บทที่ 11

11

ฉุด

ผับของเขานับว่าโด่งดังและเป็นที่นิยมในหมู่นักศึกษา เปิดอยู่ไม่นานการเรียนของเขาก็ตกต่ำลง แต่การเงินนับว่าดีขึ้นอย่างมาก 

พอเขาซื้อรถยนต์คันแรกให้ตัวเอง พ่อก็รู้เข้าจนได้ว่าเขาหาเงินมาได้อย่างไร 

และเพราะพ่อเขาเป็นตำรวจ ท่านจึงไม่เห็นด้วยสักนิดที่เขาเลือกทำธุรกิจสีเทาเช่นนี้

วันนั้นท่านเทศน์เขายกใหญ่เกี่ยวกับอันตรายจากงานที่ทำ หนทางที่สามารถชักนำคนดีๆ ให้ก้าวไปสู่ด้านมืดได้ แม้จิณณวัตรจะไม่เห็นด้วยนัก แต่ก็ไม่คัดค้านอะไรเมื่อพ่อสั่งให้เขาปิดผับและกลับไปตั้งใจเรียนตามเดิม

ที่จิณณวัตรเลือกตามใจพ่อ ไม่แข็งขืน เพราะเขาก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับผับที่ลองเปิด เขาเพียงแค่ลองวิชา และก็ได้วิชามาพอตัวสมดังตั้งใจ

เขาขายผับนั้นให้เพื่อนซึ่งเป็นหุ้นส่วนและกลับไปเรียนจนจบมหาวิทยาลัย แต่เป็นเพราะเอาเวลาไปขลุกอยู่กับการทำวิทยานิพนธ์นอกหลักสูตร เกรดเฉลี่ยของเขาจึงพลาดเกียรตินิยมอันดับหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย

เมื่อเรียนจบโดยได้รับเกียรตินิยมอันดับสอง พ่อกับแม่ต้องการให้เขาเรียนต่อปริญญาโท หรือไปให้ถึงเอกเลยก็ได้หากเขาเรียนไหว ทว่าความมุ่งหมายในชีวิตของจิณณวัตรได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เขารู้วิธีหาเงินได้แล้ว มิหนำซ้ำยังค่อนข้างชอบโลกยามค่ำคืนที่มีสีสันอีก เขาจึงตัดสินใจไม่เรียน แต่ไปทำงานในร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ภายในโรงแรมหรู โดยพ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกอาชีพนี้ของเขานัก

แต่เพราะจิณณวัตรอยู่ในช่วงอายุที่ยึดความคิดของตนเองเป็นหลัก จึงคิดว่าเขาทำตามการชี้นำของพ่อและแม่มามากพอแล้ว เมื่อเขาเรียนจบนับได้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงขอเลือกทางเดินชีวิตของตนเอง โดยเป้าหมายของเขาก็คือพาตนเองและครอบครัวไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น ซึ่งในตอนนั้นจิณณวัตรคิดว่าสิ่งที่จะทำให้ความฝันเขาเป็นจริงได้ก็คือ...เงิน

พูดตามตรง สถานะทางบ้านของจิณณวัตรในตอนนั้นไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไร แม้พ่อเป็นเพียงดาบตำรวจ เงินเดือนไม่มากมาย แต่แม่เขาเป็นแม่ครัวฝีมือดี จึงค่อยๆ ขยับขยายจากการขายแกงถุงมาเป็นร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ ที่มีตำรวจมาอุดหนุนกันเนืองแน่น

เงินที่แม่หามาได้แลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไม่ได้พักผ่อน แม้แม่จะไม่เคยบ่น ไม่เคยท้อ ทว่าในฐานะลูกชายคนเดียว จิณณวัตรจึงมีความฝันที่อยากทำให้สำเร็จ เขาอยากพาพ่อกับแม่ย้ายไปจากทาวน์เฮาส์เก่าๆ ขนาดเท่าแมวดิ้นตายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ที่มีบริเวณกว้างขวาง เขาอยากให้พ่อกับแม่หยุดทำงานแล้วมาใช้ชีวิตสบายๆ ในบั้นปลายอย่างมีความสุข 

ชายหนุ่มเลือดร้อนพยายามดิ้นรนทำฝันให้เป็นจริง โดยไม่สนใจคำห้ามปรามจากพ่อและคำขอร้องของแม่ สายตาเขามองไปยังอนาคตที่รู้อยู่แล้วว่าต้องสดใส เขามั่นใจว่าเขาต้องทำตามฝันได้

ความมั่นใจนี่เองทำให้เขาออกมาเช่าคอนโดอยู่ เรียนรู้งานด้านที่ต้องการทำ และเหินห่างจากพ่อและแม่ที่ตอนนั้นเขามองว่าขี้บ่น อีกทั้งยังไม่เข้าใจเขา ไม่ส่งเสริมเขาอีก

จากร้านนั้นไปร้านนี้ ผับนั้นไปผับนี้ จากใหญ่ไปใหญ่ยิ่งขึ้น หรูหรายิ่งขึ้น

จิณณวัตรใช้เวลาห้าปีจึงมีนายทุนคนหนึ่งเสนอเงินให้เขา จ้างเขามาบริหารสถานบันเทิงแห่งใหม่ที่กำลังจะเปิด

ผู้ชายทุกคนย่อมทะเยอทะยานและหวังว่าตนจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว จิณณวัตรก็เป็นเช่นนั้น เมื่อโอกาสรออยู่ตรงหน้าให้คว้า เขาก็ทิ้งที่เก่าและคว้าโอกาสเอาไว้ทันที เขาก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารคลับหรูซึ่งเป็นต้นแบบของเดอะพราวผับท่ามกลางความไม่พอใจของเจ้านายเก่า

นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้ว่าโลกสีเทาที่เขาโลดแล่นอยู่นั้นเต็มไปด้วยความอันตรายและโสมมแค่ไหน

เขาเคยถูกจัดการแบบเบาะๆ ทั้งให้คนมาป่วนคลับ เอาของผิดกฎหมายมายัด กระทั่งยังเคยถูกรุมกระทืบจนต้องไปหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลเกือบเดือน

ด้านมืดที่ประสบทำให้เขาต้องแข็งแกร่งขึ้น คมขึ้น และโหดขึ้น เขาอาจไม่ได้ใช้วิธีโต้กลับในแบบของคนกลางคืน ไม่ได้สู้ยิบตาแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่เขาใช้สายใยที่มีกับตำรวจซึ่งเป็นเจ้านายของพ่อตนค่อยๆ จัดการพวกที่คอยปัดแข้งปัดขาเขาอย่างละมุนละม่อม

เกือบเจ็ดปีที่เขาทุ่มเทดูแลทีเอ็นทีคลับซึ่งประกอบด้วยกิจการหลายอย่าง ทั้งร้านอาหาร ผับ เทค เลานจ์ ไปจนถึงอาบอบนวด เขาสร้างมาตรฐานและระบบที่ดีให้ทีเอ็นทีโดยได้รับส่วนแบ่งผลกำไรซึ่งทำให้เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างหรูหรา และ...เขาก็หลงละเลิงไปกับเงินทองที่ได้มาอย่างง่ายดายนั้น

เมื่อคิดถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ดวงตาจิณณวัตรก็ทอประกายเศร้าออกมา

หลังจากเขาก้าวขึ้นมายืนอยู่บนจุดสุดยอดในวงการ พ่อเขาก็ประสบอุบัติเหตุ

เขาจำได้ว่าวันนั้นเขาบอกหมอว่าจะใช้เงินเท่าไหร่ก็ได้ เขามีจ่าย ขอเพียงให้หมอรักษาพ่อเขาให้หาย แต่แล้ว...เวลาเพียงแค่เดือนเดียวก็ทำให้คนที่คิดว่าเงินคือทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆ รู้ว่าแท้จริงแล้วเงินไม่ใช่ทุกอย่างดังคิด เงินซื้ออะไรได้หลายอย่าง แต่ไม่ว่าเขาจะจ่ายไปมากแค่ไหน เขาก็ซื้อชีวิตพ่อคืนมาไม่ได้

พ่อจากไปก่อน จากนั้นแม่ก็จากเขาไป เหลือเขาเพียงลำพังในโลกที่มืดมิด อ้างว้าง ว่างเปล่า

เงินและความสุขสบายทำให้เขาหลงลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดของตนเองไป กว่าจะคิดได้...ก็สายเกินไป

“คุณจอห์น คุณจอห์นคะ”

เสียงเรียกจากสริณยาทำให้จิณณวัตรที่ย้อนคิดถึงอดีตของตนเองหลุดออกมาจากภวังค์ เขาเห็นเธอเขม้นมองเขาอย่างเป็นห่วงก่อนถามซ้ำ

“คุณนิ่งไปเลย มีอะไรรึเปล่าคะ ปวดท้องเหรอ”

“เปล่า ฉันแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“เรื่องที่มาเปิดผับนี้แทนเปิดร้านอาหารน่ะเหรอคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนตักข้าวผัดปูเข้าปาก เคี้ยวแล้วกลืนอย่างไม่รู้รส ความอยากอาหารหมดไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็เพียงแค่การกินเพื่อไม่ให้โรคกำเริบเท่านั้น

สริณยามองเจ้านายที่กินอาหารราวซังกะตายแล้วรู้สึกทันทีว่าเขากำลังมีปัญหา...ปัญหาทางใจ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องการเปิดผับแทนร้านอาหาร เอ...เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เขาตัดขาดกับครอบครัวหรือถูกครอบครัวตัดขาดก็เพราะมาทำงานสกปรกแบบนี้ ความอยากรู้ทำให้หญิงสาวอยากเอ่ยปากถามเขา ทว่าด้วยสถานะแบบเธอ ควรหรือที่จะไปถามอะไรซอกแซกเจ้านาย หากเธอพูดผิดหูเขาขึ้นมา เขาสามารถไล่เธอออกได้ตลอด

อย่าลืม แม้เขาจะใจดีกับเธออยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่เพื่อน และเธอมาที่นี่ก็เพื่อหาตัวคนฆ่าน้องเธอให้พบ ไม่ใช่มาโปรดสัตว์ ดังนั้นอะไรที่ไม่ควรยุ่งอย่ายุ่งให้มากจะดีกว่า

คิดได้แล้วหญิงสาวก็ตักแกงส้มซดโฮกใหญ่ ปากไม่ว่างจะได้ไม่แส่หาเรื่องไง

   

ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เฮียลี่พูดเอาไว้ เมื่อทุกคนในร้านคิดว่าเธอเป็น ‘เด็ก’ ของเจ้าของร้าน ต่างก็ให้ความเกรงอกเกรงใจเธอเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นตัวเล็กๆ แบบพวกคนทำความสะอาดหรือพนักงานเสิร์ฟ พอเห็นเธอก็จะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ขนาดแม่ขำก็ยังแอบจัดอาหารเอาไว้ให้เธอ ยัดเยียดให้เก็บกลับบ้านไปด้วยพร้อมกำชับ

“หนูน่ะผอมเกินไป วันๆ คงเอาแต่ประหยัดเลยไม่ยอมกินยอมใช้ ป้าเลยจัดสำรับกับข้าวเอาไว้ให้ มีทั้งข้าวเปล่า ทั้งกับข้าว ถ้าหิวก็จะได้เอาเข้าเตาอุ่น อุ่นกินได้เลยทันใจ ต้องกินนะ กินแล้วจะได้มีเรี่ยวมีแรงมีน้ำมีนวล”

เอ่อ...แม้ว่าวลีหลังสริณยาจะเห็นว่าไม่ค่อยเข้าท่าเข้าทีเท่าใดแต่ก็เลือกที่จะยิ้มแห้งๆ บอกขอบคุณก่อนหิ้วถุงพลาสติกใส่อาหารออกมาทางประตูหลัง

ยามแหลมโค้งให้เธอและบอกให้เดินระวังๆ ทำให้สริณยาอายขึ้นมานิดๆ ที่ความเข้าใจผิดทำให้เธอกลายเป็นคนสำคัญไปแล้วแบบนี้

หญิงสาวเดินออกมาตามซอยที่มีรถแล่นไม่มากนักเพราะตอนนี้เลยเที่ยงคืนไปนิดหนึ่งแล้ว อีกทั้งถนนสายนี้ก็ไม่ใช่สายหลัก ไม่ใช่ทางลัด จึงไม่ต้องระวังว่าจะถูกรถเฉี่ยว สิ่งที่ต้องระวังคือบริเวณกลางซอยค่อนข้างมืด สริณยาที่ต้องเดินผ่านบริเวณที่มืดกว่าปกติจึงเร่งฝีเท้า อยากไปให้ถึงไฟถนนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลให้เร็วที่สุด

หัวใจหญิงสาวสะดุดเมื่อกำลังเดินอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนเสียงผิวปากดังมาจากด้านหลัง เธอไม่กล้าหันไปมองแต่จ้ำอ้าวเร็วขึ้นจนกระทั่งแขนเธอถูกคว้าเอาไว้

หัวใจสริณยาตกและกระเด็นกระดอนไปไหนก็ไม่รู้เมื่อถูกเหวี่ยงไปกระแทกกำแพงบ้านหลังหนึ่ง

เธอยังไม่ทันได้ร้องก็มีมือมาอุดปากเธอเอาไว้ เธอจึงได้แต่เบิกตากว้าง มองผู้ชายแปลกหน้าที่ตอนนี้ข่มขู่เธอด้วยเสียงเหี้ยม

“อย่าร้องนะมึง เดี๋ยวกูแทงไส้ทะลุ!”

ร่างเล็กๆ ที่ถูกผลักจนหลังติดกำแพงสั่นไปหมด เธอไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้ เธอกลัวจนแม้มันจะไม่ปิดปากเธอเอาไว้เธอก็คงร้องไม่ออกเสียด้วยซ้ำ

โจรร้ายกระชากกระเป๋าสะพายของเธอออกมาจนสายกระเป๋าหลุดติดมือมัน สริณยาเกือบโล่งใจที่มันแค่จะมาปล้นเท่านั้น แต่...พอมันเห็นเธอให้ความร่วมมือดี มันก็แสยะยิ้ม

ยิ้มของมันดูน่าสยดสยองในความรู้สึกของสริณยาที่ตอนนี้น้ำตาเริ่มคลอแล้ว เธอทำในสิ่งที่พอจะคิดได้ตอนนั้น...เธอยกมือไหว้แล้วพูดอู้อี้ในสิ่งที่โจรใจหยาบไม่คิดจะรับฟัง

“มา มาทางนี้”

พอโจรชั่วปล่อยมือจากปากเธอเพื่อมาคว้าข้อมือ สริณยาที่คิดว่าตัวเองจะกรี๊ดไม่ออกก็กรีดร้องออกมาทันที

“อีห่า! กูบอกว่าอย่าร้อง”

หญิงสาวไม่สนใจคำห้ามอีกแล้วเนื่องจากรู้ว่ามือหนึ่งของโจรมันจับข้อมือเธอ อีกมือถือกระเป๋าเอาไว้ ดังนั้นก็แปลว่ามันไม่มีมีดเหมือนที่ขู่ หรือถ้ามี เธอก็ยังจะเสี่ยงร้องเพื่อให้มันรีบวิ่งหนีไปแล้วปล่อยเธอเอาไว้ที่นี่ ไม่ใช่ลากเธอไปไหนก็ไม่รู้

เธอไม่ไป! ไม่ไปกับมันอย่างเด็ดขาด ถ้ามันจะฆ่าก็ฆ่าเลย เธอยอมตายตรงนี้ ตอนนี้ดีกว่าถูกลากไปข่มขืนแล้วค่อยฆ่า!

เสียงร้องของสริณยาสะดุดเมื่อโจรชั่วปล่อยแขนเธอแล้วกำหมัดต่อยเข้ามาที่ใบหน้า

แรงกระแทกของหมัดผู้ชายทำให้เธอชาในนาทีแรก ก่อนความเจ็บร้าวจะกระจายไปทั้งหน้า เธอลิ้มรสเลือดที่กบปากได้ในทันที

น้ำตาสริณยาไหลพรากก็ตอนนี้ เธอสั่งตัวเองให้วิ่ง แต่ทำได้เพียงเดินโซเซไปไม่กี่ก้าวก่อนเจ้าโจรชั่วจะกระชากผมหางม้าเธออย่างแรงจนเธอหน้าหงาย จากนั้นมันก็พยายามลากเธอเข้าไปในพงหญ้าของที่ดินว่างเปล่าข้างทางซึ่งยังไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไร ทำให้มีหญ้าและต้นไม้ขึ้นรก

สริณยาร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียงพร้อมดิ้นสุดแรง พยายามขืนตัวเอาไว้ไม่ให้มันพาตัวเธอเข้าไปในนั้นได้ ปากก็เจ็บ หัวก็เจ็บ แต่เจ็บให้ตายเธอก็สู้ สู้จนไอ้โจรชั่วหันมาด่าเธออีกครั้งพร้อมโยนกระเป๋าสะพายของเธอเข้าไปในพงหญ้าแล้วหันมาตบหน้าเธอ ต่อยไปตามร่างกายของเธอไม่เลือกที่ ไม่นับ เหมือนมันเห็นเธอเป็นกระสอบทรายมากกว่าจะเป็นคนเหมือนมัน

เจ็บ...มันเจ็บไปหมด

ชั่วขณะนั้นสริณยาเหมือนเห็นแสงสีขาว แสงอะไร แสงที่คนตายแล้วจะเห็นใช่ไหม ไม่! เธอยังไม่อยากตาย

หญิงสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายกรีดร้องออกมาอีกครั้งเพื่อเรียกพลังแล้วสู้ตอบ ทั้งเตะทั้งต่อย ล้มลุกคลุกคลานจนกระเสือกกระสนออกมายังนอกถนนได้

แสง...เธอเห็นแสงสีขาวสาดเข้าใส่หน้าเธออีกแล้ว เธอยืนมองแสงนั่นก่อนได้ยินเสียงเบรกดังเอี๊ยด

ร่างที่ช้ำน่วมไปหมดหมดแรงทรุดลงกับพื้น ดวงตาที่บวมช้ำใกล้ปิดได้ยินเสียงตะโกนโวยวายอะไรบางอย่าง จากนั้น...สติเธอก็หลุดลอย

   

เจ็บ! 

ความเจ็บร้าวไปทั้งตัวปลุกสริณยาให้ฟื้นขึ้นมาในที่สุด แรกทีเดียวดวงตาเธอฝ้าฟาง มองเห็นแต่แสงสีขาว ชั่วขณะหนึ่งเธอคิดว่าเธอตายไปแล้วเสียอีก เธอกำลังทำใจให้สงบ จะได้ไปอย่างเป็นสุข ทว่าเมื่อเธอยอมแพ้ กลับรู้สึกถึงแรงเขย่าที่ทำให้...เจ็บ จากนั้นหูก็ได้ยินเสียงเรียก

“น้อง น้องยา ได้ยินพี่ไหม”

ดวงตาเธอกะพริบเพื่อปรับโฟกัส จากนั้นเธอก็เห็นคนที่กำลังประคองเธอเอาไว้ในอ้อมแขน เพราะเขาและเธอนั่งอยู่หน้าแสงไฟ เธอจึงเห็นหน้าเขาชัดทีเดียว

“คุณ...ตรัณ...”

เมื่อเธอเรียกชื่อเขาออกไป สีหน้าเป็นห่วงของตรัณก็ดูจะดีขึ้น เขาหันไปมองใครอีกคนแล้วพูดกับคนคนนั้น “ฟื้นแล้ว”

“ไอ้หมอนั่นหนีไปไหนแล้วไม่รู้ บ้าฉิบ!”

เสียงผู้ชายอีกคนไม่คุ้นหูเธอเอาเสียเลย สริณยาพยายามเพ่งมอง แต่เป็นเพราะเขายืนอยู่ในเงามืดเธอจึงมองไม่เห็น

“เรื่องคนร้ายน่ะช่างเถอะ ตอนนี้พาน้องยาไปหาหมอก่อน”

“อย่าบอกนะว่าจะให้คนเจ็บซ้อนมอ’ไซค์ผมไป”

“มอเตอร์ไซค์น่ะดีที่สุดแล้ว เร็วดี” ตรัณสั่งแล้วก้มหน้าลงมาถามสริณยา “ลุกไหวไหมน้องยา ค่อยๆ นะ พี่จะประคอง ถ้าไม่ไหวหรือเจ็บตรงไหนก็บอก”

น้ำตาสริณยาไหลพราก บอกเขาไม่ได้ว่าเธอเจ็บไปทั้งตัว ไม่อยากกระดิกเลยแม้แต่ปลายนิ้ว และเมื่อเธอไม่บอกตรัณจึงค่อยๆ ประคองเธอให้ลุก ซึ่งสริณยาแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เธอแทบไม่มีแรงทรงตัว และถ้าไม่มีตรัณประคองเอาไว้เธอต้องล้มแน่

“ท่าทางแบบนั้นขึ้นมอ’ไซค์ไม่ไหวมั้งพี่ ผมไปเรียกแท็กซี่ให้ดีกว่า” ชายอีกคนที่สริณยาไม่เห็นหน้าและน่าจะไม่รู้จักเสนอ ก่อนจะตวัดขาคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไป ทิ้งให้สริณยาอยู่ในที่เกิดเหตุกับตรัณเพียงสองคน

“ยืนไหวไหม หรือว่าจะนั่งลงดีกว่า”

สริณยาพยักหน้าก่อนตอบเสียงเบา “ขอนั่งเถอะค่ะ ฉันยืนไม่อยู่จริงๆ”

แล้วตรัณก็ช่วยพยุงเธอให้นั่งก่อนไถ่ถามเรื่องราว “เกิดอะไรขึ้น ปล้น หรือ...อะไรที่มากกว่านั้น”

ทันทีที่ถูกถามถึงเรื่องเขย่าขวัญที่เธอเพิ่งก้าวพ้นมันมาได้อย่างเฉียดฉิว สริณยาก็เริ่มตัวสั่นจนตรัณตัดสินใจกอดเธอเอาไว้แล้วปลอบ

“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ต้องตอบพี่ก็ได้ ใจเย็นๆ นะ ไม่ต้องกลัว”

สุดท้ายแล้วสริณยาก็ได้แต่ร้องไห้เงียบๆ และรอจนชายซึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาพร้อมแท็กซี่แล้วขึ้นแท็กซี่ไปยังโรงพยาบาล

   

อาการของสริณยาไม่ได้หนักหนาเท่าที่คิด อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรแตกหักเสียหายเลยสักชิ้น แต่สิ่งที่เสียหายมากที่สุดเห็นจะเป็นขวัญที่ลอยไปไกลลิบกู่ไม่กลับ ทำให้หญิงสาวมีอาการผวาทุกครั้งที่มีคนเดินผ่านด้านหลัง อาการผวาอย่างเห็นได้ชัดนี้ทำให้แพทย์แนะนำให้เธอลองคุยกับจิตแพทย์ดู หากผ่านไปสองสามวันแล้วยังมีอาการเช่นนี้อยู่

ส่วนเรื่องบาดแผลฟกช้ำจากการถูกตบถูกต่อยจนหน้าเขียวหน้าม่วงนั้นไม่ได้หนักหนาถึงกับต้องนอนโรงพยาบาล หมอจึงอนุญาตให้เธอกลับบ้านได้ และคนที่พาเธอกลับไปส่งที่บ้านก็ไม่ใช่ใคร เป็นตรัณนั่นเอง

เขาเรียกแท็กซี่ไปส่งเธอถึงบ้าน ประคองเธอเข้ามานั่งยังโซฟาภายในห้องรับแขกเรียบร้อยแล้วก็ยิ้ม

“พี่วางยาเอาไว้ตรงนี้นะ กินยาตามที่หมอสั่งด้วย แล้วเรื่องงานไม่ต้องห่วง พี่จะแจ้งคุณจอห์นให้เองว่าน้องยาได้รับ...อุบัติเหตุ”

สริณยายกมือไหว้ตรัณซึ่งช่วยเหลือและดูแลเธอเป็นอย่างดี

“ว่าแต่เรื่องนี้น้องยาควรแจ้งตำรวจนะ พรุ่งนี้ไหวไหม พี่จะมารับไปแจ้งความ”

หญิงสาวซึ่งใบหน้าบวมช้ำเงยมองผู้หวังดี ก่อนจะส่ายหน้า “แจ้งไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ ยาไม่คิดว่าตำรวจจะจับคนร้ายได้” 

ขนาดคดีใหญ่ของน้องดา ตำรวจยังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วคดีขี้ปะติ๋วแบบเธอมีหรือตำรวจจะสนใจ

สริณยามีอคติกับตำรวจเสียแล้ว เธอจึงคิดเช่นนั้น

“จับได้ไม่ได้ก็ควรแจ้ง อย่างน้อยถ้าจับคนร้ายได้ขึ้นมา น้องก็จะได้กุศลจากการป้องกันไม่ให้คนร้ายมันไปทำแบบนี้กับใครที่ไหนอีก”

ฟังคำแนะนำของคนดีแล้ว สริณยาก็ถอนหายใจยาวก่อนชม “คุณตรัณนี่เป็นคนดีจังนะคะ ช่วยยายังไม่พอ ยังคิดจะช่วยผู้หญิงคนอื่นด้วย”

“ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงเราก็ควรช่วย โลกจะได้น่าอยู่ขึ้น” ตรัณยิ้มก่อนนัดหมาย “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้...สายๆ หน่อย สักสิบโมงดีไหม พี่จะมารับ”

สริณยาส่ายหน้า “อย่าเลยค่ะ ยาไม่อยากรบกวนคุณ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว พรุ่งนี้ถ้ายาไปไหวยาจะไปแจ้งความเองค่ะ”

“ไม่ได้รบกวนอะไรเลย ถ้าน้องยาไปแจ้งความ ตำรวจก็ต้องตามพี่ตามหน่องไปสอบปากคำในฐานะพยานอยู่แล้ว”

“หน่อง?” ชื่อไม่คุ้นหูทำให้สริณยาขมวดคิ้ว ก่อนภาพผู้ชายขี่มอเตอร์ไซค์คนนั้นจะแวบเข้ามาในสมอง เธอเรียบเรียงเรื่องราวอยู่ครู่หนึ่งก็พอปะติดปะต่อเรื่องได้ “เขาเป็นคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาเจอยาใช่ไหมคะ”

“ใช่” ตรัณพยักหน้าก่อนนั่งลงบนโซฟาตัวยาวตัวเดียวกับสริณยา แต่ทิ้งระยะห่างกันพอควร “หน่องเป็นคนเจอน้องยาก่อน แล้วบีบแตรยาวทำให้พี่ที่อยู่หน้าผับได้ยินเสียงแล้ววิ่งมาดู”

“หน่อง” หญิงสาวพึมพำชื่อนี้อีกครั้ง “ยาคงต้องไปขอบคุณเขา เขาเป็นใครคะ”

“อ้อ เขาเป็นการ์ดคนใหม่ เพิ่งมาทำงานได้อาทิตย์เดียว” 

พูดถึงตรงนี้หัวคิ้วตรัณก็ขมวดเล็กน้อย แต่แม้จะเล็กน้อยสริณยายังสังเกตเห็นและถาม

“มีอะไรเหรอคะ”

“ไม่มีอะไร แค่แปลกใจนิดหน่อย วันนี้เป็นวันหยุดของหน่องนี่ แล้วมันขี่มอเตอร์ไซค์มาที่ผับทำไม” ตรัณพูดเบาเหมือนพูดกับตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ถึงจะบังเอิญไปหน่อยแต่ก็เป็นความบังเอิญที่ดี แบบนี้เขาเรียกว่าพระคุ้มครอง เอาละ พี่กลับดีกว่า น้องยาจะได้พักผ่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้สิบโมงพี่จะมารับนะ น้องยาเมมเบอร์พี่เอาไว้ พี่มาถึงแล้วจะโทร. หา”

สริณยายิ้มเจื่อน “มือถือยาอยู่ในกระเป๋าค่ะ มันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”

“นอกจากมือถือแล้วในกระเป๋ามีอะไรอีกรึเปล่า”

“ก็...” หญิงสาวคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบ “กระเป๋าสตางค์ แล้วก็ของกระจุกกระจิก ดีนะที่ยามักเอากุญแจบ้านไว้ในกระเป๋ากางเกง ไม่อย่างนั้นคงยุ่ง”

“เอาละ อย่าเพิ่งคิดมากเลย ไปนอนพักเถอะ แล้วพรุ่งนี้เราเจอกัน” ตรัณตบไหล่สริณยาเบาๆ แล้วลุกขึ้น “เดี๋ยวน้องยาล็อกประตูให้แน่นหนานะ ระวังตัวด้วย”

คำเตือนทำหญิงสาวตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพนมมือไหว้ตรัณที่เตือนเธอ

   

หากเมื่อคืนอาการของเธอถือว่าแย่แล้ว วันนี้มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ สริณยานอนกระสับกระส่ายทั้งคืนเพราะฝันร้าย เป็นไข้ ปวดเนื้อปวดตัว อ่อนเพลียจนได้แต่นอนร้องไห้ทั้งคืน

หูเธอได้ยินเสียงกริ่งประตู รู้ดีว่าตรัณคงมาตามนัดแล้ว ทว่าเธอไม่มีเรี่ยวแรงลุกจากเตียง ได้แต่นอนน้ำตาไหลอยู่แบบนั้น

เสียงกริ่งประตูหยุดลงไปแล้ว จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อเธอ เสียงของผู้ชายกับผู้หญิง แล้วอีกไม่นานต่อมาประตูห้องนอนของเธอก็เปิดออก คนที่พุ่งเข้ามาหาเธอเป็นคนแรกคือตรัณที่หน้าตาดูเป็นห่วงเธอไม่น้อย และอีกคน...ป้าน้อย ป้าข้างบ้าน

“ตายแล้วหนูยา นั่นเป็นอะไรลูก ทำไม...”

“น้องยาโดนรถเฉี่ยวครับ” ตรัณเป็นคนตอบแทนเธอ ก่อนนั่งลงบนเตียงแล้ววางหลังมือลงบนหน้าผาก “มีไข้ เดินไม่ไหวสินะ”

สริณยาอยากยิ้ม อยากตอบ แต่ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วก็ร้องไห้

“ไม่ต้องร้อง”

เสียงตรัณตอบปลอบเธอนั้นนุ่ม สีหน้าเขาดูใจดี

“ป้าน้อยครับ ผมฝากน้องไว้เดี๋ยว ผมจะไปหาข้าวมาให้น้องเขา แล้วจะได้กินยา”

“โอ๊ย ไม่ต้องๆ วันนี้บ้านป้าทำข้าวต้มกุ้ง เดี๋ยวป้าจะแบ่งมาให้หนูยาเขา รอเดี๋ยวนะ”

ปกติแล้วสริณยาไม่ได้สนิทสนมอะไรกับป้าน้อยคนนี้นัก แต่พ่อเคยพูดคุยกับป้ากับลุงบ้านโน้นบ้านนี้อยู่ เพราะพ่อสินะทำให้เธอได้รับเมตตาจากคนข้างบ้าน

พ่อ...แม่...เธอคิดถึงพ่อกับแม่

ตอนนี้สริณยารู้สึกว่าตัวเองบ้าจริงๆ ที่กลับมากรุงเทพฯ เพื่อตามหาฆาตกร

ขนาดตำรวจยังหาไม่ได้ แล้วเธอจะหาอะไรเจอ มาทำงานที่เดอะพราวผับตั้งหลายเดือนแล้วก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเลย แถมตอนนี้ยังเจ็บตัว เกือบตายอีก

   

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น