บทที่ 2
รถเอสยูวีสีดำทะมึนพุ่งทะยานฝ่าความมืดมาบนถนนกรวดสายเล็กที่สองข้างทางมีแต่ต้นไม้น้อยใหญ่ ความขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อของถนนทำให้หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวที่นั่งมาในรถหัวสั่นหัวคลอน
“ทางเข้าไร่คุณกันดารขนาดนี้เลยเหรอ” หญิงสาวถามเสียงเบาพลางเหลือบตามองซ้ายทีขวาทีอย่างหวาดหวั่น เธอไม่ได้กลัวความลำบาก แต่เธอกลัวผีหรือพวกดักปล้นที่ซุ่มอยู่ข้างทางมากกว่า
“เปลี่ยนใจตอนนี้ผมก็ไม่พากลับวังแล้วนะ คุณหญิงต้องอยู่ที่นี่ เป็นเมียไอ้ดิน ชาวไร่คนนี้”
“ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหญิงแล้ว”
“ทำไม” ภูริดลหันหน้ามามองหญิงสาวข้างกายผ่านความมืดด้วยความสงสัย ปกติชนชั้นสูงมักจะเจ้ายศเจ้าอย่าง ชอบให้คนเรียกแบบให้เกียรติเต็มยศ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ชอบ
“ตอนนี้ฉันไม่ใช่หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราว ดุษฎีรังสรรค์แล้ว แต่เป็นนางฟ้าพราว พสุนธราไพศาล” สถานะของเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่จดปากกาเซ็นชื่อในใบทะเบียนสมรสกับเขาแล้ว ถึงแม้ว่าตามกฎหมาย หม่อมราชวงศ์เมื่อแต่งงานกับสามัญชนจะไม่ได้ต้องลาออกจากฐานันดรศักดิ์ก็ตาม แต่ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ที่สำคัญเธอก็ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าไปอยู่ในไร่ เธอก็อยากทำตัวให้กลมกลืนกับคนที่นั่น
“ถ้างั้นจะให้เรียกว่าอะไร”
“แล้วแต่คุณ”
“งั้นเรียก ‘เมียจ๋า’ ก็แล้วกัน” เขาแกล้งกวนประสาท
“ไม่เอา”
“ไหนบอกว่าแล้วแต่ผมไง”
“เรียกแบบนี้ ใครได้ยินเข้าฉันอายเขาตายเลย”
“เป็นเมียผมมันน่าอายตรงไหน” ชายหนุ่มถามเสียงขุ่น แผลเก่าในใจถูกสะกิดจนเลือดซิบ
“ฉันไม่ได้อายที่เป็นภรรยาคุณ...”
“เมีย!” หนุ่มชาวไร่พูดแทรกเสียงแข็ง “ไม่ต้องมาใช้คำว่า ‘สามี-ภรรยา’ กับผม พูดคำว่า ‘ผัว-เมีย’ แบบชาวบ้านทั่วไปผื่นคงไม่ขึ้นปากหรอกมั้ง”
“คนเถื่อน” ความจริงเธออยากด่าเขาว่า ‘คนถ่อย’ ด้วยซ้ำ แต่ก็กระดากปากเพราะปกติเธอไม่พูดคำหยาบ “ฉันไม่เถียงกับคุณแล้ว ฉันเหนื่อย” ฟ้าพราวยกมือยอมแพ้ เธอเถียงกับเขามาตลอดทางตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ จนถึงทางเข้าไร่บนดอยที่เชียงรายนี่ “ฉันไม่ได้อายที่เป็นเมียคุณ แต่อายถ้าคุณจะเรียกฉันแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น เวลาคุณพูดคำนี้ไม่รู้สึกขนลุกบ้างเหรอ”
“ถ้าอยู่กันสองคนก็เรียกได้?”
“แล้วแต่คุณสิ”
ภูริดลเหลือบมองเสี้ยวหน้าของภรรยาผ่านความมืดอย่างพิจารณาครู่หนึ่งก่อนถาม “ชื่อฟ้าใช่มั้ย”
“ใช่”
“ฟ้า...ดิน” เขาพึมพำกับตัวเองแผ่วเบาแล้วแค่นหัวเราะคล้ายเยาะหยันตัวเอง “ไม่อยากเชื่อว่าชาวไร่ชั้นต่ำอย่างผมจะได้ดอกฟ้าอย่างคุณหญิงมาเป็นเมีย”
ฟ้าพราวจับความรู้สึกเจ็บปวดกับอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของเขาได้ เธอมองเสี้ยวหน้าคมคล้ามผ่านความมืดสลัวอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“คุณรู้อะไรมั้ย”
“รู้อะไร”
“ไม่มีใครกดเราให้ต่ำได้ ถ้าเราไม่กดตัวเองลง”
ภูริดลนิ่งเงียบ กำพวงมาลัยรถแน่นจนแทบจะแหลกคามือ ความทรงจำในวัยเด็กวิ่งวนอยู่ในหัว มันคือฝันร้ายที่เขาอยากลืม แต่กลับฝังแน่นอยู่ในใจจนลบไม่ออก
“ผู้ดีอย่างคุณหญิงก็พูดได้สิ” เขาแค่นเสียงในลำคอ และยังคงเรียกเธอว่า ‘คุณหญิง’ ตามเดิมด้วยความชินปาก
“ฉันไม่รู้ว่าคุณเคยผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมา แต่ต่อไปอย่าดูถูกตัวเองแบบนี้อีก คนเราจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับการกระทำ ไม่ใช่ชาติกำเนิด ฐานะ หรืออาชีพ”
“จะมาเป็นเมียหรือเป็นแม่กันแน่”
“ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากเป็นทั้งสองอย่าง”
“แต่ผมอยากเป็นผัวคุณหญิงจนตัวสั่นไปหมดแล้ว” หนุ่มชาวไร่สลัดโหมดเศร้าทิ้งไปแล้วสวมบทคนเถื่อนตามเดิมเพื่อกลบเกลื่อนรอยแผลในใจ
“หยาบคายอีกแล้วนะ” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปหยิกหลังมือของเขาที่กำพวงมาลัยรถอยู่อย่างแรง
“โอ๊ย!” คนถูกหยิกแกล้งร้องเสียงดัง ทั้งที่ความจริงแล้วเจ็บน้อยกว่ามดกัดอีก “แค่นี้ถึงกับต้องทำร้ายร่างกายผัวเลยเหรอ”
ฟ้าพราวกลอกตามองบนกับคำว่า ‘ผัว’ ที่ได้ยินเกินร้อยครั้งตั้งแต่นั่งรถออกจากกรุงเทพฯ มาด้วยกันจนกระทั่งถึงเชียงราย ไม่รู้จะย้ำอะไรนักหนา “เมื่อไหร่จะถึงสักที ฉันเมื่อยไปหมดแล้วนะ ง่วงด้วย”
“ใกล้ถึงแล้ว” ชายหนุ่มตอบพลางเหลือบมองเวลาที่คอนโซลหน้ารถ เห็นว่าเกือบตีหนึ่งแล้ว ไม่แปลกที่ภรรยาป้ายแดงของเขาจะง่วง แต่อย่าคิดว่าถึงบ้านแล้วจะได้นอน คืนนี้เป็นคืนเข้าหอ เขาไม่ปล่อยให้เจ้าสาวของเขาหลับง่ายๆ แน่
บ้านของภูริดลเป็นบ้านไม้ท่อนซุงชั้นเดียวสไตล์ตะวันตก ยกพื้นสูง มีบันไดสามขั้นเพื่อเดินขึ้นสู่ตัวบ้าน ภายใต้ความสลัวของแสงไฟสีนวลเพียงดวงเดียวที่เปิดอยู่เหนือประตูหน้าบ้าน ทำให้ฟ้าพราวมองเห็นบรรยากาศโดยรอบไม่ชัดนัก แต่ก็รู้ว่าบ้านหลังนี้มีพื้นที่กว้างขวาง มีสวนหย่อมที่ปลูกไม้ดอกซึ่งส่งกลิ่นหอมยามค่ำคืนอยู่ด้านข้างตัวบ้าน
“เข้าไป”
เจ้าของบ้านที่เปิดประตูค้างไว้บอกเสียงเข้ม เมื่อฟ้าพราวเดินเข้าไปแล้วเขาจึงปิดประตูตามหลัง ภายในห้องโถงมืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากภายนอกส่องเข้ามาพอให้มองเห็นเลือนราง ภูริดลไม่เปิดไฟทันที เขากำข้อมือหญิงสาวที่ยังอยู่ในชุดเจ้าสาวไว้แน่นแล้วพาเดินไปที่ห้องนอนซึ่งอยู่ด้านในสุด
“ห้องนอนของเรา” เขาบอกพลางเดินไปกดสวิตช์เปิดไฟ
“ของเราเหรอ” ฟ้าพราวขมวดคิ้วอย่างข้องใจ
“ใช่ ห้องนอนของคุณหญิงกับผม หรือจะเรียกอีกอย่างว่า ‘ห้องหอ’ ก็ได้”
“เอ่อ...ฉันคิดว่า...”
“คิดว่าเราแต่งงานกันด้วยความไม่เต็มใจแล้วผมจะแยกห้องนอนกับคุณหญิงงั้นสิ” ภูริดลพูดอย่างรู้ทัน
“ก็ควรเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวตอบอ้อมแอ้มแล้วหาเหตุผลมาหว่านล้อมเพื่อประวิงเวลาการเสียตัวออกไปสักนิดก็ยังดี “เราน่าจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ก่อน แล้วค่อย...”
“ค่อย ‘อึ๊บ’ กันน่ะเหรอ”
“นี่คุณ พูดอ้อมๆ หน่อยก็ได้ปะ” คนที่ยังอยู่ในชุดเจ้าสาวเต็มยศปั้นหน้าแทบไม่ถูก เธอทำใจกับเรื่องนี้มาบ้างแล้วก็จริง แต่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นตั้งแต่คืนแรกที่แต่งงานกันแบบนี้
“ทำไมต้องอาย เรื่องอึ๊บกันเป็นเรื่องธรรมชาติ หรือว่าคุณหญิงไม่เคย” ภูริดลถอดแจ็กเกตและเชิ้ตออกแล้วโยนไปไว้ที่ปลายเตียง เขายิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจเมื่อเห็นฟ้าพราวรีบหันหลังหนีด้วยความกระดากอาย ชายหนุ่มเดินช้าๆ เข้าไปโอบกอดเธอจากทางด้านหลัง กดจูบหนักหน่วงลงบนลาดไหล่เปลือยเปล่าเหนือผ้าสไบเฉียงผืนงาม
ร่างบอบบางสะดุ้งเฮือก แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนหรือถอยหนี ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบ่ายเบี่ยง เพราะไม่ว่าช้าหรือเร็วสิ่งที่เธอกลัวก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี
“คะ...คุณ...ไปอาบน้ำก่อน” เสียงหวานสั่นสะท้านคล้ายขอความเห็นใจมากกว่าจะออกคำสั่ง
“อาบพร้อมกัน” เขาพึมพำพลางขยับริมฝีปาก ขบเม้มจากลาดไหล่ระเรื่อยขึ้นมาจนถึงซอกคอหอมกรุ่น หนวดเครารุงรังครูดไปกับผิวเนื้อจนขนอ่อนที่หลังคอของหญิงสาวลุกชัน
“ฉันรู้ว่าปฏิเสธคุณไม่ได้ แต่ฉันขอเวลาทำใจแป๊บนึงได้มั้ย” เธอวิงวอนเสียงแผ่ว
“ก็ได้ แต่อย่าหวังว่าจะผ่านคืนนี้ไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะผมไม่ได้เสียเงินสิบล้านเพื่อซื้อตัวคุณหญิงมาดูเล่น” เขาบอกเสียงกระด้างก่อนจะแนบริมฝีปากร้อนผ่าวลงบนฐานคอนุ่มแล้วดูดอย่างแรง
“อ๊ะ” ความเสียวจี๊ดทำให้ฟ้าพราวหลุดเสียงร้องน่าอับอายออกมา เธอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยันจากชายหนุ่มที่แนบกายอยู่ทางด้านหลัง จึงกระทุ้งศอกใส่เขาแล้วดันตัวออกจากวงแขนแข็งแกร่ง
ภูริดลจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที่ฉายแววหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัดแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก ในขณะเดียวกันมือก็ปลดหัวเข็มขัดออก
“จะ...จะ...ทำอะไร” ฟ้าพราวถามตะกุกตะกัก สายตาจับจ้องมือใหญ่ที่กำลังรูดซิปลงเชื่องช้าราวจงใจยั่ว
“ถอดกางเกง” เขาตอบพลางรูดกางเกงยีนลงพร้อมกับกางเกงชั้นใน เผยให้เห็นร่างกายเปลือยเปล่า ความเป็นชายโดดเด่นกระแทกสายตาคนมอง ถึงแม้ว่ามันจะยังอ่อนปวกเปียกอยู่ แต่ก็น่าหวาดกลัวมากสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“กรี๊ด!!!” ราชนิกุลสาวกรีดร้องเสียงดังสนั่นพร้อมกับยกสองมือขึ้นปิดหน้า เธอได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ แล้วผิวปากอย่างอารมณ์ดี ตามด้วยเสียงปิดประตูห้องน้ำ หญิงสาวรอจนแน่ใจว่าเขาไม่อยู่ตรงหน้าแล้วจึงเอามือที่ปิดหน้าอยู่ออก
“คนบ้า! คนเถื่อน!”
“เรียกผมเหรอ” ภูริดลเปิดประตูห้องน้ำออกมายืนจังก้าอย่างจงใจแกล้ง
“กรี๊ดดด!!! ออกมาทำไม กลับเข้าไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” เธอยกสองมือขึ้นปิดหน้าตัวเองอีกครั้ง
“ได้ยินคุณหญิงเรียก ก็นึกว่าเปลี่ยนใจอยากอาบพร้อมกัน”
“จะบ้าเหรอ! ใครจะอยากอาบพร้อมคุณ” ฟ้าพราวตอบเสียงแหลมพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างแรงเพื่อสลัดภาพอุจาดตาออกจากหัว
ภูริดลยิ้มเยือกเย็นแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ในใจหมายมั่นว่าคืนนี้จะเปลี่ยนเสียงร้องกรี๊ดๆ ให้เป็นเสียงครางกระเส่าทั้งคืน
ฟ้าพราวโมโหจนตัวสั่น ผู้ชายอะไรทั้งหยาบคาย ป่าเถื่อน และหน้าด้าน ต่อให้เขาไม่อายที่แก้ผ้าเดินโทงเทงแบบนั้นแต่เธออาย อายมากด้วย หญิงสาวพาตัวเองไปนั่งที่ปลายเตียง กวาดตามองไปรอบห้องนอนกว้างขวาง ทว่าเฟอร์นิเจอร์กลับมีเพียงเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ทีวีจอแบนขนาดประมาณสี่สิบนิ้ว และเครื่องเล่นแผ่นเสียงคลาสสิกเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าคนเถื่อนก็มีดนตรีในหัวใจเหมือนกัน
ฟ้าพราววางมือทาบอกข้างซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจที่เต้นระรัวแล้วตบเบาๆ ปลุกปลอบตัวเองให้สงบ พลันนั้นคำพูดที่น่าตบปากของภูริดลก็ดังขึ้นในหัว
‘เรื่องอึ๊บกันเป็นเรื่องธรรมชาติ...’
“คนบ้า! คนหยาบคาย!” หญิงสาวสะบัดหน้าอย่างแรง แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวและคงแดงจัดอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว”
“คุณ!” หญิงสาวตกใจ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า โชคดีที่เขานุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาด้วย แต่ก็พันไว้สะโพกอย่างหมิ่นเหม่จนเกือบจะเห็นอะไรต่อมิอะไรอยู่รอมร่อ “ทำไมอาบเร็วจัง”
“รีบ”
“ทำไมต้องรีบด้วย”
“อยากมาอึ๊บเมียเร็วๆ” ว่าพลางสะบัดศีรษะให้หยดน้ำบนเส้นผมที่เพิ่งสระเสร็จกระเด็นไปโดนคนที่นั่งแหงนคอตั้งบ่ามองเขาอยู่ปลายเตียง
“คนบ้า คนเถื่อน คนไร้มารยาท หยุดสะบัด ‘ขน’ ใส่ฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
“ผม! ไม่ใช่ขน!” ภูริดลพูดแก้เสียงหนัก อยากจับคนปากจัดฟัดให้จมเขี้ยว ตอนแรกที่รู้ว่าจะมีเมียเป็นคุณหญิงก็คิดว่าจะเป็นพวกนางในวัง เรียบร้อย สนิมสร้อย ดุนิด ดุหน่อยก็ร้องไห้น้ำตาท่วมโลก ที่ไหนได้แสบไม่เบา แต่แบบนี้แหละที่เขาชอบ เร้าใจดี
“เห็นยุ่งๆ รกรุงรัง ฉันก็เลยแยกไม่ออกว่าขนหรือผม ถ้ามีเวลาก็ตัดผม โกนหนวด โกนเคราบ้างนะ เห็นแล้วรกหูรกตา” เธอลอยหน้าลอยตาใส่เขาแล้วลุกขึ้นจะเดินหนี
“จะไปไหน” เขาคว้าแขนเธอเอาไว้
“จะไปอาบน้ำ ถ้าคุณง่วงก็นอนก่อนเลย ฉันอาบน้ำนาน ไม่ต้องรอ”
“ถ้านานเกินสิบห้านาที ผมจะเข้าไปตามในห้องน้ำ”
“จะบ้าเหรอ! แค่สิบห้านาทีใครจะอาบเสร็จ” เธอแว้ดใส่
“งั้นผมอาบให้ จะได้เสร็จเร็วๆ” ภูริดลทำท่าจะลากแขนคนที่ยังอยู่ในชุดไทยจักรพรรดิแบบเต็มยศเข้าห้องน้ำ
หญิงสาวขืนตัวไว้จนตัวโก่ง “ไม่ต้องๆ ฉันอาบเองได้ สิบห้านาทีก็สิบห้านาที”
“ให้ไวเลย” เขาบอกเสียงแข็ง รำคาญคนเรื่องมากเต็มทน
ทันทีที่เขาปล่อยแขน ฟ้าพราวก็รีบรวบชายสไบแล้วถลกชายผ้านุ่งวิ่งหนีเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว แต่ให้ตายเถอะ ประตูห้องน้ำล็อกไม่ได้ เธอพยายามกดล็อกอยู่หลายครั้งก็ล็อกไม่ได้!
“ตัวล็อกมันเสีย” เสียงตะโกนของภูริดลดังเข้ามาในห้องน้ำ
“แล้วทำไมไม่ซ่อม” เธอตะโกนตอบกลับไป
“ผมอยู่คนเดียวจะซ่อมทำไม” เขาตะโกนตอบกลับมา
“แต่ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว ต้องซ่อม!”
“ผัวเมียก็เหมือนคนคนเดียวกัน อย่าเรื่องมาก” คราวนี้เสียงของเขาดังอยู่หน้าประตู “ถ้าไม่หยุดโวยวาย ผมจะเข้าไปอาบให้เดี๋ยวนี้”
“อย่าเข้ามานะ ฉันจะไม่พูด จะไม่บ่นอะไรแล้ว” ฟ้าพราวดึงลูกบิดประตูไว้แน่น กลัวเขาเปิดเข้ามาจริงๆ
“งั้นก็รีบอาบให้ไวเลย ผมไม่ชอบมานั่งรอใคร” เสียงของเขาห่างออกไปแล้ว
หญิงสาวค่อยๆ แง้มประตูออกดู เห็นว่าภูริดลเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวผ้าฝ้ายสีเทาควันบุหรี่ออกมาสวม เขาเช็ดผมเปียกชื้นลวกๆ จากนั้นเดินไปเปิดแผ่นเสียงเพลงคลาสสิกที่มีท่วงทำนองอ่อนหวาน สีหน้าของเขาผ่อนคลายขึ้น ไม่บึ้งตึงเหมือนตลอดทั้งวันที่เธอเห็น
ภูริดลเดินออกไปข้างนอกครู่หนึ่งแล้วกลับเข้ามาพร้อมกับแก้วกอญักในมือ เขาเดินไปนั่งเหยียดขาพิงหัวเตียง จิบน้ำสีอำพันอย่างสบายอารมณ์ เวลาผ่านไปสิบห้านาที ฟ้าพราวก็ยังอาบน้ำไม่เสร็จ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปตามอย่างที่ขู่ไว้แต่แรก เพราะอยากให้เธอมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการ ‘เข้าหอ’ ให้เต็มที่ แต่ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของเธอก็ทำให้เขาต้องวางแก้วแล้วรีบวิ่งพรวดพราดเข้าไปในห้องน้ำ
“กรี๊ด!!! ช่วยด้วย!!!”
“เกิดอะไรขึ้น!” ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับถามหน้าตาตื่น
“จิ้งจกอะ มันอยู่ตรงนั้น เอามันออกไปที” หญิงสาวใช้มือข้างหนึ่งปิดตาตัวเองเอาไว้ ส่วนอีกข้างชี้ไปที่กระจกบานใหญ่เหนืออ่างล้างหน้า
“ผู้ดีนี่ดัดจริตจริงๆ จิ้งจกตัวแค่นี้ก็กลัว” เขาบ่นพลางจับจิ้งจกตัวเล็กไปปล่อยตรงช่องลมบานเกล็ด แล้วเดินกลับมายืนตรงหน้าหญิงสาวที่กลัวจนตัวสั่นอีกครั้ง “เอาไปทิ้งแล้ว”
“เฮ้อ...เกือบช็อกตาย” ฟ้าพราวถอนหายใจเฮือกแล้วทิ้งหลังพิงผนังห้องน้ำ
คนที่กำลังจะช็อกตายน่าจะเป็นภูริดลมากกว่า เพราะภาพหญิงสาวผิวขาวอมชมพูที่นุ่งผ้าเช็กตัวไว้หลวมๆ ช่างเย้ายวนสายตาเหลือเกิน ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางถูกล้างออกจนเกลี้ยงเกลา ผมยาวดำขลับที่เกล้าเป็นมวยไว้ก่อนหน้านี้ปล่อยให้ทิ้งตัว เนินอกอวบเหนือขอบผ้าทำให้ลมหายใจของเขาติดขัด
ไวกว่าความคิด เขาก้าวเท้าเข้าไปประชิดตัวเธอ ใช้แขนทั้งสองข้างยันกับผนังคร่อมร่างเธอไว้
“จะทำอะไร” ฟ้าพราวถามเสียงสั่นพร้อมกับยกมือดันแผงอกกว้างเอาไว้ ไม่ให้เขาแนบตัวเข้ามาชิดจนเกินไป
“ได้ฤกษ์เข้าหอของเราแล้ว” เขาโน้มหน้าลงมากระซิบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าชิดใบหูแล้วสูดกลิ่นหอมสะอาดหลังอาบน้ำเข้าไปจนชุ่มปอด จากนั้นลากปลายลิ้นไปตามแนวสันใบหูเล็กแล้วงับเบาๆ ก่อนจะระดมจูบลงมาตามลำคอระหง ระเรื่อยไปตามแนวกระดูกไหปลาร้าจนถึงเนินอกอวบ ริมฝีปากและปลายลิ้นของเขาแตะลงตรงไหนก็ร้อนผ่าวเหมือนมีเปลวไฟลามเลียที่ตรงนั้น
“อื้อ” ฟ้าพราวส่งเสียงครางแผ่วหวิวออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ใบหน้าสวยหวานแหงนเงยไปด้านหลังเพื่อเปิดทางให้เขาจูบเนินอกได้สะดวกขึ้นแล้วปิดเปลือกตาลงอย่างยินยอมพร้อมใจ
เธอไม่ได้โลกสวยและไม่คิดว่าการแต่งงานครั้งนี้จะไม่มีการเสียตัว ตั้งแต่วันที่รับปากกับท่านพ่อว่าจะแต่งงานกับหนุ่มชาวไร่คนนี้ เธอก็เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องมอบร่างกายให้แก่เขา ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘สามี’ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกว่ายังพอมีเกียรติหลงเหลืออยู่บ้างเพราะอย่างน้อยก็บอกกับทุกคนได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็น ‘ภรรยา’ ที่มีทะเบียนสมรส ไม่ใช่แค่นางบำเรอที่ถูกเขาจับมาซุกไว้ในไร่ชาบนดอยแห่งนี้
มือเล็กขยุ้มอกเสื้อเขาแน่นเมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวเลื่อนจากเนินอกขึ้นมาประกบกับเรียวปากนุ่มของเธอ เขาออกแรงกดเชื่องช้าทว่าหนักแน่น ใช้ปลายลิ้นบังคับให้เธอเผยอริมฝีปากขึ้นแล้วแทรกเข้ามาไล้เลียอ้อยอิ่งก่อนจะเกี่ยวรัด เอาลิ้นเล็กไปดูดดึง
น่าแปลกที่เขาทำตัวดิบเถื่อนกับเธอมาตลอดทั้งวัน แต่พอถึงบทรักเขากลับนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกสัมผัสของเขาปราศจากการคุกคาม หรือเรียกร้องเอาแต่ใจ ตรงกันข้าม เขาปรนเปรอและปลุกเร้าเธออย่างตั้งอกตั้งใจ ทำให้ความต้องการตามธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ในหลุมลึกของใจถูกขุดออกมาอย่างง่ายดาย
“ยะ...หยุดก่อน...” ฟ้าพราวแข็งใจดันหน้าอกของเขาให้ออกห่าง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางด้านข้าง
“หยุดทำไม” ภูริดลจับคางเล็กให้หันหน้ากลับมามองตากันแล้วถามด้วยน้ำเสียงต่ำพร่าเจือแววหงุดหงิดเล็กน้อย เธอจะมาบอกให้หยุดตอนที่ความปรารถนาของเขากำลังไต่ระดับขึ้นสูงแบบนี้ไม่ได้ “จะไม่ยอม จะร้อง จะหนี?”
“มะ...ไม่...ใช่...” เธอตอบเสียงเบา ลมหายใจสะดุดเป็นห้วง
“แล้วให้หยุดทำไม”
“ฉัน...หายใจ...ไม่ทัน” ตอบแล้วก็เลื่อนแขนขึ้นไปคล้องคอเขาไว้เป็นหลักยึด ตอนนี้ขาเธอสั่นจนแทบจะล้มทั้งยืนอยู่แล้ว “ยืนไม่ไหวด้วย”
เท่านั้นแหละ คนหน้าโหดถึงกับหลุดยิ้มขบขันให้เห็นเป็นครั้งแรก แล้วเธอก็ถูกอุ้มออกจากห้องน้ำมาวางบนเตียง ภายในห้องนอนตอนนี้อบอวลด้วยกลิ่นซ่านจมูกของกอญัก และมีเสียงเพลงรักท่วงทำนองอ่อนหวานจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงคลาสสิกดังคลอเบาๆ
ฟ้าพราวทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนอนหอบสะท้าน ประสานสายตากับร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเตียง เขาถอดเสื้อยืดสีขาวออกอย่างใจเย็น โดยไม่ละสายตาไปจากเรือนร่างเกือบเปลือยของเธอเลย สายตาของเขาลากจากใบหน้าแดงระเรื่อผ่านริมฝีปากเต็มอิ่มที่เผยอขึ้นเล็กน้อยเพราะหายใจไม่ทันไปยังทรวงอกอวบที่โผล่พ้นขอบผ้ามาครึ่งเต้า ต่ำลงไปยังโคนขาที่ปลายผ้าแหวกออกจนเกือบเปิดเผยนวลเนื้อเร้นลับ สายตาของเขาเร่าร้อนดั่งเปลวไฟ ทำให้เธอร้อนวาบที่กึ่งกลางกาย ต้องเบียดขาเข้าหากันเพื่อบรรเทาความปรารถนาที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ
เธอได้ยินเขาหัวเราะเสียงต่ำคล้ายเย้ยหยัน แล้วหยิบกอญักที่เหลืออยู่มากระดกรวดเดียวหมดแก้ว แต่ไม่ได้กลืนลงคอ เขาเอามาป้อนให้เธอด้วยปากของเขา ริมฝีปากร้อนผ่าวตรึงริมฝีปากของเธอเอาไว้ บังคับให้กลืนน้ำสีอำพันลงไป ความขมปร่าร้อนวาบผ่านลำคอลงไปถึงช่องท้อง ฟ้าพราวไม่ใช่ราชนิกุลที่เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ เธอเคยดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ จำพวกพันช์หรือค็อกเทลมาบ้างตามงานเลี้ยงสังสรรค์ แต่ไม่เคยดื่มเหล้าดีกรีแรงที่ไม่ผสมอะไรเลยแบบนี้มาก่อน
‘คนบ้า นุ่มนวลได้ไม่นาน เถื่อนอีกแล้ว!’
“มันจะทำให้คุณหญิงสนุกมากขึ้น” คนที่นั่งอยู่ขอบเตียงยิ้มร้ายใส่นัยน์ตาเธอ “ต่อนะ ผมอยากเข้าไปอยู่ในตัวคุณหญิงจะแย่แล้ว”
ว่าแล้วก็ถอดกางเกงขายาวผ้าฝ้ายเนื้อบางออกพร้อมกางเกงชั้นใน เผยให้เห็นตัวตนอันแข็งขึงพร้อมรบ ฟ้าพราวจะถอยหนี แต่ก็ช้ากว่าร่างกำยำเปลือยเปล่าที่กดทับลงมา เขาเบียดตัวแทรกอยู่กลางหว่างขาเธอ ใช้เข่าดันเรียวขางามให้แยกออกกว้าง แล้วแนบความเป็นชายร้อนระอุลงบนเนินเนื้อนุ่มอย่างจงใจ สองมือใหญ่สอดประสานนิ้วกับมือเล็กแล้วดันขึ้นไปไว้เหนือศีรษะ ปากงับปมผ้าเช็ดตัวแล้วสะบัดออก เปิดเปลือยทรวงอกอวบที่มีปลายยอดสีชมพูสดน่าลิ้มลอง
ถึงแม้ภายในห้องจะเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างเงียบเชียบ ทว่าฟ้าพราวที่ตอนนี้ไม่มีผ้าติดกายสักชิ้นกลับร้อนรุ่มไปทั้งตัว และเพียงแค่เขาจ้องมองทรวงอกของเธอด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อน ปลายยอดก็หดตัวตอบสนองแบบไม่ไหว้หน้ากันเลย
“เครื่องร้อนแล้วใช่มั้ยคุณหญิง” เขาพูดเสียงแหบพร่าพลางโน้มหน้าลงมาซุกไซ้ทรวงอกอวบ จงใจใช้หนวดเคราครูดกับผิวเนื้ออ่อนบางจนร่างเล็กบิดเร่าด้วยความซ่านสยิว
ภูริดลปลุกเร้าเธออย่างใจเย็น ค่อยๆ เติมเชื้อไฟปรารถนาเข้าไปทีละนิด เขาจะไม่ยัดเยียดความเป็นสามีให้เธอ แต่จะทำให้เธอเป็นฝ่ายร้องขอจากเขาเอง
ถึงเขาจะเป็นคนป่าเถื่อนในสายตาเธอ แต่เขาก็ไม่ถ่อยสถุลถึงขนาดจะขืนใจผู้หญิงได้ เขาจะหยุดทันทีที่เธอแสดงอาการต่อต้านหรือบอกให้เขาหยุด แต่ดูเหมือนตอนนี้เธอกำลังล่องลอยอยู่ในดินแดนอันน่าอภิรมย์จนลืมความหวาดกลัวไปหมดแล้ว
ฟ้าพราวส่งเสียงครางแผ่วหวิว สองมือบีบกระชับมือใหญ่ที่ประสานกันอยู่แน่นขึ้น ปลายเล็บจิกลงบนหลังมือหยาบกร้านเพื่อต้านทานคลื่นความปั่นป่วนที่ขมวดเกลียวอยู่ภายในช่องท้องตอนเขาตวัดปลายลิ้นลงบนยอดอกสีหวานก่อนจะครอบปากลงไปดูดกลืนอย่างหิวกระหายสลับกันทั้งสองข้าง บางจังหวะก็ใช้ฟันขบปลายยอดแล้วดึงขึ้นก่อนจะปล่อยออก
เขาจงใจปลุกปั่นและทรมานเธอ...ผู้ชายชั่วร้าย!
ภูริดลช้อนตาขึ้นมองสบตากับคนที่นอนหอบถี่ ทั้งที่ปากยังครอบครองทรวงอกข้างหนึ่งของเธออยู่ ในดวงตากลมโตที่หวานเยิ้ม เขาเห็นประกายความปรารถนาร้อนแรงเต้นเร่าอยู่ในนั้น จึงเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปตรงรอยแยกกลางหว่างขาเธอ แตะต้องความเปียกชื้นอย่างจาบจ้วง
“คุณหญิงกำลังต้องการผม” เขาคายทรวงอกที่หอมหวานออกจากปากแล้วเลื่อนใบหน้าขึ้นไปเสมอกับใบหน้าแดงระเรื่อชื้นเหงื่อ ดวงตาของเขามีแววดูถูกดูแคลนจนหญิงสาวที่นอนอยู่ใต้ร่างต้องเบือนหน้าหนี เธอเกลียดสายตาแบบนี้ของเขาที่สุด
ภูริดลหัวเราะในลำคอนิดหนึ่งแล้วเลื่อนใบหน้าตามไปจูบอย่างเร่าร้อน ในขณะที่มือข้างหนึ่งบดคลึงปลายยอดรุนแรง อีกข้างที่อยู่เบื้องล่างก็คลี่แย้มกลีบเนื้อนุ่มแล้วสอดแทรกปลายนิ้วแข็งแกร่งเข้าไปหมุนวนเป็นวงเชื่องช้า ค่อยๆ ถอนออกแล้วกดเข้าไปใหม่ เขาทำแบบเดิมซ้ำอยู่หลายครั้ง ภายในของเธอคับแน่น อ่อนนุ่มและอุ่นจัด มันบีบรัดเขาเป็นจังหวะเร่าร้อน
ฟ้าพราวครางฮือทั้งที่ริมฝีปากถูกครอบครองอยู่ แขนทั้งสองข้างยกขึ้นโอบกอดร่างหนาไว้แน่น สะโพกหยัดขึ้นตอบสนองเขาอย่างลืมตัว แต่เมื่อความร้อนในร่างกายทะยานสูงขึ้นจนเกือบทะลุเพดานแห่งความปรารถนา เขาก็หยุดทุกการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน ปล่อยให้เธอลอยคว้างอยู่กลางอากาศเพียงลำพัง
“คุณ...” เธอมองเขาด้วยสายตาวิงวอนพลางดันสะโพกขึ้นบดเบียดกับความแข็งขึงอันร้อนระอุอย่างต้องการการเติมเต็ม
“อยากมากขนาดนี้ ไม่ได้นอนกับผู้ชายมากี่วันแล้ว” เสียงแหบห้าวเยาะหยัน
ฟ้าพราวชาวาบไปทั้งตัว ยิ่งกว่าโดนน้ำแข็งขั้วโลกสาดซัด
‘...เรื่องอึ๊บกันเป็นเรื่องธรรมชาติ หรือว่าคุณหญิงไม่เคย’
‘หรือว่าคุณหญิงไม่เคย...หรือว่าคุณหญิงไม่เคย...หรือว่าคุณหญิงไม่เคย...’
คำพูดเย้ยหยันของเขาดังก้องอยู่ในหัวซ้ำๆ เขาคงคิดว่าเธอผ่านผู้ชายมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้วสินะ เมื่อคิดได้ดังนั้น ความโกรธและความอับอายก็พวยพุ่ง
“คนเลว! คนเถื่อน! ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีกเลยนะ ออกไป!!!” เธอรัวกำปั้นลงบนไหล่หนาแบบไม่ยั้งแล้วผลักเขาออกจากตัว จากนั้นถอยหนีไปซุกตัวในผ้าห่มผืนหนา ทั้งที่ความปรารถนายังเต้นเร่าอยู่ในร่างกายจนร้อนรุ่มเหมือนนั่งอยู่บนเปลวไฟ แต่เธอก็ไม่อาจมอบพรหมจรรย์ที่หวงแหนมายี่สิบกว่าปีให้ผู้ชายที่ดูถูกดูแคลนเธอมากถึงขนาดนี้ได้
ภูริดลกัดฟันกรอดๆ ข่มความเจ็บหน่วงที่อัดแน่นจนแทบระเบิด เขาดึงผ้าห่มออกจากร่างเปลือยที่นั่งกอดเข่าพร้อมกระชากเสียงถามอย่างเกรี้ยวกราด “อยากมากไม่ใช่เหรอ มาทำต่อให้เสร็จสิ”
“ไม่! อย่ามายุ่งกับฉัน ออกไปนะ...ออกไป...”
“เป็นบ้าอะไร! เมื่อกี้ยังระริกระรี้อยากทำจนตัวสั่นอยู่เลย”
“หยาบคาย ป่าเถื่อน ไปให้พ้นหน้าฉันเลยนะ ไป๊!”
หนุ่มชาวไร่มองร่างเล็กที่นั่งซุกหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นกับเข่าตัวเองสลับกับก้มมองความเป็นชายแกร่งที่ชันและสั่นระริกเพราะความต้องการที่อัดแน่นจนแทบปริแตกอย่างชั่งใจว่า จะรวบตัวเธอมาทำต่อให้เสร็จ หรือจะยอมปล่อยเธอไปก่อน สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ต่อน้ำตาของเธอ
“โธ่โว้ย!”
เขาคำรามเสียงต่ำน่ากลัวแล้วเดินลงส้นเสียงตึงๆ เข้าไปในห้องน้ำ กระชากประตูปิดเสียงดังปัง!
ความคิดเห็น |
---|