8

บทที่ 8

บทที่ 8

                                                              

หญิงสาวที่กำลังเคลิ้มไปกับการปลุกเร้าของสามีตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดระคายหูจากปากของคนที่กำลังระบายจูบไปทั่วซอกคอ

“ในหัวคุณมีแต่เรื่องแบบนี้หรือไง” ฟ้าพราวผลักร่างหนาที่ทาบทับอยู่บนตัวเธอออกแล้วลุกจากเตียงไปยืนห่างจากเขาเป็นวา “ถ้าตามฉันมาถึงกรุงเทพฯ เพราะเรื่องนี้ก็กลับไปเลย ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”

                ภูริดลลุกขึ้น พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างพยายามจะใจเย็นกับภรรยาให้มากที่สุด แล้วยกมือขึ้นเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าลวกๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาเธอ

                “หยุดอยู่ตรงนั้นเลย”

                “ไม่ต้องกลัวผมขนาดนั้นก็ได้ มานั่งคุยกันดีๆ เถอะ” เขายังขยับเท้าเข้าไปใกล้ทีละก้าวอย่างเชื่องช้าและใจเย็น

                “ฉันไม่ได้กลัว แต่ฉันรังเกียจคุณ” หญิงสาวย้ำเสียงหนัก น้ำตาคลอเบ้า ทั้งที่เคยบอกตัวเองแล้วว่าจะไม่ร้องไห้เพราะเขาอีก แต่ครั้งนี้มันเกินทนจริงๆ 

“คนป่าเถื่อน บ้ากาม ในหัวมีแต่เรื่องอย่างว่า ถ้าคุณแค่อยากมีเซ็กซ์ก็ไปมีกับคนอื่น กับคุณไหมอะไรของคุณนั่นก็ได้ สนิทกันมากไม่ใช่เหรอ ดูแลกันทุกเรื่องอยู่แล้วนี่ แล้วยังจะมีผู้หญิงอีกคนที่ฉันไม่รู้ว่าเป็นใครอีกคน” ว่าแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง

                “ผมกับไหมเป็นแค่เพื่อนกัน ส่วนผู้หญิงอีกคนที่คุณหญิงเคยถามถึง...” ภูริดลนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “…ความจริงไม่มีหรอก ผมเห็นคุณหญิงระแวง ก็เลยแกล้งพูดยั่วเล่นๆ ไปอย่างนั้นเอง”

                “จริงอะ” ฟ้าพราวหรี่ตามองอย่างไม่ไว้วางใจ

                “จริง”

                “ถ้าฉันเชื่อคุณง่ายๆ ฉันก็คงเป็นผู้หญิงที่โง่มาก”

                “ครั้งที่แล้วคุณหญิงเชื่อผม แล้วทำไมครั้งนี้ถึงไม่ยอมเชื่อล่ะ”

                “ในเมื่อคุณบอกว่าครั้งที่แล้วคุณโกหก แล้วครั้งนี้ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณไม่โกหกอีก” ฟ้าพราวย้อนถามทันควัน

“หรือว่าคุณหญิงเลือกที่จะเชื่อเฉพาะเรื่องที่คุณหญิงอยากเชื่อ”

ฟ้าพราวก้มหน้า นิ่งเงียบ การเชื่อใจผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเขาเคยโกหกเธอมาแล้วครั้งหนึ่ง 

“เอาเป็นว่าคุณหญิงจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณหญิง แต่ขอให้รู้เอาไว้ว่า ระหว่างที่เราอยู่ด้วยกัน ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงอื่น ผมจะมีแค่คุณหญิงคนเดียว”

                ฟ้าพราวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา เธออยากเชื่อคำพูดของเขาแต่ก็ยังระแวงอยู่

“ไม่ต้องมาหลอกล่อ พอฉันใจอ่อน เดี๋ยวคุณก็พลิกลิ้นอีก”

                ภูริดลก้าวเข้าไปประชิดตัวภรรยา จับต้นแขนทั้งสองข้างของเธอไว้หลวมๆ ประสานสายตากันอย่างอ่อนโยนกว่าที่เคย 

“ผมขอโทษ ทั้งเรื่องที่แกล้งโกหกคุณหญิง แล้วก็เรื่องที่ผมไล่คุณหญิงเมื่อคืนนี้ด้วย”

                “คุณ...” ฟ้าพราวคาดไม่ถึงว่าคนป่าเถื่อน หยาบกระด้างอย่างเขาจะยอมพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ ออกมาแบบไม่กลัวเสียหน้าแบบนี้

                “ระหว่างที่นั่งรอคุณหญิง ผมได้คุยกับท่านพ่อของคุณหญิง ท่านเล่าให้ผมฟังว่าที่คุณหญิงยอมแต่งงานกับผมก็เพราะท่านจะฆ่าตัวตายหนีหนี้” 

ภูริดลคุยกับหม่อมเจ้าดนัยเทพอยู่นานเกือบชั่วโมง ได้รู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับฟ้าพราว เช่นเรื่องบัตรเครดิตที่ถูกระงับก็เป็นเพราะท่านพ่อของเธอถูกแบล็กลิสต์จากธนาคารแต่ไม่ได้บอกให้ลูกสาวรู้ ส่วนของแบรนด์เนมราคาแพงก็ไม่เคยซื้อใช้เอง นอกจากจะได้รับเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสพิเศษ 

ข้อมูลที่ได้รับรู้จากพ่อตาทำให้หนุ่มชาวไร่ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของภรรยา

“คุณหญิงรักท่านพ่อมากถึงขนาดยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่รู้จักเลยเหรอ ไม่กลัวว่าเขาจะเป็นคนป่าเถื่อน ทำร้ายคุณหญิงเลยเหรอ” เขาถามต่อ

ฟ้าพราวแอบมองค้อนนิดหนึ่งที่เขาถามราวกับตัวเองไม่เคยทำป่าเถื่อนกับเธอ “มันก็ต้องเสี่ยง แล้วค่อยไปแก้ปัญหาเอาข้างหน้า”

“โง่มากเลยนะที่ทำแบบนี้”

“ฉันไม่มีทางเลือก” เธอตอบเสียงเบาแล้วย้อนถาม “แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไง”

“ก็คงทำแบบเดียวกัน ไม่งั้นผมคงไม่ยอมแต่งงานกับคุณหญิงตามคำสั่งพ่อ” ตอบด้วยเสียงราบเรียบหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้มนุ่มของภรรยาอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าผิวเนื้ออ่อนบางจะบอบช้ำ 

“ที่ผ่านมาผมอคติกับคุณหญิงมากเกินไป มาคิดดูแล้ว มันคงไม่ยุติธรรม ถ้าผมจะเอาประสบการณ์เลวร้ายในอดีตของตัวเองมาตัดสินคุณหญิง”

“อยู่ดีๆ ก็คิดได้เองเนี่ยนะ” ฟ้าพราวแปลกใจที่เขาเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเธอเพียงชั่วข้ามคืน

“ฮื่อ” เขาพยักหน้ารับหน้าตาเฉยโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม แต่กลับพูดให้หญิงสาวแปลกใจมากกว่าเดิม “เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”

                “เริ่มต้นกันใหม่งั้นเหรอ”

                “ผมจำได้ คุณหญิงเคยขอทำสัญญาสงบศึก และผมก็รับปากไปแล้วว่าจะพยายาม ผมก็ต้องรักษาคำพูด”

                “คุณไปหกล้มหัวฟาดที่ไหนมาหรือเปล่า ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้”

                หนุ่มหน้าเข้มยิ้มอ่อนแล้วโอบเอวภรรยาพากลับมานั่งที่เตียง “เพราะคุณหญิงเอาไม้หน้าสามฟาดหัวผมมั้ง”

                “ฉันไปฟาดคุณตั้งแต่เมื่อไหร่”

                “ไม่รู้ตัวเหรอว่าคำพูดแต่ละคำของคุณหญิง ฟาดเจ็บยิ่งกว่าไม้หน้าสามซะอีก” ว่าแล้วก็แอบฉกริมฝีปากนุ่มไปครั้งหนึ่ง “คุณหญิงจำได้มั้ยว่าเคยพูดอะไรกับผมไว้บ้าง”

                “จำได้” ฟ้าพราวตอบรับเสียงเบาแล้วก้มหน้างุด สองแก้มเริ่มร้อนผ่าวเมื่อคิดถึงคำพูดของตัวเองที่เคยพูดไว้แต่ละอย่าง

                “จำอะไรได้บ้าง ไหนลองว่ามาสิ”

                “คุณก็รู้อยู่แล้ว ทำไมต้องให้ฉันพูดซ้ำอีก” หญิงสาวตอบอ้อมแอ้มด้วยความเคอะเขินเมื่อนึกถึงคำพูดแต่ละอย่างที่ตัวเองเคยพูดไว้

“ถ้าคุณหญิงไม่ยอมพูด ผมก็จะทบทวนให้ฟัง” ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนหนุนตักนุ่มของภรรยา จับมือข้างหนึ่งของเธอมาจูบที่กลางฝ่ามือ “คุณหญิงบอกว่าตั้งใจที่จะเป็นภรรยาที่ดีของผม จะทำให้ผมลืมก้อยให้ได้ แล้วคุณหญิงก็ขอให้ผมสนุกกับคุณหญิงแค่คนเดียว ห้ามไปสนุกกับผู้หญิงคนอื่น”

                “แล้วจะทำตามที่ฉันขอร้องได้มั้ยล่ะ”

                “ทำได้” เขาโน้มคอเธอลงมาจูบอ่อนโยนครั้งหนึ่งก่อนถาม “แล้วคุณหญิงล่ะ จะทำตามที่เคยพูดไว้ได้หรือเปล่า”

                “ถ้าคุณทำได้ ฉันก็ทำได้เหมือนกัน” ฟ้าพราวรู้สึกเบาใจขึ้น อย่างน้อย เธอก็ไม่ต้องพยายามปรับตัวอยู่ฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว

                “คุณหญิง” ภูริดลเรียกภรรยาเสียงอ่อน อีกทั้งยังลงหางเสียงอย่างสุภาพอ่อนโยนอีก

                “คะ”

                “คืนนี้ผมขอฉลองที่เราปรับความเข้าใจกันได้หน่อยนะ”

                “ได้สิ คุณชอบดื่มอะไร ไวน์มั้ย ท่านพ่อมีเยอะเลย”

                “ไม่เอา”

                “งั้นจะเอาอะไร”

                “เอาเมีย”

                “นี่คุณ!” ฟ้าพราวฟาดมือลงบนหน้าอกของสามีไปหนึ่งป้าบ พูดกันดีๆ ได้ไม่กี่นาที เขาก็เริ่มออกอาการหื่นอีกแล้ว “ฉันเจ็บอยู่ งดไปเลยยาวๆ เดือนนึง”

                “นานไป” ชายหนุ่มทำหน้ามุ่ยที่จะอดกินเมียตั้งหนึ่งเดือน “เจ็บแค่นี้ นอนพักคืนนึงก็หาย พรุ่งนี้เช้าก็พร้อมใช้งานได้เหมือนเดิม”

                “พูดจาน่าเกลียด ไม่คุยด้วยแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า” ว่าแล้วก็ดันตัวสามีออกแล้วเดินหนีเข้าห้องน้ำ

                “ผมอาบด้วย จะได้ช่วยดูแผลให้ด้วยว่าดีขึ้นหรือยัง” ภูริดลรีบตามภรรยาเข้าไปในห้องน้ำ

“ไม่ต้อง ฉันดูแลตัวเองได้ คุณออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” ฟ้าพราวห้ามเสียงหลง ทั้งผลักทั้งดันเขาให้ออกจากห้องน้ำ แต่สามีที่ทั้งป่าเถื่อนและหน้าด้านหน้าทนของเธอก็ไม่ยอม แถมยังชิงแก้ผ้าก่อนเธอเสียอีก

 

หลังจากตีมึนเข้าไปอาบน้ำพร้อมภรรยาและดูแลจุดซ่อนเร้นที่บอบช้ำให้เธอเรียบร้อยแล้ว ภูริดลก็คลานขึ้นเตียงทั้งที่ยังไม่สวมเสื้อผ้า

                “คุณจะแก้ผ้านอนแบบนี้ไม่ได้นะ” ฟ้าพราวที่สวมชุดนอนเรียบร้อยแล้วและกำลังนั่งทาโลชันบำรุงผิวอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง หันมาดุสามี

                “ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน” เขาบอกพลางตลบผ้าห่มผืนหนานุ่มขึ้นปกปิดร่างกายท่อนล่างเอาไว้เพราะสงสารคนมองที่หน้าแดงจัด

                “คุณไม่ได้เอาอะไรมาเลยเหรอ”

                “มาแต่ตัวนี่แหละ”

                “แล้วคุณมายังไง” ฟ้าพราวเพิ่งสงสัย “ขับรถมาหรือนั่งเครื่องมา”

                “ขับรถมา”

                “ขับรถ!” หญิงสาวเผลอกระแทกขวดโลชันลงบนโต๊ะเครื่องแป้งเสียงดังปัง!

                “ตกใจอะไร”

                “คุณเหยียบมาเท่าไหร่ แล้วออกจากเชียงรายมาตอนกี่โมง ทำไมถึงกรุงเทพฯ เร็วขนาดนี้” ฟ้าพราวถามรัวเป็นชุด หน้าตาตื่นตระหนก

                “เป็นห่วงผมเหรอ” เขาถามลอยๆ แบบไม่ต้องการคำตอบ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอคงไม่ได้สนใจไยดีเขานักหรอก

                “เปล่า” ฟ้าพราวปฏิเสธเสียงเบา ไม่ถึงกับเป็นห่วง แต่ถ้าเขาประสบอุบัติเหตุระหว่างทางขึ้นมา เธอก็คงเสียใจ แบบนี้จะเรียกว่าเป็นห่วงได้หรือเปล่านะ

                “ถ้าผมตายไป คุณหญิงก็คงดีใจใช่มั้ย เพราะจะได้ไปหาผัวใหม่ที่เป็นผู้ดีเหมือนกัน” ภูริดลพูดเสียงราบเรียบ แบบที่คนฟังเดาความรู้สึกของเขาไม่ออกว่า ต้องการประชดประชันหรือคิดอะไรอยู่กันแน่

                “ปากคุณเนี่ยน่าตีจริงๆ” ฟ้าพราวเดินมานั่งที่ขอบเตียงแล้วใช้มือตบปากเขาไปเบาๆ ไปครั้งหนึ่ง

                “น่าจูบต่างหาก” ว่าแล้วก็เด้งตัวขึ้นมาจูบภรรยาอย่างดูดดื่มเนิ่นนาน

                “พอแล้วคุณ” ฟ้าพราวดันตัวเขาให้ออกห่างแล้วลุกขึ้น ก่อนทุกอย่างจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ “ฉันจะไปขอเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้วของท่านพ่อมาให้คุณใส่ก่อนก็แล้วกัน”

                “ระวังพ่อคุณถามนะว่าปากไปโดนอะไรมา บวมเจ่อแล้วก็แดงขนาดนั้น” เขากระเซ้าแววตากรุ้มกริ่มแล้วมองตามร่างเล็กของภรรยาเดินออกจากห้องไป ครู่หนึ่งเธอก็กลับเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้วแต่ยังใหม่อยู่ของหม่อมเจ้าดนัยเทพกับ ‘ที่รัก’ 

                “อะนี่คุณ มีชุดนอนกับชุดสำหรับใส่พรุ่งนี้ ส่วนชุดเก่าของคุณ ฉันจะให้แม่บ้านเอาไปซักให้” ฟ้าพราวยื่นเสื้อผ้าให้สามีพร้อมกับกางเกงชั้นในใหม่เอี่ยมหนึ่งแพ็ก

                “มีกางเกงในด้วยเหรอ” ภูริดลอดทึ่งในความรอบคอบของภรรยาไม่ได้ “แล้วอุ้มไอ้แมวอ้วนนี่เข้ามาทำไม ผมบอกแล้วไงว่าห้ามเอาแมวขึ้นมานอนเตียงเดียวกับผมเด็ดขาด” เขาพูดเสียงขุ่นพลางจ้องหน้าแมวในอ้อมกอดของหญิงสาวตาแข็ง

                “ทำไมคุณต้องตั้งแง่รังเกียจที่รักด้วย ลองอุ้มดูสิ ที่รักน่ารักจะตาย” ฟ้าพราววางแมวลงบนตักของภูริดลโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว

                ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นั่งตัวแข็งทื่อ ก้มหน้ามองแมวขนฟูที่นั่งนิ่งอยู่บนตักอย่างไม่คุ้นเคย คนหยาบกระด้างอย่างเขาเคยชินแต่กับสัตว์ใหญ่เช่นม้าที่มีอยู่หลายตัวในไร่ แต่ไม่เคยคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงที่ดูเป็นสัตว์ชั้นสูงและเย่อหยิ่งอย่างแมวแบบนี้มาก่อน

                “เมี้ยว...”

                เจ้าแมวอ้วนส่งเสียงทักทายชายหนุ่มที่ชอบแยกเขี้ยวใส่มันตลอดเวลาแล้วเกลือกหน้าเข้ากับมือของเขาอย่างขี้อ้อน ภูริดลไม่ได้ชักมือหนี แต่ก็ดูรู้ว่าทำตัวไม่ถูก

ฟ้าพราวนั่งลงที่ขอบเตียง จับมือหยาบกร้านของสามีขึ้นมาลูบหัวแมวตัวโปรดของเธอเบาๆ จากนั้นก็จับมือเขาไปเกาใต้คางของเจ้าแมวอ้วน 

“ที่รักชอบให้ลูบหัวกับเกาคางแบบนี้”

                “อืม...ขนมันก็นุ่มดีเหมือนกันนะ” กล้ามเนื้อบนใบหน้าของภูริดลผ่อนคลายความตึงเครียดลง ในขณะที่มือก็เริ่มขยับเกาคางแมวเบาๆ ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีมือเล็กของภรรยาคอยชี้นำ

                หญิงสาวมองท่าทางเก้ๆ กังๆ ของสามีตัวโตที่ปฏิบัติต่อแมวตัวโปรดของเธอแล้วอดยิ้มไม่ได้ เธอดีใจที่ได้เห็นว่า ในความป่าเถื่อนและดุดันของเขาก็ยังมีมุมอ่อนโยนเล็กๆ ซ่อนอยู่ อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายจนเกินเยียวยา

                “ยิ้มอะไร” ภูริดลเงยหน้าขึ้นมาถาม

                “ยิ้มให้คุณ”

                “เปลี่ยนยิ้มเป็นอย่างอื่นได้มั้ย” เขาถามหยั่งเชิง สีหน้ากรุ้มกริ่ม

                “ได้สิ” ไม่ต้องบอกฟ้าพราวก็รู้ว่าสามีจอมหื่นต้องการอะไร เธอขยับตัวเข้าไปใกล้ แล้วแนบริมฝีปากลงไปมอบจูบอ่อนหวานให้เขา แต่ดูเหมือนเขาต้องการมากกว่านี้ เพราะเขาจับตัวเธอให้นอนหงายลงบนเตียงแล้วพลิกตัวขึ้นทาบทับ ส่วนเจ้าแมวอ้วนก็กระโดดลงจากเตียงอย่างรู้งาน

 

“กรี๊ด! โจรบุกวัง!! ช่วยด้วย!!!” เสียงกรี๊ดแสบแก้วหูของวาสิตาที่ดังลอดเข้ามาในห้องนอนทำให้ฟ้าพราวที่ยังนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่น เธอรีบคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอนแล้วรีบวิ่งออกไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นบริเวณหน้าบันไดทางแยกระหว่างปีกซ้ายกับปีกขวาของตึก  

                “เกิดอะไรขึ้นริต้า” ถามแล้วก็ชะงัก เพราะเห็นภูริดลยืนอยู่กับวาสิตาด้วย สามีของเธอสวมกางเกงชุดนอนขายาว ส่วนเสื้อยืดตัวบางที่สวมเมื่อคืนนี้พาดอยู่บนบ่า โชว์ร่างกายบึกบึนกร้านแดดและเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเคราก็เหมือนจะยาวขึ้นกว่าเดิมพอสมควร

                “โจรอะหญิงฟ้า ไอ้โจรบ้ากามนี่มันจะข่มขืนฉัน” วาสิตาที่อยู่ในชุดเดรสเกาะอกสีดำรีบวิ่งมาหลบหลังฟ้าพราวแล้วยื่นหน้าไปบอกกับภูริดล ผู้ที่เจ้าหล่อนคิดว่าเป็นโจรปล้นสวาท 

“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ถ้าอยากทำก็นี่เลย หญิงฟ้า อยากทำอะไรก็ทำเลย เอาให้เต็มที่ แล้วปล่อยฉันไป” ละล่ำละลักบอกแล้วผลักฟ้าพราวไปกระแทกกับอกเปลือยของภูริดล

                “ยัยขี้เมา ถ้าเมามากก็ไปนอนเลยไป๊!” ชายหนุ่มประคองร่างเล็กของภรรยาไว้แล้วตะคอกวาสิตาที่เพิ่งกลับจากงานปาร์ตีเสียงดังเล่นแบบไม่เกรงใจใครหน้าไหนทั้งนั้น และเขาก็รังเกียจผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวขั้นสุดคนนี้มากด้วย

                “ใจเย็นคุณดิน ฉันคุยกับริต้าเอง” ฟ้าพราวตบต้นแขนของสามีเบาๆ เตือนให้สงบลง

                “หญิงฟ้ารู้จักไอ้หน้าโจรนี่ด้วยเหรอ” วาสิตาถามเสียงสั่น ยังไม่หายตื่นกลัว

                “นี่คุณดิน สามีฉันเอง” ฟ้าพราวแนะนำเสียงเรียบ คล้ายจะโกรธอยู่ในทีที่วาสิตากล่าวหาว่าสามีของเธอเป็น ‘โจรปล้นสวาท’ ถึงแม้ว่าหน้าตาและความหื่นของเขาจะเข้าขั้นนั้นก็เถอะ แต่สามีเธอ ใครก็ห้ามด่า นอกจากเธอคนเดียว

                “สามีเหรอ” วาสิตาทวนคำเบาๆ แล้วแค่นหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน “อ๋อ สามีชาวไร่ ที่เพิ่งแต่งงานกันน่ะเหรอ” เธอมองภูริดลตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยแววตาเหยียดหยามอย่างไม่เกรงใจ 

“งั้นก็ช่วยสอนมารยาทชาววังให้สามี ‘ชั้นต่ำ’ ของเธอด้วยนะว่า อย่าเที่ยวมาเดินถอดเสื้อ ทำตัวรุ่มร่ามในวังอย่างนี้อีก มันอุจาดตา”

                “จะมากเกินไปแล้วนะริต้า นี่สามีฉัน รู้จักให้เกียรติกันบ้าง แล้วที่เธอยังมีที่ซุกหัวนอนอยู่ตอนนี้ก็เพราะเงินของสามีฉัน จำใส่สมองกลวงๆ ของเธอเอาไว้ด้วย!”

                “ปกป้องสามีขนาดนี้เชียว” วาสิตาแสยะยิ้ม

                “ใช่! ฉันปกป้องเขา สามีฉัน ใครหน้าไหนก็ห้ามมาดูถูก” ฟ้าพราวทำท่าจะพุ่งเข้าใส่วาสิตา ภูริดลต้องจับตัวเธอไว้แล้วเป็นฝ่ายเตือนสติให้เธอใจเย็นลง

                “เบาๆ หน่อยคุณหญิง เดี๋ยวท่านพ่อของคุณหญิงก็ตื่นหรอก ท่านไม่ค่อยสบายอยู่ไม่ใช่เหรอ” เขากระซิบเตือน ตอนนี้เป็นเวลาเช้ามืด หม่อมเจ้าดนัยเทพและหม่อมมาลินีน่าจะยังนอนหลับอยู่

                “เมื่อกี้คุณเสียงดังกว่าฉันอีก” ฟ้าพราวเถียงสามี

                “จ้า...” วาสิตาลากเสียงยาวอย่างประชดประชัน “รักกันมากสินะ ถึงได้ปกป้องกันขนาดนี้”

                ฟ้าพราวกับภูริดลหันมามองสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย รักกันมากเหรอ ไม่เลย ทั้งคู่ปฏิเสธกันและกันผ่านสายตา

                “จะรักกันหรือจะเกลียดกันมันก็เป็นเรื่องของเราสองคน เธอไม่ต้องมายุ่ง” ฟ้าพราวบอกอย่างหงุดหงิด “ไปนอนได้แล้วไป แล้วก็ปาร์ตีให้น้อยลงหน่อยนะ ท่านพ่อของฉันไม่ได้มีเงินให้เธอกับแม่ของเธอเผาเล่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถ้าเธอยังทำตัวสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้อยู่อีก ฉันจะปล่อยให้เธอไปนั่งขอทานบนสะพานลอย”

                “เธอไม่ใช่แม่ฉัน ไม่ต้องมาบ่น น่ารำคาญ” วาสิตาสวนกลับเสียงสะบัด แล้วเดินหนีไปทางห้องนอนของตัวเอง

                “เพิ่งรู้ว่ามีเมียดุขนาดนี้” ภูริดลแอบขนหัวลุก

                “ถ้าฉันอ่อนแอเจ้าน้ำตา คงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้หรอก คุณไม่รู้อะไร หม่อมมาลินีกับยัยริต้าเนี่ยร้ายจะตาย ต่อหน้าท่านพ่อก็ทำเป็นพูดดีกับฉัน แต่ลับหลังก็แทบจะจิกหัวตบ สองแม่ลูกเนี่ยร้ายกว่านางร้ายในละครหลังข่าวอีก” พูดพลางเดินนำสามีกลับเข้าห้องนอน “ว่าแต่คุณออกไปเดินทำอะไรข้างนอก เสื้อก็ไม่ใส่” 

                “ผมลงไปจอกกิ้งมา” ตอบแล้วก็เอาเสื้อที่พาดอยู่บนบ่ามาเช็ดหน้าและเช็ดเหงื่อที่เกาะพราวตามเนื้อตัว แล้วโยนทิ้งลงบนพื้นข้างเตียงตามความเคยชิน ปกติเขาเป็นคนไม่มีระเบียบแบบนี้อยู่แล้ว ตอนอยู่ที่ไร่ก็โยนทิ้งเกลื่อนพื้นแบบนี้เหมือนกัน แต่โชคดีที่มีคนงานมาเก็บไปซักและมาทำความสะอาดบ้านให้เป็นประจำ บ้านเลยไม่รกเป็นรังหนู

                “คุณลงไปวิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ถามพลางเก็บเสื้อของสามีที่กองอยู่บนพื้นไปใส่ตะกร้า

                “ประมาณตีสี่มั้ง”

                “ทำไมตื่นเร็วจัง” ร่างเล็กในชุดนอนที่มีเสื้อคลุมตัวยาวสวมทับอีกชั้นเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าสามีที่นั่งอยู่บนเตียง

                “ไม่ได้นอนเลยต่างหาก”

                “อ้าว ทำไมล่ะ”

                “อารมณ์ค้าง” เขาตอบหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจว่าภรรยาจะอายม้วนขนาดไหน เมื่อคืนนี้เขาได้แต่กอด จูบ ลูบ คลำร่างนุ่มนิ่มแค่ภายนอกเท่านั้น แต่ไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปภายในเพราะเธอยังเจ็บอยู่ ครั้นจะให้เธอใช้ปากและมือช่วยปลดปล่อยให้ ก็กลัวเธอจะไข้ขึ้น เพราะเธอยังตัวร้อนรุมๆ อยู่ เขาเลยปล่อยให้เธอกินยาแล้วนอนพักให้เต็มที่จะได้หายเร็วๆ

“ลงไปวิ่งแล้วช่วยให้หายค้างได้เหรอ”

“ไม่ได้” ภูริดลกัดฟันบอก ตอนนี้ความต้องการของเขาก็ยังคุกรุ่นอยู่เลย ชายหนุ่มนั่งเงียบอย่างพยายามข่มอารมณ์ตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วอดใจไม่ไหว อ้าขาออกพร้อมกับรั้งร่างบางของภรรยาให้เข้ามายืนแทรกตรงกลางหว่างขา แล้วกระตุกปมเชือกเสื้อคลุมของเธอออก ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเสี้ยววินาที

“นี่คุณ จะทำอะไร” ถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสามีจอมหื่นผู้ที่บอกว่าอารมณ์ค้างมาตั้งแต่เมื่อคืนต้องการอะไร

“คุณหญิงมีแรงเถียงกับยัยริต้าขนาดนั้น แปลว่าหายเจ็บแล้ว” 

“ฉันใช้ปากเถียง ไม่ได้ใช้ตรงนั้นเถียงซะหน่อย”

“ก็เหมือนกันนั่นแหละ” พูดพลางปลดเสื้อคลุมออกจากร่างของภรรยา เหลือเพียงชุดนอนผ้าซาตินเนื้อนุ่มลื่นแบบกระโปรงสั้นเหนือเข่าสีชมพู มือข้างหนึ่งของเขาวางไว้บนเนินสะโพก อีกข้างสอดเข้าไปใต้ชายกระโปรง ลูบไล้ขึ้นไปตามต้นขาด้านในและหยุดอยู่ที่เนินเนื้อกึ่งกลางร่างกายที่ปราศจากแพนตี เขากรีดปลายนิ้วไปตามรอยแยกอย่างอ่อนโยนแล้วกดเบาๆ ที่ปากทางอ่อนนุ่ม 

“หายเจ็บหรือยัง”

น้ำเสียงแหบพร่าทว่าเซ็กซี่ขยี้ใจบวกกับสัมผัสอ่อนโยนจากปลายนิ้วของเขาทำให้ฟ้าพราวขาสั่นแทบยืนไม่อยู่ ต้องเกาะบ่ากว้างเปลือยเปล่าของเขาเอาไว้เป็นหลักยึด

“ผมถามว่าคุณหญิงหายเจ็บหรือยัง” ภูริดลถามย้ำอีกครั้งพลางดึงชายกระโปรงชุดนอนของเธอขึ้นไปไว้เหนือเนินสะโพก แล้วก้มลงมองบริเวณที่เคยบอบช้ำเพราะความใหญ่โตของเขาด้วยตาตัวเองเพราะเธอไม่ยอมตอบ “หายช้ำแล้วนี่”

“อื้อ...คุณจะกินฉันแต่เช้าอย่างนี้ไม่ได้” ฟ้าพราวปรามเสียงสั่นระริกเมื่อเขาแนบริมฝีปากลงบนเนินเนื้ออ่อนนุ่มแล้วจูบซับอย่างอ่อนโยนพลางกระซิบโต้

“ผม ‘ทนอด’ มาทั้งคืนแล้ว ขอชิมสักคำก็ยังดีนะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น