10

บทที่ 10

บทที่ 10

 

ภูริดลขับรถออกจากถนนย่อยสายเล็กหน้าวังดุษฎีรังสรรค์ออกมาสู่ถนนสายหลัก มุ่งหน้าไปยังใจกลางเมืองเพื่อซื้อชุดสำหรับไปงานเลี้ยงคืนนี้ ทว่าพอเห็นป้ายร้านขายยาอยู่ข้างหน้า เขาก็ชะลอความเร็วลงแล้วนำรถเข้าไปจอดที่หน้าร้าน

                “แวะร้านขายยาทำไม ไม่สบายเหรอ” ฟ้าพราวถามพลางยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากสามีด้วยความเป็นห่วง

                “นั่งรอในรถแป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมมา” เขาบอกหน้านิ่งแล้วรีบลงจากรถ ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมา เขาโยนถุงยางอนามัยกล่องใหญ่ไปไว้ที่เบาะหลัง แล้วส่งแผงยาที่บรรจุยาเพียงแค่สองเม็ดกับน้ำดื่มหนึ่งขวดให้ภรรยา “กินยานี่ซะ”

                “ยาอะไร” ฟ้าพราวรับแผงยากับขวดน้ำมาแบบงงๆ

                “ยาคุมฉุกเฉิน” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

                “คุณไม่อยากมีลูกขนาดนี้เลยเหรอ” หญิงสาวถามเสียงแผ่ว ก้มมองแผงยาที่มีอยู่สองเม็ดในมือ พลันความรู้สึกเจ็บปวดก็อัดแน่นอยู่ในอกจนแทบหายใจไม่ออก

                “ผมยังไม่พร้อม คุณหญิงก็น่าจะยังไม่พร้อมเหมือนกัน”

                “ถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะมีลูก คุณก็ไม่ควรมานอนกับฉัน”

                “เราสนุกกันได้ แค่ต้องป้องกัน”

                “ถ้าตอนนี้ฉันท้องไปแล้ว แล้วกินยานี่เข้าไป ไม่เท่ากับฉันฆ่าลูกเหรอ”

                “คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดแบบคุณหญิงนี่แหละ ความจริงยาคุมฉุกเฉินสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เท่านั้น ก็คือต้องได้ยาเข้าไปในร่างกายก่อนไข่จะฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก แต่ถ้าไข่ที่ผสมกับอสุจิฝังตัวที่ผนังมดลูกไปแล้ว ยานี่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาทำแท้ง”

“รู้ดีจังเลยนะ หรือว่าใช้กับผู้หญิงบ่อย”

                “ก็แค่ความรู้รอบตัวทั่วไป” ภูริดลรู้ว่าถูกภรรยาแขวะ แต่นิสัยเขาไม่ชอบพูดมาก ดังนั้นจึงไม่ยอมอธิบายว่าเคยติดต่อสาธารณสุขประจำจังหวัดให้ไปอบรมเรื่องการคุมกำเนิดและเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ให้คนงานในไร่เป็นประจำทุกปี เลยทำให้มีความรู้เรื่องพวกนี้อย่างละเอียดไปด้วย

                “ฉันยังยืนยันนะว่าถ้าฉันท้อง ฉันดูแลตัวเองกับลูกได้ คุณไม่ต้องรับผิดชอบอะไรฉันทั้งนั้น”

                “ผมไม่ได้ไม่อยากรับผิดชอบ” เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “แต่เราไม่ได้รักกัน ผมไม่ได้รักคุณหญิง คุณหญิงก็ไม่ได้รักผม เพราะนั้นเราไม่ควรมีลูกด้วยกัน”

                “ย้ำเหลือเกินนะว่าไม่ได้รักฉัน ฉันก็ไม่ได้อยากให้คุณมารักนักหรอก” ฟ้าพราวสวนด้วยความน้อยใจ ในขณะที่เธอพยายามมองเขาในแง่ดี พยายามที่จะทำใจให้รักเขาให้ได้ แต่เขากลับปิดประตูใส่เธอทุกทาง

                “เข้าใจตรงกันก็ดีแล้ว” 

                ภูริดลขับรถมุ่งหน้าเข้าเมืองไปอย่างเงียบเชียบ ทว่าภายในหัวกลับมีภาพความทรงจำในวัยเด็กผุดขึ้นมากมาย 

เขาจำได้ว่าตอนแปดขวบ เขาไปงานแซยิดของปู่ซึ่งถือเป็นงานรวมญาติไปในตัว ตระกูลของเขาเป็นตระกูลพ่อค้าเชื้อสายจีนตระกูลใหญ่ พี่น้องของพ่อแต่ละคนก็มีบริษัทใหญ่โต ได้แต่งงานกับคนมีฐานะ มีหน้ามีตาในสังคม ทว่าพ่อของเขากลับได้พนักงานแม่บ้านของโรงแรมเป็นภรรยา ซึ่งก็คือแม่แท้ๆ ของเขานั่นเอง อีกทั้งช่วงนั้นเป็นช่วงที่โรงแรมของพ่อประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนเกือบจะต้องปิดตัว ยิ่งทำให้ญาติพี่น้องไม่อยากสุงสิงด้วยมากขึ้น 

ในงานวันนั้นเขาแอบได้ยินผู้ใหญ่คุยกันว่า พ่อกับแม่ของเขาไม่ได้รักกัน แต่พ่อจำใจต้องแต่งงานกับแม่เพราะถูกแม่วางแผน ‘จับ’ โดยปล่อยตัวให้ท้อง ดังนั้นลูกที่ไม่ได้เกิดจากความรักอย่างเขาจึงไม่เคยได้รับความรักจากพ่อและแม่เลย แม่ใช้เขาเป็นเครื่องมือในการสูบเงินจากพ่อ ส่วนพ่อก็เลี้ยงเขาตามหน้าที่เท่านั้น ไม่เคยให้ความรักความอบอุ่น มีแต่ชี้นิ้วสั่งให้ทำโน่นทำนี่

ตั้งแต่เล็กจนโต เขาต้องเผชิญกับสายตาดูถูกเหยียดหยามจากญาติผู้ใหญ่ที่ไร้ความเมตตาเกือบทั้งสายตระกูล และถูกกีดกันไม่ให้เล่นกับลูกพี่ลูกน้องวัยเดียวกันด้วยคำพูดที่ว่า

‘เด็กชั้นต่ำแบบนี้ อย่าไปเล่นกับมัน สกปรก!’

                ในสังคมที่เห็นเงินเป็นพระเจ้าและให้ค่ากับเปลือกนอกของฐานะทางสังคมมากกว่าความเป็น ‘คน’ เขาจึงถูกตราหน้าว่าเป็นคน ‘ชั้นต่ำ’ เพียงเพราะมีแม่เป็นคนรากหญ้าการศึกษาน้อยเท่านั้นเอง

                ภูริดลเหลือบตามองภรรยาผู้สูงศักดิ์ที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ แล้วอดกลัวไม่ได้ว่าลูกของเขาที่จะเกิดจากเธออาจจะต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกัน โดยเฉพาะสังคมยุคนี้ที่ ‘การบูลลี’ เป็นเรื่องสนุกของคนบางกลุ่ม ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ตระหนักสักนิดเลยว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำสามารถทำให้คนคนหนึ่งตายทั้งเป็นได้

 

ภูริดลพาฟ้าพราวมาที่ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ใจกลางเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นห้างสรรพสินค้าของไฮโซและผู้มีอันจะกินทั้งหลายใต้ฟ้าเมืองไทย เขาเดินเข้าไปอย่างมาดมั่นและดูเหมือนคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี สร้างความแปลกใจให้ฟ้าพราวมาก

                “ของที่นี่มีแต่แพงๆ ทั้งนั้นเลยนะ ปกติฉันยังไม่มาเดินเลย”

                “แต่วันนี้ไม่ปกติ”

                คนตัวเล็กเงยหน้ามองสามีอย่างไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร 

                “ไม่ปกติเพราะวันนี้คุณมากับผม อยากได้อะไรก็ชี้นิ้วได้เลย ผมจ่ายเอง” ว่าแล้วก็รวบมือเล็กของภรรยาก่อนจะพาเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งเจ้าของร้านเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศ อีกทั้งยังได้รับเชิญไปร่วมงานแฟชั่นวีคของแบรนด์ดังที่ต่างประเทศอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย

                “นี่คุณ ร้านนี้ดังมาก แล้วก็แพงมากเลยนะ ลูกค้ามีแต่พวกไฮโซกับดาราดังๆ ทั้งนั้น เราไปร้านอื่นกันเถอะ” หญิงสาวจะลากแขนสามีออกจากร้าน แต่เขาขืนตัวไว้

                “จะกลัวอะไร บอกแล้วว่าผมมีเงิน”

                “ฉันรู้ว่าคุณมีเงิน แต่ก็ไม่ควรใช้แบบไร้สาระนะ”

                “ซื้อของให้เมีย ไม่เรียกว่าไร้สาระหรอกน่า” บอกหน้าตายแล้วหันไปถามพนักงานที่กำลังมองดูเชิงลูกค้าที่แต่งตัวมอซออย่างเก็บอาการอยู่ห่างออกไป “เจ้หลิวอยู่หรือเปล่า”

                ฟ้าพราวหรี่ตามองสามีอย่างตำหนิ “คุณหลิวเป็นเจ้าของร้านนะ ทำไมเรียกแบบนั้น ไม่มีมารยาทเลย”

                “เฉยเถอะน่า” ปรามภรรยาแล้วหันไปถามพนักงานอีกครั้ง “ว่าไง เจ้หลิวอยู่มั้ย”

                “อยู่ค่ะ คุณหลิวกำลังออกแบบชุดคอลเล็กชันใหม่อยู่ในห้องทำงาน คงไม่สะดวกออกมาต้อนรับคุณลูกค้า” พนักงานสาวเดินเข้ามาต้อนรับตามมารยาท ไม่มีท่าทีเอาอกเอาใจเหมือนเวลาต้อนรับลูกค้าเซเลบรายอื่น

                “ไปตามมาให้หน่อย”

                “ให้ดิฉันดูแลก็ได้ค่ะ ปกติคุณหลิวไม่ออกมาต้อนรับลูกค้าด้วยตัวเอง นอกจากลูกค้าวีไอพีที่นัดไว้ล่วงหน้าเท่านั้น”

                “บอกให้ไปตามเจ้หลิวมา” ภูริดลย้ำเสียงหนัก 

                “ค่ะๆ รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวรับคำด้วยความกลัว แล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านใน

                “ทำไมต้องดุพนักงานด้วย” ฟ้าพราวดุสามี

                “พูดปกติ ไม่ได้ดุ” ภูริดลบอกหน้านิ่ง เสียงเข้มแบบที่ใครได้ยินก็ต้องกลัวหัวหด ยกเว้นภรรยาตัวเล็กน่ารักของเขาคนนี้นี่แหละที่ไม่เคยกลัว แถมยังกล้าดุเขากลับอีกต่างหาก 

                “ความจริงให้พนักงานดูแลก็ได้ ไม่เห็นต้องตามเจ้าของร้านออกมาเลย แล้วไปเรียกเขาว่า ‘เจ้’ ไม่มีมารยาทเลยนะคุณ คนไม่รู้จักกัน เราก็ต้องให้เกียรติเขารู้มั้ย”

                “ขี้บ่นเป็นเมียแก่ไปได้” ภูริดลทำหน้าเซ็งแบบไม่จริงจังนัก

                “ฉันเพิ่งอายุยี่สิบเอ็ด ยังไม่แก่” เมียเด็กเถียงหน้าง้ำ

                “อย่าโกงอายุ อีกไม่กี่วันก็ยี่สิบสองแล้วไม่ใช่เหรอ”

                “จำได้ด้วยเหรอ” ฟ้าพราวไม่คิดว่าเขาจะจำเรื่องที่เธอเคยบอกได้ เพราะวันนั้นเหมือนเขาไม่ตั้งใจฟังที่เธอพูดด้วยซ้ำ 

                ทันใดนั้นเสียงเล็กแหลมของหรรษา เจ้าของร้านวัยสี่สิบสองปีดังนำมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงพร้อมกับพนักงานสาว

“ไอ้ลูกค้าซกมกคนนี้เนี่ยเหรอที่เรียกหาฉัน!”

                ภูริดลถอนหายใจพรืด กลอกตามองบน ในขณะที่ฟ้าพราวปรี๊ดแตกจนเก็บอาการไม่อยู่

                “ร้านหรู แบรนด์ดัง ต้อนรับลูกค้าหยาบคายแบบนี้ทุกรายเลยหรือเปล่าคะ” ว่าแล้วก็แค่นยิ้ม “คงไม่หรอกมั้งคะ แต่เพราะเขาแต่งตัวไม่ดี แถมหน้าตาก็เหมือนโจรป่า ก็เลยได้รับการต้อนรับแบบไม่ให้เกียรติกันแบบนี้”

                “ใจเย็นก่อนคุณหญิง” ภูริดลเตือนภรรยาที่ชอบด่าว่าเขา แต่ไม่เคยยอมให้ใครหน้าไหนมาดูถูกเขาแม้แต่ครั้งเดียว

                “ไม่ต้องมาห้ามฉันเลยนะ ฉันเกลียดที่สุดเลยพวกที่ชอบดูถูกคน มองคนแค่เปลือกนอก พวกที่มองคนจนเหมือนไม่ใช่คน ทุเรศที่สุด!”

                หรรษาจ้องหน้าฟ้าพราวด้วยสายตาโกรธจัดแล้วหันไปแว้ดใส่ภูริดล 

“ดิน! ยัยเด็กโลกสวยที่ยืนด่าเจ้ฉอดๆ นี่เป็นใคร”

                “เมียผมเองเจ้” คนเถื่อนตอบเสียงอ่อยแบบที่ฟ้าพราวไม่เคยเห็นมาก่อน

                “เมีย!” หรรษาอุทานเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ “แกมีเมียตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเจ้ไม่รู้”

                “ก็บอกให้รู้อยู่นี่ไง”

                ฟ้าพราวมองหน้าสามีสลับกับเจ้าของร้านสาวใหญ่หน้าตาเหลอหลา 

“เดี๋ยวนะ คุณสองคนรู้จักกันเหรอ”

                “เจ้หลิวเป็นลูกสาวของคุณป้าของผม เป็นหลานสาวคนโตของตระกูล” ภูริดลแนะนำพี่สาวให้ภรรยารู้จักด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่ไม่ได้ขยายความให้ฟังต่อว่าทั้งสายตระกูลมีเพียงครอบครัวของหรรษาเท่านั้นที่ดีกับเขามาตลอด

                ฟ้าพราวยิ้มหน้าเจื่อนแล้วยกมือขึ้นไหว้พี่สาวของสามีอย่างนอบน้อม ผิดกับเมื่อครู่นี้ราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือ “สวัสดีค่ะพี่หลิว ขอโทษด้วยนะคะ ฟ้าไม่รู้จริงๆ ว่าพี่หลิวเป็นพี่สาวของคุณดิน”

                “เรียกเจ้หลิวเหมือนไอ้ดินซกมกนี่ก็ได้ ไม่ต้องเรียกพี่หรอก มันดูห่างเหิน”

                “ค่ะเจ้หลิว” หญิงสาวรับคำเสียงอ่อนแล้วหันไปกระซิบดุสามี “ทำไมไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้”

                “ผมห้ามแล้ว คุณหญิงไม่ฟังเอง แล้วยังจะมาดุผมอีก”

                “ไม่ต้องเถียงกัน ไปนั่งคุยกันในห้องทำงานเจ้ดีกว่า” หรรษาปรามน้องชายกับน้องสะใภ้แล้วก็หันไปบอกพนักงาน “ไม่มีอะไรแล้วจ้ะ นี่น้องชายฉันเอง ไม่ต้องกลัว ไม่ใช่โจรป่าหรอก”

                “ค่ะคุณหลิว” พนักงานสาวรับคำแล้วเดินเลี่ยงออกไป

                หรรษาเดินนำไปที่ห้องทำงานพร้อมกับบ่นไปตลอดทาง 

“แกยังไม่หายบ้าอีกเหรอดิน เลิกทำตัวเป็นคนเถื่อนซกมกแบบนี้สักทีเถอะ อดีตที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปบ้างก็ได้ จะเก็บมันไว้ทำร้ายตัวเองทำไม”

                “ขี้บ่นแบบนี้ ถึงไม่อยากมาหา”

                “ถ้าแกไม่เลิกบ้า เจ้ก็ไม่เลิกบ่น”

                “ถ้าอยากบ่นก็บ่นตอนอยู่กันสองคนได้ปะ” 

                “ทำไม อายเมียเหรอ” 

                “เจ้....” ภูริดลขอร้องเสียงเบาพลางเหลือบตามองภรรยาแบบเสียหน้าเล็กน้อย

                ฟ้าพราวแอบอึ้งเบาๆ ไม่คิดว่าจะได้เห็นสามีจอมเถื่อนในมุมที่โดนพี่สาวดุแบบนี้

 

หรรษาพาภูริดลกับฟ้าพราวเข้ามาคุยกันในห้องทำงาน และหลังจากรู้ที่มาที่ไปของการแต่งงานสายฟ้าแลบและฐานะที่แท้จริงของน้องสะใภ้แล้ว หรรษาก็ยกมือทาบอก

                “ขุ่นพระ! นี่มันยุคไหนแล้ว ยังมีการจับคลุมถุงชนกันอยู่อีกเหรอ แล้วทั้งสองคนก็ยอมแต่งงานกันเนี่ยนะ” หรรษาไม่อยากจะเชื่อ “เจ้สงสารคุณหญิงฟ้าจริงจริ๊งงง! คุณหญิงควรได้สามีที่ดีกว่าดินนะคะ”

                “อ้าวเจ้ ผมไม่ดีตรงไหน” คนเป็นน้องชายประท้วงหน้าตึง

                “ถามคุณหญิงดีกว่า ถ้าถามเจ้ เจ้ร่ายข้อเสียของแกได้ยาวกว่าทางช้างเผือกอีก” หรรษาแขวะน้องชายแล้วหันไปถามน้องสะใภ้ “เจ้ถามตรงๆ นะคะคุณหญิง น้องชายเจ้มีอะไรดี ทำไมคุณหญิงถึงทนอยู่ด้วยได้ บอกตามตรงนะคะ เจ้อยู่กับมันแค่ชั่วโมงเดียวเส้นเลือดในสมองก็แทบจะแตกตาย”

                ฟ้าพราวมองสบตาภูริดล ถ้าจะให้หาเฉพาะข้อดีของเขา เธอก็พอมองเห็นอยู่บ้าง ในความแข็งกระด้างป่าเถื่อน เธอเห็นความอ่อนโยนซ่อนอยู่ในนั้น เขาทำเธอเจ็บก็ทายาให้ แม้จะดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจก็เถอะ เขารู้ว่าเธอไม่สบายก็ส่งมะเหมี่ยวมาดูแล รู้ว่าเธอคิดมากเรื่องหม่อมก้อยก็อธิบายให้เบาใจ ส่วนเรื่องบนเตียง เขาก็ปรนเปรอจนเธอมีความสุขก่อนทุกครั้ง

                แต่เธอจะไม่บอกให้เขาได้ใจหรอก!

                “ไม่มีเลยค่ะ คุณดินใจร้าย ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจฟ้า”

                หรรษาแทบจะตบเข้าฉาด “นี่แหละค่ะจุดเด่นของมัน ปากหมา!”

                “นี่น้องนะเจ้” ภูริดลประท้วงหน้าตึง

                “แล้วแกล่ะดิน คุณหญิงฟ้ามีดีอะไร แกถึงได้ยอมอยู่ด้วย แถมยังพามาหาเจ้อีก ทั้งที่เคยบอกว่า ถ้าไม่ใช่ ‘ตัวจริง’ จะไม่พามาให้เจ้รู้จักเด็ดขาด ขนาดใครนะ...” หรรษาคิดนิดหนึ่ง “ก้อยใช่มั้ย ที่จะแต่งงานกันเมื่อปีก่อน แกยังไม่เคยพามาแนะนำให้เจ้รู้จักเลย”

                ภูริดลชะงักไปนิดหนึ่งแล้วทิ้งหลังพิงพนักโซฟาโดยไม่ยอมมองหน้าภรรยาที่กำลังปั้นหน้าไม่ถูกเพราะคำว่า ‘ตัวจริง’

                “หรือว่าที่แกพาคุณหญิงฟ้ามาที่นี่ เพราะลืมไปแล้วว่าเคยพูดอะไรไว้” หรรษาถามเมื่อน้องชายจอมปากแข็งไม่ยอมตอบ

                “ไม่ลืม” ภูริดลตอบสั้นห้วน ทำเอาฟ้าพราวใจเต้นตึ้กตั้ก

                “แปลว่าตั้งใจพามา” 

                “อื้อ”

                “คุณหญิงฟ้าคือตัวจริงของแก...?” หรรษายังไม่เลิกขยี้

“เจ้จะถามให้ได้อะไรขึ้นมา” คนถูกต้อนทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อน ในเมื่อฟ้าพราวเคยบอกว่าอยากมีเขาเป็นสามีเพียงคนเดียว และจะพยายามรักเขาให้ได้ เขาก็ต้องทำแบบเดียวกันกับเธอ ไม่อย่างนั้นเธอจะหาว่าเขา ‘ไม่แฟร์’ อีก แต่สุดท้ายแล้วเขากับเธอจะรักกันได้หรือไม่ ก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต

                “เจ้ก็แค่อยากรู้ ว่าคุณหญิงฟ้ามีดีอะไร ถึงทำให้คนเถื่อนอย่างแกยอมออกจากป่ามาเดินห้างหรูในกรุงเทพฯ ได้ เป็นปีแล้วปะที่แกหมกตัวอยู่แต่ในไร่ ไม่ยอมออกมาเจอผู้คน นี่เอลล่าก็ถามหาแกตลอด คิดถึงแกจะตายอยู่แล้ว”

                ฟ้าพราวจิกตามองสามีทันทีที่ได้ยินชื่อ ‘เอลล่า’ จนหรรษาต้องรีบอธิบาย

                “เอลล่าเป็นลูกสาวเจ้เองค่ะคุณหญิง เรียนอยู่อนุบาลสอง”

                “อ๋อ...ค่ะ” ฟ้าพราวยิ้มเจื่อน

                “คุณหญิงฟ้าท่าทางขี้หึงเหมือนกันนะคะเนี่ย” หรรษายิ้มขำ และนึกเอ็นดูน้องสะใภ้คนนี้มากที่ไม่รังเกียจน้องชายซกมกของเธอ 

                “ผมไม่คุยกับเจ้แล้ว” ภูริดลลุกพรวดขึ้น “ฝากหาชุดไปงานให้คุณหญิงด้วยนะ ขอแบบสวยที่สุด แพงเท่าไหร่ไม่ว่าแต่ห้ามโป๊เด็ดขาด”

                “งานอะไร เจ้จะได้เลือกให้ถูก”

                “ถามคุณหญิงเอาเองก็แล้วกัน” ตอบแล้วก็ทำท่าจะเดินออกจากห้อง

                “แล้วนั่นแกจะไปไหน”

                “ไปธุระ เย็นๆ จะกลับมารับคุณหญิงไปงาน”

                “ให้เจ้หาชุดไว้ให้แกด้วยมั้ย”

                “ร้านเจ้มีแต่ชุดผู้หญิงไม่ใช่เหรอ เจ้ดูแลคุณหญิงไปเถอะ ผมดูแลตัวเองได้”

                “บอกตามตรงนะ เจ้ไม่ไว้ใจแก เจ้หาให้ดีกว่า เดี๋ยวแกทำคุณหญิงขายหน้า”

                “ปล่อยเขาเถอะค่ะเจ้หลิว ให้คุณดินเป็นตัวของตัวเองแบบที่เขาสบายใจดีกว่า ฟ้ารับได้ทุกอย่างที่เขาเป็น” ฟ้าพราวบอกจากใจจริง เธอทำใจยอมรับตัวตนของเขาตั้งแต่วันที่เขาพูดว่า

‘ผมไม่ได้อยากเป็นผัวคุณหญิง ทำไมผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคุณหญิงด้วย’

                ตั้งแต่วันนั้น ฟ้าพราวก็ไม่กล้าคาดหวังแล้วว่าภูริดลจะทำอะไรเพื่อเธอ

 

หลายชั่วโมงที่ฟ้าพราวอยู่กับหรรษาตามลำพัง สองสาวคุยกันถูกคอมากทั้งที่อายุห่างกันถึงยี่สิบปี นั่นเป็นเพราะเรื่องที่คุยกันล้วนเป็นเรื่องของภูริดลทั้งสิ้น ฟ้าพราวเพิ่งรู้ว่านอกจากเรื่องที่เขาถูกแม่แท้ๆ ของตัวเองจับไปเรียกค่าไถ่ เขายังถูกญาติพี่น้องตั้งแง่รังเกียจเพราะมีแม่เป็นคนรากหญ้าการศึกษาน้อยอีกด้วย

                “เพราะอย่างนี้นี่เอง คุณดินถึงได้ชอบพูดว่าตัวเองเป็นคนชั้นต่ำ” ฟ้าพราวพึมพำขณะยืนให้หรรษาช่วยรูดซิปด้านหลังของชุดราตรีให้

                หรรษาถอนหายใจพรืด “คนเราถ้าเห็นคุณค่าในตัวเอง รักตัวเอง ไม่ว่าคำพูดของใครก็ทำร้ายเราไม่ได้”

                “ตอนนั้นคุณดินยังเด็ก คงยังคิดแบบนี้ไม่ได้”

                “แต่ตอนนี้ดินโตแล้ว เขาต้องพาตัวเองออกมาจากมุมมืดให้ได้”

                “บางเรื่องมันก็ยากที่จะก้าวข้ามนะคะเจ้”

                “คุณหญิงเข้าใจดินจังเลยนะคะ” หรรษายิ้มอ่อนโยน ดีใจที่มีคนเข้าใจน้องชายเจ้าปัญหาของเธอ

                “ฟ้าพยายามที่จะเข้าใจเขาค่ะ” บอกอย่างเหนื่อยใจเต็มที “แต่ฟ้าก็ไม่รู้ว่าจะพยายามไปได้อีกนานแค่ไหน เพราะฟ้าพยายามอยู่คนเดียว คุณดินไม่เคยคิดที่จะปรับตัวเข้าหาฟ้าเลย”

                “ขอบคุณนะคะคุณหญิงที่พยายามอดทนกับน้องชายเจ้ แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว ดินมันยังเป็นแบบนี้อยู่ คุณหญิงก็ทิ้งมันไปหาสามีใหม่เถอะ เจ้เข้าใจ เจ้จะไม่ว่าอะไรคุณหญิงสักคำเลย”

                “อ้าวเจ้หลิว! เรื่องอะไรมายุให้เมียผมไปหาผัวใหม่”

                เสียงห้าวที่ดังขึ้นทำให้ฟ้าพราวกับหรรษาหันขวับไปมองยังต้นเสียง เห็นว่าภูริดลกำลังเปิดประตูเข้ามาในห้องแต่งตัวในสภาพที่สองสาวเห็นแล้วตะลึงตาค้าง 

เขาสวมชุดทักซิโดสีดำเรียบหรูอย่างคนมีระดับ ผมดำขลับที่เคยยาวและยุ่งเหยิงถูกตัดและจัดทรงเนี้ยบกริบ หนวดเคราถูกโกนเกลี้ยงเกลา ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคล้ามโดดเด่นสะดุดตา

หรรษาเห็นน้องชายกับน้องสะใภ้มองสบตากันข้ามหัวเธอราวกับว่าโลกนี้มีกันและกันเพียงแค่สองคน จึงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้ทั้งคู่ได้คุยกันตามลำพัง เพราะดูเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างก็มีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ซ่อนไว้ในใจ

“ไปงานวันเกิดหม่อมก้อย ต้องแต่งตัวดีขนาดนี้เลยเหรอ” ฟ้าพราวเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนเมื่อเห็นว่าเขาเอามองหน้าเธอโดยไม่ยอมพูดอะไร ในน้ำเสียงนิ่งเรียบของเธอแฝงไว้ด้วยความหมั่นไส้และน้อยใจอยู่ในที ยิ่งคิดถึงวันแต่งงานที่เขาปรากฏตัวในสภาพโจรป่าก็ยิ่งรู้สึกแย่ “อยากดูดีในสายตาหม่อมก้อยเหรอ”

ภูริดลไม่ตอบอะไร เขาเดินวนรอบตัวภรรยาอย่างเชื่องช้า มองสำรวจชุดราตรีสีชมพูพาสเทลที่เป็นแบบกระโปรงทรงสุ่มยาวครึ่งแข้งด้วยสายตาพึงพอใจ ตัวเสื้อท่อนบนเป็นคอปาด เปิดให้เห็นไหล่เนียนพองาม ใบหน้าสวยหวานแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนสีชมพูสดใส ผมที่ยาวถึงกลางหลังรวบเป็นทรงหางม้า ปลายผมดัดม้วนเป็นลอนใหญ่ ผูกด้วยริบบิ้นสีขาวเส้นใหญ่ ทำให้เธอดูราวกับเป็นตุ๊กตาบาร์บีที่มีความน่ารัก เซ็กซี่ ขี้เล่น และซุกซนรวมอยู่ในตัวคนคนเดียวกัน

“คอโล่งไปหน่อยนะ” เขาวางมือใหญ่ร้อนผ่าวลงบนลำคอยาวระหงแล้วเกลี่ยปลายนิ้วไปบนผิวเนื้อนุ่มอย่างอ่อนโยน “ถ้ามีสร้อยเพชรสักเส้นคงดี”

“ฉันไม่มีหรอก” อย่าว่าแต่สร้อยเพชรสำหรับใส่ออกงานเลย แม้แต่สร้อยใส่เล่นเส้นเล็กๆ ก็ไม่มีเหลือสักเส้น เพราะต้องเอาไปขายใช้หนี้ให้พ่อ ทุกวันนี้เธอมีเพียงหัวโขนของความเป็นราชนิกุลเท่านั้นที่เป็นเปลือกห่อหุ้มตัวตนทำให้คนในสังคมยังนับหน้าถือตาอยู่

“ผมรู้ ตอนนี้คุณกับพ่อคุณก็เหลือแต่เปลือกเท่านั้นแหละ ไม่งั้นคุณคงไม่ยอมแต่งงานกับคนเถื่อนอย่างผมเพื่อแลกเงินหรอก” พูดหน้าตายโดยไม่สนใจเลยว่าคนฟังจะเจ็บแค่ไหน

“แต่งตัวดี แต่ปากยังเสียเหมือนเดิมเลยนะคุณ” ฟ้าพราวใช้ปลายนิ้วตบปากสามีเบาๆ

ภูริดลจับมือเล็กที่ตบปากเขามามองอย่างพิจารณา “ทำไมไม่ใส่แหวนแต่งงาน”

“คุณกล้าเรียกแหวนวงนั้นว่าแหวนแต่งงานเหรอ”

“ทำไมล่ะ หรือว่ามันเป็นแค่แหวนทองราคาถูกเลยไม่คู่ควรที่จะเป็นแหวนแต่งงานของคุณหญิงผู้สูงศักดิ์”

“ฉันไม่สนใจว่าแหวนวงนั้นจะถูกหรือแพง จะเป็นเพชรหรือเป็นทอง แต่ที่ฉันไม่เรียกมันว่าแหวนแต่งงานเพราะคุณไม่เต็มใจสวมให้ฉัน แถมยังกวนประสาทสวมให้ที่นิ้วกลางอีก” หญิงสาวต่อว่าหน้าหงิกงอแล้วจะเดินหนี

“เดี๋ยวก่อนสิคุณหญิง” เขาตวัดแขนโอบเอวเธอไว้แล้วรั้งร่างเล็กเข้ามาแนบกับลำตัว

“อย่าทำอะไรบ้าๆ ที่นี่นะ เดี๋ยวเจ้หลิวเข้ามาเห็น” 

“คิดว่าผมจะทำอะไรหือ” เขาถามเสียงนุ่มพลางโน้มใบหน้าลงมาใกล้คนตัวเล็กที่อยู่ในวงแขนจนปลายจมูกสัมผัสกัน

“ก็ทำแบบที่คุณชอบทำ” เสียงหวานที่ตอบกลับแผ่วเบา ความวาบหวามแผ่ซ่านในโพรงอก ไม่ว่าจะใกล้ชิดกันมาแล้วกี่ครั้ง เธอก็ยังประหม่าและเขินอายเหมือนเป็นครั้งแรกทุกที

“ทำอะไร” ริมฝีปากของเขาปัดผ่านเรียวปากนุ่มที่เคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีกุหลาบมันวาวอย่างยั่วเย้า “คิดว่าผมจะจูบคุณหญิงใช่มั้ย”

“แล้วไม่ใช่เหรอ” ถามแล้วจะถอยใบหน้าหนี แต่ถูกมือใหญ่กดตรึงท้ายทอยเอาไว้แล้วแนบริมฝีปากลงมาจูบนุ่มนวล เนิ่นนานกว่าจะยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระ

“คุณหญิงอยากให้ผมจูบ ผมก็จะจูบ”

“ไม่ได้อยากสักหน่อย” เธอตอบแล้วก้มหน้างุดซ่อนผิวแก้มที่แดงระเรื่อ

เขาจับปลายคางเล็กให้เชิดขึ้น แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตสีคาราเมล 

“แต่แววตาของคุณหญิงคาดหวัง”

“คุณอยากจูบฉันเองก็พูดมาสิ ไม่ต้องมาอ้างว่าฉันอยากให้คุณจูบ คุณไม่ได้จูบเก่งจนฉันติดใจขนาดนั้นหรอกนะ” หญิงสาวพูดพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยรอยลิปสติกที่ติดอยู่บนริมฝีปากของสามีออกอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้

“ไม่ติดใจจริงเหรอ” เขาถามอย่างยั่วเย้าแล้วจับมือเธอมางับปลายนิ้วเบาๆ จากนั้นล้วงแหวนเพชรออกมาจากกระเป๋าด้านในของเสื้อสูทแล้วสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

ฟ้าพราวมองแหวนเพชรขนาดไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่จนเว่อร์วังบนนิ้วของตัวเองด้วยสีหน้างุนงง อยากคิดว่ามันเป็นแหวนแต่งงาน แต่ก็ไม่กล้า กระทั่งเขาบอกออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“แหวนแต่งงาน ใส่ไว้ คนจะได้รู้ว่าคุณหญิงมีผัวแล้ว”

“คนที่คุณพูดถึงนี่หมายถึงใคร”

“ผู้ชายทุกคน” ภูริดลตอบหน้านิ่งไร้ความรู้สึกเหมือนเคยแล้วหยิบสร้อยเพชรในกระเป๋าเสื้อสูทออกมาสวมให้ภรรยา ตามด้วยต่างหูและสร้อยข้อมือที่เข้าชุดกัน

“เอามาใส่ให้ฉันทำไม ทำไมไม่เก็บไว้ให้หม่อมก้อยเป็นของขวัญวันเกิด” อาจจะเป็นเพราะความหวงและความน้อยใจที่คิดว่าเขาแต่งตัวหล่อเพื่อไปงานเลี้ยงวันเกิด ‘แฟนเก่า’ เธอถึงเผลอทำตัวเป็นผู้หญิงงี่เง่าแบบนี้

“บอกแล้วว่าไม่คิดจะกลับไปหาก้อย” เสียงของเขากดต่ำอย่างรำคาญใจนิดๆ

“แต่คุณก็แต่งตัวหล่อเพื่อไปงานวันเกิดเธอ”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอนิดหนึ่งแล้วพูดเสียงยานคางอย่างน่าหมั่นไส้ 

“อ๋อ...งอนเรื่องนี้นี่เอง”

ฟ้าพราวสะบัดตัวออกจากวงแขนของเขาแล้วเดินหนีไปนั่งเติมลิปสติกบนเก้าอี้ทรงกลมที่หน้ากระจก เขาไม่ได้เดินตามมานัวเนียเหมือนทุกครั้ง แต่ยืนเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงมองเธออยู่ที่เดิม

“ผมไม่ลงทุนเพื่อคนที่ทิ้งผมไปขนาดนี้หรอกน่า”

“แล้วทำไมต้องมานึกอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองวันนี้ด้วย”

“เพราะคุณหญิงไง”

หญิงสาวชะงักกึก ลิปสติกเกือบจะหลุดมือ เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับสามีผ่านกระจกเงาบานใหญ่อย่างไม่อยากเชื่อว่าเขาจะทำเพื่อเธอ

ร่างสูงสง่าในชุดทักซิโดเรียบโก้เดินเข้ามาหยุดอยู่หลังเก้าอี้ แล้วโน้มตัวลงมากระซิบบอกที่ข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าทุกครั้ง 

“ผมไม่อยากให้คุณหญิงไปทะเลาะกับชาวบ้านเพราะผมอีก”

“นี่คุณ!” คนที่เกือบจะซึ้งหันมาแหวใส่ทันที “เห็นฉันเป็นคนยังไง ถึงจะได้ทะเลาะกับคนไปทั่ว”

“คนหวงผัว เวลามีใครมาว่าผมทีไร คุณหญิงก็ฉะกับเขาทุกที” ภูริดลหัวเราะอย่างเปิดเผยแล้วหอมแก้มภรรยาไปหนึ่งฟอดอย่างอดใจไม่ไหว “คุณหญิงปกป้องความรู้สึกของผมมาหลายครั้งแล้ว วันนี้ผมจะไม่ทำให้คุณหญิงขายหน้า”

“ทำตัวน่ารักก็เป็นด้วย” ว่าแล้วก็หยิบกระเป๋าคลัตช์ที่หรรษาเตรียมไว้ให้ ลุกขึ้นหมุนตัวสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่อีกครั้งก่อนจะออกไปงาน

“สวยแล้ว” ภูริดลบอกเสียงเรียบแล้วยกศอกรอให้ภรรยามาคล้องแขนอย่างเป็นสุภาพบุรุษที่สุดในโลก

ฟ้าพราวเดินควงแขนสามีออกจากห้องแต่งตัวด้วยรอยยิ้ม รู้สึกเหมือนได้สามีใหม่ แต่อีกใจก็ยังเป็นกังวลว่าถ้าเขาเจอกับหม่อมก้อยแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถึงปากเขาจะบอกว่าไม่คิดจะกลับไปหาผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้รักเธอแล้ว คนเคยรักกันมากจนเกือบจะแต่งงานกัน ไม่มีทางที่จะตัดขาดกันได้ง่ายๆ แน่นอน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น