2

ตอนที่ 2


 

 

2

“ที่ดินแถวนี้สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ” กฤตภาสเอ่ยกับบิดา ขณะรถแล่นผ่านทิวเขาน้อยใหญ่ ระหว่างทางไปวัดป่าที่มารดาตั้งใจจะไปทำบุญ

“อืม มีคนเอาที่ดินแถวนี้มาเสนอขายให้พ่อหลายแปลง เดี๋ยวพ่อจะให้คนส่งรายละเอียดมาให้รองดู” เจ้าสัวก้องภพกล่าว แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาคนสนิทเพื่อให้ส่งข้อมูลที่ดินในบริเวณดังกล่าวมาให้

“คุณแม่รู้จักวัดนี้ได้ยังไงครับ ทางเข้าลำบากน่าดู”

“เพื่อนสายบุญของแม่แนะนำมา พระที่นี่เป็นนักปฏิบัติ แล้วที่วัดก็ยังขาดโบสถ์สำหรับทำกิจอยู่จ้ะ”

“ดีจังเลยครับ แค่เห็นทางเข้า ผมก็อยากทำบุญแล้ว”

“ดีแล้วลูก หมั่นสะสมเสบียงบุญไว้ เงินทองที่หาได้ ตายไปก็กลายเป็นของคนอื่น คงมีแต่คุณงามความดีเท่านั้น ที่จะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ”

“แล้วถ้าผมจะขอเป็นเจ้าภาพสร้างโบสถ์ที่วัดนี้ คุณแม่จะว่าอะไรหรือเปล่าครับ”

“ดีสิลูก บุญใหญ่แบบนี้ แม่มีแต่จะอนุโมทนาบุญด้วย” คุณน้ำเพชรยิ้มหวานด้วยความภาคภูมิใจในตัวบุตรชาย

“แต่รองต้องบอกบุญคนอื่นด้วยนะ เผื่อมีคนที่เขาอยากทำแต่ขาดทุนทรัพย์ เราชวนเขาทำเท่าไหร่ก็ได้ตามจิตศรัทธา ทำหนึ่งบาทหรือสิบบาทก็ได้บุญเท่ากัน ลองเป็นสะพานบุญดู แล้วรองจะเห็นโลกอีกด้านหนึ่ง ด้านที่เราได้เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ” เจ้าสัวก้องภพสอนบุตรชายให้เรียนรู้การเป็นผู้ให้ด้วยหัวใจบริสุทธิ์

“ครับ ผมจะชวนพี่ใหญ่กับเจ้าแฝดมาเป็นเจ้าภาพร่วม แล้วก็จะชวนทุกคนในบริษัทมาร่วมบุญด้วย” คุณรองพยักหน้ารับคำ

 

เมื่อรถสปรินเตอร์คันหรูที่มีตราสัญลักษณ์โภคินอภิวัฒน์แล่นเข้าสู่เขตวัด ก็พบกับพระสงฆ์สองรูปกำลังกวาดลานดินและถอนหญ้าอยู่บริเวณหน้ากุฏิหลังเล็ก เจ้าสัวก้องภพ คุณน้ำเพชร และกฤตภาส ย่อตัวลงนั่งกับพื้น ก้มลงกราบพระสงฆ์ทั้งสองรูปอย่างนอบน้อมพร้อมกัน

“กราบนมัสการครับ” เจ้าสัวก้องภพกล่าว

“เจริญพร”

“ผมและครอบครัวตั้งใจจะมาถวายเพล และจะมาสอบถามเรื่องการสร้างโบสถ์ครับ” เจ้าสัวก้องภพแจ้งเจตจำนง

เมื่อได้ถวายเพลดังตั้งใจ และหารือกับเจ้าอาวาสเรื่องการสร้างโบสถ์เรียบร้อยแล้ว กฤตภาสและมารดาจึงเดินตามหลวงพี่พระลูกวัด ออกไปดูพื้นที่สำหรับงานก่อสร้าง โดยที่ท่านเจ้าสัวยังคงนั่งสนทนาธรรมกับหลวงพ่ออยู่ใต้ร่มไม้

ขณะกำลังหารือกันเรื่องขนาดของพื้นที่อยู่นั้น ได้มีหญิงสาววัยแรกแย้มประคองหญิงชราเดินเข้ามาภายในบริเวณวัด ทั้งสองย่อตัวนั่งลงกราบหลวงพี่ที่ยืนอยู่

“เจริญพรเถิดโยม จะพากันไปไหนล่ะ” หลวงพี่เอ่ยถาม

“ย่าอยากมากราบพระจ้ะหลวงพี่ หนูเลยพามา” หญิงสาวอายุน้อยตอบ

“คนแก่จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ วันนี้ยังไหวก็อยากจะมากราบพระขอพรเจ้าค่ะ” หญิงชราเอ่ยกับหลวงพี่ แล้วเอื้อมมือไปลูบหลังมือเด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านข้าง “จะห่วงก็แต่เจ้ามินนี่แหละเจ้าค่ะ หากหมดอิฉันไปอีกคน ก็ไม่รู้ว่าจะพึ่งใครได้บ้าง”

“ย่าจ๋า อย่าพูดแบบนี้สิจ๊ะ ย่าต้องอยู่กับมินไปนานๆ นะ” เด็กสาวเอ่ยกับผู้เป็นย่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“อย่างนั้นโยมมินตราก็พาย่าเข้าไปกราบพระเถอะ”

เมื่อกราบลาหลวงพี่เรียบร้อยแล้ว เด็กสาวร่างเล็กจึงค่อยๆ ประคองผู้เป็นย่าไปกราบพระประธานที่ตั้งอยู่ด้านหน้ากุฏิ โดยมีคุณน้ำเพชรและกฤตภาสมองตามหลังสองคนย่าหลานไปจนสุดสายตา

เมื่อได้รายละเอียดและขนาดพื้นที่ครบถ้วนแล้ว ทั้งสองจึงเดินกลับไปหาท่านเจ้าสัวที่นั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ โดยมีหญิงชราและเด็กสาวที่พบเมื่อครู่ กำลังก้มกราบเจ้าอาวาสแล้วลุกขึ้นประคองกันเดินออกไป

“น่าสงสาร เด็กคนนี้กำพร้าอยู่กับย่าแค่สองคน อาตมาเห็นมาตั้งแต่แบเบาะ ตอนนี้ย่าก็ป่วยออดๆ แอดๆ ต้องหยุดเรียนแล้วมาดูแลย่า ทำงานรับจ้างทุกอย่าง ขยันและเป็นเด็กดี” เจ้าอาวาสทอดสายตามองสองย่าหลาน แล้วบอกเล่าให้สามผู้มาใหม่ได้รับฟัง

“ประคองกันเดินไปแบบนั้นจะไหวหรือครับ” กฤตภาสมองตามหลังคนสองวัยที่ค่อยๆ ประคองกันไปตามทาง

“บ้านของโยมกรองแก้วอยู่บนเขาลูกนั้น ห่างจากวัดไปห้ากิโล” เจ้าอาวาสตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“ถ้าอย่างนั้นผมขอกราบลาก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้จะมาใหม่ครับ” เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว เจ้าสัวก้องภพ คุณน้ำเพชร และกฤตภาส จึงกราบลา

“เจริญพร” เจ้าอาวาสเอ่ย ขณะผู้มาเยือนก้มลงกราบสามครั้ง

“เมื่อมีวาสนาต่อกัน ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนก็ได้มาพบเจอ” ผู้รู้แจ้งทอดสายตามองตามรถที่แล่นออกจากเขตวัดไป

 

“ชานนท์ หยุดรถ” กฤตภาสตะโกนบอกคนสนิทที่นั่งอยู่ด้านหน้า

“ครับนาย” ชานนท์รับคำ แล้วส่งสัญญาณให้คนขับหยุดรถทันที

“มีอะไรตารอง” คุณน้ำเพชรเอ่ยถาม

“ผมขออนุญาตลงไปดูสองย่าหลานก่อนนะครับคุณแม่” คุณรองตอบ

คุณน้ำเพชรมองตามสายตาบุตรชายไปยังไหล่ทางที่รถเพิ่งเคลื่อนผ่านมา ก็พบว่าสองย่าหลานที่เจอในวัดกำลังนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทาง

“จ้ะ ได้สิลูก” คุณน้ำเพชรพยักหน้า

เมื่อมารดาอนุญาตแล้ว กฤตภาสพร้อมกับชานนท์และธีระ สองมือขวาคนสนิท จึงลงจากรถ เดินย้อนกลับไปยังต้นไม้ที่เด็กสาวนัยน์ตาเศร้านั่งอยู่

“อย่าเข้ามานะ” เด็กสาวคว้าท่อนไม้แห้งขึ้นมาถือ เมื่อเห็นว่ามีผู้ชายร่างสูงใหญ่สามคนย่างสามขุมเข้ามาหา

“ใจเย็นๆ น้องสาว พี่มาดี” ชานนท์ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ พร้อมกับยกมือขึ้นทั้งสองข้าง

“อย่าทำอะไรฉันกับหลานเลยนะพ่อคุณ” หญิงชราที่ยังนั่งอยู่กับพื้นยกมือไหว้ท่วมหัว ตัวสั่นงันงก

“คุณย่าครับ พวกผมมาดีครับ” กฤตภาสย่อตัวนั่งใกล้ๆ หญิงชรา “เราเจอกันที่วัดเมื่อสักครู่ไงครับ”

หญิงชราค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้า “พ่อหนุ่ม”

“ครับคุณย่า ให้ผมไปส่งที่บ้านนะครับ” กฤตภาสกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่เป็นหรอกพ่อหนุ่ม ฉันเกรงใจ” หญิงชราตอบพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

“อย่าเกรงใจผมเลยครับ ผมไม่ได้ลำบากอะไร อากาศร้อนๆ แบบนี้ ไม่ดีต่อสุขภาพเท่าไหร่” ชายหนุ่มแสดงความห่วงใย

หญิงชราหันไปสบตาเด็กสาวที่ทรุดตัวลงนั่งข้างกายเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพยักหน้าตอบรับน้ำใจจากชายแปลกหน้า

“รบกวนพ่อหนุ่มแล้วละ” เสียงอ่อนแรงเอ่ยอย่างแผ่วเบา

เมื่อการเจรจาลงตัว กฤตภาสจึงช่วยเด็กสาวประคองหญิงชราขึ้นไปนั่งบนรถ

“ฉันต้องขอรบกวนพ่อคุณแม่คุณด้วยนะ” หญิงชราเอ่ยกับเจ้าสัวก้องภพและคุณน้ำเพชร ขณะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ

“อย่าถือว่าเป็นการรบกวนเลยครับ” เจ้าสัวก้องภพเอ่ยอย่างใจดี

“ฉันชื่อกรองแก้ว ส่วนนี่หลานสาวฉัน ชื่อมินตรา” หญิงชรานามว่ากรองแก้วแนะนำตัว

“หนูชื่อน้ำเพชร ส่วนนี่สามีหนู ชื่อก้องภพ แล้วที่นั่งข้างๆ นี่คือลูกชายคนรองจ้ะ ชื่อกฤตภาส” คุณน้ำเพชรแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้ม

“พ่อหนุ่มอย่าถือสาเจ้ามินเลยนะ ที่เสียมารยาทกับคุณเมื่อครู่ พวกเราคนบ้านป่า เคยได้ยินเขาเล่าต่อๆ กันมาว่าให้ระวังพวกที่มากับรถตู้ ชอบลักพาตัวเด็กสาวไปขาย เจ้ามินก็เลย....” คุณย่ากรองแก้วยกมือขึ้นลูบผมหลานสาว ขณะเอ่ยกับชายหนุ่มรุ่นหลานที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่ใกล้ๆ

“ครับคุณย่า ผมไม่ถือสาอะไร” กฤตภาสระบายยิ้มบางๆ ที่มุมปาก

“มินตรา อายุเท่าไหร่แล้วลูก” คุณน้ำเพชรทอดสายตามองเด็กมินตรา ซึ่งตอนนี้เอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างบุตรชายคนรอง

“หนูอายุยี่สิบปีจ้ะ” มินตราอ้อมแอ้มตอบเสียงเบา

“แม่หนูเรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว” เจ้าสัวก้องภพเอ่ยถามเด็กสาวนัยน์ตาเศร้า

“เอ่อ หนูไม่ได้เรียนแล้วจ้ะ” มินตราตอบเสียงอ่อยเช่นเคย

“แล้วทำไมไม่เรียน” เสียงแก๊งลักเด็กข้างกายดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พลอยทำให้เด็กสาวตัวเล็กสะดุ้งจนตัวโยน

“หนู...ต้องทำงานหาเงินจ้ะ ไปเรียนที่ตัวจังหวัดได้ปีเดียว” มินตราเงยหน้า สบตาคนข้างกายอย่างรู้สึกผิด ที่เผลอแสดงกิริยาไม่น่ารักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน

“หลานฉันคนนี้อาภัพ เกิดมาแม่ก็ตาย อายุสองขวบพ่อก็มาจากไปอีกคน เลยเหลือกันแค่สองคนย่าหลาน” คุณย่ากรองแก้วเอ่ย

“แต่เธอก็โชคดีนะครับ ที่มีคุณย่าดูแล” กฤตภาส เจ้าสัวก้องภพ และคุณน้ำเพชรสบตากัน ก่อนจะหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้กำลังใจหญิงชรา

 

รถคันหรูค่อยๆ ขับเคลื่อนไปตามทางขนาดเล็ก เพื่อมุ่งตรงไปยังบ้านของสองย่าหลาน เมื่อถึงปลายทางก็พบกับบ้านหลังเล็กยกพื้น ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเพียงหลังเดียวบนเนินสูงแห่งนี้

“ขอบคุณพวกคุณมากๆ นะ ขอให้เจริญๆ” คุณย่ากรองแก้วกล่าวขอบคุณพร้อมทั้งให้ศีลให้พร

กฤตภาสเหลียวมองทุกสิ่งรอบกายด้วยความรู้สึกหลากหลาย หลังคาบ้านที่ตั้งอยู่ตรงหน้ามุงด้วยใบจาก ฝาบ้านเป็นเพียงไม้เก่าที่นำมาตอกรวมกันเอาไว้ ซึ่งก็แทบจะกันอะไรไม่ได้เลย ภายในบริเวณบ้านไร้เครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ มีเพียงจักรยานเก่าๆ แค่หนึ่งคัน ไก่ที่เลี้ยงอยู่ในเล้าโก่งคอร้องขันดังเซ็งแซ่ รอบบ้านมีผักที่ปลูกไว้สำหรับประกอบอาหารอยู่ประปราย

“คุณย่าระวังนะครับ” ชายหนุ่มร้องเตือน ขณะช่วยพยุงหญิงชราขึ้นบันได

บันไดบ้านที่สั่นคลอนไร้ซึ่งความคงทน ซี่บันไดคือต้นไม้ขนาดเล็กที่ตัดเป็นท่อน แล้วนำมาตอกไว้เป็นขั้นๆ เมื่อเดินขึ้นมาถึงตัวบ้าน ก็พบกับพื้นที่สำหรับกางมุ้งนอน ถัดไปอีกเล็กน้อยเป็นระเบียงข้างบ้าน ที่มีเตาถ่านและหม้อขนาดเล็กไม่กี่ใบวางอยู่

“ขอบใจพ่อหนุ่มมากนะ ขอให้เจริญๆ นะพ่อ” หญิงชราแตะแขนพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ

“ขอบคุณครับคุณย่า ถ้ามีโอกาสผมจะแวะมาเยี่ยมอีกนะครับ”

“ถึงบ้านเราจะหลังเล็กๆ แต่ที่นี่ก็ยินดีต้อนรับคุณเสมอ” หญิงชราแสดงท่าทางยินดีอย่างเห็นได้ชัด ที่ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานคนนี้ไม่มีท่าทีรังเกียจสภาพความเป็นอยู่อันแร้นแค้นของเธอแม้แต่น้อย

“เจ้ามิน ลงไปส่งคุณเขาที่รถทีสิลูก” คุณย่ากรองแก้วเอ่ยกับหลานสาวที่นั่งเงียบอยู่ข้างกาย

“จ้ะย่า” เด็กสาวนามมินตรารับคำ

กฤตภาสประนมมือไหว้หญิงชราอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามเจ้าของบ้านร่างผ่ายผอมลงจากบ้านไป

“หนูขอโทษคุณด้วยนะจ๊ะ ที่เข้าใจผิดคิดว่าคุณคือ...แก๊งลักเด็ก” เด็กสาวเอ่ยขอโทษเสียงแผ่ว ก่อนจะรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นสบตาคนร่างสูงตรงๆ

กฤตภาสจ้องลึกเข้าไปในแววตาเศร้าคู่งาม ใช่ ดวงตาคู่นี้ของเธอกลมโต ขนตายาวและโค้งงอนงดงามน่ามอง เว้นแต่เพียงแววตาเท่านั้นที่ฉายความเศร้าอย่างชัดเจน จมูกโด่งที่เชิดขึ้นคล้ายกับเป็นคนรั้นน้อยๆ เรียวปากอวบอิ่มสีชมพูที่เย้ายวนรับกับใบหน้ารูปไข่ ถึงแม้นว่าจะดูแห้งกร้านจากการกรำงานหนัก หากแต่ยังคงความงามไว้อย่างเป็นธรรมชาติ

“คุณคะ คุณโกรธหนูหรือเปล่า ทำไมมองหนูแบบนี้” เด็กสาวเอ่ยถามซ้ำอีกรอบ

“เอ่อ ฉัน...” กฤตภาสกระแอมเบาๆ เพื่อขับไล่ความคิดของตนเองเมื่อครู่ออกไป “ฉันไม่ได้โกรธ แค่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่”

“ค่ะ ยังไงหนูก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากๆ ที่เมตตามาส่งถึงบ้าน” เด็กสาวประนมมือไหว้

“เธอ...อยากเรียนหนังสือหรือเปล่า” ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้เขาเอ่ยคำถามนี้ออกไป

“อยากเรียนค่ะ แต่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว” มินตราตอบพร้อมกับรอยยิ้มแห้ง

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเธออยากเรียน ฉันจะช่วย”

“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ หนูต้องดูแลย่า”

“แต่ถ้าเธอได้เรียนสูงๆ ก็จะมีอนาคตที่ดี สามารถดูแลย่าให้อยู่สบายขึ้น”

“หนู...” เด็กสาวก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่กำลังบิดชายเสื้อไปมา

“ไม่ต้องรีบตอบ ไปคิดดูก่อน แล้วฉันจะมาฟังคำตอบพรุ่งนี้” ชายหนุ่มเอ่ยพลางก้าวขาขึ้นรถ ก่อนจะหันกลับมาหาเด็กสาวอีกครั้ง “ข้อเสนอของฉันคือ เธอสามารถพาย่าไปอยู่ใกล้ๆ ที่เรียนด้วยได้”

...

กฤตภาสเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เช่นกัน ว่าเหตุใดจึงอยากช่วยเหลือครอบครัวนี้ อาจจะเป็นเพราะความกตัญญูที่เด็กสาวมีต่อผู้เป็นย่า หรืออาจจะเป็นเพราะความไม่ย่อท้อต่อชะตาชีวิตที่เธอต้องเผชิญ ชื่อของเขาคือ ‘กฤตภาส’ ซึ่งมีความหมายว่าผู้สร้างแสงสว่าง คงไม่ผิดใช่ไหมหากเขาอยากจะสร้างแสงสว่างให้แก่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น