ซูอี่อันแอบหลบอยู่ที่ปากซอยแต่โผล่ลำตัวออกไปครึ่งหนึ่ง สายตามองจ้องไปยังสุดปลายถนนเส้นนั้นตลอดเวลา เธอนับเลขอยู่ในใจ เฝ้ารอให้ใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
“ระวังจะหน้าทิ่มออกไป” เสียงเฉื่อยเนือยของผู้ชายเอ่ยเตือนขึ้นมาข้างๆ
ซูอี่อันหันไปถลึงตาใส่ทีหนึ่งบอกเป็นนัยให้เขาเงียบเข้าไว้ ความจริงใบหน้าเธอควรจะดูดุกว่านี้ แต่เพราะเธอเกิดมามีใบหน้าหวานเกินไป จึงทำให้มองแล้วคล้ายลูกแมวน้อยที่ถูกยั่วเย้าจนอารมณ์เสียและกำลังแยกเขี้ยวกางเล็บมากกว่า ไม่ได้ดูน่ากลัวแม้แต่น้อย ถลึงตาเสร็จก็รีบกลับไปเกาะกำแพงเฝ้าสังเกตการณ์ต่อ
ฉู่เพ่ยกอดอกและยืนพิงกำแพง หลุบตามองศีรษะเล็กๆ นั่น หางม้าที่รวบอยู่ตรงท้ายทอยดำขลับกำลังกวัดแกว่งไปมาอยู่ตรงลำคอตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเธอ ทำให้เขารู้สึกคันมืออยากจะดึงเล่นแรงๆ สักทีหนึ่ง หรือไม่ก็ผลักคนที่ทำลับๆ ล่อๆ อยู่นี้ให้ล้มหน้าทิ่มลงไปกับพื้นเสียเลยก็ไม่เลว
แน่นอน...ถ้าเขาทำลงละก็นะ
เห็นสีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยการเฝ้าคอยของเด็กสาวผู้นี้แล้วเขาก็คิดในใจ อีกครู่...ถ้าเธอเห็นภาพที่เกิดขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร
แล้วเขาก็พบว่าตัวเองถึงกับตั้งตารอดูท่าทีของเธอ ไม่ดีเอาเสียเลย คิดแบบนี้ชั่วร้ายเกินไปแล้ว แต่ใครใช้ให้ตั้งแต่ก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ สายตาของเธอแย่ถึงเพียงนั้นเล่า คิดมาถึงตรงนี้มุมปากของเขาก็หยักยกขึ้นมาอย่างเยาะหยัน สีหน้าของชายหนุ่มมีประกายเหยียดหยาม
ซูอี่อันไม่มีแก่ใจจะมาใส่ใจคนที่อยู่ข้างกายว่ามีสีหน้าท่าทีแบบไหน อย่างไรเสีย ตั้งแต่เล็กจนโตเธอก็ไม่เคยเข้าใจว่าฉู่เพ่ยคิดอะไร เวลานี้ในหัวใจของเธอ ในสายตาของเธอเต็มไปด้วยการเฝ้าคอยให้คังอวิ๋นซือปรากฏตัวขึ้นมาเร็วๆ
วันนี้เธอวางแผนจะมาสารภาพความในใจกับเขา ตั้งแต่เริ่มเรียนมัธยมปลาย เธอก็แอบหลงรักคังอวิ๋นซือมาตลอด เพื่อเขาแล้วเธอถึงกับเลือกสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ไทเป เพื่อจะได้เรียนที่เดียวกับเขา มาถึงวันนี้ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด เธอไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบอกให้คังอวิ๋นซือรู้ว่าเธอชอบเขาให้ได้ แม้ฉู่เพ่ยจะขมวดคิ้วและปรามอย่างไม่เห็นด้วยตลอดก็ตาม แต่เธอไม่สนใจหรอกว่าฉู่เพ่ยจะคิดอย่างไร
ถนนสายนี้เป็นเส้นทางที่คังอวิ๋นซือจะต้องเดินผ่านทุกวันยามกลับบ้าน เธอแค่รออยู่ที่นี่ ต้องได้เจอเขาอย่างแน่นอน ซูอี่อันเอาแต่มองนาฬิกาข้อมือ แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาดหมาย หลังจากนั้นเพียงสองนาทีก็เห็นคนที่เธอตั้งตารอปรากฏตัวขึ้น
คังอวิ๋นซืออายุยี่สิบ เป็นคนดังในรั้วมหาวิทยาลัย คล้ายเจ้าชายขี่ม้าขาวอะไรทำนองนั้น เขาเป็นคนที่เธอแอบหลงรักมาสามปี แล้วก็ไม่ต่างจากทุกครั้ง เพียงแค่เห็นเงาของเขาปรากฏขึ้น เธอก็จะหน้าแดงทันที
เด็กสาวหลับตาเรียกกำลังใจให้ตัวเอง รอให้เขาเดินเข้ามาใกล้ แล้วเธอก็จะพุ่งออกไปสารภาพความในใจ
แต่วินาทีถัดมาพอลืมตาขึ้น เธอก็ต้องตะลึงงันอยู่กับที่ เพราะเธอเห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาทางด้านหลังคังอวิ๋นซือแล้วก็ตรงเข้ากอดเขา คังอวิ๋นซือเองก็โอบกอดหญิงสาวคนนั้นไว้ในอ้อมแขน นี่มัน...
ซูอี่อันตาแดงขึ้นทันที มือที่เกาะกำแพงอยู่กำเข้าหากันแน่น พอเธอเห็นสองคนนั้นจูบกัน น้ำตาของเธอก็ร่วงเผาะลงมา
“ไม่ต้องร้องไห้แล้ว” น้ำเสียงเย็นชาของชายหนุ่มข้างกายดังขึ้นมาอีกครั้ง เขาจับตัวเธอให้หันกลับมา
เธอเสียใจมาก เมื่อมองใบหน้าคุ้นเคยตรงหน้า ความเจ็บปวดรวดร้าวใจก็พลันปรากฏชัดขึ้น ซูอี่อันร้องไห้จนหัวไหล่สั่นสะท้าน โถมตัวเข้าไปในอ้อมอกของฉู่เพ่ย
เห็นเธอร้องไห้หนักเช่นนี้ ฉู่เพ่ยก็ค่อยๆ ชำเลืองมองไปทางชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ทั้งคู่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม ดวงตาของเขามีประกายคมกริบพาดผ่านจางๆ พลางยกมือขึ้นมาโอบกอดซูอี่อันด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน
ไออุ่นจากกายที่คุ้นเคย กลิ่นอายที่คุ้นเคยนี้ ทำให้ความรู้สึกเสียใจของซูอี่อันแผ่ขยายออกไปจนไร้ขอบเขต ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่น้อยอกน้อยใจเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม คนแรกที่เธอไปหาคือฉู่เพ่ย แต่ก็แปลกที่ทุกครั้งหลังจากโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ความเสียใจที่เห็นอยู่ว่ามีเพียงสามส่วนกลับเพิ่มขึ้นเป็นสิบส่วนทันที แต่เธอก็รู้สึกว่าอ้อมกอดของเขาเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลก
เธอกอดเอวเขาไว้แน่น ซุกหน้าลงกับอกของเขาแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความขมขื่นใจ เธอตั้งใจจะมาสารภาพความในใจ ทว่าตอนนี้...
“ฮือๆๆ ฉู่เพ่ย ทำยังไงดี คังอวิ๋นซือมีคนรักแล้ว ฮือๆๆ” คำพูดประโยคเดียวนี้พูดไปก็สะอึกสะอื้นไป จึงฟังไม่ปะติดปะต่อ
ริมฝีปากของเขาค่อยๆ หยักยกขึ้นเป็นรูปโค้ง แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนละมุนละไมเอาอกเอาใจอย่างที่สุด “ในเมื่อเขามีคนรักแล้วก็ปล่อยเขาไปเถอะ”
“ฮือๆๆ แต่ฉัน...ฉันอยากคบกับเขา ฉันอยากมีความรักนี่นา” เธอชอบคังอวิ๋นซือมาสามปีเต็มๆ เพื่อเขาแล้ว เธอถึงกับตั้งใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไทเป แต่ก็พบว่าเขามีคนรักแล้ว เห็นอยู่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังไม่มีใคร เพราะอะไรถึงหาคนรักได้เร็วเช่นนี้
“อยากมีความรัก จะไปยากอะไร” ฉู่เพ่ยแตะปลายคางเธอขึ้นมา ช่วยเช็ดน้ำตาให้ “ฉันช่วยเธอได้”
“ช่วยยังไง” เธอลืมตาที่กลมโตดำขลับขึ้น ในดวงตายังคงวาววับไปด้วยหยาดน้ำตา ดูแล้วทั้งใสซื่อทั้งน่ารัก
“คบกับฉันสิ...อี่อัน”
เสียงสะอึกสะอื้นพลันชะงักค้างอยู่ในลำคอ เธอตกใจจนพูดอะไรไม่ออก “ฉู่เพ่ย เธอจะคบกับฉันจริงหรือ?”
สายลมบางเบาในช่วงเช้าของฤดูใบไม้ผลินำพากลิ่นอายความอบอุ่นมาด้วย สายลมโลมไล้ดอกไม้แรกผลิบนยอดไม้อย่างอ่อนโยนละมุนละไม คำพูดแผ่วเบาประโยคนั้นคล้ายพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก ดุจเดียวกับสายลมที่พัดเอื่อยเฉื่อยเข้าไปในหูของชายหนุ่ม เขาคล้ายไม่ได้ยิน ยังคงค่อยๆ ปรับเลนส์กล้องถ่ายรูปสีดำในมือต่อไป เสียงกดชัตเตอร์ดังกังวานขึ้น ผึ้งที่พักเท้าอยู่กลางเกสรดอกไม้ตัวนั้นถูกเก็บภาพไว้โดยสมบูรณ์ เขาหยัดตัวแล้วเงยหน้าขึ้น เห็นเด็กสาวยืนอยู่ไม่ไกล
ต้นไม้เขียวชอุ่ม ต้นหญ้าเขียวขจี แต่ที่ชวนมองยิ่งกว่าทิวทัศน์งดงามเหล่านี้คือเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมยาวของเธอปล่อยสยายตามธรรมชาติ ยามสายลมแผ่วพลิ้วพัดผ่าน เส้นผมหลายปอยก็ปลิวระอยู่ข้างแก้ม ดูมีเสน่ห์ชวนมองยิ่ง
หู ตา จมูกและปากของเธอดูงดงามสดใส โดยเฉพาะดวงตาดูสวยงามเป็นพิเศษ หางตายกสูงเล็กน้อย ลูกตาเป็นสีดำสนิทไม่มีสีอื่นเจือปน ยามกลอกกลิ้งไปมาดูสุกใสแวววาว เขาจ้องเธอตาไม่กะพริบ ทว่าบนใบหน้าเขากลับไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
ผู้ชายแบบฉู่เพ่ย เพียงยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ก็ดูแตกต่างจากผู้ชายอื่นที่อยู่รอบข้างอย่างชัดเจน เขาดูเป็นคนทำอะไรสบายๆ ผมด้านหน้าเห็นชัดว่าคงคร้านจะไปตัดเล็ม จึงปล่อยจนยาวบดบังดวงตา ฉู่เพ่ยมีรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ประมาณด้วยสายตาอย่างน้อยความสูงน่าจะไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร เขาสวมเสื้อยืดค่อนข้างเก่าตัวโคร่ง ดูแล้วน่าจะผ่านการซักรีดมาจนสีค่อนข้างซีด กางเกงยีนขอบรุ่ย ทั้งเนื้อทั้งตัวตั้งแต่ด้านในยันด้านนอกล้วนเผยให้เห็นถึงความไร้ระเบียบ
ระหว่างคนทั้งสองมีกิ่งใบของพุ่มกุหลาบขวางอยู่ ทั้งคู่ต่างมองสบตากันเงียบๆ...เงียบเกินไปแล้ว ไม่เหมือนกำลังพูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับความรักเลยสักนิด
“เธอยังไม่ได้ตอบฉัน” น้ำเสียงของซูอี่อันฟังดูเอื่อยเฉื่อยแปลกๆ ขัดกับใบหน้าอ่อนหวานของเธออย่างมาก
เขาจ้องเธอตาเขม็ง “ฉันจริงจังมาก อี่อัน”
ซูอี่อันย่นหัวคิ้วด้วยความงงงัน เธอคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ เพราะอะไร จากที่เขาเพียงไปเป็นเพื่อนเธอเพื่อสารภาพความในใจกับชายที่แอบชอบ สุดท้ายกลับกลายเป็นเขาที่สารภาพความในใจกับเธอไปได้
“อ้อ ไม่ใช่ว่าฉันสารภาพความในใจกับเธอหรอกนะ ฉันแค่บอกว่าถ้าเธออยากมีความรัก ฉันจะช่วยเธอเอง” ฉู่เพ่ยจับโน่นจับนี่ที่ตัวกล้องไปเรื่อยขณะพูด
ซูอี่อันยิ่งขมวดหัวคิ้วแน่นขึ้น เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เห็นอยู่ว่าเขาเป็นพี่ชายข้างบ้านที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จู่ๆ จะมาคบหาเป็นคู่รักกับเธอ ไม่แปลกประหลาดไปหน่อยหรือ? อีกทั้ง...
“แต่คนที่ฉันชอบไม่ใช่เธอ”
แววตาของเขามีประกายซับซ้อนผุดขึ้น เขาผงกหัว “ฉันรู้ เธอชอบเขา” เขาพยักพเยิดไปด้านหน้า
ซูอี่อันรีบหันไปมอง แล้วก็เห็นคนที่ตนแอบรักมาสามปีกำลังโอบกอดหญิงคนรัก ทั้งสองคนเดินผ่านไปด้วยท่าทางหวานชื่น หญิงสาวคนนั้นยิ้มพลางซุกหน้าเข้าไปในอ้อมอกคังอวิ๋นซือ ใบหน้างามเฉิดฉันเปล่งประกายสดใส เธอไม่มีทางเทียบหล่อนได้เลย ดวงตาของซูอี่อันมีหยาดน้ำตาขังคลอแล้วร่วงเผาะลงมา เมื่อได้รับความสะเทือนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ เธอรับไม่ไหวจริงๆ
“อี่อัน”
ซูอี่อันเงยหน้าขึ้นมองฉู่เพ่ยอย่างทึ่มทื่อ นัยน์ตาพร่ามัว ทำให้มองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัด
“เสียใจมากหรือ?”
เธอผงกศีรษะ
“ไม่อยากจะเสียใจอีกใช่ไหม”
เธอผงกศีรษะอีก
“อย่างนั้นก็มาคบกับฉัน” เขายิ้มน้อยๆ ก้มลงมาลูบไล้แก้มของเธอ “เมื่อคบกับฉันแล้ว เธอก็จะลืมเขาและจะไม่เสียใจอีก”
“แต่...คนที่ฉันชอบคือคังอวิ๋นซือ”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือ” รอยยิ้มของเขาดูไร้พิษภัย “ฉันจะรักและทะนุถนอมเธอ ทำให้เธอสบายใจและไม่ทำให้เธอต้องเสียใจ”
“แต่ว่า...”
“ลองคิดดู ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ใช่ฉันหรอกหรือที่คอยปกป้องเธอ”
เธอพยักหน้าอย่างทึ่มทื่อ
“เวลาอยู่กับฉัน เธอสบายใจมากใช่ไหม”
เธอพยักหน้าอีก
“ตอนนี้เธอกำลังไม่สบายใจมากใช่ไหม”
“อืม”
“ถ้าอย่างนั้นก็มาอยู่กับฉัน ฉันจะเป็นเหมือนแต่ก่อนที่ดีกับเธอ ตามใจเธอ และจะทำให้เธอสบายใจทุกวัน เมื่อเป็นแบบนี้ ไม่นานเธอก็จะลืมคังอวิ๋นซือไปได้เอง ไม่ต้องเสียใจอีก”
‘ที่ฉู่เพ่ยพูดมาเป็นความจริงหรือ?’
“ตกลงตามนี้นะ อี่อัน?”
เธอนิ่งเงียบไปนาน รู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทว่านัยน์ตาอ่อนโยนของฉู่เพ่ยคล้ายมีพลังโน้มน้าวใจเป็นอย่างมาก ทำให้เธอเคลิบเคลิ้ม
“คบกับเธอแล้ว ฉันจะไม่ต้องเสียใจอีกจริงหรือ?”
“ใช่”
“ดี อย่างนั้นเราก็มาคบกัน”
ครั้นแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น
ความคิดเห็น |
---|