12
“แม่ แม่!”
ลลนาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องลั่นของคนบนเตียง หล่อนรีบเปิดไฟ เห็นคัมภันนอนกระสับกระส่าย ผ้าห่มหล่นกองกับพื้น เขาเพ้อถึงผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่หล่อน และคิดว่าคงฝันร้าย
“คุณภัน ตื่นค่ะ คุณ!” ลลนาเขย่าแขนล่ำ เขาดิ้นสู้แรงหล่อนอีกสักพักก่อนจะลืมตาโพลงขึ้นมอง
“คุณรัน”
ตาโตของเขาค่อยๆ หรี่ลงเมื่อผู้หญิงที่นั่งครองหัวใจคือคนที่อยู่ข้างเคียง เขาดีใจที่เป็นลลนา อบอุ่นหัวใจเมื่อมือของหล่อนยังกุมมือเขาไว้แน่น
“คุณคงฝันร้าย นอนต่อเถอะนะคะ”
“ผมฝันถึงแม่ แม่มาหาผม”
คัมภันบอกให้รู้แค่นั้น เพราะเรื่องราวเหมือนจริงเหลือจะเล่าออกไปได้ กลัวลลนามองว่าเขางมงาย แม้ไออุ่นจากสัมผัสของแม่ที่กอดเขา ลูบศีรษะเขา ยังกรุ่นอยู่ในความรู้สึกก็ตาม คัมภันดีใจที่ได้พบแม่ แต่ที่ไม่เข้าใจคือแม่ร้องไห้ และขอร้องให้เขาช่วยในบางเรื่องที่เขายังลังเล
“แม่คงเป็นห่วงคุณ”
ลลนาห่มผ้าให้ คัมภันชอบแววตาห่วงใยที่หล่อนมองมา ในฝันแม่ไม่ได้ห่วงเขาอย่างที่ลลนาคาด แต่ห่วงผู้ชายอีกคนมากกว่า คัมภันไม่ได้น้อยใจเพราะเวลานี้เขามีความรู้สึกของผู้หญิงอีกคนเติมเต็ม
“ไม่คิดว่าคุณรันจะอยู่เฝ้าผม”
“เป็นห่วงคุณน่ะค่ะ”
รู้สึกอย่างไรควรพูดออกไปเช่นนั้น และประโยคสั้นๆ ของลลนาก็เรียกรอยยิ้มของคัมภันได้กว้างทีเดียว เขาคว้ามือหล่อนไปแนบไว้บนอกข้างซ้าย
“ฉันเป็นต้นเหตุให้คุณต้องเป็นแบบนี้ ฉันจะดูแลจนกว่าคุณจะหายดีนะคะ”
“คุณสั่งคนมากระทืบผมเหรอ” คัมภันล้อเล่น เพราะเขาหัวเราะเมื่อลลนาทำหน้าบึ้ง
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ค่ะ คนพวกนั้นเป็นคนของคุณฉัตร”
คัมภันนิ่งไป เพราะสิ่งที่เขาสงสัยกลายเป็นเรื่องจริง บดินทร์ฉัตรคงหึงหวงลลนา และต้องการสั่งสอนเขาให้หลาบจำ
“เขาคงคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะกันผมออกจากคุณได้ แต่เขาคิดผิดครับ ไม่มีใครสั่งให้ผมปล่อยมือจากคุณได้ นอกจากหัวใจของผมเอง”
ลลนาเข้าใจความหมายในประโยคนั้น แม้คัมภันไม่เคยสารภาพออกมาตรงๆ ตาคมคู่นั้นสั่นหัวใจให้เต้นระรัว ฝ่ามือหล่อนยังทาบอยู่ที่อกข้างซ้ายของเขา ก้อนเนื้ออ่อนที่ซ่อนอยู่ภายในยังเต้นแรงจนรู้สึกได้ ลลนาแอบหวังให้หัวใจของเราเต้นคล้องไปในจังหวะเดียวกัน และมันคงจะเป็นเช่นนั้นถ้าหล่อนกล้าก้าวเท้าออกจากกำแพงสูงที่กางกั้นปิดตาย
“พักผ่อนเถอะนะคะ”
หญิงสาวยิ้มปลอบหน้าเจื่อนของคัมภันยามปลดมือตัวเองให้เป็นอิสระ หล่อนซาบซึ้งกับทุกความรู้สึกที่เขามอบให้ แต่เผื่อใจเอาไว้บ้างก็คงจะดี ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เข้าใจว่า ถ้ากลัวความผิดหวัง จงอย่าตั้งความหวังกับสิ่งใด
เลศยาตื่นเต้น กุลีกุจอช่วยพัทนีจัดห้องให้คัมภัน ลลนาโทร. มารายงานแต่เช้าว่าอาการของคัมภันดีขึ้น และหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ หลานสาวยังกลัวว่าบดินทร์ฉัตรจะส่งคนมาทำร้ายคัมภันซ้ำสอง จึงปรึกษากับพัทนีและลงความเห็นพ้องกันว่าควรให้เขาพักรักษาตัวอยู่ใกล้หูใกล้ตา
“น้องไลท์นอนกับลุงภันด้วยได้ไหมคะ”
“ไม่อยากนอนกับแม่รันแล้วเหรอ”
พัทนีเอียงหน้าถามหลานตัวน้อยที่พยายามยัดหมอนใบโตลงปลอกสีหวาน
“นอนด้วยกันสามคนเลยค่ะ”
“ไม่ใช่พ่อแม่ลูก จะนอนด้วยกันได้ยังไงจ๊ะ”
“ให้ลุงภันเป็นพ่อน้องไลท์ไม่ได้เหรอคะ”
พัทนีอึ้งเมื่อได้ยินเสียงเศร้าของเด็กสี่ขวบ วันนี้บดินทร์ฉัตรแวะมาหาลูกอีกครั้ง แต่เลศยายังแอบเงียบอยู่บนห้องไม่ยอมแม้แต่รับโทรศัพท์ หนูน้อยปฏิเสธผู้เป็นพ่อ แต่กลับวาดหวังให้ผู้ชายอีกคนรับตำแหน่งนั้นแทน
“ยายพัดว่าต้องถามแม่รันดูนะ ว่าแม่รันจะอนุญาตรึเปล่า”
เพราะตาใสยังจ้องมาอย่างรอคอย พัทนีจึงโบ้ยให้เป็นหน้าที่ของลลนาเสีย
“ลุงภันเป็นคนดี น้องไลท์อยากให้พ่อน้องไลท์เป็นคนดี แต่พ่อเป็นคนไม่ดีใช่ไหมคะ”
พัทนีมองเห็นบาดแผลใหญ่ในหัวใจของเลศยา เหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้จางไปไหน มันยังแผ่ปกคลุมสร้างความผิดหวังเสียใจ สุดท้ายก็กลายเป็นความหวาดกลัว
“หนูคิดว่าพ่อเป็นคนไม่ดี ก็เลยไม่อยากเจอพ่อใช่ไหม”
“คุณพ่อทำให้แม่รันร้องไห้ น้องไลท์ไม่อยากให้แม่รันร้องไห้”
บดินทร์ฉัตรอาจไม่ใช่ผู้ชายที่ดีนัก แต่ในความไม่ดีของเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะลลนา ถ้าหลานสาวไม่เคยทำเรื่องแย่ๆ ไว้กับเขาก่อน เขาคงไม่เป็นเช่นทุกวันนี้
“แม่รันไม่ชอบให้หนูกินอมยิ้ม แต่หนูยังแอบกินจนฟันผุ หนูทำผิด แบบนี้หนูก็เป็นเด็กไม่ดี ไม่น่าคบ ใช่ไหมจ๊ะ”
เลศยาไม่ตอบ แต่ก้มหน้าหลบตา พัทนีจึงโอบไหล่รั้งให้ขึ้นมานั่งบนตักของตน
“คนเราทุกคนก็เคยทำผิดด้วยกันทั้งนั้น คนไม่ดีคือคนที่ชอบทำความผิดซ้ำๆ และไม่เคยทำความดีเลย พ่อของน้องไลท์เป็นคนธรรมดาที่เคยทำผิดและทำดี ยายพัดไม่อยากให้หนูมองพ่อเป็นคนไม่ดีนะจ๊ะ”
เลศยาคงเข้าใจบ้างแล้วเพราะเงยหน้าขึ้นมามอง พัทนีไม่ต้องการให้หลานสร้างบาปต่อผู้ให้กำเนิด เพราะอย่างน้อย บดินทร์ฉัตรก็มีความเป็นพ่อมากกว่าผู้ชายบางคนที่ไม่เคยแม้แต่จะแยแสลูกในไส้
“ถ้าคุณพ่อมาหา น้องไลท์จะลงไปหาคุณพ่อค่ะ”
พัทนีลูบศีรษะทุยของหลานรัก เด็กทุกคนเปรียบดังผ้าขาวสะอาดสะอ้าน สีจะสวยหรือกระดำกระด่างนั้น ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่เติมแต่ง สายสัมพันธ์ระหว่างบดินทร์ฉัตรกับลลนาไม่อาจสานต่อกันได้ แต่สายใยระหว่างพ่อลูกไม่ควรขาดสะบั้น ถ้าวางหมากชีวิตใครได้ตามใจหวัง พัทนีอยากให้เรื่องยุ่งๆ ของลลนามีทางออกที่สวยงาม ไม่จำเป็นต้องลงเอยกันตามสูตรสำเร็จดั่งในนิยาย ขอเพียงเข้าใจกัน อภัยให้กัน และมีชีวิตที่ปกติสุขได้บนหนทางของแต่ละคน
ลลนากำลังวุ่นกับการจัดเตรียมมื้อเช้าสำหรับคนป่วยและลูกสาว คัมภันคงตื่นแล้ว และเลศยาอยู่ช่วยเขาเลือกชุด ลูกสาวดูมีความสุขขึ้นนับแต่คัมภันเข้ามาอยู่ในบ้าน พยาบาลตัวน้อยช่วยดูแลคนไข้ไม่ห่าง จึงไม่แปลกนักถ้าอาการของคัมภันจะดีวันดีคืน
“ให้ผมช่วยไหมครับ”
เสียงทุ้มคุ้นเคยดังอยู่ด้านหลัง ลลนาตกใจจนเกือบพลั้งปล่อยจานในมือ ดีที่คัมภันคว้าไว้ได้และช่วยหล่อนถือจานใบนั้นไว้แทน
“ไข่ดาวสุกๆ ของคุณค่ะ หิวรึยังคะ ฉันจะได้ตั้งโต๊ะให้”
ลลนาตักไข่ดาวจากกระทะมาวางลงบนจานที่คัมภันถือเอาไว้ คนป่วยอมยิ้มตาพราว ไม่เพียงแค่ไข่ดาวสุกเท่านั้น กาแฟดำที่หล่อนกำลังชงก็ใส่น้ำตาลแค่สองช้อนพูน คัมภันบอกเพียงครั้งเดียว แต่ลลนากลับจำมันได้ขึ้นใจ
“ผมโชคดีจัง ตื่นมาก็มีคนเตรียมมื้อเช้าให้ แถมยังรู้ใจเสียด้วย”
“คุณได้รับสิทธิพิเศษ เพราะคุณคือคนป่วยค่ะ”
ลลนาสอดขนมปังลงในเครื่องปิ้ง แล้วหันไปตักโจ๊กหมูในหม้อใส่ชาม ถ้วยเล็กๆ นั่นของเลศยา ซึ่งลลนาตัดแผ่นสาหร่ายโรยให้เป็นพิเศษ
“วันนี้มีเนยถั่วกับแยมส้ม คุณผู้ชายจะรับอะไรดีคะ เดี๋ยวแจ๋วเตรียมให้”
คัมภันหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของสาวใช้จำเป็น ถึงหน้าจะเริ่มมัน ผมลอนยาวจะเริ่มยุ่ง เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่สวมใส่จะดูเก่า แต่ความสวยของลลนายังกระจ่างตรึงหัวใจ ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่ใจของหล่อนช่างสวยเหลือเกิน ไม่เหมือนอดีตภรรยาของเขา ที่ไม่เคยแยแสสิ่งใดเหนือไปกว่าทรัพย์สินเงินทอง
ไรยา ผู้หญิงที่สร้างรอยแผลลึกในหัวใจคัมภัน เขายังเจ็บทุกครั้งเมื่อหน้าสวยของหล่อนลอยเด่นขึ้นมาเย้ยหยัน ผิดเองที่หัวใจรักหล่อนมากเหลือเกิน วันที่ถูกตัดสัมพันธ์ ชีวิตเขาจึงแทบไม่เหลืออะไรเลย
“ถ้าคุณรันเป็นสาวใช้ คงเป็นสาวใช้ที่สวยที่สุดครับ”
ลลนากับลูกทำให้การมีชีวิตอยู่บนโลกเดียวดายนี้มีความหมาย อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าเขาจะใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดนี้เพื่อใคร
“แหม่ ปากหวานแต่เช้าเชียวนะพ่อภัน”
ประโยคหวานเลี่ยนของคัมภัน พัทนีเข้ามาทันได้ยิน ตามมาติดๆ ด้วยเด็กหญิงเลศยา ที่ร้องหาขนมปังปิ้งทาแยมส้ม ห้องครัวที่กำลังจะกลายเป็นสีชมพูกลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว ลลนากับคัมภันช่วยกันยกโจ๊กมาเสิร์ฟให้ทุกคน ตามด้วยน้ำส้มคั้นของพัทนีและน้ำเปล่าของลลนา นมสดรสหวานและขนมปังปิ้งของเลศยา ปิดท้ายด้วยกาแฟดำและไข่ดาวสุกของคัมภัน
ช่วงนี้บ้านมีสีสันเพราะสมาชิกใหม่ขยันแต่งเติม ส่วนผู้ชายร้ายกาจคงหายไปอีกสักพัก บดินทร์ฉัตรโทร. บอกเลศยาว่าเขามีงานต้องทำ แต่ลลนากลัวเหลือเกินว่างานของเขาคือการวางแผนร้ายเล่นงานใครสักคน
นับเป็นคืนที่สาม คัมภันยังฝันซ้ำเรื่องเดิมๆ แม่มาหาเขา กอดเขา ลูบศีรษะเขา และบอกเขาด้วยประโยคที่จำได้ขึ้นใจ
‘กลับไปช่วยพ่อนะลูก’
คัมภันลืมตาโพลงในความมืด เหงื่อแตกจนชื้นไปทั้งแผ่นหลัง ที่ปลายเตียงแม่ไม่ได้นั่งอยู่อย่างในฝัน เห็นเพียงพัดลมตัวใหญ่ที่ยังหมุนตามหน้าที่ของมันเรื่อยไป ตาไม่อาจข่มให้หลับลงได้อีกแล้วเพราะความสงสัยมันพล่านอยู่ในสมอง แม่ต้องการให้เขากลับไปยังที่ที่เคยจากมาอย่างนั้นหรือ
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”
คัมภันหมายถึงคนที่แม่ต้องการให้กลับไปช่วยเหลือ ตามคำโบราณว่าเอาไว้ ฝันใกล้รุ่งมักบอกเหตุการณ์ร้ายดี แม่ร้องไห้มาหาเขาเช่นนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
คัมภันตัดสินใจโทร. หาทรงพลในวันรุ่งขึ้น ถ้าเป็นไปอย่างที่คิดไว้จริง คืนนี้แม่ไม่มาหาเขาอีกแน่
“ใช่ครับ ผมเอง ไม่ได้ฝันไปหรอกครับ”
ทรงพลถามซ้ำเพราะคาดไม่ถึง เกือบห้าปีแล้วที่เขาตัดขาดจากอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก
“คุณปองภพพูดถึงคุณชเยศทุกวันเลยครับ ท่านคงดีใจมากถ้ารู้ว่าคุณติดต่อกลับมา”
ชเยศซ่อนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ใต้ชื่อคัมภัน ชาวประมงที่มีชีวิตสมถะอยู่กับท้องฟ้า ท้องทะเล นอกจากพ่อแม่และทรงพล ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือบุตรชายเพียงคนเดียวของ ปองภพ ไพศาลสกุล เจ้าของธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแปรรูปในนามบริษัท สยามซีฟู้ด จำกัด (มหาชน)
“ท่านสบายดีรึเปล่าครับ”
ไม่มีสักครั้งที่ชเยศจะเรียกปองภพว่า ‘พ่อ’ ได้อย่างเต็มปาก มิใช่โกรธหรือเกลียด แต่แม่เพิ่งบอกให้รู้ก่อนสิ้นใจด้วยโรคมะเร็งลำไส้ไม่นานว่าพ่อของเขาคือใคร ชเยศเติบโตและผูกพันกับแม่มาตั้งแต่เด็ก สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามลำพังในบ้านเช่าหลังเก่าๆ ที่ตัวเมืองเชียงใหม่ มิได้อยู่สุขสบายในบ้านหลังโต
“อาการท่านไม่ค่อยดีครับ”
หลังจากประโยคนั้น ทรงพลก็บอกเล่าทุกเรื่องราวที่เขาควรรู้ อาการป่วยของปองภพแย่ลงกว่าเดิม เพราะไม่ใส่ใจจะดูแลร่างกาย ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องควบคุมทั้งอาหารและการออกกำลังกาย เมื่อปองภพทำไม่ได้ ต่อให้ยาดีหรือหมอเก่งดุจเทวดา เขาก็ไม่มีวันหาย ยิ่งอายุมาก โรคยิ่งรุมเร้า ร่างกายก็มีแต่ทรุดลงไปเท่านั้น
“ท่านอยากให้คุณกลับมาช่วยนะครับ ตอนนี้บริษัทกำลังประสบปัญหาหลายเรื่อง คุณปรมะเองก็ยักยอกเงินบริษัทหลายครั้ง กำลังใจของท่านกำลังแย่ ท่านคิดถึงคุณชเยศมากนะครับ”
ชเยศเงียบไปเพราะตัดสินใจไม่ได้ เขาเคยช่วยงานปองภพมาก่อน แต่ช่วยในฐานะพนักงานบริษัทคนหนึ่ง หน้าที่ของเขาคือออกแบบและพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูป ระบบ ERP สำหรับจัดการทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวมเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงาน ซึ่งเชื่อมโยงระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ทั้งงานวางแผน งานผลิต งานขาย งานทรัพยากรมนุษย์ การเงินการบัญชี และการจัดการคลังสินค้า
ชเยศกับทีมพัฒนาลุยงานกันหนักในระยะแรกเริ่ม เพื่อยุบระบบเอกสารที่ค่อนข้างยุ่งยากในการจัดเก็บและสืบค้น เปลี่ยนเป็นจัดการข้อมูลด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ผ่านโปรแกรมสำเร็จรูปที่สร้างขึ้นเฉพาะสำหรับการใช้งานที่เป็นระบบระเบียบ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร
โปรแกรมที่ชเยศกับทีมงานช่วยกันพัฒนายังใช้งานได้ดีจนบัดนี้ และระบบจัดเก็บ Log File ที่เขาซ่อนเอาไว้ในการทำงานเบื้องหลังของโปรแกรมจะบันทึกข้อมูลสำคัญเอาไว้อย่างมหาศาล และอาจรวมไปถึงข้อมูลการทุจริตที่ปรมะทำไว้ ซึ่งในส่วนของ Log File นี้ ชเยศกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ข้อมูลในส่วนนั้นจริง เขาคงต้องกลับไปที่นั่นอีกครั้ง
“ผมขอคิดดูก่อนแล้วกันครับ”
ชเยศบอกทรงพลแค่นั้นแล้วรีบวางสาย เพราะนอกห้องคือเสียงร้องเรียกแจ้วๆ ของเลศยา
“ลุงภันคะ เปิดประตูให้น้องไลท์หน่อยค่ะ”
ชเยศรีบซ่อนโทรศัพท์เอาไว้แล้วเปิดประตูให้หนูน้อยโผเข้ามากอดขา เงยหน้าจิ้มลิ้มขึ้นบอกว่าแม่รันเตรียมอาหารเช้าไว้ที่โต๊ะอาหารแล้ว
“ดีจังค่ะ ลุงภันหิวจะแย่”
อยู่ที่นี่เขาคือคัมภัน คือลุงภันของเลศยา เขาหลงรักชีวิตสมถะของคัมภัน และมีความสุขมากกว่าชีวิตวุ่นวายของผู้ชายที่ชื่อชเยศ เช่นนั้นแล้วเขาควรละทิ้งชีวิตแสนสุขของคัมภันอย่างนั้นหรือ
ทรงพลวางสายจากชเยศแล้วรีบร้อนเข้าไปรายงานให้ปองภพทราบถึงข่าวดี จนปิดประตูห้องไม่สนิทเหมือนทุกครั้ง น้ำเสียงตื่นเต้นยินดีดึงความใคร่รู้ของปรมะที่ตั้งใจมาพบพ่อให้หยุดเท้าและหยุดมือที่กำลังจะยกขึ้นเคาะประตู เขาเงี่ยหูสอดรู้ฟังแทน และช็อกเมื่อได้ยินบทสนทนาของคนด้านใน
ความจริงที่พ่อปิดซ่อนเอาไว้นมนาน พนักงานกระจอกที่เคยทำงานให้บริษัทเมื่อหลายปีก่อน คือลูกชายอีกคนที่ปองภพตั้งใจจะให้สานต่อกิจการและครองตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ในสายตาพ่อไม่เคยมีเขาอยู่เลย เพราะวางตัวแทนเอาไว้แล้วอย่างนี้ ปองภพจึงไม่ยอมลงจากตำแหน่งเสียที ทั้งที่สุขภาพร่างกายก็กระเสาะกระแสะด้วยโรครุมเร้า
“ไอ้ชเยศ!”
ปรมะไม่สนอีกแล้วว่าปองภพจะพร่ำเพ้อถึงลูกชายสุดที่รักอย่างไรบ้าง เขาเดินลงส้นหนักย้อนกลับมาที่ห้องนอนของอรณี ผลักประตูสวนทันทีเมื่อแม่หมุนลูกบิดปลดล็อกจากด้านใน
“อะไรกันตาเปรม ฉุนเฉียวแบบนี้เกิดอะไรขึ้นอีก”
หญิงวัยใกล้หกสิบแต่ผิวหน้ายังตึงเต่งเพราะรักการศัลยกรรมเดินมานั่งข้างลูกชายที่นิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจมาแต่เล็ก แม้วันนี้ปรมะจะเติบโตเข้าวัยสามสิบสามปี และมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายการตลาดที่ปองภพแต่งตั้งให้เมื่อสองปีก่อน แต่นิสัยบางอย่างของเขาไม่ได้หายไปไหน คงเพราะการเลี้ยงดูที่ปลูกฝังกันมา อรณีรักและตามใจลูกเกินกว่าจะสนปัญหาเล็กน้อยนั่น ปรมะสืบทอดเชื้อสายเจ้าของบริษัทใหญ่โต สิ้นปองภพเมื่อใด หล่อนกับลูกจะสุขสบายเมื่อนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะสอนให้เขาใฝ่สูงและอยากมีอยากได้อยู่เสมอ
“พ่อมีลูกชายอีกคน แม่รู้เรื่องนี้รึเปล่า”
อรณีผงะ มิใช่เพราะตาแข็งของปรมะจับจ้อง หล่อนนิ่งอึ้งไป กระทั่งปรมะตวาดเร่งเร้าขอคำตอบ
“แค่เคยมี แต่พวกมันตายไปแล้ว ใครกันขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”
อรณีมั่นใจว่าคนของตนทำงานไม่พลาด รถของชมนาดเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำลงเหวระหว่างเดินทางไปเชียงใหม่ ป่านนี้คงเป็นผีตายทั้งกลมเฝ้าป่าแถวนั้น แต่ที่น่าตกตะลึงคือไม่มีใครรู้ว่าชมนาดตั้งครรภ์กับปองภพ เรื่องลูกชายอีกคนที่ปรมะพูดถึงนั่นคืออะไร
“ไอ้ชเยศไงแม่! มันเคยทำงานที่บริษัทเมื่อหลายปีก่อน มันคือลูกของพ่อ พ่อปิดเรา ปิดทุกคน และตอนนี้ก็เตรียมจะยกตำแหน่งประธานบริษัทให้มัน”
“ไม่จริง” เสียงอรณีแผ่วเบา เชื่อไม่ลงว่าเสี้ยนหนามเสี้ยนหัวใจหล่อนยังมีชีวิตอยู่
“ผมได้ยินมาเต็มสองหู พ่อคุยกับทรงพลเรื่องกล่อมมันมารับตำแหน่ง พ่อทำแบบนี้กับผมได้ยังไงแม่ ผมก็ลูกพ่อ แต่ทำไมพ่อถึงไม่เคยรักผมเลย”
อรณีร้าวลึกในทรวงกับสิ่งที่รับรู้ตลอดมา หล่อนกอดลูกชายเอาไว้แล้วลูบศีรษะเขาเบาๆ ปรมะต้องเสียน้ำตาทุกครั้งกับเรื่องของพ่อ เพราะเข้าใจมาโดยตลอดว่าพ่อไม่รัก ความผูกพันระหว่างพ่อลูกนั้นแสนเปราะบาง ปองภพเคยบอกหล่อนว่าเขาฝืนความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เขาไม่เคยรักหล่อนเลย แล้วจะรักลูกของหล่อนได้อย่างไร
ย้อนไปในวันที่อรณีรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ ปองภพปฏิเสธหัวชนฝาว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกตน แม้เราจะเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่ระยะเวลามันสั้นกว่าอายุครรภ์สิบเอ็ดสัปดาห์ อรณีรู้แต่แสร้งลืมไปว่าปรมะคือลูกของใคร หล่อนอยากให้ลูกมีชีวิตที่สุขสบายบนกองสมบัติของตระกูลไพศาลสกุล ไม่ใช่ผู้ชายไร้หัวนอนปลายเท้าที่เจอกันไม่กี่ครั้งในผับในบาร์
ปองภพไม่เคยสนใจในตัวอรณี เขารักชมนาด แม่ค้าขายขนมหวานในซอยข้างบริษัทของตัวเอง คบหาดูใจกันถึงขั้นลึกซึ้ง เพิ่มความริษยาให้อรณีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่สองตระกูลมีสัญญาพันผูก และปองภพคือคู่หมั้นคู่หมายของอรณีมาตั้งแต่เด็ก หล่อนเชื่อว่าความสวย ความรู้ และความสามารถของหล่อนกินขาดชมนาด ไยปองภพไม่เคยชายตาแล กว่าหล่อนจะได้ครอบครองเรือนกายของเขาก็ต้องเหนื่อยงัดสารพัดมารยา ทั้งเล่ห์ทั้งกล ต่างกับชมนาด เพียงแค่ชม้ายชายตาปองภพก็หลงเสน่ห์อย่างหัวปักหัวปำ
อรณีไม่อาจทนรับความพ่ายแพ้ หล่อนไม่มีวันยอมให้ชมนาดชุบมือเปิบในสิ่งที่ไม่ควรได้ ไม่ว่าจะทรัพย์สมบัติของตระกูลไพศาลสกุล รวมไปถึงร่างกายและหัวใจของปองภพ แม้เขาจะไม่เคยรักหล่อนเลยนับแต่บัดนั้นจนบัดนี้ แต่ด้วยพันธสัญญาของพ่อแม่ทำให้ปองภพหลีกหนีไปไม่ได้ เขาต้องทนอยู่กับหล่อนและลูกที่ไม่ใช่สายเลือดของเขาไปตราบชั่วชีวิต
“ไม่ต้องห่วงนะ แม่ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งของที่เป็นของเราเด็ดขาด”
อรณีมิได้ชะล่าใจ แต่ต้องใช้เวลาเพื่อสืบหาความจริงเรื่องสายเลือดเพียงคนเดียวของปองภพ ถ้าพวกมันยังดวงแข็งหลงเหลือชีวิตรอด ก็อย่าได้หวังกลับมาเชิดหน้าชูตาในชีวิตของหล่อนและลูกได้
ความคิดเห็น |
---|