บทที่ 6
กว่าที่พายุพิศวาสอันเร่าร้อนจะสงบลงได้ พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ภายในห้องนอนที่ค่อนข้างมืดมีเพียงแสงจันทร์สีนวลส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามากระทบร่างเปลือยเปล่าสองร่างที่นอนเคียงคู่กันอยู่บนเตียงนอน ก่อนภูริดลจะเอื้อมมือข้ามลำตัวของฟ้าพราวที่นอนหลับอยู่ไปกดปุ่มเปิดโคมไฟหัวเตียง
แสงไฟสีส้มสว่างจ้าแยงตาหญิงสาว ทำให้เธอตื่นขึ้นมา ทว่าไม่อาจขยับตัวได้เพราะรวดร้าวและเมื่อยขบไปทั้งเนื้อทั้งตัว โดยเฉพาะบริเวณจุดกึ่งกลางร่างกายที่เจ็บระบมจนน้ำตาซึม ถ้าอยากรู้ว่าเขา ‘กิน’ เธอไปกี่รอบ ก็คงต้องนับเอาจากถุงยางอนามัยใช้แล้วหลากหลายรสชาติที่ตกเกลื่อนอยู่ข้างเตียง
หญิงสาวปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง คิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและบอกกับตัวเองว่า เธอจะต้องไม่เสียใจ เขาไม่ได้บังคับขืนใจเธอ แต่เป็นเธอที่ยินยอมมอบร่างกายให้เขาด้วยความเต็มใจ ถึงแม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรักของทั้งสองฝ่าย แต่เธอก็กล้ายอมรับแบบไม่อายว่า เขาได้มอบความสุขให้เธอแบบที่ไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิต
“ร้องไห้ทำไม เสียใจมากเหรอที่เป็นเมียชาวไร่”
ฟ้าพราวได้ยินเสียงแข็งกระด้างดังขึ้นที่ข้างหู ตามมาด้วยสัมผัสจากปลายนิ้วหยาบกร้านที่ปัดน้ำตาออกจากหางตาให้เธอ หญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วเอียงหน้าไปด้านข้าง เห็นว่าเขานอนตะแคงตั้งศอกมองหน้าเธออยู่ด้วยแววตาไม่สบอารมณ์อย่างแรง
“เปล่า”
“แล้วร้องไห้ทำไม”
“ฉันเจ็บ...” เธอตอบเสียงเบาหวิว
แววตาเขาอ่อนวูบลง “ตรงไหน”
ฟ้าพราวอายเกินกว่าจะกล้าพูด เธอเบือนหน้าหนีเขาแล้วหนีบขาเข้าหากัน แต่ขยับเพียงเล็กน้อยก็เจ็บแปลบจนเผลอสูดปาก
ชายหนุ่มเลื่อนสายตาลงไปยัง ‘จุดเกิดเหตุ’ สอดมือเข้าไปตรงกลางหว่างขาเธอ ถามห้วนๆ
“ตรงนี้เหรอ”
“ฮื่อ...” เธอส่งเสียงตอบรับในลำคอ แล้วนอนนิ่งปล่อยให้เขาขยับมือยุกยิกอยู่บนเนินเนื้อนุ่มที่บอบช้ำ
“อ้าขาออก” เขาสั่งเมื่อขยับมือไม่ถนัด
“ไม่เอาแล้วนะ ฉันเจ็บ” ฟ้าพราวปรามเมื่อเห็นเขาขยับตัวลงไปเบื้องล่างแล้วจับขาทั้งสองข้างของเธอตั้งชันขึ้น ก่อนจะแหวกออกแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลาง ดวงตาสีนิลคมกริบจ้องมองจุดบอบช้ำอย่างพิจารณาจนเธอร้อนวาบที่ตรงนั้น
“ไม่ได้จะเอา ดูเฉยๆ”
“ดูทำไม”
“ช้ำมาก” เขาบอกเมื่อแหวกขาเธอออกจนเห็นนวลเนื้อแดงช้ำชัดๆ
“เพราะใครล่ะ” ฟ้าพราวพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดคล้ายจะต่อว่าอยู่ในที พลางดันตัวลุกขึ้นนั่งโดยใช้สองแขนยันกับที่นอน พยุงร่างกายที่อ่อนเปลี้ยเอาไว้
“บอกแล้วว่าของผมใหญ่มาก” น้ำเสียงของเขาแสดงความภูมิใจอย่างที่สุด
หญิงสาวอยากจะคัดค้าน แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็ทำให้เธอต้องยอมรับโดยแต่โดยดี และเธอก็รู้ฤทธิ์ของมันดีว่าทำให้เธอทั้งสุขซ่านและเจ็บแปลบได้มากขนาดไหน
“ไปอาบน้ำก่อน แล้วจะหายาทาให้” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นอุ้มร่างเล็กเปลือยเปล่าพาเดินเข้าไปในห้องน้ำ โดยไม่ฟังเสียงทัดทานใดๆ
ภูริดลวางฟ้าพราวลงยืนที่ใต้ฝักบัวในห้องน้ำ แล้วเปิดน้ำอุ่นให้ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ ปกติแล้วเขาชอบอาบน้ำเย็นมากกว่า ยิ่งเย็นมาก ยิ่งรู้สึกสดชื่นมาก แต่วันนี้เขาคิดว่าสายน้ำอุ่นน่าจะทำให้หญิงสาวที่บอบช้ำและอ่อนเพลียรู้สึกสบายตัวกว่าน้ำเย็น
การกระทำของเขามีความละเอียดอ่อนและใส่ใจ ตรงกันข้ามกับหน้าตาที่เคร่งขรึมและน้ำเสียงแข็งกระด้างอย่างสิ้นเชิง
“คุณออกไปได้แล้ว ฉันอาบเองได้” ฟ้าพราวดันอกเปลือยของสามีที่ยืนแทบจะตัวติดกันอยู่ใต้ฝักบัวให้ถอยห่างออกไป พยายามไม่หลุบตาลงมองความใหญ่โตที่เขาแสนจะภาคภูมิใจ
“อาบพร้อมกันนี่แหละ จะได้ล้างแผลให้ด้วย” เขาบอกเสียงกระด้างเหมือนเคย แล้วเอื้อมมือผ่านตัวเธอไปกดครีมอาบน้ำจากขวดแบบหัวปั๊มใส่ฝ่ามือ จากนั้นถูจนเกิดฟองสีขาวนุ่มนวล เอามาลูบไล้เนินอกอวบที่มีรอยคิสมาร์กเต็มไปหมด
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันอาบเองได้” หญิงสาวถอยหลังหนีไปจนแผ่นหลังชนผนังกระจกที่กั้นส่วนอาบน้ำกับพื้นที่ส่วนแห้งในห้องน้ำ แต่เขาก็ยังก้าวตามมาประชิดตัวเธอ
“อึ๊บกันจนเตียงแทบจะไหม้ ยังจะอายอะไรอีก”
เขาพูดอย่างหงุดหงิดพลางขยับตัวเข้าไปแนบชิดกับคนตัวเล็ก กดแนบความเป็นชายที่เธอไม่กล้ามองลงบนหน้าท้องแบนราบแล้วหมุนสะโพกเป็นวงอย่างยั่วเย้า ในขณะที่มือใหญ่ก็ลูบไล้ฟองครีมอาบน้ำไปบนเรือนร่างของภรรยาแทบจะทุกตารางนิ้ว ใช้เวลานวดคลึงทรวงอกอวบนานเป็นพิเศษ แถมปลายนิ้วยังปัดผ่านยอดดอกแล้วกดเบาๆ อีกด้วย
แต่นั่นก็ไม่ทำให้เธอสะบัดร้อนสะบัดหนาวเท่ากับตอนที่เขาเลื่อนมือลงไปกอบกุมเนินเนื้อนุ่มกึ่งกลางร่างกายแล้วถูทำความสะอาดให้อย่างไม่เบามือนัก แต่ก็ไม่ถึงกับรุนแรงจนเจ็บ บางจังหวะเขาก็แกล้งสะกิดปุ่มเนื้ออ่อนไหวอย่างจงใจยั่วเย้า
“อย่าเริ่มได้มั้ย ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ”
“คุณหญิงไม่ไหว แต่ผมยังไหว”
ฟ้าพราวเงยหน้าขึ้นมองเขาตากลับ ผู้ชายอะไรอึดเป็นบ้า
“ชาวไร่ คนใช้แรงงานอย่างผมก็อึดแบบนี้แหละ” เขาบอกเหมือนรู้ความคิดเธอ
“คุณมีผู้หญิงแอบซุกไว้ในไร่หรือเปล่า” อยู่ๆ ฟ้าพราวก็ถามขึ้น เธอแน่ใจว่าผู้ชายหื่นจัดกลัดมันแบบภูริดลจะต้องมีผู้หญิงเอาไว้ปลดปล่อยอารมณ์ดิบตามธรรมชาติแบบผู้ชายทั่วไปแน่นอน
“ถามทำไม”
“หื่นขนาดนี้ ต้องมีผู้หญิงเยอะแน่ๆ มีกี่คน บอกมา”
“จะรู้ให้มันได้อะไรขึ้นมา”
“แปลว่ามี” เธอจ้องหน้าเขา คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้
ภูริดลไม่ตอบ เขารั้งตัวหญิงสาวกลับเข้ามายืนใต้ฝักบัว ล้างฟองครีมอาบน้ำออกจากตัวเธอและล้างให้ตัวเองไปพร้อมกัน
“มีใช่มั้ย ตอบมาเดี๋ยวนี้นะ” ฟ้าพราวจับต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเขย่าเบาๆ อย่างเอาเรื่อง
“อย่าทำตัวน่ารำคาญ คุณหญิงเป็นเมียแต่ง มีทะเบียนสมรส จะกลัวอะไร”
“ฉันไม่ได้กลัว แต่ฉันไม่โอเคที่คุณจะนอนกับผู้หญิงไปทั่วทั้งที่แต่งงานกับฉันแล้ว”
“ผมไม่ได้สำส่อนขนาดนั้น” ภูริดลบอกเสียงเรียบแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาพันรอบกายภรรยา ก่อนจะอุ้มเธอออกไปจากห้องน้ำ แต่เมื่อเห็นเธอยังจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่องอยู่จึงยอมสารภาพ
“ผมยอมรับก็ได้ว่า ‘มี’ แต่มันก็เป็นเรื่องก่อนที่เราจะแต่งงานกัน คุณหญิงจะมาวีนผมไม่ได้”
“ตอนนี้เราแต่งงานกันแล้ว คุณจะเลิกกับผู้หญิงคนนั้นได้หรือเปล่า”
ภูริดลไม่ตอบ เขาเพียงใช้ผ้าขนหนูซับหยาดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนเรือนร่างของภรรยาเสร็จแล้วใช้ผ้าผืนเดียวกันเช็ดให้ตัวเอง จากนั้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกชุดนอนสายเดี่ยวผ้านุ่มลื่นสีแดงสดมาสวมให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ปลายเตียง ในขณะที่ตัวเองยังเปลือยกายอยู่
“เลิกสนุกกับคนอื่นแล้วมาสนุกกับฉันแค่คนเดียวได้มั้ย” ฟ้าพราวเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างสูงตรงหน้า ขอร้องเขาด้วยแววตาแสนเศร้า
“มันก็ขึ้นอยู่กับคุณหญิงว่าจะทำให้ผมมีความสุขมากพอจนไม่อยากไปหาความสุขจากผู้หญิงอื่นหรือเปล่า” เขาพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบอย่างไม่แคร์ความรู้สึกคนฟังเลยสักนิด
“ทำไมต้องขึ้นอยู่กับฉันคนเดียว ทั้งเรื่องหม่อมก้อย และก็เรื่องผู้หญิงคนนี้ ทำไมคุณไม่พยายามปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อฉันบ้าง”
“ในเมื่อคุณหญิงอยากเป็นเมียผม คุณหญิงก็ต้องรับสิ่งที่ผมเป็นให้ได้ ส่วนผมไม่ได้อยากเป็นผัวคุณหญิง แล้วทำไมผมจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคุณหญิงด้วย” ว่าแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาวยาวผ้าฝ้ายในตู้เสื้อผ้าออกมาสวมแล้วเดินออกไปนอกห้องนอน ทิ้งให้ฟ้าพราวยืนน้ำตาซึมอยู่คนเดียว
ดึกมากแล้วแต่หญิงสาวนอนไม่หลับ จึงเข้ามาหาที่รักซึ่งอยู่ในห้องที่ติดกับห้องนอนของเธอกับภูริดล ห้องนี้เล็กกว่าห้องนอนของเธอเล็กน้อย ดูจากสภาพน่าจะเป็นห้องนอนแขกที่ใช้เป็นห้องเก็บของ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เช่น เตียงนอน ตู้โชว์ เก้าอี้โยกริมหน้าต่างมีผ้าคลุมกันฝุ่น มีกล่องกระดาษวางซ้อนกันอยู่สองสามใบ แสดงว่าไม่มีใครมาเยี่ยมเจ้าของบ้านนานแล้ว
‘แน่ละ...ปากร้ายแถมใจร้ายขนาดนั้นใครจะอยากอยู่ใกล้!’
“ว่าไงที่รัก อยู่ห้องนี้โอเคมั้ย”
ฟ้าพราวนั่งลงบนพื้นข้างที่นอนของเจ้าแมวอ้วนแล้วลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู ที่รักดูดีใจมากที่เจ้านายมาหารีบกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักนุ่มแล้วร้องเมี้ยวๆ อย่างออดอ้อน
“อ้าว...แล้วนั่นไปรื้ออะไรของคุณดินออกมาเล่น”
ฟ้าพราวเดินไปยังจุดที่มีกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งล้มคว่ำอยู่บนพื้น เธอหงายกล่องขึ้นมาแล้วเก็บของเพื่อจะใส่กลับเข้าไปในกล่องตามเดิม ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเป็นตัวอย่างของชำร่วยและตัวอย่างการ์ดแต่งงาน และมีรูปพรีเวดดิงขนาดโปสต์การ์ดอีกหลายใบ
“คุณดินกับหม่อมก้อย” หญิงสาวพึมพำแผ่วเบาพลางมองรูปถ่ายในมืออย่างพิจารณา รูปถ่ายพรีเวดดิงเป็นตีมเจ้าหญิงและเจ้าชาย ถ่ายในสถานที่คล้ายปราสาทราชวังในเทพนิยาย
ฟ้าพราวแทบจะไม่สนใจคนเป็นเจ้าสาวเลย สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของภูริดล ในรูปเขาสวมชุดทักซิโดสีขาวดูหล่อมากอย่างกับเป็นเจ้าชายจริงๆ ผมดกหนาสีดำสนิทจัดทรงอย่างเนี้ยบกริบ ใบหน้าสะอาดสะอ้านไม่มีหนวดเคราสักเส้น เขาดูดีมากจนหญิงสาวไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเขามีผู้หญิงเยอะ แต่การที่เขายังเก็บของพวกนี้ไว้ ทั้งที่เวลาผ่านไปปีกว่าแล้ว ก็แสดงว่าเขายังลืมอดีตไม่ได้จริงๆ
“ทำอะไร!”
อยู่ๆ ภูริดลถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างแล้วเดินเข้ามากระชากรูปจากมือเธอไปยัดใส่กล่องเก็บไว้ตามเดิม แล้วโยนมันไว้บนหลังตู้โชว์ที่สูงประมาณหน้าอกของเขา
“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวที่รักตกใจ” ฟ้าพราวต่อว่าแล้วลากแขนสามีออกไปนั่งคุยกันที่ระเบียงหน้าบ้าน เวลาประมาณสามทุ่มกว่าในช่วงเวลาปลายปีแบบนี้อากาศบนดอยค่อนข้างเย็น เวลาลมพัดวูบมาที หญิงสาวที่ใส่ชุดนอนสายเดี่ยวแบบกระโปรงสั้นเหนือเข่าถึงกับต้องยกมือขึ้นกอดตัวเอง
“ทีหลังอย่ามาจุ้นจ้านกับเรื่องส่วนตัวของผมอีก”
“ฉันก็ไม่อยากยุ่งนักหรอก แต่มันบังเอิญเห็นจะให้ทำยังไง” ฟ้าพราวตอบด้วยเสียงนิ่งเรียบ พยายามบอกตัวเองว่าเรื่องของกวินตราหรือหม่อมก้อยเป็นอดีตไปแล้ว แต่เรื่องของผู้หญิงอีกคนของเขาที่เธอยังไม่รู้ว่าเป็นใครนั่นต่างหากที่สำคัญกว่า
คิดแล้วก็กลุ้ม นอกจากกวินตาแล้วยังมีม่านไหม แถมยังมีผู้หญิงปริศนาโผล่มาอีกคน
“ตกลงคุณมีผู้หญิงทั้งหมดสามคนใช่มั้ย”
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าผมจะมีผู้หญิงกี่คน แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทำให้ผัวมีความสุขที่สุดเท่านั้นก็พอแล้ว” ภูริดลบอกพลางขยับตัวเข้ามาสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบยาหลอดเล็กๆ ออกมาบีบใส่ปลายนิ้ว ก่อนจะเก็บหลอดยาใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม
“เห็นแก่ตัวที่สุด” ฟ้าพราวบ่นอุบอิบแล้วทิ้งตัวกระแทกแผงอกกว้าง ด้วยความที่เธอตัวเล็กกว่าเขามาก ร่างบอบบางจึงแทบจมหายไปในอ้อมกอดของเขา “ไหนบอกว่าไม่อยากเป็นสามีฉัน แล้วเรื่องอะไรมาบอกให้ฉันทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด”
ภูริดลใช้ความเงียบแทนคำตอบ สักวันหนึ่งเขาอาจจะรักเธอได้ แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน เขาผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายมามาก การจะให้เขารักและเชื่อใจผู้หญิงคนใหม่อีกครั้งเป็นเรื่องยากและคงต้องใช้เวลานานพอสมควร
“อ้าขาออก”
“หือ?”
“อ้าขาออก!” เขาพูดย้ำพลางสอดมือเข้าไปใต้ชายกระโปรงชุดนอน แล้วสอดปลายนิ้วที่แต้มยาเอาไว้เข้าไปตรงรอยแยกตรงกลางหว่างขาเธอ
“จะทำอะไร” หญิงสาวถามเสียงแผ่ว อย่าบอกนะว่าเขาหื่นอีกแล้ว
“จะทายาให้” เมื่อเธอไม่ยอมอ้าขาออกตามคำสั่ง เขาจึงจับต้นขาเธอแยกออกด้วยตัวเอง แล้วป้ายยาลงตรงจุดบอบช้ำ ค่อยๆ ลูบไล้ให้ทั่วอย่างอ่อนโยน
“อื้อ...คุณ...พอแล้ว” ฟ้าพราวบอกเสียงสั่น สัมผัสของเขาทำให้เธอร้อนผ่าวไปทั้งตัวอีกแล้ว
“เจ็บอยู่ยังมีอารมณ์อีกเหรอ” เขาหัวเราะเสียงทุ้มต่ำในลำคอที่ข้างหูเธออย่างเย้ยหยัน
“ฉันร้องเพราะเจ็บต่างหาก” เธอแก้ตัว แต่เขาก็รู้ทัน
“ตรงนี้ของคุณเปียกแล้ว” เขาแกล้งสอดปลายนิ้วเข้าไปบริเวณจุดอ่อนไหวที่ชุ่มฉ่ำนิดหนึ่งแล้วชักออก
“ฮื่อ...ขี้แกล้ง นิสัยไม่ดี” หญิงสาวกัดฟันข่มความรู้สึกแล้วดันตัวออกจากวงแขนแข็งแกร่ง เดินหนีเข้าบ้าน แต่ก็ก้าวขายาวมากไม่ได้ เพราะเจ็บระบมที่กึ่งกลางกาย
ภูริดลเดินตามไปช้อนตัวภรรยาขึ้นอุ้มแล้วพาไปวางบนเตียงนอนนุ่มในห้องนอน เขาจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากของเธอครั้งหนึ่งอย่างอดใจไม่ไหว
“ไม่เอาแล้วนะ ฉันเจ็บจะตายอยู่แล้วไม่เห็นหรือไง แล้วก็โกรธคุณอยู่ด้วย”
“โกรธอะไร”
“โกรธที่คุณมีผู้หญิงเยอะ แล้วก็พูดจาไม่ดีกับฉัน”
“ทำตัวน่ารำคาญ อยากโกรธก็โกรธไปเลย ผมไม่สนใจหรอก” เขาว่าแล้วก็เดินไปปิดไฟก่อนคลานขึ้นมานอนบนเตียงเคียงข้างภรรยา เธอพลิกตัวหันหลังให้เขาแล้วขยับตัวหนี เขาตามไปสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง ซุกไซ้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราเข้ากับซอกคอหอมละมุน ยิ่งเธอเอียงคอหนีเพราะจั๊กจี้ เขาก็ยิ่งแกล้งถูไถแรงขึ้น
“ถอยไป ไม่ต้องมากอด”
“งั้นไปกอดคนอื่นก็ได้” เขาคลายอ้อมกอดจากเธอแล้วพลิกตัวนอนหงายมองเพดานห้องผ่านความมืดสลัวที่มีเพียงแสงจันทร์นวลส่องผ่านเข้ามาทางม่านหน้าต่าง
“เรื่องของคุณ” หญิงสาวบอกเสียงเรียบโดยยังนอนตะแคงข้างหันหลังให้เขาอยู่
“แน่ใจ...?”
“ถ้าคุณจะทำ ฉันห้ามได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“แล้วจะถามทำไม”
ต่างฝ่ายต่างนอนเงียบในความมืดอยู่พักใหญ่ แล้วฟ้าพราวก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นอีกครั้ง
“ฉันเป็นคนนะคุณ มีความรู้สึก ฉันพยายามทำดีกับคุณ ฉันยอมมอบ ‘ครั้งแรก’ ให้คุณ” หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “คุณไม่จำเป็นต้องรักฉันก็ได้ แต่อย่าทำเหมือนฉันเป็นแค่เครื่องบำบัดความใคร่ได้มั้ย ถ้าคุณใจร้ายกับฉันมากฉันอาจจะทนไม่ไหวแล้วหนีคุณไปก็ได้นะ”
“อยากไปไหนก็เชิญ ไปพรุ่งนี้เลยก็ได้”
“แน่ใจเหรอที่พูด”
“อือ” ภูริดลส่งเสียงตอบรับในลำคอเบาๆ “สิบล้านที่ผมเสียให้พ่อคุณหญิง ถือว่าเป็นค่าตัวที่ผมอึ๊บคุณหญิงไปตั้งหลายรอบก็แล้วกัน”
“ฉันมีค่าแค่นี้เองเหรอ”
“มากไปด้วยซ้ำ” เขาตอบเสียงแข็งกระด้างแล้วลุกจากเตียงเดินออกไปนอกห้อง ปล่อยให้ฟ้าพราวนอนน้ำตาไหลในความมืดเพียงลำพัง
ฟ้าพราวตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเช้า แสงแดดอ่อนๆ ส่องเข้ามาทางม่านหน้าต่างพร้อมกับสายลมเย็นพัดเข้ามาให้รู้สึกปลอดโปร่ง ที่นอนข้างตัวเธอว่างเปล่าและเย็นเฉียบ เมื่อคืนนี้ภูริดลคงไม่ได้กลับเข้ามานอนในห้อง หญิงสาวนอนลืมตามองเพดานอยู่ครู่หนึ่งจนหายงัวเงียแล้วจึงลุกขึ้น แต่เพียงแค่ขยับขาลงจากเตียงก็เจ็บระบมที่กึ่งกลางกาย เมื่อคืนนี้สามีของเธอทายาให้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไร เพราะเช้านี้มันเจ็บมากกว่าเดิมเสียอีก
หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างอ่อนเพลีย อ่างล้างหน้าเปียก แปรงสีฟันของภูริดลก็เปียก เขาคงตื่นแล้ว และเข้ามาใช้ห้องน้ำ และก็คงออกไปทำงานในไร่แล้ว
“ก็ดี...จะได้ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีก” ฟ้าพราวพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัว เสร็จแล้วเก็บเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็ก เธอถอดแหวนแต่งงานซึ่งเป็นแหวนทองคำเกลี้ยงที่ภูริดลสวมให้ที่นิ้วกลางออกมาวางทิ้งไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง
“เมี้ยว...”
เจ้าแมวอ้วนเดินเข้ามาในห้อง เกลือกใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนนุ่มนิ่มเข้ากับข้อเท้าของเจ้านายสาว เธอจึงอุ้มมันขึ้นมา
“กลับไปอยู่ที่วังกันนะที่รัก”
ฟ้าพราวอุ้มแมวด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างลากกระเป๋าเดินทางออกไปที่หน้าบ้านด้วยสีหน้าและแววตาที่เด็ดเดี่ยว ในเมื่อเขาไล่ เธอก็จะไป และไปแบบไม่มีอะไรติดค้างกันด้วย เพราะเธอได้มอบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตให้เขาไปแล้ว
“คุณฟ้าจะไปไหนจ๊ะ” เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาจิ้มลิ้มรีบจอดจักรยานเข้ามายืนขวางหน้าดักทางฟ้าพราวเอาไว้
“เธอเป็นใคร รู้จักฉันด้วยเหรอ”
“หนูชื่อมะเหมี่ยว เป็นลูกหัวหน้าคนงานในไร่”
“แล้วรู้จักชื่อฉันได้ยังไง”
“นายดินบอกว่ามีผู้หญิงสวยๆ อยู่ที่บ้านนายคนนึง ชื่อฟ้า เป็นเมียนาย ให้หนูมาดูแล เพราะดูเหมือนคุณฟ้าจะไม่สบาย”
“ฉันเนี่ยนะไม่สบาย” ฟ้าพราวถามสีหน้างุนงง
“นายบอกว่าคุณฟ้าตัวร้อน เหมือนแผลจะอักเสบ เลยให้หนูมาทำข้าวต้มให้กินและก็หายาให้คุณกินด้วย”
ฟ้าพราวยกมือแตะหน้าผากและลำคอของตัวเอง ถึงได้รู้ว่าเธอตัวร้อนรุมจริงๆ เขารู้ได้ยังไง
“คุณฟ้าเป็นแผลตรงไหนจ๊ะ ให้หนูช่วยล้างแผลใส่ยาให้ด้วยมั้ย” มะเหมี่ยวถามประสาซื่อ แต่ทำเอาคนถูกถามปั้นหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียว
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันดูแลตัวเองได้”
“แล้วนี่คุณฟ้าจะไปไหน” เด็กสาวมองกระเป๋าเดินทางในมือผู้เป็นภรรยาของเจ้านาย
“กลับบ้าน”
“นายรู้หรือเปล่าว่าคุณฟ้าจะกลับบ้าน”
“รู้ เขาเป็นคนบอกให้ฉันไปเอง”
“อ้าว...อะไรของนาย รู้อยู่แล้วว่าคุณฟ้าจะไม่อยู่ แล้วสั่งให้หนูมาดูแลทำไมเนี่ย” เด็กสาวบ่นอุบ
“เขาคงทำงานหนักจนเบลอมั้ง” ฟ้าพราวนิ่วหน้า เริ่มปวดหัวขึ้นมานิดๆ “มะเหมี่ยวจ๊ะ ถ้าฉันจะไปสนามบินนี่ไปยังไง แถวนี้มีรถสองแถวหรือเปล่า”
“มีรถสองแถวผ่านหน้าไร่จ้ะ แต่ต้องไปต่อรถในเมืองไปสนามบินอีกที” เด็กสาวบอกแล้วก็ขมวดคิ้วสงสัย “ทำไมคุณฟ้าไม่ให้นายขับรถไปส่งล่ะจ๊ะ จะนั่งสองแถวไปให้ลำบากทำไม กระเป๋าก็หนัก แถมยังมีแมวอีก”
“ฉันไม่อยากรบกวนเขาน่ะ เกรงใจ”
“เป็นผัวเมียกันทำไมต้องเกรงใจด้วย”
ฟ้าพราวเพียงแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้อธิบายอะไร
“แล้วคุณฟ้าจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ฉันคงไม่กลับมาที่นี่แล้ว”
“อ้าว” มะเหมี่ยวทำหน้างงหนักกว่าเดิม
“ฉันต้องไปแล้วนะ” ฟ้าพราวว่าแล้วก็ลากกระเป๋าเดินออกไปทางหน้าไร่
มะเหมี่ยวมองตามหลังฟ้าพราวไปด้วยสีหน้างุนงง แล้วรีบขี่จักรยานไปหาภูริดลในไร่ แต่กว่าจะไปถึงจุดที่เขาทำงานอยู่ก็ใช้เวลาเกือบสิบห้านาที
“นายดิน” เด็กสาวหอบแฮก เพราะเร่งปั่นจักรยานมาอย่างเร็วสุดชีวิต
“มีอะไร”
“เมียนายไปแล้วนะ”
“ไปไหน” ชายหนุ่มหน้านิ่ง ข่มความร้อนใจเอาไว้
“กลับบ้าน คุณฟ้าบอกว่านายเป็นคนบอกให้ไปเอง แต่หนูว่ามันแปลกๆ ที่นายไม่ไปส่งคุณฟ้าที่สนามบิน เลยรีบมาถามนายเนี่ย นายทะเลาะอะไรกับเมียหรือเปล่า”
“เปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงห้วน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น
“ก็เมียนายบอกว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว หน้าตาดูเศร้าๆ ด้วย ถ้าไม่ได้ทะเลาะกันแล้วเมียนายจะหอบเสื้อผ้า หอบแมวหนีทำไม”
ภูริดลนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร
“ถ้าทะเลาะกันก็รีบตามไปง้อคุณฟ้าเลยนะนาย เป็นผัวต้องง้อเมียนะ”
“แก่แดด” เขาดุหน้านิ่ง
“ตามไปตอนนี้ยังทันนะจ๊ะนาย คุณฟ้าน่าจะยังนั่งรอรถสองแถวอยู่หน้าไร่นั่นแหละ”
“ไม่ตาม! อยากไปไหนก็ไปเลย ไม่ง้อ!!!” ภูริดลบอกด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างแล้วเดินหนีไปทำงานต่อ
ความคิดเห็น |
---|