7

ตอนที่ 7


นึกไม่ถึงว่าเธอจะปรับตัวเข้ากับชีวิตความเป็นอยู่ของที่นี่ได้เป็นอย่างดี ในที่ซึ่งไม่มีแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน ไม่มีห้างสรรพสินค้า แม้แต่ซูเปอร์มาร์เกตก็ยังไม่มีสักแห่ง แต่เธอกลับใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

เช้าตรู่ของทุกวัน ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างเธอก็จะถูกฉู่เพ่ยลากออกไปปีนเขา แม้ภูเขาที่นี่จะสู้ภูเขาหยางหมิง6 ไม่ได้ แต่ก็สวยงามมาก ตลอดเส้นทางที่ปีนขึ้นไปเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วทอดสายตามองมายังหมู่บ้านประมงที่ยังคงหลับใหลและมองดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาไกลๆ จิตใจจะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายเป็นพิเศษ

บางครั้งเขาจะขี่จักรยานพาเธอไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ ทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้านประมงล้วนมีเงาร่างของพวกเขาอยู่ คนในหมู่บ้านต่างเคยชินกับการเห็นเธออยู่ข้างกายเขา ทุกคนพากันเรียกเธอว่าอี่อันตามเขาด้วยความสนิทสนม

อยู่มาหลายวันเธอเองก็คุ้นเคยกับความอบอุ่นและเอื้ออารีของผู้คนที่นี่แล้ว เวลาเจอพวกเขา ใบหน้าของเธอจะคลี่ยิ้มสดใสออกมาโดยไม่รู้ตัว

เธอชอบตามเขาไปตระเวนถ่ายรูป ชอบมองสีหน้าจริงจังยามถ่ายรูปของเขา มองท่าทางขณะประคองกล้องถ่ายรูปของเขาที่คล้ายกำลังประคองโลกทั้งโลกไว้ในมือก็ไม่ปาน...และเธอก็ชอบที่จะตามเขาไปบ้านลุงชิง ป้าชิงมีฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าอาหารจานไหนก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับป้าชิง ทุกครั้งที่ไป ซูอี่อันจะเติมข้าวถึงสองชามอย่างเอาอกเอาใจนาง ทั้งยังปากหวาน และด้วยหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดูของเธอ ป้าชิงจึงชอบใจเธอจนยิ้มไม่หุบ โทรศัพท์มาเรียกฉู่เพ่ยให้พาเธอไปกินข้าวที่บ้านด้วยกันทุกวัน

ช่วงค่ำฉู่เพ่ยจะจูงมือเธอไปเดินเล่นที่ชายหาด บางครั้งบางคราวยังก่อเตาถ่านย่างเนื้อกันที่ชายหาด โดยนั่งอยู่บนพื้นทรายที่อ่อนนุ่ม มองดวงดาวที่ดารดาษอยู่เต็มท้องฟ้าไป ย่างเนื้อย่างไส้กรอกไป ความสุขเช่นนั้นยากจะหาคำบรรยายได้จริงๆ

กระทั่งถึงยามนี้ เขาหยิบผ้าสะอาดผืนหนึ่งมาปูลงบนหาดทรายให้เธอนอนลงไปเพื่อชื่นชมความงามของท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว ในที่ซึ่งไม่มีแสงไฟมารบกวน ท้องฟ้ายามราตรีจึงสวยงามราวกับภาพวาด ช่วงกลางฤดูร้อนเป็นช่วงที่มองเห็นดวงดาวมากที่สุด แต่ละดวงนั้นเปล่งแสงนวลตาระยิบระยับ

พอหันกลับมามองด้านข้าง ผู้ชายที่กำลังย่างอาหารรสเลิศให้เธออยู่ช่างน่าทึ่งเสียจริง ฉู่เพ่ยที่เธอเห็นนอกจากเวลาถ่ายภาพแล้ว เวลาอื่นๆ ไม่ว่าจะทำอะไร เขามักจะมีท่าทางสบายๆ ทำให้คนรอบข้างผ่อนคลายไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก เหมือนวางใจได้ว่าเขาจะต้องทำทุกอย่างออกมาได้ดีโดยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

แม้ตอนนี้ในมือของเขาจะถือเหล็กเสียบบาร์บิคิวที่มีข้าวโพดข้าวเหนียวฝักหนึ่งเสียบอยู่ เรื่องที่ไม่โรแมนติกเช่นนี้ เขาทำแล้วกลับน่ามองเป็นที่สุด เธอพลิกตัวกลับมานอนหงายแล้วมองไปบนฟ้าอีกครั้ง ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้งดงามมากจริงๆ อากาศปลอดโปร่งเย็นสบาย ดาวเต็มฟ้า เธอนอนพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด

“เมื่อก่อนตอนเรียนวิชาภูมิศาสตร์ เคยได้ยินอาจารย์บอกว่าดวงดาวที่เราเห็นอยู่เวลานี้ อาจจะมาจากอดีตเมื่อหลายร้อยล้านปีแสงก่อน หรือกระทั่งหลายพันล้านปีแสง บางทีดาวดวงที่เห็นอยู่ในตอนนี้อาจมอดไหม้ไปนานแล้ว แต่เราเพิ่งจะมองเห็นเท่านั้นเอง” พูดไปพูดมาก็รู้สึกอ่อนไหวขึ้น “ดูเถอะ เปรียบกับจักรวาลแล้ว คนเราก็ตัวเล็กนิดเดียว เป็นไปได้ว่าเพียงพริบตาถัดมาก็ไม่มีอะไรหลงเหลือแล้ว”

เขาชำเลืองมองเธอโดยไม่พูดอะไร

ชั่ววินาทีนั้นเธออดจะรู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ ในใจไม่ได้ ‘ชีวิตยังเปราะบางถึงเพียงนี้ สำมะหาอะไรกับความรัก’

ข้าวโพดปิ้งร้อนๆ หอมกรุ่นฝักหนึ่งยื่นมาตรงหน้าเธอ ความคิดกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ถูกของกินเข้ามาแทนที่ทันที ดวงตากลมสุกใสเบิกโต

“ข้าวโพดที่เธอจะกินฝักนี้ ฉันรับรองว่าเพิ่งหักและปิ้งมาใหม่ๆ ยังไม่ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์”

          เธอถูกเย้าจนหัวเราะ ไม่อาจคิดเรื่องเศร้าใจได้อีก ข้าวโพดปิ้งนี่หอมมากจริงๆ เธอรับมาแล้วก็แทะกิน ท่าทางแบบนี้ของเธอค่อยดูน่ารักหน่อย แล้วเขาก็เอ่ยเตือนเสียงนุ่ม

“ระวังร้อน”

ครั้นแล้ว ชั่วนิรันดร์อะไร ประวัติศาสตร์อะไร มนุษย์โลกอะไร ล้วนมลายหายไปในพริบตาเดียว เธอถือข้าวโพดฝักนั้นแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย

“อืม...อร่อยจัง” เธอยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นแล้วเอ่ยชมด้วยเสียงอู้อี้ “เธอจะชิมหน่อยไหม”

เขามองข้าวโพดที่ถูกเธอแทะจนเว้าแหว่งไม่เป็นระเบียบโดยไร้คำพูด เธอรู้ตัวขึ้นมาในทันที ใบหน้าแดงฉาน

“อายอะไร” เห็นเธอมีท่าทางเช่นนี้ เขากลับอยากแหย่ขึ้นมา “น้ำลายเธอ ฉันก็กินไปไม่น้อยแล้ว”

“น่าโมโหจริง ไม่ต้องพูดแล้ว” เธอยื่นข้าวโพดไปปิดปากเขาทันที บ่นว่าอย่างไม่ยินยอม

หลังจากวันที่จูบกันดูดดื่ม ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็นับวันร้อนแรงขึ้น ทุกครั้งพวกเขาจะจูบกันจนแทบหยุดไม่ได้ อารมณ์ฮึกเหิมเร่าร้อนขึ้น แต่ยังคงมีสติสัมปชัญญะไม่ก้าวข้ามแนวป้องกันสุดท้ายไป ไม่เพียงเธอที่ยังลังเล เขาเองก็ดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง

เขากัดข้าวโพดลงไปตรงที่เธอแทะแล้วคำหนึ่ง เม็ดข้าวโพดที่ทั้งนุ่มทั้งเหนียวถูกเคี้ยวอยู่ในปาก เขากินไปอย่างไม่รู้รสชาติ ในดวงตามีเพียงใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงของซูอี่อัน

เขามองเธอเช่นนี้ จะให้เธอนิ่งต่อไปได้อย่างไร ซูอี่อันค่อยๆ เบี่ยงตัวออก คิดจะขยับออกไปให้ห่างจากเขาอีกหน่อย เขากลับยื่นมือมารั้งตัวเธอเข้าไปในอ้อมแขนอีกครั้ง เกลี่ยเส้นผมที่รุ่ยร่ายอยู่บนใบหน้าเธอออก เผยให้เห็นดวงหน้างดงามสดใส

“อี่อัน” เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“หืม” ร่างของเธอเริ่มอ่อนระทวย

เขาทาบริมฝีปากลงมาจูบ ดูดดึงริมฝีปากและลิ้นของเธอแรงๆ ทั้งสองหอบหายใจแล้วล้มกลิ้งไปกับพื้นทราย เธอนอนอยู่บนร่างของเขาด้วยเนื้อตัวที่อ่อนปวกเปียก ลิ้นของเขายังคงดุนดัน เขามีพละกำลังมาก ทำเอาเธอแทบจะหายใจหายคอไม่ทัน ลิ้นของทั้งสองพัวกันอย่างเร่าร้อน เธอได้แต่ส่งเสียงครางหนักๆ ปล่อยให้เขากระทำตามอำเภอใจ เสื้อเชิ้ตเธอถูกแหวกออก กระโปรงผ้าเนื้อนิ่มถูกเลิกขึ้น มือของเขาลูบไล้ไปทั่ว วางทาบอยู่ที่ท่อนขาของเธอ ค่อยๆ ลูบสูงขึ้นมาทีละนิ้ว มือของเขาลูบผ่านกลางลำตัวของเธอ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ได้ยินเสียงเธอหอบหายใจถี่ขึ้นมา

เขาจุมพิตเนินอกที่อยู่นอกเสื้อชั้นในอันขาวผ่องของเธอ อย่างไรทั้งสองก็อยู่นอกบ้าน ถึงแม้บริเวณนี้จะมีพวกเขาอยู่กันเพียงสองคนก็ตาม เขาก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสาน ได้แต่สัมผัสเนื้อตัวเธอผ่านเสื้อผ้า

“ฉู่...” เสียงเธอออกจมูกหนักๆ เธอกำแขนเขาไว้แน่น คิดจะดึงฝ่ามือที่กระทำการอุกอาจอยู่ตรงโคนขาของเธอออก แต่ก็ต้องพบว่ากระทั่งมือเธอก็สั่นระริกไปหมด

เขามองสองแก้มที่แดงเปล่งปลั่งของเธอ ดวงตาคู่งามเปล่งประกายพร่างพราว เขาทอดมองร่างงามหยาดเยิ้มที่ปล่อยให้เขาโอ้โลมปฏิโลมตามใจชอบ เปลวไฟชั่วร้ายลุกโหมขึ้นทันที เขาแข็งขึงไปทั่วร่างจนรู้สึกปวดหนึบ โน้มตัวไปจูบเธออย่างหนักหน่วงอีกครั้งอย่างพัวพันรุกเร้า มือซ้ายลูบคลำหน้าอกของเธอ มือขวารั้งขอบกางเกงของเธอแล้วสอดมือเข้าไป

“อา...” เมื่อเขาสัมผัสเนื้อที่ส่วนตัวของเธอ เธอก็หอบหายใจอยู่ในปากของเขา เอวคอดบางขยับออก คิดจะหนีจากสัมผัสที่แปลกประหลาด

“อี่อันเด็กดี อยู่นิ่งๆ” เขากระซิบปลอบเธอ มือยังไม่หยุดเคลื่อนไหว

“เจ็บ...”

ซูอี่อันขมวดคิ้ว ขยับตัวอย่างรู้สึกไม่สบาย ในที่สุดเธอก็ส่งเสียงครางออกมาก่อนจะหยัดเหยียดไปทั้งร่างแล้วกัดเขาเต็มแรง เธอชาท้ายทอยไปหมด ร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรงคล้ายถูกคลื่นยักษ์ซัดขึ้นไปกลางอากาศจนวิงเวียนตาลาย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา ชายหนุ่มข้างกายมองเธอด้วยสีหน้ายิ้มๆ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาทันที อายจนไม่กล้าเงยหน้า

ฉู่เพ่ยดันร่างที่งอเป็นกุ้งเพราะความอายของเธอขึ้น ช่วยติดกระดุมเสื้อแล้วดึงกระโปรงให้เข้าที่ จุมพิตหน้าผากเธอเบาๆ “เรากลับเข้าบ้านกันเถอะ”

ในใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเป ไม่รู้ว่าตนเองเสียใจหรือขวยอายมากกว่ากัน ดูเหมือนจะมีทั้งสองอย่าง และก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

กระทั่งเขาพาเธอกลับเข้ามาในบ้าน เธอก็ยังคงมึนงง ไม่มีปฏิกิริยาอะไร

“เด็กดี ไปอาบน้ำเถอะ” เขาลูบเรือนผมยาวของเธอพลางทอดถอนใจ เพราะการพันพัวเมื่อครู่ทำให้เส้นผมของเธอมีเม็ดทรายติดอยู่ กระทั่งเสื้อผ้าก็มีแต่เม็ดทราย

 

เธอเดินขึ้นบันไดไปอย่างทึ่มทื่อ ครั้นเข้าไปในห้องแล้วก็คล้ายยังไม่ได้สติกลับคืนมาจากปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่เคยคุ้นของตนเองเมื่อครู่ “มันไม่ควรเป็นแบบนี้ เห็นอยู่ว่าคนที่ฉันชอบคือ...”

เธอเดินงุ่นง่านอยู่ในห้อง อะไรบางอย่างที่ยืนหยัดอยู่ในใจมาโดยตลอดคล้ายจะเอ่อล้นออกมา พวยพุ่งออกมาจนเธอแทบจะแบกรับไม่ไหวแล้ว เธอแอบรักคังอวิ๋นซือมาสามปี ความรักที่ใสบริสุทธิ์ของเด็กสาว นั่นไม่ใช่ความรักจอมปลอม แต่ยามที่เธออยู่ในอ้อมกอดของฉู่เพ่ย ความรู้สึกพึงพอใจที่ไม่เคยคุ้นนั่นก็ทำให้เธอเฝ้าปรารถนาจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว เพียงแค่นึกถึงเขา เนื้อตัวของเธอก็อ่อนระทวยแล้ว

เขาเองก็คงต้องการเธอกระมัง หากไม่ใช่ อ้อมกอดของเขาคงไม่ร้อนผะผ่าวเพียงนั้น ฝ่ามือของเขาคงไม่เหิมเกริมเพียงนั้น แต่เพราะอะไรพอถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย เขามักจะหยุดและไม่ไปต่อ

อันอัน การที่ผู้ชายชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เขาย่อมต้องการเธอ ต่อให้ไม่ชอบเขาก็ยังต้องการ

จู่ๆ คำพูดของอวี๋เจียเฉินก็ดังขึ้นมาในสมองของเธอ แต่ทำไมฉู่เพ่ยกลับไม่ได้ต้องการเธอแบบนั้น หรือว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้สนใจเธอแม้แต่น้อย รูปร่างหน้าตาของเธอไม่ดึงดูดใจเขามากพอหรือ?

อยู่ดีๆ เธอก็รู้สึกเหมือนถูกท้าทาย จึงพุ่งไปที่หน้ากระจกในห้องน้ำทันที ภาพหญิงสาวที่สะท้อนอยู่ในกระจกดูแปลกตา เธอชะงักเท้า ดวงตาคู่นั้นดูแวววาวราวจะมีน้ำหยาดหยดลงมา ริมฝีปากแดงช้ำเจ่อบวมเล็กน้อย เธอยกมือขึ้นมาลูบไล้อย่างเลื่อนลอย สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกเจ็บนิดๆ เตือนสติให้เธอนึกถึงเหตุการณ์บ้าระห่ำก่อนหน้านี้ รสสัมผัสที่เขาทิ้งไว้ที่ริมฝีปากและเรียวลิ้นยังคงแจ่มชัด

เธอไม่รู้ว่าอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม แต่เธอแน่ใจในจุดนี้ขึ้นมารางๆ จึงยกมือขึ้นลูบลำคอของตน ผิวที่ขาวผ่องมีรอยแดงจางๆ แต่ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ เป็นรอยที่เขาฝากไว้เมื่อครู่ก่อน

เด็กโง่ ฉันไม่ทิ้งเธอหรอก ไม่มีวัน...และตลอดไป

‘ไม่มีวัน...และตลอดไป’ เจ็ดคำนี้ดังก้องอยู่ในสมองของเธอไม่หยุด ซูอี่อันหลับตาลง ภาพที่ผุดขึ้นมากลับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนของเขาที่กำลังส่งเสียงเรียกเธอเบาๆ

“อี่อัน อี่อัน”

เธอพุ่งถลันออกไป



6 ภูเขาหยางหมิง อยู่ที่ชานเมืองไทเป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น