ตอนที่ 4

ตอนที่ 4 166

            “ไผมันยะหื้อตั๋ว! ฮึฮื้ออ! อี่ห้ากิ๋นตับ จะไปหื้อได้ฮู้เน่อ! ย่าจะบอกมอกมันซักกำเมาะ!” 

(ใครมันทำหนู! ฮึ้ยยย! อีห่าราก อย่าให้รู้นะ! ย่าจะสั่งสอนมันซะให้เข็ด!)

            เสียงก่นด่าของอุ๊ยแก้วดังออกมาจากใต้ถุนเรือนหลังจากเนตรไพลินกลับถึงบ้าน แม้หลานสาวจะพยายามป้องปิดแก้มที่บวมตุ่ยเอาไว้ แต่อุ๊ยแก้วก็ยังจับพิรุธได้ แกรีบเค้นถามในขณะที่เนตรไพลินเอาแต่ปฏิเสธว่าเดินชนประตูเอง ส่วนหม่อนง่วนอยู่กับการทำลูกประคบร้อนแบบง่ายๆ เพียงใช้ผ้าเช็ดหน้าของแกขมวดเป็นก้อนกลมเล็กๆ แล้วพ่นลมหายใจอุ่นๆ ลงกับผ้า ประคบลงกับแก้มอิ่มของเนตรไพลิน เพียงเท่านี้เนตรไพลินก็รู้สึกดีขึ้น แม้จะไม่ถูกวิธีนัก แต่ก็ปลอบโยนเธอได้มากเหลือเกิน

            “หนูเดินชนประตูจริงๆ” เนตรไพลินยังคงพยายามอธิบาย

            “จะไปมาเถียง! ประตู๋ตี้ไหนมันมีห้านิ้ว ย่าเลี้ยงตั๋วมายี่หยังย่าจะบะฮู้! ว่าตั๋วเป็นคนจะใด ไผยะอะหยังหื้อตั๋ว ตั๋วก่ออดเอาๆ ตี๋มันคืนฮั้นก่า! ตั๋วก่อมีมือมีตี๋นหลอ!” 

(อย่ามาเถียง! ประตูที่ไหนมันมีห้านิ้ว ย่าเลี้ยงหนูมา ทำไมย่าจะไม่รู้! ว่าหนูเป็นคนยังไง ใครทำอะไรให้ หนูก็เอาแต่ทนอยู่อย่างนั้น ตบมันคืนไปสิ! หนูก็มีมือมีเท้านะ!)

            อุ๊ยแก้วยิ่งมีน้ำโหเมื่อเนตรไพลินพยายามปกป้องคนที่ทำร้ายเธอ แกรักหลานมาก จึงไม่พอใจทุกครั้งที่มีใครมาทำร้ายหลานทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นเนตรไพลินหรือนิลพิราพ แกเป็นเช่นนี้ตั้งแต่สมัยตั้งท้องลูกคนแรก อุ๊ยแก้วรักและหวงลูกชายมาก คอยประคบประหงมเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน ยิ่งลูกคนที่สองมาด่วนตายจากไปตั้งแต่ยังไม่ได้คลอด แกยิ่งต้องคอยปกป้องลูกชายแกให้ถึงที่สุด แต่ลูกชายกลับมีความฝันที่ยิ่งใหญ่และต้องการเดินตามรอยเท้าของปู่และพ่อที่รับราชการทหาร

อุ๊ยแก้วคัดค้านหัวชนฝา แม้ทั้งพ่อและสามีต่างก็เป็นรั้วของชาติ แต่โชคไม่ดีที่ทั้งคู่ตายในหน้าที่ ทิ้งภาระทุกอย่างไว้ให้แกและแม่ อุ๊ยแก้วจึงไม่ต้องการให้ลูกชายรับราชการทหารอีกคน กลัวจะพลอยเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ แต่ความรักชาติข้นกว่าเลือดในกาย ลูกชายจึงหาทางรับราชการจนได้ ไม่เป็นทหาร ก็เลือกจะเป็นตำรวจ ได้ดิบได้ดี ได้เลื่อนชั้นตำแหน่งตั้งแต่ยังหนุ่ม ถึงขั้นว่าได้แต่งงานกับลูกสาวผู้การฯ ปลูกต้นรักกอใหญ่และมีโซ่คล้องใจนาม ‘เนตรไพลิน’

แต่ความสุขในชีวิตนั้นสั้นนัก เพราะหลังจากแต่งงานได้เพียงห้าปี ลูกชายแกก็เสียชีวิตในหน้าที่ไปอีกคน ในตอนนั้นเองแม่ของเนตรไพลินรับรู้ว่าตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง แต่หล่อนไม่สบายใจที่ต้องอาศัยร่วมบ้านเดียวกับแม่สามี จึงกลับไปอยู่บ้านเดิม ทิ้งให้เนตรไพลินอยู่กับย่า เมื่อคลอดลูกสาวอีกคนก็นำลูกสาวมาให้ย่าเลี้ยง ส่วนตัวเองกระโดดลงในตะกร้าล้างน้ำ กลายเป็นสาวโสดและไปแต่งงานกับนายตำรวจยศสูงกว่า โดยจ่ายเงินให้อุ๊ยแก้วห้าพันบาทแทนค่าเลี้ยงดู แน่นอนว่าคนอย่างอุ๊ยแก้วมีหรือจะรับไว้ เงินห้าพันบาทแม้จะมีค่ามากในสมัยนั้น แต่มันซื้อขายหลานแกไม่ได้ แกยินดีจะเลี้ยงหลานด้วยกำลังของแกเอง ส่วนเงินนั้นแกคืนให้ตัวแม่เป็นค่าน้ำนมของเนตรไพลิน

“โธ่~ ย่าก็~ เดี๋ยวความดันก็ขึ้นหรอก” เนตรไพลินปราม หันหน้าไปมองหม่อนที่เอาแต่ยิ้มขำ เพราะอุ๊ยก่ำเองเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวแกดี เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร

            ตอนนั้นเองเจ้าหมิ่นที่นอนอยู่บนแคร่ใหญ่ใต้ถุนเรือนผงกหัวขึ้นมองใครบางคนที่ก้าวเข้ามาทางประตูหน้าบ้าน มันจ้องมองหญิงวัยกลางคนที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับหลานชายตัวเล็กๆ เนตรไพลินแปลกใจ เพราะแขกที่ก้าวเข้ามาคือป้านง คนที่ตบหน้าเธอเมื่อตอนเย็น

            “โฮะ! อี่นงบะใจ้ก๋าหนะ” (เอ๊ะ! นั่นนงไม่ใช่เหรอน่ะ)

            อุ๊ยแก้วหันขวับไปมองอีกคน เมื่อเห็นว่าใครคนนั้นคือป้านงจึงรีบต้อนรับขับสู้ เพราะป้านงเป็นคนรู้จักของแก บ้านที่ป้านงอาศัยอยู่ก็ห่างจากบ้านหลังนี้ไม่กี่ซอย

            “มีหยังก่อ” (มีอะไรรึเปล่า) แกปัดกวาดเช็ดถูแคร่ไม้ใหญ่ให้แขกเข้ามานั่งพัก รีบจ้ำไปยังตู้เย็นเก่าๆ คว้าขวดน้ำพลาสติกสีขาวออกมาตั้งเสิร์ฟ วางแก้วใสสกรีนลายสีแดงสดที่แกได้จากร้านขายทองไว้ข้างๆ กัน แต่ป้านงที่เดินเข้ามากลับยืนอยู่นอกชายคา ไหว้สวัสดีอุ๊ยแก้วและอุ๊ยก่ำ ก่อนจะปล่อยหลานชายลงให้เดินเล่นอยู่ใกล้ๆ

            “สวัสดีจ้ะยาย ฉันมาหาเด็กคนนี้น่ะ ไม่รู้ว่าแก้มเป็นยังไงบ้าง” ป้านงรีบเข้าประเด็น 

หลังจากแยกกับเนตรไพลินเมื่อช่วงเย็น แกจึงรู้จากคนรอบข้างว่าหญิงสาวเป็นหลานสาวของอุ๊ยแก้วหรือแก้วโวที่ทุกคนรู้จักดี

            “ไม่เป็นไรแล้วค่ะป้า!” ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตอบอะไร เนตรไพลินก็แทรกขึ้นอย่างมีพิรุธ

            “มึงฮู้ก๋า ไผยะหื้อมัน!” (มึงรู้เหรอว่าใครทำ!) อุ๊ยแก้วโพล่งด้วยเสียงอันดัง

            “ฉันเองจ้ะ ฉันก็เลยแวะมา…” ป้านงเอ่ยตามตรงด้วยสีหน้าสำนึกผิด ทำให้เด็กน้อยที่หลบอยู่หลังป้านงพลอยยกมือไหว้ด้วยอีกคน แม้เขาจะไม่รู้ว่าผู้เป็นยายยกมือไหว้ด้วยเรื่องอันใด แต่พฤติกรรมเลียนแบบก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

            “ละมึงไปยะหื้อมันยี่หยัง” (แล้วมึงไปทำมันทำไม) อุ๊ยแก้วถามต่อ แต่น้ำเสียงสุขุมกว่าเมื่อครู่อยู่มาก 

ป้านงหลุบตาลง แม้จะไม่แน่ใจเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นัก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าวันนี้แกต้องมาขอโทษ คือแกปฏิเสธความหวังดีของเนตรไพลินอย่างไร้เยื่อใย อารมณ์ชั่ววูบนั้นทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปมาก

            “ฉัน…”

            “ย่า หนูผิดเอง หนูไปดึงแขนป้าเขา ป้าเลยตกใจ” ยังไม่ทันที่ป้านงจะบอก เนตรไพลินก็บอกย่าเช่นนั้น แม้จะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่ก็มีความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง

            ป้านงหันมองเนตรไพลินอย่างแปลกใจ ทั้งๆ ที่แกเป็นคนทำร้ายเนตรไพลินแท้ๆ หญิงสาวกลับหาเหตุผลที่ทำให้แกไม่ถูกอุ๊ยแก้วดุด่าเสียอย่างนั้น เนตรไพลินหันมาจ้องมองใบหน้าของแก สายตาบอกว่าต้องการให้แกเออออไปกับเธอด้วย

            “แต๊ก๋า!” (จริงเหรอ!) อุ๊ยแก้วร้องถามเพื่อความแน่ใจ แกเชื่ออยู่แล้วว่านั่นคือรอยฝ่ามือ หาใช่รอยจากการเดินชนประตูไม่ 

ป้านงพยักหน้ายอมรับคำอย่างปฏิเสธไม่ได้ ด้วยแกก็หวั่นใจกับอุ๊ยแก้ว รู้กันดีว่าอุ๊ยแก้วเป็นหญิงแกร่ง แกสู้ชีวิตมากับแม่ตั้งแต่ยังเล็ก นั่นทำให้แกมีนิสัยห้าวๆ ตามประสาผู้หญิงที่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง เข้มแข็งอย่าบอกใคร แต่มักจะใจดีกับเด็กๆ เสมอ ยิ่งโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงด้วยแล้ว แกจะรักเป็นพิเศษ

            “เตื้อหน้าตั๋วก่อระวังเนื้อระวังตั๋วโตยก่า ดีหนาบะโดนใส่แก่นต๋า บะอั้นต๋าปูดต๋าเป๋าหมด” (ครั้งหน้าหนูก็ระวังเนื้อระวังตัวด้วยสิ ดีนะที่ไม่โดนลูกตา ไม่อย่างนั้นตาปูดตาบวมหมด) อุ๊ยแก้วร้องบอกก่อนจะกวักมือชวนป้านงพร้อมหลานชายตัวเล็กให้มานั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน บรรยากาศเปลี่ยนไปจากช่วงเวลาก่อนหน้ามาก เพียงเพราะอุ๊ยแก้วเบาใจเมื่อรับรู้เรื่องราวจากปากทั้งสองคน 

            ในขณะเดียวกัน ณ อีกสถานที่หนึ่งที่ห่างไกลจากโลกมนุษย์มาก สภาพอากาศก็แตกต่างกับโลกมนุษย์โดยสิ้นเชิง กลิ่นโลหะหลอมละลายโชยคละคลุ้ง เบื้องบนเต็มไปด้วยหมอกสีแดงฉาน ความร้อนระอุจากเบื้องล่างพวยพุ่งขึ้นมา ด้วยผืนดินบางส่วนหลอมเหลวเป็นแอ่งลาวาใหญ่ ฟองอากาศเดือดปุดท่ามกลางเสียงโหยหวนของสรรพสัตว์ ไม่มีสักวินาทีที่สถานที่แห่งนี้จะไร้เสียงโหยไห้ คร่ำครวญขอความเมตตาจนไม่เป็นภาษา ร่ำร้องอยู่อย่างนั้นแต่ไม่มีใครเข้าช่วยเหลือได้

ใจกลางของสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของอาคารหลังใหญ่มหึมาเส้นทางสี่สายทอดยาวสู่ใจกลางอาคารใหญ่ สายหนึ่งมุ่งตรงมาจากทางทิศเหนือ สายหนึ่งมุ่งตรงมาจากทางทิศใต้ อีกสองสายตรงเข้ามาจากทางทิศทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และตัดกัน ณ ใจกลางของอาคารใหญ่พอดิบพอดี แบ่งพื้นที่ของสถานที่แห่งนี้เป็นสี่ส่วนใหญ่ๆ แต่ละส่วนแบ่งย่อยเป็นสี่ส่วนเล็ก แต่ละส่วนเล็กแยกจากกันอย่างชัดเจนด้วยแม่น้ำสายหลักที่แยกเป็นสี่สาย และแตกแขนงออกไปเรื่อยๆ ตามการบรรจบ

ไม่ว่าใครหน้าไหนก็คงไม่ต้องการมีจุดจบในอยู่ที่นี่ แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าใคร จะร่ำรวย ยากดีมีจน ก่อบุญหรือสร้างบาป ก็ต้องลงมาลงเอยในสถานที่แห่งนี้ที่เรียกขานว่า ‘นรก’

อาคารหลังใหญ่มหึมาที่ตั้งตระหง่านดั่งภูผาสูงลิบด้วยจำนวนชั้นกว่าสี่สิบสี่ชั้นและลึกลงไปใต้ผืนดินร้อนระอุอีกสิบสี่ชั้น ตัวอาคารทำด้วยหินสีดำสนิท ว่ากันว่ามันดำเสียจนไม่อาจสะท้อนแสงเปลวไฟรายรอบได้ ยิ่งไปกว่านั้นอาณาเขตของอาคารหลังนี้ยังกินพื้นที่กว่า 2,400 ตร. กม. กว้างไกลพอจะควบคุมประชากรที่หลั่งไหลมายังนรกในแต่ละวัน และระบายออกไปสู่ขุมนรกขุมที่แยกกันด้วยแม่น้ำสายใหญ่ ต้องใช้แรงงานมหาศาลและการจัดการที่ดีเยี่ยมในการจัดการนรกแห่งนี้ ด้วยแต่ละวันมีดวงวิญญาณเข้าออกมากกว่าหนึ่งพันดวง

เมื่อก้าวผ่านประตูบานหนาด้านหน้าเข้าสู่อาคารหลังใหญ่ จะมองเห็นทางเดินสีขาวทอดยาวสู่โถง ภายในสถานที่แห่งนี้ดูไม่ร้อนระอุเท่าไร อย่างน้อยก็เย็นกว่าภายนอกอยู่มากโข ถึงกระนั้นก็หาได้เงียบสงบอย่างที่คิดไม่ ท่ามกลางเพลงบรรเลงคลอเบาๆ มีเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ ทั้งชายและหญิงอยู่ในชุดสูทสีดำกับหมวกฟีดอราประจำตัว บ้างพูดคุยกันอย่างรีบเร่ง บ้างเดินไปเดินมากันให้ควั่ก

‘คำสั่ง 9844 และ 9848 ติดรหัส 166’ ชายชุดดำเอ่ยกับหญิงตนหนึ่งที่ง่วนอยู่กับการตรวจรายนามผ่านเครื่องมือคล้ายคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก ป้ายสีขาวบนเคาน์เตอร์เขียนด้วยภาษาไทยว่า ‘แผนกรับเรื่อง’

‘166?’ หล่อนถามย้ำอย่างประหลาดใจ

‘ใช่ 166’ เขายืนยันกับหล่อน

‘แน่ใจหรือคะว่าไม่ใช่ 016 ดวงวิญญาณหลบหนี’ หล่อนถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน รหัส 166 ไม่ถูกใช้มานานมากแล้ว

‘รหัส 166 คำสั่งงานถูกยกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ’ เขายืนยันกับหล่อนด้วยรหัสและความหมายของมัน

            เนิ่นนานมากแล้วที่นรกเขตนี้ดำเนินงานเกี่ยวกับการรับดวงวิญญาณและพิพากษาบาปบุญให้ดวงวิญญาณมากมาย โดยหน้าที่ทุกส่วนนั้นขึ้นอยู่กับส่วนกลางและข้อตกลงระหว่างนรกทุกภาคส่วน นรกแต่ละเขตจึงดำเนินงานภายใต้การสั่งการของพญายมราช โดยมียมทูตเป็นผู้ปฏิบัติงาน

            ‘ขออภัยที่ต้องถามย้ำนะคะ เพราะรหัส 166 ไม่ถูกใช้งานมาหลายทศวรรษแล้ว’ หล่อนบอกก่อนลงรายการในคอมพิวเตอร์ แต่ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าใด เขาเพียงยืนรออยู่อย่างนั้นเพื่อรับฟังคำแนะนำจากหล่อน

            ‘ทางเรารับเรื่องแล้วค่ะ จากนี้คุณต้องขึ้นไปบรรยายสรุปกับคณะกรรมการที่ชั้น 4 ห้องปฐมกาล และส่งรายงานภายในวันพรุ่งนี้นะคะ ใช้ทางเดินตะวันตกสาย 7 ไปอาคารอนันตกาล ทางขึ้นชั้น 4 ใช้บันไดทางทิศตะวันตกของอาคารอนันตกาลได้เลยค่ะ’ หล่อนอธิบาย

เขาหาได้ตอบคำใดไม่ เพียงรับเอกสารแผ่นบางที่หล่อนมอบให้และก้าวไปยังทิศตะวันตกตามคำบอก มุ่งหน้าไปยังตึกอนันตกาลและขึ้นสู่ชั้น 4

            ชั้น 44 ของสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมานี้เป็นที่ตั้งของห้องทำงานใหญ่ของใครตนหนึ่งที่นั่งเอนกายพักสายตาอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่หลังโต๊ะไม้สีเข้มที่เต็มไปด้วยกองงานเอกสาร มันมากมายเสียจนทำให้ห้องทำงานอันกว้างขวางแคบลงมากทีเดียว ชายผู้นี้สวมชุดสูทอิตาลีสีขาว ผูกเนกไทสีเทาอ่อนที่บัดนี้ปลดให้หลวมหย่อนลงจากลำคอหนาของท่านน้อยๆ เผยเสื้อกั๊กสีขาวติดกระดุมกลางตัวด้านใน มีเสื้อสูทสีเดียวกันคลุมไว้เหนือพนักพิง สองมือวางพักไว้บนที่พักแขน

            ‘ท่านน่าจะพักบ้างนะขอรับ’ ใครตนนั้นเอ่ยขึ้นพลางก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทำงานใหญ่

            ‘ข้าพักอยู่’ เสียงทุ้มต่ำของเจ้าของกายาใหญ่บอกขณะดวงตายังคงปิดสนิท เส้นผมสีดำยาวหวีเสยขึ้นเรียบแปล้ แต่คิ้วหนาขมวดกันแน่น

            ‘แม้จะเป็นพญายมราชก็ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องโหมงานตลอดเวลานะขอรับ’ ชายร่างเล็กกว่ายังคงเสนอ เขาสวมชุดสูทสีดำ สีเดียวกันกับยมทูตตนอื่นๆ แต่ถอดหมวกฟีดอราสีดำถือไว้ในมือข้างหนึ่ง

            ‘ข้าเลือกเจ้าให้มาเป็นผู้ช่วย ฉันทิต หาใช่ให้เจ้ามาเป็นแม่ข้าไม่’ ชายผิวเข้มว่า

            ‘กลับไปพักผ่อนบ้างเถิดขอรับ’ ฉันทิตผู้ช่วยส่วนตัวของพญายมราชยังคงพยายามแนะนำนายของตน แต่ครั้นท่านเปิดดวงตาคมกริบสีดำสนิทขึ้นมามอง เขาก็ทำได้เพียงแค่เงียบ

            ‘เจ้าเห็นคำสั่ง 9844 และ 9848 แล้วหรือยัง’ ชายในชุดขาวถาม

            ‘ยังขอรับ’ และฉันทิตตอบตามตรง

            ‘รหัส 166 (คำสั่งงานถูกยกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ) ที่เพิ่งถูกเรียกใช้เมื่อสามนาทีที่แล้วไม่เคยถูกใช้มาก่อนในยุคสมัยของข้า มีใครกำลังเล่นตลกกับข้า’ เจ้าของห้องทำงานแห่งนี้ถอนหายใจ ก่อนคว้าเอาเอกสารเก่ากองใหญ่ยื่นให้ฉันทิตไปจัดการต่อ

            ‘พวกมันหลุดออกจากเงามืดนั้นแล้ว จัดการเอกสารเหล่านี้ต่อด้วย’ 

เอกสารปึกนั้นเต็มไปด้วยรายนามของดวงวิญญาณที่เคยติดอยู่ระหว่างโลกแห่งความเป็นกับความตาย หลังจากองค์ไวษวาหะ สหายท่านค้นพบสถานที่แห่งนั้น เหล่ายมทูตจึงประสานงานเข้าช่วยเหลือดวงวิญญาณที่เหลือ ก่อนจะจัดแจงให้สถานที่แห่งนั้นกลายเป็นนรกอีกขุมหนึ่ง เพราะดวงวิญญาณที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันและโทษทัณฑ์ที่นานขึ้นทุกที นรกจึงต้องรับมือกับสถานการณ์ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

            ‘แล้วท่านล่ะขอรับ จะกลับไปพักผ่อนใช่ไหมขอรับ’ ยมทูตยังคงคาดหวังว่านายตนจะกลับไปพักผ่อนตามที่เขาเสนอ

            ‘ข้าจักลงไปฟังบรรยายสรุป’ สิ้นคำท่านกายาใหญ่ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยัดยืนด้วยส่วนสูงที่มากกว่ายมทูตทั่วๆ ไปอยู่มาก ร่างกายที่กำยำล่ำสันทำให้ดูองอาจและน่าเกรงขาม

            แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อหมวกทรงฟีดอราสีขาวของท่านหายไปจากโต๊ะทำงาน

            ‘หมวกข้า’

            ‘มะ…มาแล้วเจ้าค่ะ! มาแล้ว!’ หญิงสาวผู้หนึ่งรีบร้องบอกเสียงหวาน หล่อนก้าวฉับๆ เข้ามาภายในห้องทำงานใหญ่ พร้อมกับหมวกฟีดอราสีขาวใบโต หล่อนมีนามว่า ‘กชมน’ เป็นผู้ช่วยทั่วไปของเหล่ายมทูต เพิ่งได้รับตำแหน่งดูแลท่านพญายมราชเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากผ่านการทดสอบเป็นยมทูตฝึกหัด

ว่ากันว่าในคืนนั้นหล่อนจำต้องรับดวงวิญญาณของชายชราคนหนึ่ง แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำให้กชมนต้องสลับไปรับดวงวิญญาณของชายอีกคนที่กระทำการอัตวินิบาตกรรมแทน ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนได้ดวงวิญญาณนั้นมาด้วยวิธีใด แต่ท่านพญายมราชเป็นผู้ลงนามยินยอมให้ผ่านการทดสอบนั้นด้วยตนเอง

            ‘ขอบใจ กชมน’ เจ้าของฝ่ามือหนารับหมวกฟีดอราสีขาวจากมือหล่อนแล้วสวมมันไว้ ปล่อยให้เรือนผมยาวสีดำสนิทลู่ลงกลางแผ่นหลัง

            ‘ตั้งแต่เมื่อใดที่เจ้าเข้าออกห้องนี้ได้โดยอิสระ’ วินาทีนั้นเองที่ฉันทิตแสดงอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ปกติแล้วมีเพียงเขาตนเดียวที่เข้าออกห้องทำงานของพญายมราชได้โดยไม่ต้องขออนุญาต หากไม่นับรวมไอยรีสิตามันและไวษวาหะผู้เป็นสหายของท่านเอง

            ‘ขะ…ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ พะ…พอดีข้ารีบเกินไปหน่อยเจ้าค่ะ กลัวว่าจะนำหมวกของท่านนิลลกาฬ…มาให้ไม่ทันเจ้าค่ะ’ กชมนให้เหตุผล

            ‘มันเป็นหน้าที่ของเจ้าตั้งแต่เมื่อไร!’ ฉันทิตถามต่อเสียงแข็ง

            ‘พอสักที! เป็นข้าเองที่ให้นางทำความสะอาดหมวกของข้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามีงานที่ได้รับมอบหมายมากพอแล้ว ฉันทิต เลิกโยเยเป็นเด็กเสียที!’ เจ้าของกายาใหญ่เอ็ดขึ้นด้วยเสียงอันดัง ดูเหมือนการไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลานานจะทำให้ชายผู้นี้หงุดหงิดง่ายขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

            เจ้าของกายาใหญ่ถอนหายใจก่อนก้าวเข้าไปในห้องกระจก ณ ใจกลางห้องทำงานใหญ่ มันเป็นห้องโล่งประมาณสิบตารางเมตร เพดานสูงกว่าสามเมตรทีเดียว ประตูบานใหญ่ทำจากกระจกและล้อมด้วยผนังกระจก ไม่นานห้องนี้ก็ค่อยๆ เคลื่อนลงสู่เบื้องล่างไม่ต่างกับลิฟต์ตัวใหญ่ที่มีใช้อยู่บนโลกมนุษย์เลยสักเพียงนิด

            ‘166’

เขาเอื้อนเอ่ยรหัสที่ไม่เคยถูกใช้เบาๆ ท่ามกลางเสียงเพลงยุค 60 ที่เปิดคลอบรรยากาศ แม้เสียงเพลงจะทำให้รู้สึกสงบ แต่หัวใจดวงโตของเขาร้อนระอุดั่งไฟเผาทีเดียว


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น