3

บทที่ ๓

บทที่ ๓

 

ปลายฝนเพิ่งมาถึงมูลนิธิ ทักทายเพื่อนร่วมงาน ชงกาแฟ และเปิดคอมพิวเตอร์เตรียมพิมพ์เอกสารรายงาน โทรศัพท์มือถือเธอก็ดังขึ้น ชื่อของเด็กหนุ่มที่เพิ่งแยกจากกันราวครึ่งชั่วโมงปรากฏบนหน้าจอ สร้างความแปลกใจแก่เธอ

“ฮัลโหล”

“พี่...แม่ตายแล้ว! แม่ผมตายแล้ว!” เสียงที่แจ้งข่าวร้ายสั่นเครือและลนลาน

หัวใจหญิงสาวตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม หูแว่วเสียงตะโกนด่าทอจากใครอีกคนที่ปลายสาย

“ไม้เรียกรถพยาบาลนะ พี่จะรีบไป” เธอรีบบอกเขา แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงมาวินโต้ตอบบุคคลอื่น “ไม้ ฟังพี่นะ อยู่ในห้อง โทร. เรียกรถพยาบาล พี่จะไปที่บ้านพร้อมตำรวจ ได้ยินรึเปล่า”

ยิ่งแว่วเสียงสบถหยาบคาย ปลายฝนก็คว้ากระเป๋าอย่างรอไม่ได้อีกต่อไป เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้มาวินฟังตนหรือไม่ มีทางเดียวคือต้องไปที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด

“เกิดอะไรขึ้น ฝน” เรวดี นักสังคมสงเคราะห์รุ่นพี่ถามหลังได้ยินบทสนทนา

“ไม้ค่ะพี่ ไม้บอกแม่เขาเสียแล้ว”

ผู้ที่รับรู้ข่าวร้ายมีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน “ไป พี่ขับรถให้ ใครก็ได้โทร. บอกไหมที”

สิ้นถ้อยคำไหว้วาน หญิงท้องแก่ก็รีบเร่งออกจากสำนักงานไปพร้อมกับหญิงสาวทันที แต่ก่อนที่สองสาวจะขึ้นรถไปด้วยกัน รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ของชไมพรก็เลี้ยวมาจอดพอดี

“ไปไหนกัน”

ครั้นนักจิตวิทยาสาวรู้ต้นสายปลายเหตุ ชไมพรก็อาสาไปที่เกิดเหตุกับปลายฝนแทนคนที่ตั้งครรภ์

“โทร. แจ้งตำรวจกับกู้ภัยไปที่นั่นที เร”

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและฉุกละหุก ปลายฝนไม่ได้เล่าเรื่องที่ตนพบเจอมาวินบนรถประจำทางเมื่อเช้านี้ เพราะพยายามติดต่อประสานฝ่ายต่างๆ ตลอดทาง

“ไม้ไม่รับสายค่ะพี่ไหม” เธอรายงานผู้ที่กำลังขับรถ “ตอนโทร. มา ฝนได้ยินเหมือนเขาทะเลาะกับใคร อาจเป็นพ่อ”

“โทร. ถามเรซิว่าตำรวจว่าไง ให้แจ้งปัญหาในครอบครัวไปด้วย”

หญิงสาวรีบทำตามคำแนะนำ โชคยังเข้าข้างอยู่บ้างที่พวกเธอเคยมาที่บ้านของเด็กหนุ่มไม่กี่วันก่อน ชไมพรซึ่งพอรู้เส้นทางลัดจึงลัดเลาะมาถึงที่เกิดเหตุในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที

ประตูรั้วหน้าบ้านยังปิดสนิท แต่สิ่งที่บอกความผิดปกติคือบรรดาไทยมุงที่จับกลุ่มพูดคุยด้านนอก ทันทีที่ลงจากรถ เสียงผรุสวาทด่าทอและเสียงทุบทำลายข้าวของก็ดังออกมาจากในบ้าน สองสาวแทรกกายผ่านเพื่อนบ้านเหล่านั้นไปที่รั้ว ครั้นเห็นว่าไม่ได้ใส่กุญแจจึงเปิดประตูเข้าไป

“หนู อย่าเข้าไปเลย ตารงค์มันอาจมีอาวุธก็ได้” สตรีวัยกลางคนเตือน

“เราเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิค่ะน้า แล้วตำรวจก็กำลังมา ถ้าอยากช่วย ขอแรงพี่ผู้ชายมากับเราหน่อย”

ปลายฝนไม่รอชาวบ้านที่กำลังสบตากันอย่างชั่งใจ เธอนำหน้าชไมพรเข้าไปในบ้าน แล้วถึงรู้ว่าต้นเสียงกร้าวกังวานดังมาจากชั้นบน

“ตำรวจกับกู้ภัยกำลังมา!” เธอส่งเสียงนำไป “ลงมาข้างล่างเถอะ นายณรงค์”

เมื่อรู้ว่ามีคนนอกเข้ามาในบ้าน ชายขี้เมาที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียวก็รีบลงมา เขาถือขวดปากฉลาม แววตาดั่งสัตว์ร้ายที่ไม่ฟังใคร

“พวกมึงเป็นใคร เข้ามาได้ไง”

“เราเป็นตัวแทนมูลนิธิ เรารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่” ชไมพรตอบ

“มาก็ดีแล้ว ไอ้ไม้...ไอ้ไม้มันฆ่าแม่มัน ไอ้ลูกทรพี!”

“แล้วตอนนี้ไม้อยู่ไหน”

“มันอยู่ในห้อง กูจะเอาเลือดหัวมันออก”

รถจักรยานยนต์ของตำรวจมาจอดหน้าบ้าน ปลายฝนสบตารุ่นพี่ ก่อนหลบฉากชายขี้เมาขึ้นบันไดไปข้างบน 

ประตูบานหนึ่งเปิดอ้า หญิงสาวไม่กล้ามองเข้าไป แต่ตรงไปเคาะประตูที่ปิดสนิท อุปกรณ์ช่างอย่างค้อนและลิ่มตกอยู่หน้าประตู

“ไม้ พี่เอง เปิด...”

ไม่ทันเอ่ยจบประโยค ประตูที่อยู่ในสภาพเสียหายก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงของเด็กหนุ่มในเสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อเช้า เขาสวมกอด ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดมาที่เธอ

หัวใจหญิงสาวสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสได้ถึงร่างสั่นเทาของมาวิน เธอกอดตอบ ลูบหลังลูบไหล่เขาเป็นการปลุกปลอบและให้ความปลอดภัย

“ตำรวจมาแล้ว กู้ภัยกำลังมา พวกพี่อยู่นี่แล้วไม้”

ชไมพรขึ้นบันไดมาเห็นภาพหนุ่มสาวสวมกอดกัน ไม่รู้ว่าทั้งสองคนสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไร หรืออ้อมกอดนั้นอาจเกิดจากความหวาดกลัวและสับสนก็เป็นได้

 

มาวินไม่ยอมไปไหน จวบจนทีมกู้ภัยนำร่างไร้ลมหายใจลงไปชั้นล่าง เขาจึงตามลงบันไดมาพร้อมกับนักสังคมสงเคราะห์

ทันทีที่พ่อลูกเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ชายวัยกลางคนที่บอกเล่าเหตุการณ์กับชาวบ้านก็ทำท่าจะตรงมาเอาเรื่องลูกชาย ชไมพรซึ่งพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปรี่มายับยั้งเด็กหนุ่มที่พร้อมจะต่อสู้กับพ่อบังเกิดเกล้าอย่างขาดสติเช่นกัน

“เห็นไหม! ทุกคนดูไว้ว่าไอ้นี่มันสันดานเป็นไง”

“กูไม่ได้ฆ่าแม่! พ่ออย่างมึงต่างหากที่ไม่ควรอยู่!”

“ไอ้เวรตะไล! มึงไม่ใช่ลูกกูอีกต่อไป”

“กูก็ไม่มีพ่ออย่างมึง”

สองสาวพยายามรั้งแขนดึงสติเด็กหนุ่ม แต่ไม่แคล้วที่ชายขี้เมาจะเหยียดขาถีบลูกชายเมื่ออีกฝ่ายเดินผ่าน 

“จับมันไปเลย! ไอ้นี่แหละที่ทำให้แม่มันตาย เอามันไปดัดสันดานหรือติดคุกหัวโตที่ไหนก็ไป”

“นี่ต่อหน้าตำรวจนะ นายณรงค์” ชไมพรออกโรงเตือน “ฉันขอเตือนว่าคุณไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายลูกชาย”

“ทำไมกูจะไม่มีสิทธิ์!”

“เพราะพวกเราเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิ แล้วพี่มาลัยกับไม้ก็เป็นเหยื่อที่เข้ามาร้องเรียนว่ามีการทำร้ายร่างกายภายในครอบครัวที่มูลนิธิเรา การกระทำของคุณจะยิ่งเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีภายหลัง”

ชายขี้เมาเบิกตาโพลงอย่างถึงบางอ้อ ก่อนชี้นิ้วกราดมาที่หญิงสาวสองคน

“อ๋อ อีพวกเสี้ยมให้ครอบครัวเขาแตกแยก พวกมึงนี่เองที่ให้ท้ายไอ้ไม้ให้มันแข็งข้อกับกู!”

ปลายฝนไม่เคยโกรธและรังเกียจใครเท่านี้มาก่อน นอกจากจะมองไม่เห็นความผิดของตนเอง คนพรรค์นี้ยังดีแต่กล่าวโทษคนอื่น แค่เผชิญหน้ากันครั้งแรกเธอยังอยากจะเป็นบ้าตาย แต่มาวินต้องทนอยู่กับคนแบบนี้มาทั้งชีวิต เธอนับถือความอดทนของเขาจริงๆ

“ที่มาลัยตายก็คงเพราะพวกมึงรวมหัวกันกดดัน ดูไว้ทุกคน! อีพวกขี้เสือกนี่ทำครอบครัวคนอื่นฉิบหาย!” ณรงค์ประกาศก้องท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์

“เอาละๆ ไปคุยกันที่โรงพักทั้งหมดนี่” ตำรวจร้อยเวรเอ่ยแทรกขึ้น ยุติความวุ่นวาย

“ดีค่ะผู้หมวด เราจะพาไม้ตามไป”

ชไมพรแตะแขนมาวินพลางพยักหน้าให้เขาไปกับตน ปลายฝนตามทั้งสองไปขึ้นรถ ก่อนติดต่อหาทนายอาสาเพื่อขอคำปรึกษาด้านกฎหมายระหว่างทาง

มาวินรับรู้การกระทำของทุกคนอย่างเลื่อนลอย ความโศกเศร้าจากความสูญเสียยังคงรุมเร้า เขาไม่มีวันเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทอดทิ้งตน ทั้งที่เขาไม่เคยคิดละทิ้งแม่ เขาเพิ่งคิดหาทางออกใหม่ให้ตนเองกับแม่ได้ มีความหวังว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น แต่แม่กลับหนีจากเขาไป ทิ้งเขาไว้ในโลกโหดร้ายลำพัง

น้ำตาของเด็กหนุ่มไหลลงมาอย่างเงียบงัน

 

หลังตำรวจสอบปากคำ มาวินจึงได้รับการปล่อยตัว ชายขี้เมาไม่วายหาเรื่องด่าทอบุตรชายกลางสถานีตำรวจ ถึงอย่างนั้นเจ้าหน้าที่ก็เพียงตักเตือน ลงบันทึกประจำวัน และปล่อยเขากลับไปเช่นกัน เพราะระหว่างที่ยังไม่ได้ผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งสองก็เป็นเพียงพยานเช่นเดียวกัน

ชไมพรตัดสินใจพาเด็กหนุ่มไปที่มูลนิธิ เนื่องจากมาวินยังไม่มีคำตอบให้แก่อนาคตของตนเอง ปลายฝนเห็นด้วยกับรุ่นพี่อย่างยิ่ง เธอไม่อาจจินตนาการเลยว่าหากปล่อยให้สองพ่อลูกเผชิญหน้ากันในสภาวะอารมณ์เช่นนี้ จะมีเหตุร้ายใดตามมาอีกหรือไม่

ทั้งสามมาถึงมูลนิธิกัญญามิตรตอนบ่ายแก่ ขณะชไมพรพูดคุยโทรศัพท์กับทนายอาสา ปลายฝนจึงพาเด็กหนุ่มขึ้นไปดูห้องพักชั้นบน ห้องที่มีสี่เตียงเคยมีหญิงสาวและเด็กมาพักพิงชั่วคราวหลายต่อหลายคน ทว่าบัดนี้ไม่มีใครอยู่พอดี

“พี่ไหมอยากให้ไม้อยู่ที่นี่ก่อน ไม้โอเคไหม”

มาวินพยักหน้า เท่านี้เขาก็ทำให้ทุกคนที่นี่ โดยเฉพาะชไมพรกับปลายฝนเดือดร้อนมากพอแล้ว

“เดี๋ยวพี่ไหมมาคุยด้วย พี่จะไปดูของใช้จำเป็นให้”

“ประเมินสภาพจิตใจเหรอพี่” เขาย้อนถาม “ผมไม่เป็นไร ผมแค่อยากไปรับศพแม่”

ประโยคสุดท้ายบอกให้หญิงสาวรู้ว่าเจ้าตัวยอมรับความจริงได้ดีขึ้น เธอคลายใจไปเปลาะหนึ่ง ลึกลงไปในใจเธอเชื่อว่ามาวินจะผ่านเรื่องร้ายนี้ไปได้

“ตอนนี้ทางทนายไปติดตามผลที่โรงพยาบาล ยังไงพี่จะบอกพี่ไหมให้นะว่าไม้อยากไปรับแม่”

เขาพยักหน้ารับฟัง เมื่อเด็กหนุ่มไม่มีท่าทีจะเอ่ยอะไรอีก ปลายฝนจึงหันหลังจะเดินออกไป ทว่า...

“ผมกำลังจะไปเอาเอกสารสมัครงาน ผมอุตส่าห์มีความหวังว่าจะแบ่งเบาภาระแม่ได้ และเป็นผู้ใหญ่ในสายตาแม่ แต่แม่ก็มาทิ้งผมไป”

คำพูดนั้นบีบรัดหัวใจคนฟังให้รวดร้าวตาม รอยยิ้มของเขาก่อนแยกจากกันบนรถประจำทางยังติดตา เสียงหัวเราะห้าวกังวานยังดังสะท้อนในโสตประสาท แต่ไม่กี่นาทีต่อมา ชีวิตของเด็กหนุ่มกลับพลิกผันอย่างน่าเคืองโกรธโชคชะตา

“ไม้ยังทำทุกอย่างนั้นได้...เพื่อตัวของไม้เอง”

ปลายฝนหวังว่าคำแนะนำของเธอจะสัมฤทธิผล อย่าได้มีสิ่งใดมาหันเหเด็กหนุ่มจากเส้นทางที่ดีเสียก่อน

 

ผลนิติเวชออกมาตรงตามรูปการณ์ มาลัยเสียชีวิตจากการกระทำอัตวินิบาตกรรม แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งคำพูดพล่อยๆ จากชายขี้เมา

ณรงค์มาที่ศาลาตั้งศพในสภาพมึนเมา แล้วชี้หน้าด่ากราดบุตรชายต่อหน้าชาวบ้านที่มาร่วมงาน รวมทั้งแขกเหรื่อศาลาอื่นที่หันมาให้ความสนใจ

“พวกมึงดูนะ ไอ้ลูกทรพีสร้างปัญหาจนแม่มันต้องฆ่าตัวตาย”

“ถ้ามาทำตัวเกะกะระรานก็กลับไปซะนายณรงค์ เมื่อวานตำรวจเตือนว่าอะไร ลืมแล้วเหรอ” ปลายฝนย้ำเตือนแกมข่มขู่

“อีนังนี่ก็เหมือนกัน” คนพาลหันมาเอาเรื่องหญิงสาว “มันกับมูลนิธิของมันเที่ยวทำลายครอบครัวชาวบ้าน อีพวกขี้เสือกในคราบนักบุญ ถุย!”

“พ่อต่างหากที่ทำลายครอบครัว” มาวินไม่อาจนิ่งเฉยให้คนดีๆ ถูกว่าร้าย “พ่อทำร้ายแม่นับครั้งไม่ถ้วน ใครๆ ก็รู้ ผมถึงต้องพาแม่ไปขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิ”

“แม่มึงถึงตายไง! ถ้ามึงกับคนพวกนี้ไม่รวมหัวกันกดดัน แม่มึงจะฆ่าตัวตายไหม ไอ้ควาย!”

“ยังไม่จบอีกเรอะ นายณรงค์”

ถ้อยคำเอือมระอามาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ก้าวขึ้นศาลามาพร้อมกับชไมพร ยุติคำกล่าวหาของชายขี้เมาได้ชะงัด แม้ทางตำรวจจะไม่อาจเอาผิดอีกฝ่ายย้อนหลังข้อหาทำร้ายร่างกายได้ แต่ก็แวะเวียนมาดูแลความเรียบร้อยของงานตามคำร้องขอของมูลนิธิ

ถึงอย่างนั้นวาจากล่าวโทษของณรงค์ก็ทิ่มแทงใจมาวิน เด็กหนุ่มเดินหนีไปสงบสติอารมณ์ ไม่รั้งรอให้ใครตามไป ชไมพรกับปลายฝนได้แต่แลกเปลี่ยนความรู้สึกกันผ่านสายตา

“ฟ้องหมิ่นประมาทซะดีไหม” สาวผมสั้นเปรยอย่างอ่อนใจ “นี่ถ้าไล่ฟ้องคนอย่างนายณรงค์ เราคงมีคดีเพิ่มขึ้นสองเท่า”

“แต่มันก็น่าฟ้องจริงๆ นะพี่ บั่นทอนกำลังใจชะมัด” ปลายฝนเอ่ยเสียงอ่อน

“ถ้ารักจะทำงานนี้ ฝนต้องอย่าเก็บคำพูดคนพวกนี้มาใส่ใจ แล้วโฟกัสว่าเรากำลังทำอะไรก็พอ”

หญิงสาวอยากทำอย่างนั้นเช่นกัน แต่ทั้งคำพูดของณรงค์หรือแม้กระทั่งทัศนคติบิดเบี้ยวของคนขับแท็กซี่ที่ตนเคยพบเจอคงจะไม่รบกวนความคิดเธอเลย ถ้าผลของการพยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือให้สองแม่ลูกจะไม่ได้มีจุดจบที่การชิงตัดช่องน้อยหนีปัญหาของมาลัย

 

ตลอดสามวันของงานสวดพระอภิธรรมหนีไม่พ้นการก่อกวนของสามีผู้วายชนม์ ชไมพรกับปลายฝนไปร่วมงานทุกคืน แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีสิทธิ์มาร่วมงานศพภรรยา

เรื่องทำท่าจะยุ่งเหยิงขึ้นเมื่อญาติพี่น้องฝั่งมาลัยก็กล่าวโทษณรงค์ ถึงขั้นหวิดลงไม้ลงมือกันในคืนสุดท้าย สองสาวตัวแทนมูลนิธิได้แต่สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ยิ่งใกล้ผ่านพ้นงานสำคัญก็ยิ่งอดเป็นห่วงอนาคตเด็กหนุ่มต่อจากนี้ไม่ได้

มาวินยังคงอาศัยอยู่ที่มูลนิธิก็จริง เขาถูกพ่อค่อนขอดว่าหลบใต้กระโปรงผู้หญิง ขณะที่ครอบครัวฝั่งแม่แม้จะดูรักใคร่เขาดี แต่ต่างก็มีภาระล้นมือ ชไมพรคิดจะพูดคุยเรื่องอนาคตกับเจ้าตัวหลังพิธีฌาปนกิจ ทว่าบ่ายวันนั้นมาวินกลับเป็นฝ่ายตามหาเจ้าหน้าที่มูลนิธิทั้งสองเองระหว่างพวกเธอเดินพักผ่อนในวัด

“พี่ไหม พี่ฝน ผมเดินหาตั้งนาน”

“อ้าว ไม้ มีอะไรหรือ” สาวผมซอยถามอย่างเป็นกันเอง

เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยธุระของตน “ผมตัดสินใจแล้วฮะ หลังงานแม่ผมจะย้ายไปอยู่บ้านเพื่อน เพราะถ้าไปอยู่กับป้าที่ต่างจังหวัด ผมก็ต้องออกจากโรงเรียน แต่ให้กลับไปอยู่กับพ่อ ไม่มีทาง”

สองสาวที่เคยหารือเรื่องอนาคตเด็กหนุ่มสบตากัน ไม่คิดว่าท้ายที่สุดมาวินจะตัดสินใจเรื่องของตนเอง คิดใคร่ครวญมาแล้ว

“พวกเราไม่คิดจะผลักดันไม้ไปไหน คุณหญิงแสงสุดา...ประธานมูลนิธิท่านก็รู้เรื่องไม้ ท่านยินดีและเต็มใจให้ไม้อยู่ที่มูลนิธิจนกว่าจะพร้อม”

ข้อนั้นมาวินรู้ดี อีกทั้งซาบซึ้งใจยิ่งที่คุณหญิงแสงสุดาเป็นเจ้าภาพงานสวดพระอภิธรรมทุกคืนอีกด้วย

“ผมพร้อมฮะพี่ เท่านี้พวกพี่ก็ดีกับผมจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว” เขาตอบแน่นหนัก แววตาขอบคุณ

“ถ้าไม้คิดดีแล้ว พี่ก็เคารพการตัดสินใจ” ชไมพรว่ายิ้มๆ “ไม้ไม่ต้องตอบแทนอะไรพวกพี่หรอก แค่รู้ไว้ว่าทุกคนที่มูลนิธิหวังดีและห่วงใยไม้เสมอ ไม่ว่ายังไงไม้ก็เป็นเหมือนสมาชิกครอบครัวคนหนึ่งของเรา”

ปลายฝนพยักหน้ายืนยันคำพูดนั้น เรียกสายตามาวินให้มองมาที่เธอ เขายิ้มจางๆ ให้ทั้งสองคน

หนุ่มสาวกลับไปที่ศาลาอเนกประสงค์หน้าเมรุด้วยกัน ไม่รู้ยังวันไปหรือเพราะณรงค์เพิ่งมีเรื่องวิวาทกับญาติภรรยาเมื่อคืนที่ผ่านมา วันนี้ชายขี้เมาจึงไม่ปรากฏตัวในงานให้ใครหลายคนเอือมระอา สองสาวอุ่นใจเมื่อเห็นญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงห้อมล้อมมาวิน บางคนแต่งกายด้วยชุดนักเรียน ให้ระลึกได้ว่าแท้จริงเด็กหนุ่มที่เผชิญเรื่องร้ายยังเยาว์วัยนัก เขายังต้องมีอนาคตอีกไกล

“พี่ไหมว่าเราจะพอพูดคุยกับทางโรงเรียนเรื่องปัญหาของไม้ได้ไหมคะ” ปลายฝนเอ่ยเชิงปรึกษา “ทั้งเรื่องความปลอดภัยในโรงเรียน เพราะนายณรงค์อาจบุกไปก่อเรื่องถึงโรงเรียนลูก แล้วก็เรื่องทุนการศึกษา ไม้เพิ่งเสียแม่ ซึ่งก่อนหน้านี้แม่ของเขาเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว”

นักจิตวิทยาสาวฉุกคิดตามและเห็นด้วยกับความคิดของรุ่นน้อง

“อืม ลองดูก็ไม่เสียหลายนี่นะ ฝนดูแลเรื่องนี้แล้วกัน”

ผู้ที่ได้รับมอบหมายยิ้มรับอย่างเต็มใจ ความกระตือรือร้นและมุ่งมั่นทุ่มเทของเจ้าหน้าที่รุ่นใหม่สร้างความปลาบปลื้มให้แก่ชไมพรเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เมื่อคนคนนั้นคือปลายฝน


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น