บทที่ 7

7

สาวโลกสวย

สริณยาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมจู่ๆ เจ้านายถึงได้ทำหน้าดุเสียงดุใส่เธอ มันแปลกตรงไหน เมื่อก่อนตอนเธอทำงานอยู่ที่บันเทิงระเริงใจ ตอนเช้ากินแค่ขนมปังกับกาแฟ กลางวันกินอาหารตามสั่งแถวๆ ออฟฟิศ ตอนเย็นถึงจะเป็นมื้อหนัก เธอจะซื้ออาหารสดกลับไปให้พ่อทำกับข้าวให้กิน แต่ตอนนี้เพราะเลิกงานดึก กว่าจะได้นอนบางทีก็ตีสอง ตีสาม ทำให้เธอตื่นสาย ตื่นมากินกาแฟและขนมปังแล้วก็มาทำงาน งานที่ทำก็ไม่ได้หนักหนา ไม่ได้ใช้แรงพลังอะไรเลย ดังนั้นเธอจึงไม่หิว รอกินตอนดึกประมาณสองทุ่มได้สบายมาก

“นี่อย่าบอกนะว่าอดอาหารเพราะกลัวอ้วน” สายตาจิณณวัตรหลุบมองร่างเล็กผอมบางของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างไม่พอใจ

เสื้อผ้าที่สริณยาสวมใส่คือกางเกงยีนและเสื้อยืดตัวโคร่ง ดูเธอไม่รักสวยรักงามอะไรเลย กระทั่งหน้าตาก็ยังไม่แต่ง ทั้งที่...หากแต่งสักหน่อย จิณณวัตรมั่นใจเลยว่าเธอต้องดูดีมากๆ สายตาเขามองอะไรไม่มีผิดหรอก ดูอย่างตอนแกล้งให้เธอสวมชุดเมดนั่นสิ บางชุดก็คว้านอก บางชุดรัดรูป บางชุดอวดเรียวขา พี่เลี้ยงแมวของเขากลับใส่ได้สวยทุกชุด สัดส่วนของเธอชวนตะลึง

เอ๊ะ! นี่เขาคิดอะไรอยู่

“ฉันไม่ได้กลัวอ้วน เพียงแต่ไม่หิว แล้วตอนเย็นแม่ขำก็ให้ข้าวเยอะ ประหยัดได้ก็เลยประหยัด”

ฟังคำตอบแบบนี้แล้ว มือที่แต้มยาทาแผลสดลงบนเนินอกของสริณยาก็กดแรงลงไปที่แผล ทำให้เธอร้องซี้ดขึ้นมาอีก

“เงินเดือนหมื่นสองไม่พอกินพอใช้รึไง ทำไมผู้หญิงสมัยนี้ใช้เงินเปลืองนัก แบบเธอ เอาไปซื้ออะไร จะว่าเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือของแบรนด์เนมก็ไม่น่าใช่”

“ฉันส่งกลับไปให้ทางบ้าน ก็บอกแล้วไงว่าแม่ป่วย พ่อก็ยังไม่มีงานทำ ทุกคนรอเงินของฉัน” สริณยาไม่ได้อยากโกหก แต่เธอไม่อยู่ในสภาพที่เลือกได้ เธอมีภารกิจสำคัญต้องทำ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าในอนาคตเบื้องหน้าเธออาจต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อะไรอีก ดังนั้นทางที่ดี การทำให้เจ้านายเมตตาสงสารเธอเอาไว้ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแย่อะไร

“เรื่องจริงเหรอ”

“อะไรเรื่องจริงคะ”

“เรื่องน้ำเน่าเกี่ยวกับครอบครัวเธอไง”

“อ้าว” สริณยาร้อง “เรื่องจริงสิคะ ฉันไม่ใช่คนขี้โกหกนะ” หญิงสาวแอบไขว้นิ้วเอาไว้ข้างหลัง เธอไม่ได้โกหก แค่...พูดออกไปไม่หมดและเสริมเติมแต่งเรื่องราวนิดหน่อยเท่านั้นเอง

เมื่อถามย้ำเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวเธอหลายครั้งและได้ข้อมูลตรงกับเรื่องที่เขาสืบมา เขาก็เริ่มเชื่อเธอขึ้นมาบ้าง ไม่ได้เชื่อทั้งหมดหรอกนะ แต่ส่วนที่เชื่อก็ทำให้เขามองผู้หญิงคนนี้ดีขึ้น

ดูเหมือนเธอจะมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไรสักอย่าง แต่เป้าหมายนั้นดูจะไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อเขา เขาปล่อยให้เธออยู่ลำพังในห้องนี้ เธอก็ไม่ได้ค้นหาอะไร โต๊ะทำงานที่สั่งห้ามยุ่ง เธอก็ไม่เคยแม้แต่จะมาเปิดเอกสารที่อยู่บนโต๊ะดู

คนที่เข้ามาเป็นสายทนนิ่งเฉยทำเป็นไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นได้ไม่นานเท่าเธอหรอก

ดังนั้นตอนนี้จิณณวัตรจึงค่อนข้างเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะมาที่นี่ด้วยเรื่องส่วนตัว ไม่ได้เป็นสายให้ใคร แต่มาทำไม  คำตอบที่เหมาะสมและเป็นไปได้ดูจะมีเพียงอย่างเดียว เธอมาที่นี่เพื่อหาข้อมูลไปเขียนหนังสือ

เขาเคยรู้มาว่านักเขียนหลายคนมักลงพื้นที่จริงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องไปเขียน จากปูมหลังที่เธอเล่ามา และจากการสืบของเขา ทำให้จิณณวัตรเชื่อแล้วว่าเธออาจกำลังจะเขียนหนังสือ หรือเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับผับจึงตั้งใจมาทำงานที่ผับเขาเพื่อจะได้ข้อมูลเชิงลึก

เอ๊ะ นี่ถ้าเธอต้องการเขียนเรื่องเกี่ยวกับโสเภณี เธอมิต้องไปยืนแถวสนามหลวงหรือ

ผู้หญิงบ้า ทำอะไรอันตรายไม่เข้าเรื่อง!

“ต่อไปเลื่อนเวลาเข้างานมาเป็นสิบเอ็ดโมง”

“ฮะ?”

“เธอมาถึงแล้วก็เข้าไปในห้องครัว ยกสำรับอาหารของฉันกับเธอขึ้นมา ฉันจะเลี้ยงข้าวลูกกตัญญูแบบเธออีกมื้อ”

สริณยามองคนที่นั่งอยู่ข้างเธอราวไม่เชื่อสายตา เธอเคยคิดว่าเขาเป็นคนโหด เขี้ยว แต่ทำไม...

หญิงสาวยังไม่ทันได้คำตอบเธอก็เตือนตนเองให้หยุดคิด เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อรู้จักหรือเข้าใจเจ้าของเดอะพราวผับ แต่เธอมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อื่น เธอทำให้เขาเห็นใจก็เพราะหวังผล และตอนนี้ก็ดูเหมือนจะได้รับผลที่หว่านไปแล้ว เธอควรดีใจ ต้องรีบขอบคุณสิ

เมื่อรู้แล้วว่าควรทำเช่นไรสริณยาก็ยิ้มจนตาหยี “ขอบคุณค่ะ คุณใจดีมากๆ เลย”

คำชมที่เพิ่งได้ยินทำให้จิณณวัตรแค่นยิ้ม ดวงตาที่มีแววเอ็นดูฉาบค่อยๆ เปลี่ยนกลับไปเป็นแววตาเย็นชา

ใจดีอย่างนั้นหรือ หากเธอรู้จักเขาดีกว่านี้ เธอจะไม่มีวันพูดแบบนี้ออกมาแน่

   

มัน...อึดอัดอย่างไรก็ไม่รู้ที่ต้องมากินข้าวกับผู้ชายที่ไม่รู้จัก

วันนี้เป็นวันแรกที่สริณยาเลื่อนเวลามาทำงาน และเป็นวันแรกที่เธอนั่งรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับเจ้านาย หญิงสาวรู้สึกแปลกๆ เมื่อได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะกับเขา เธอพยายามแล้วที่จะขอตัวลงไปกินกับพนักงานด้านล่าง แต่เขากลับสั่งเธอด้วยสายตาให้นั่ง และกิน!

อาหารสำหรับนายและลูกจ้างนี่ก็เป็นอีกอย่างที่แปลก มันคือข้าวผัดแหนมและต้มจืดวุ้นเส้นที่มาในหม้อซึ่งมีไฟอุ่นอยู่ด้านล่าง

เธอเห็นเจ้านายตักข้าวกินคำแล้วก็อ่านอะไรในไอแพดไปด้วย เพราะกินคำอ่านคำแบบนี้สินะ น้ำแกงจึงต้องอุ่นให้ร้อนอยู่เสมอ

“ทำไมคุณไม่กินให้เสร็จก่อนแล้วค่อยอ่านล่ะคะ” สริณยาไม่ได้ดุเขาเหมือนที่พ่อเคยดุเธอนะ แค่ถามเขาเฉยๆ ด้วยความหวังดีปนรำคาญ

พ่อกับแม่เลี้ยงเธอให้อยู่ในระเบียบวินัย ดังนั้นเธอกับน้องจึงไม่เคยกินข้าวไปดูโทรทัศน์ไป กินข้าวไปเล่นโทรศัพท์ไป หรือแม้แต่กินข้าวไปอ่านหนังสือไปก็ไม่ได้ มารยาทบนโต๊ะอาหารที่ถูกสอนมาแต่เด็กทำให้เธอรู้สึกขัดหูขัดตากับความเคยชินของคนตรงหน้าจนยั้งปากเอาไว้ไม่ได้

แต่พอเห็นจิณณวัตรเบนสายตาจากไอแพดในมือมามองเธอ สริณยาก็รู้สึกว่าตัวเอง...ซวยแล้ว!

เขาจะกินข้าวไปดูโทรทัศน์ไป เล่นมือถือไป อ่านหนังสือไป หรือกระทั่งนั่งอึ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องเตือนเขาเลย

พอรู้ตัวว่าทำพลาด หญิงสาวก็ยิ้มเจื่อนแล้วเอ่ยขอโทษ “ขอโทษค่ะ เชิญค่ะ เชิญอ่านต่อได้เลย”

จิณณวัตรไม่ได้อ่านต่อ แต่ยังคงมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามนิ่งๆ ยิ่งรู้จักเธอนานขึ้น เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าเธอไม่เหมาะกับที่นี่

เธอเป็นผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงมาดี เรียนดี อยู่ในสังคมที่ขาวสะอาด เพราะแบบนี้จึงมองโลกเป็นสีชมพู เธอคงไม่คิดว่าโลกมีด้านที่มืดมิดและโหดร้าย ถึงได้กล้าเอาตัวเข้ามาเสี่ยง

จิณณวัตรมั่นใจว่าผับของเขานั้นดีกว่าที่อื่นเป็นร้อยเป็นพันเท่า แต่ถึงดีอย่างไรมันก็มีสีเทา มันมีด้านมืดที่เขาห้ามปรามไม่ได้อยู่ ผู้หญิงโลกสวยแบบเธอหากเขาไม่กักเอาไว้ข้างบน ป่านนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้างก็สุดรู้

‘นักเขียนโลกสวย’ บางทีอาจเป็นความผิดของเขาก็ได้ที่ปกป้องเธอ หากให้เธอลงไปพบกับเสือสิงห์กระทิงแรดและถูกกัด ถูกกิน เธอคงกระเจิงไปจากที่นี่นานแล้ว สาวโลกสวยที่คิดว่าตนเองเป็นมาตาฮารีใจหาญ ขำตายละ!

“เธอเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิดรึเปล่า”

“ค่ะ เกิดที่นี่ โตที่นี่ เรียนที่นี่”

“เล่าประวัติของเธอให้ฉันฟังหน่อย จะได้มีอะไรฟังเพลินๆ ระหว่างกินข้าว” สั่งจบจิณณวัตรก็ปิดไอแพดวางลงบนโต๊ะแล้วหันมาสนใจคนที่กลอกตาไปมาราวกำลังคิดหาเรื่องโกหกอยู่

ชายหนุ่มเกือบขำการพยายามโกหกของเธอ ดูเหมือนเธอจะไม่ใช่คนโกหกเก่ง เขาจึงจับผิดได้ง่ายดาย

แล้วก็แปลก เขาเป็นคนเกลียดคนโกหกที่สุด แต่ทำไมไม่รู้เขาจึงอยากฟังเรื่องโกหกจากเธอ

จริงๆ แล้วก่อนที่สริณยาจะมาสมัครงาน เธอตระเตรียมเรื่องโกหกเกี่ยวกับตนเองเอาไว้แล้ว ท่องจนคล่องด้วยซ้ำ แต่...วันนั้นเขาไม่ถาม และดูเหมือนหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจ เธอจึงลืมๆ เรื่องที่แต่งเอาไว้ไปบ้างแล้ว พอวันนี้จู่ๆ เขาถามเธอจึงต้องเรียบเรียงในสมองนิดหนึ่ง

“ว่าไง ลืมเหรอว่าตัวเองเกิดวันไหน โรงพยาบาลอะไร เข้าเรียนอนุบาล ประถม มัธยม และมหาวิทยาลัยที่ไหน คณะอะไร”

“คุณจะรู้ไปทำไมล่ะคะ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย”

“จะสำคัญหรือไม่ฉันเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่เธอ”

สริณยากัดริมฝีปากอย่างขัดใจก่อนตัดสินใจ...เล่าความจริง “ฉันเกิดวันที่ ๑๕ มีนา ปี...” เธอบอกปีเกิดแล้วแถมปีนักษัตรให้ด้วย ก่อนแจ้งชื่อสถานศึกษาของเธอให้เขาฟัง เนื่องจากพอคิดมาคิดไป เธอก็ไม่ได้เรียนโรงเรียนที่น่าสงสัยตรงไหน

จิณณวัตรฟังไปกินไปราวไม่ได้สนใจ แต่พอเธอพูดจบเขาก็สั่ง “เอาบัตรประชาชนมาซิ”

“ฉันไม่ได้โกหกคุณนะ!” เสียงหญิงสาวดังขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ ก็จะให้พอใจได้อย่างไรล่ะ ในเมื่ออุตส่าห์พูดความจริงออกไปแต่เจ้านายดันไม่เชื่อ

มือใหญ่แบมือข้ามโต๊ะมา บอกให้รู้ว่าเขาจริงจังแค่ไหนในการขอดูบัตรประชาชนของเธอ

เห็นแล้วดูท่าจะเลี่ยงไม่ได้ สริณยาจึงจำใจเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางเอาไว้บนโต๊ะหน้าห้องน้ำมาแล้วควักบัตรประชาชนส่งให้จิณณวัตร

“ฉันไม่ใช่พวกต่างด้าวลักลอบเข้ามาทำงานหรอกน่า ไม่เชื่อให้ร้องเพลงชาติให้ฟังก็ยังได้”

มันก็แค่คำพูดประชดประชันที่สริณยาพูดออกไปอย่างหมั่นไส้ แต่จิณณวัตรกลับมองหน้าเธอแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

โอ๊ย! เวลาผู้ชายคนนี้ยิ้มโดยยกมุมปากขึ้นข้างเดียวแบบนี้ เขาดูเหมือนตัวร้ายในหนังแขกเลย

“ร้องเพลงช้างซิ”

“อะไรนะ!”

“เพลงช้างไง คนต่างชาติที่ลักลอบเข้ามาทำงานส่วนมากจะร้องเพลงชาติไทยได้ทั้งนั้น เขาฝึกมาทุกคน เพราะงั้นร้องเพลงช้างมา”

สริณยาไม่รู้ควรทำสีหน้าอย่างไรดี เธองุนงง สับสน แล้วก็ขำด้วย นี่เขาเอาจริงหรือ “แค่ดูบัตรประชาชนก็พอแล้วมั้ง ฉัน...ร้องเพลงไม่เก่ง”

“จะร้องไม่ร้อง”

“ร้องก็ได้” จริงๆ เพลงช้างก็เป็นแค่เพลงธรรมดาๆ ที่ใครๆ ก็ร้องได้กันทุกคน เธอเคยร้องมาเป็นพันเป็นหมื่นรอบแล้ว ดังนั้นเลยไม่อาย

เธอร้องเพลงยอดนิยมของเด็กไทยด้วยน้ำเสียงปกติ แต่พอร้องไปได้ไม่กี่ท่อน เจ้าแมวอ้วนจอมกวนก็เดินจากเตียงของมันเข้ามาหาเธอ มันนั่งจุ้มปุ๊กบนพื้นข้างเธอก่อนร้อง แอ๊ะ แว้ว แอ้ว คลอไปกับเธอ

ทีแรกสริณยาเห็นว่ามันเป็นเรื่องน่าเอ็นดูที่พรินซ์มาช่วยเธอร้องเพลง เธอจึงยิ้มให้และลูบหัวมันเป็นการชมเชย ทว่า...พอเธอได้ยินเสียงหัวเราะของเจ้านาย เธอก็มองเขาอย่างสงสัย

“พอแล้ว พอที ฉันเชื่อแล้วว่าเธอร้องเพลงได้แย่มากพอๆ กับเต้น ขนาดพรินซ์ยังต้องมาขอร้องเลยว่าให้หยุด”

‘อะไรนะ!’ พอได้รู้ว่าทำไมเจ้านายถึงกับหัวเราะงอหาย สริณยาก็หน้าคว่ำ หางตาจ้องแมวอ้วนที่เงยหน้ามองเธอแล้วร้องเบาๆ อีกรอบ คราวนี้สริณยาดันเห็นอาการช่วยร้องของแมวเป็นแมวกำลังเยาะเย้ยเธอคล้อยตามนายไปเสียอีก

โอ๊ย อายก็อาย โกรธก็โกรธ แต่เธอทำคนไม่ได้จึงไปลงเอากับแมวเสียเลย หญิงสาวกำมือแล้วกดหัวพรินซ์พร้อมขู่

“นี่แน่ะ ล้อกันเหรอ ต้องโดนแบบนี้”

“หยุดนะ! ห้ามทำพรินซ์” เมื่อลูกชายโดนพี่เลี้ยงทำร้าย จิณณวัตรก็หยุดหัวเราะ ทำหน้าเหี้ยม ส่งเสียงดุจนลูกจ้างสาวถึงกับตัวแข็งทื่อ “มานี่มาพรินซ์ โดนตีเหรอ ตรงไหน มามะ พ่อเป่าให้”

หือ? จริงอยู่ว่าเธอเห็นเจ้านายอยู่กับแมวนับครั้งไม่ถ้วน เห็นคาตาว่าจิณณวัตรดูรักและตามใจพรินซ์จนเสียแมว แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะใช้เสียงสองพูดกับแมวโดยเรียกแมวว่าลูกงั้นงี้แบบนี้เลย

มัน...มันจั๊กจี้หูพิกล ทว่ามันเป็นความจั๊กจี้ที่ทำให้สริณยาต้องกัดปากเอาไว้แน่น กลัวจะเผลอยิ้มออกมา

“มาสิ มานี่มา” จิณณวัตรตบขาตนเองอีกที หวังให้เจ้าลูกชายโดดขึ้นมาบนตักแล้วอ้อนเขาเหมือนเคย แต่พรินซ์กลับทรยศ นอกจากแมวอ้วนจะไม่เดินไปหาพ่อแล้ว มันยังโดดขึ้นมาบนตักของสริณยาแล้วเอาหัวไถหน้าอกเธอพร้อมครางเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ด้วย

เสียงหัวเราะของผู้หญิงที่ลูบหัว เกาคาง เกาคอให้พรินซ์ใสราวระฆังแก้ว จิณณวัตรมองพี่เลี้ยงแมวกอดลูกชายเขาเอาไว้แนบอกแล้วพูดกับพรินซ์เบาๆ 

“เมื่อกี้พรินซ์ไม่ได้บอกให้พี่หยุดร้องซะหน่อยเนอะ พรินซ์มาช่วยร้องต่างหาก จริงไหมครับ หือ?”

คำตอบของพรินซ์คือการยืดคอให้เธอเกา พร้อมทำเสียงเพอร์ในลำคออย่างพึงพอใจ

“ได้ใหม่แล้วลืมเก่านะไอ้หมูอ้วน” คนที่เพิ่งเรียกแมวว่าลูกเปลี่ยนสถานะลูกตัวโปรดไปเป็นหมูเสียอย่างนั้นหลังโดนเมิน

ได้ยินแล้วสริณยาก็ก้มหน้าขำ หัวเราะกับพรินซ์ที่ยื่นจมูกเย็นๆ ของมันมาแตะปลายคางเธอ

จิณณวัตรมองสิ่งที่พรินซ์ทำแล้วเผลอยิ้ม ดูเหมือนเขาจะคิดถูกที่จ้างพี่เลี้ยงมาให้พรินซ์ หลังจากได้เธอมาดูแล พรินซ์อารมณ์ดีขึ้นมาก ไม่เหวี่ยงวีนเหมือนเคย

ชายหนุ่มหลุบตาลงมองบัตรประชาชนในมือแล้วพึมพำ “อายุยี่สิบสี่จริงๆ ด้วย คิดว่าจะเด็กกว่านี้เสียอีก”

สริณยาไม่รู้ว่านั่นเป็นคำถามหรือเขาแค่พูดออกมาลอยๆ จึงไม่ได้ตอบอะไร แต่ยื่นมือไปรับบัตรคืนเมื่อเขายื่นส่งให้

“นอกจากจะอายุมากแล้ว ยังเป็นคนไทยแท้ๆ ด้วย ไม่ได้ไปขโมยตัวตนใครมาแน่นอนค่ะ”

จิณณวัตรยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนหยิบน้ำเปล่ามาดื่มแล้วลุกจากโต๊ะ เดินออกไปจากห้องโดยไม่พูด ไม่บอกกล่าวอะไรเลย 

แต่เขาก็ไม่เคยพูดอะไรอยู่แล้วนี่ ปกติพอเธอมาเขาก็จะไปแบบนี้ ยกเว้นหากอยากใช้ให้เธอทำอะไรเป็นพิเศษก็จะบอกเป็นคราวๆ ไป 

แล้วเธอหวังอะไร อยากให้เขาบอกเหมือนที่พ่อบอกแม่ก่อนที่จะออกไปทำงานหรือไรว่า...

‘พี่ไปก่อนนะ แล้วจะรีบกลับ’

   

แม้สริณยาจะถูกเลื่อนเวลาเข้างานเร็วขึ้น แต่เวลาเลิกงานยังคงเป็นเที่ยงคืนเหมือนเดิม

คืนนี้เดอะพราวผับยังคงมีลูกค้าแน่น ทุกคนในครัวยุ่ง พนักงานเสิร์ฟเดินเข้าเดินออกขาแทบขวิด ส่วนสาวๆ โคโยตี้ยังคงเต้น ยิ้มแย้ม ทำตัวร่าเริงอยู่บนเวที

สริณยาเดินลงมาจากชั้นสามเงียบๆ และก้าวตรงไปยังประตูหลังร้านพร้อมถอนหายใจ 

หลังจากทำงานที่นี่มาเป็นเดือน เธอจึงรู้ว่าสาวๆ ที่ยิ้มแย้มร่าเริงอยู่บนเวทีแท้จริงแล้วเหนื่อยแค่ไหน เธอเคยเห็นตอนที่สาวๆ พวกนั้นมานั่งพัก แต่ละคนล้วนถอดรองเท้าส้นสูงหลายนิ้วออกแล้วบีบนวดเท้าพร้อมทำหน้าเหยเกเป็นแถว

ขึ้นชื่อว่าทำงาน ไม่มีงานไหนไม่เหนื่อยหรอก สุดแล้วแต่ใครจะอดทนได้มากกว่ากันเท่านั้น

“อ้าว จะกลับแล้วเหรอยา”

“ค่ะ เฮียลี่” ตอนนี้สริณยาทำใจและเคยชินกับการทำงานที่นี่พอควรแล้ว เธอจึงสามารถเรียกทอมนามลี่ว่า ‘เฮีย’ ตามทุกคนในร้านได้อย่างไม่กระดากปากอีก

“โชคดี แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”

ก่อนที่เฮียลี่จะเดินไปดูแลสาวๆ ตามหน้าที่ สริณยาที่นึกอะไรขึ้นมาได้ก็คว้าแขนเฮียเอาไว้ก่อน “เดี๋ยวค่ะเฮียลี่ คือ...หนูมีเรื่องจะถามหน่อยน่ะค่ะ เฮียพอมีเวลาไหม”

สีหน้าเฮียลี่มีความสงสัยเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้า “ได้สิ ไปคุยข้างนอกไหม”

สริณยารีบพยักหน้า ปล่อยแขนเฮียลี่แล้วเดินออกจากร้านไปทางประตูหลัง

พอเฮียลี่ซึ่งเดินตามเธอมาปิดประตู เสียงเพลงที่ได้ยินแว่วๆ ก็ถูกกักเอาไว้ด้านในไม่ลอดออกมา ประตูหลังของเดอะพราวผับอยู่ตรงกับด้านในของลานจอดรถ ส่วนนี้จึงเงียบมาก ข้างประตูมีเก้าอี้วางเอาไว้สองตัว เผื่อให้ยามนั่งพักและบางทีพนักงานในร้านก็ออกมาสูบบุหรี่กัน

แต่คืนนี้ไม่มีใครออกมาสูบบุหรี่ คนที่นั่งเฝ้าประตูหลังร้านจึงมีเพียงยามอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพ่อของเธอนั่งอยู่เพียงลำพัง

“อ้าว จะกลับแล้วเหรอหนู”

เพราะสริณยาออกทางนี้เป็นประจำทุกคืน จึงคุ้นเคยกับลุงยามที่ชื่อแหลมคนนี้ดี หญิงสาวตอบกลับและเดินห่างออกมาอีกนิดเพื่อจะได้คุยกับเฮียลี่เป็นการส่วนตัว

“คือหนูอยากขอเบอร์โทร. ของน้องจอยน่ะค่ะเฮีย เฮียลี่เป็นคนคอยดูแลสาวๆ ต้องมีเบอร์น้องจอยอยู่แล้วใช่ไหมคะ”

พอรู้จุดประสงค์ของสริณยา สาวหล่อก็ขมวดคิ้วแล้วถาม “จะเอาไปทำไม”

“น้องจอยเขาช่วยหนูเอาไว้น่ะค่ะ เขาบอกความจริงให้คุณจอห์นทราบว่าหนูไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการทะเลาะกัน หนูก็เลยไม่ถูกไล่ออก หนูอยากโทร. ไปขอบคุณน้องจอยน่ะค่ะ”

“เฮ้ย ไม่ต้องหรอก เขาไปแล้วก็แล้วกันไปเหอะ”

“พ่อหนูสอนว่าใครมีบุญคุณกับเรา เราต้องทดแทนคุณ อย่างน้อยหนูว่าหนูควรขอบคุณเขา” สริณยามองตาเฮียลี่ด้วยดวงตาแบ๊วๆ ของเธอแล้วยิ้มใส่ตาเฮีย “นะคะ ถ้าหนูไม่ได้ขอบคุณคงรู้สึกไม่ดีไปทั้งชาติแน่”

เฮียลี่ซึ่งมีชื่อจริงว่าประภัสราส่ายหน้าแต่ก็หยิบสมุดเล่มเล็กออกมา เพียงเท่านี้สริณยาก็ลิงโลด กุลีกุจอยกมือถือขึ้นมาช่วยส่องไฟให้

   

สริณยาโทร. หาน้องจอยตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เป็นโชคดีของเธอที่น้องจอยมีเรียนเช้า ดังนั้นเธอจึงไม่ถูกด่าเรื่องโทร. ไปปลุกแต่เช้า แถมน้องจอยยังตกลงง่ายๆ เมื่อสริณยาบอกว่าจะแวะไปหาเธอที่มหาวิทยาลัยเพื่อนำขนมไปขอบคุณ

คุกกี้น่ารับประทานโถใหญ่นี้สริณยาซื้อจากร้านแถวบ้าน รสชาติอาจไม่เท่าไหร่แต่โถที่ใส่นั้นน่ารักเข้ากันดีกับคุกกี้รูปดาวแต่งหน้าด้วยไอซิงสีต่างๆ ดังนั้นผู้รับที่ชอบของสวยงามจึงมองโถนั้นด้วยความพอใจ

ผู้หญิงก็แบบนี้ มีใครไม่ชอบของหวาน ของน่ารักกันบ้าง

“พี่ต้องขอบคุณน้องจอยมากนะที่ช่วยพี่ ไม่อย่างนั้นป่านนี้พี่คงตกงานไปแล้ว”

น้องจอยซึ่งอยู่ในชุดนักศึกษาและแต่งหน้าบางๆ ทำให้ดูอ่อนเยาว์สมวัยยักไหล่ “ไม่เป็นไร ฉันก็แค่พูดความจริง”

“ตอนนี้น้องจอยเป็นยังไงบ้าง” สริณยาทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย “ตกงานแบบนี้ลำบากไหม”

“คนอย่างฉันหางานใหม่ได้สบายอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยังมีเงินอยู่ ยังไม่อยากหา”

“เอ่อ...น้องจอยทำงานที่เดอะพราวผับมานานรึยัง”

ดวงตาที่ทาอายแชโดว์สีชมพูหวานสมวัยมองผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นไม้ข้างตึกเรียนตัวเดียวกันกับเธอด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “ถามทำไม”

“คือ...” สริณยาไม่คิดว่าน้องจอยจะถามเธอตรงๆ แบบนี้จึงตอบไม่ถูก หากพูดไปตามตรงเด็กคนนี้จะตอบหรือว่าหนี หรือว่า...เอาเรื่องเธอไปบอกจิณณวัตร ไม่น่า...น้องจอยถูกไล่ออกแล้วแบบนี้ คงไม่กลับไปฟ้องให้เสียเวลาหรอก 

บางทีคนเราก็ต้องเสี่ยงกันบ้าง!

จากการที่น้องจอยเคยช่วยเธอ บอกได้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนดีใช้ได้ คุ้มที่จะเสี่ยงถามดู

“คนรู้จักของพี่เคยทำงานที่ร้านนั้น เขาชื่อ...โศภิดา น้องจอยรู้จักไหมคะ”

สีหน้าของจอยเปลี่ยนไปทันควัน บ่งบอกว่าเธอต้องจำโศภิดาได้ เห็นแล้วสริณยาก็รีบจับข้อมือน้องจอยเอาไว้ ตั้งใจว่าหากวันนี้ถามไม่รู้เรื่อง เธอก็จะไม่มีวันให้น้องจอยลุกหนีไปไหนง่ายๆ แน่

“น้องจอยรู้จักน้องดา ต้องรู้จักแน่ๆ”

จอยเม้มริมฝีปาก ดวงตาหลุบลงคล้ายกำลังคิด ก่อนจะ...พยักหน้า “ดาเขา...ตายไปแล้วนี่ ฉันเห็นข่าว”

“ใช่ น้องดาเสียแล้ว แต่เขาทิ้งจดหมายเอาไว้ จดหมายจ่าหน้าซองถึง...ที่รัก น้องจอยรู้ไหมว่าใครเป็นที่รักของน้องดา”

สริณยาจ้องเข้าไปในดวงตาของน้องจอยอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง และนาน...นานทีเดียวกว่าน้องจอยจะถอนหายใจออกมา และตอบเสียงเบา

“ไม่รู้สิ”

“บอกพี่เถอะค่ะ พี่ขอร้อง มันเป็นคำขอร้องสุดท้ายของคนตาย น้องจอยรู้แล้วจะไม่ช่วยเหรอคะ”

จอยยังส่ายหน้า “ถ้ารู้ก็จะช่วย แต่นี่ไม่รู้จริงๆ ฉันกับดาไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ ตอนฉันเข้าไปทำงาน อีกเดือนเดียวดาก็ออกจากงานแล้ว รู้จัก แต่ไม่สนิทกันจนพอจะรู้ว่าแฟนเขาเป็นใคร ว่าแต่...นี่เธอเข้ามาทำงานที่เดอะพราวผับก็เพราะจะหาตัวแฟนของดางั้นเหรอ”

“เอ่อ...” สริณยานิ่งคิดก่อนพยักหน้า มันไม่มีประโยชน์ที่จะโกหกแล้วนี่ “ใช่”

“โง่จัง แน่ใจได้ยังไงว่าแฟนดาเขาอยู่ที่ผับ แฟนเขาอาจเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัยก็ได้”

ความเห็นนี้อาจเป็นจริงก็ได้หากในบันทึกของน้องดาไม่เขียนเอาไว้ชัดแจ้งว่าแฟนเธอทำงานที่นั่น 

“พี่แน่ใจว่าเขาทำงานที่นั่น”

“ถ้าอย่างนั้น...ไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาอาจลาออกไปแล้วก็ได้”

   

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น