตอบเสียงทุ้มก่อนจะยกแก้วมาร์ตินีขึ้นจิบ
แม้จะมีหน้ากากแฟนซีเป็นปราการขวางกั้น แต่แพรวไพลินก็พอสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายสนุกที่ได้ดื่มกับเธอ ดวงตาของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ ใบหน้าส่วนที่ไม่ได้ปกปิดด้วยหน้ากากแดงซ่านเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
“คงจะยากสักหน่อย ถ้าอยากหาความจริงจากปากผม...”
ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดยิ้มน้อยๆ อย่างนึกหยัน ยิ่งเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของอีกฝ่ายแล้ว ก็ยิ่งอยากรู้ว่าพิน็อคคิโอคนนี้จะเก่งจริงอย่างที่ปากพูดไหม
“ถึงพิน็อคคิโอจะชอบโกหก แล้วยังแอบอ้างเอาของของคนอื่นมาเป็นของตน แต่เขาไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกนะคะ พิน็อคคิโอก็คือเด็กคนหนึ่ง เขาต้องการเวลาในการเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับโลกใบนี้...”
“คุณไม่คิดว่าการโกหกเป็นสิ่งที่ผิดเหรอครับ”
“ฉันคิดว่าทุกอย่างอยู่ที่เจตนาค่ะ” ร่างบางตอบพลางไล้ปลายนิ้วไปตามขอบแก้ว “บางครั้งเราโกหกเพื่อปกป้องคนอื่น บิดเบือนเพื่อไม่ให้ใครเดือดร้อน ปกปิดตัวตนเพื่อพิสูจน์ความจริงบางอย่าง สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร และยอมรับผลของการกระทำนั้นให้ได้...”
“นั่นสินะ...” ชายหนุ่มพูดพลางยื่นแก้วเหล้ามาชนกับเธอ สายตาคล้ายกับกำลังชอบใจอะไรบางอย่าง “ผมไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลย...”
แพรวไพลินดื่มคอสโมโพลิแทนจนหมดแก้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงได้พูดเยอะนัก ทั้งๆ ที่ถ้าไม่ใช่คนสนิท เธอแทบจะไม่ต่อบทสนทนาเลยด้วยซ้ำ แล้วยิ่งตอนนี้อีกฝ่ายเป็นแค่คนแปลกหน้า แถมยังเป็นเป้าหมายในการสืบคดี แล้วทำไมเธอถึงได้คุยกับเขาถูกคอนัก
จริงๆ แล้วการใส่หน้ากาก แท้จริงแล้วก็คือการถอดหน้ากากเองสินะ
เธอถอดหน้ากากของตัวเองออกเพื่อค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวตนของเขา
“ว่าแต่ชอบดอกไม้เหรอครับ ผมเห็นคุณมองดอกไม้ที่ประดับอยู่ทั่วงานเลย ในแก้วนั่นก็ด้วย...”
หญิงสาวชะงักกับความช่างสังเกตของชายหนุ่ม ดูเหมือนทุกการกระทำของเธอจะอยู่ในสายตาของคิมหันต์อยู่ตลอด เธอจะคิดว่าเขาเป็นแค่ผู้ชายกะล่อนจอมเสเพลไม่ได้แล้ว
“รู้ไหมคะว่าดอกไม้แต่ละชนิดล้วนมีความหมายในตัวเอง...”
คู่สนทนาลดแก้วในมือลงพลางขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม ขณะที่ดวงตาคู่สวยมองไปทางภาพวาดดอกไม้ที่ประดับอยู่บนกำแพงด้านหลังของเขาแล้วพูดต่อ
“สแนปดรากอนแสดงถึงความแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว แต่อีกความหมายหนึ่งหมายถึงการหลอกลวงและเสแสร้ง...”
มุมปากของคนฟังยกสูงขึ้น ก่อนที่ดวงตาของหญิงสาวจะเลื่อนไปที่ภาพวาดด้านหลังบาร์เทนเดอร์ แล้วพูดต่อ
“ไฮเดรนเยียคือดอกไม้แห่งความเย็นชาและการปฏิเสธ ต่อให้พยายามมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะกำแพงที่อยู่ในใจนั้นได้อยู่ดี...”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ พลางโคลงแก้วเหล้าในมือด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะถามกลับเสียงนุ่ม
“แล้วคุณคิดว่าผมเหมือนดอกไม้อะไรเหรอ...”
แพรวไพลินจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่แฝงความท้าทายของคนถามนิ่ง ตั้งแต่วินาทีที่ชายหนุ่มนั่งลงข้างกันจนกระทั่งกลายมาเป็นเพื่อนดื่มอย่างในตอนนี้ หญิงสาวก็รู้คำตอบในทันที
โพรเทีย...
ผู้ชายคนนี้เหมือนดอกโพรเทีย
“ว่าไงครับ...”
หญิงสาวไม่ตอบ เธอหันไปขอให้บาร์เทนเดอร์เตรียมเดอร์ตี มาร์ตินีให้อีกสามแก้ว ก่อนจะหันกลับมาถามคนที่นั่งข้างกันด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า
“มาเล่นเกมสิบคำถามกันไหมคะ”
ความคิดเห็น |
---|