3

ตอนที่ 3


 

3

                “วันนี้กินไข่เจียวกันนะจ๊ะย่า อีเขียวไข่เมื่อเช้า สองฟองพอดี” มินตราชูไข่สองฟองในมือให้ผู้เป็นย่าดู

                “แล้วยังมีข้าวอยู่หรือลูก” หญิงชราถาม

                “มีจ้ะย่า เมื่อวานมินขุดมันกับเผือกมาได้เยอะ เรานึ่งผสมกับข้าวไปก่อนนะจ๊ะ น่าจะพอกินอีกสักสามสี่วัน” เด็กสาวอมยิ้มน้อยๆ

                “เอาเงินที่เก็บไว้ไปซื้อข้าวเถอะมิน”

                “อาทิตย์หน้าหมอนัด มินอยากเก็บเงินไว้ก่อนน่ะจ้ะย่า”

                “ไม่ต้องพาย่าไปหาหมอแล้วลูก โรคของย่ารักษายังไงก็ไม่หายหรอก ย่าอยากให้มินเก็บเงินเอาไว้เรียน จะได้มีวิชาติดตัว ย่าจะได้หมดห่วงแล้วตามปู่กับพ่อของเจ้าไปอยู่บนสวรรค์สักที”

                “ไม่นะจ๊ะย่า ย่าต้องอยู่กับมินไปนานๆ” เด็กสาววางไข่ลงบนพื้น ก่อนจะถลาตัวเข้าไปโอบเอวผู้เป็นย่าเอาไว้แน่น

                “ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอกลูก ยังไงสักวันหนึ่งย่าก็ต้องไป” ย่ากรองแก้วลูบผมหลานสาวผะแผ่ว “สัญญากับย่าได้ไหมเจ้ามิน ว่าถ้าย่าไปแล้ว เราจะต้องกลับไปเรียน”

                “ย่า...” เด็กสาวร้องเสียงสูง น้ำตาคลอเบ้า

                “ไม่เอาๆ ไม่ร้อง ไปๆ ไปทอดไข่ได้แล้ว ย่าเริ่มหิวแล้วละ” หญิงชราส่ายหน้าน้อยๆ ขณะมองเด็กสาวปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นไปทำอาหารที่ระเบียง

               

                “วางดีๆ อย่าให้ทับกัน” เสียงของกฤตภาสที่ยืนคุมคนสนิทจัดของใส่ท้ายรถดังมาไม่ขาด

“ขนอะไรไปเยอะแยะตารอง” คุณน้ำเพชรเอ่ยถามบุตรชาย

“ผมจะเอาของใช้พวกนี้ไปให้คุณย่ากรองแก้วครับ” กฤตภาสตอบมารดา ขณะชี้จุดให้ธีระวางเครื่องนอนชุดใหม่ลงไป

และคำตอบนี้เองก็ทำให้ผู้เป็นบิดาและมารดาหันมาสบตากัน บุตรชายของพวกท่านคนนี้เป็นคนมีน้ำใจก็จริง แต่ก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะสร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้ใครเข้าถึงตัวได้ง่ายๆ

“ดีลูก การช่วยและให้โอกาสคนเป็นสิ่งที่ดี” เจ้าสัวก้องภพตบบ่าบุตรชาย ก่อนจะเดินจูงมือภรรยาเดินขึ้นรถไป

 

เมื่อเดินทางไปถวายเพลและสอบถามข้อมูลเรื่องแบบที่จะสร้างโบสถ์กับหลวงพ่อเรียบร้อยแล้ว กฤตภาสจึงออกคำสั่งให้คนขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านของคุณย่ากรองแก้วต่อทันที

“เด็กมินตราน่าสงสารนะ” เจ้าสัวก้องภพเอ่ยขึ้นลอยๆ ในระหว่างที่รถกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า

“ครับ ผมเห็นแววตาของเธอแล้ว ทำให้อดเวทนาไม่ได้ อายุแค่ยี่สิบ แต่ต้องแบกรับอะไรไว้มากมายเหลือเกิน” กฤตภาสตอบบิดา ขณะรถกำลังจะเลี้ยวขึ้นเขา อันเป็นทางเข้าบ้านของสองย่าหลาน แต่จู่ๆ รถสปรินเตอร์สมรรถนะสูงที่กำลังแล่นฉิวก็เบรกกะทันหัน

“อุ๊ย!” คุณน้ำเพชรร้อง

“คุณพ่อคุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” กฤตภาสร้องถาม

เมื่อได้รับการส่ายหน้าตอบจากบิดาและมารดา ชายหนุ่มจึงตะโกนถามคนสนิทที่นั่งอยู่ด้านหน้า

“ชานนท์ ธีระ เกิดอะไรขึ้น”

“มีคนวิ่งตัดหน้ารถครับนาย” ธีระตอบ

“อ้าว นั่นเด็กมินตรานี่” ชานนท์เอ่ยเสียงไม่ดังมากนัก แต่กระนั้นก็ดังพอที่จะทำให้ผู้เป็นนายได้ยิน

กฤตภาสรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งลงไปดูร่างของเด็กสาวที่ล้มลงกองอยู่กับพื้น

“มินตรา” กฤตภาสคุกเข่าลงนั่ง แล้วประคองร่างผ่ายผอมนั้นให้ลุกขึ้นนั่งตาม

“คุณ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้ามาช่วยประคองเธอเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกายเธอคือใคร ก็สะอื้นไห้ออกมา “คุณคะ ช่วยด้วย ช่วยย่าหนูด้วย”

“ย่าเธอ...เป็นอะไร” ชายหนุ่มถามพลางตวัดวงแขนอุ้มร่างผ่ายผอมนั้นขึ้นไปบนรถ พร้อมกับส่งสัญญาณให้ออกเดินทางต่อ โดยจุดหมายปลายทางยังคือที่เดิม

“ย่าล้มจ้ะ แล้วหายใจไม่ออก หนูเลยรีบวิ่งมาตามคนไปช่วย” เด็กสาวน้ำตาไหลพรากเมื่อนึกถึงใบหน้าอันซีดเซียวของผู้เป็นย่า

มินตราซบใบหน้าลงบนอกกว้างของชายหนุ่มอย่างหาที่พึ่ง คนที่เป็นหลักสัมผัสได้ถึงแรงสั่นจากการสะอื้นไห้ของคนในอ้อมแขน มือหนายกขึ้นลูบกลุ่มผมดำขลับนั้นอย่างเก้ๆ กังๆ เพื่อปลอบประโลม

“ไม่ต้องร้องนะแม่หนู เราจะพาย่าของหนูไปหาหมอ ย่ากรองแก้วจะไม่เป็นอะไร” คุณน้ำเพชรเอื้อมมือไปจับมือเล็กในอ้อมกอดของบุตรชายเอาไว้ เด็กสาวอมยิ้มทั้งน้ำตาพร้อมกับพยักหน้ารับน้อยๆ

“อุ๊ย!” เมื่อรถแล่นมาถึงบริเวณบ้าน เด็กสาวก็พยายามจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ไม่สามารถทรงตัวได้

“รออยู่ในรถนี่แหละ ข้อเท้าเธอน่าจะพลิกตอนล้ม” กฤตภาสเอ่ย ก่อนจะเดินลงจากรถไปพร้อมกับชานนท์และธีระ

เมื่อทั้งสามเดินขึ้นไปถึงบนบ้าน ก็พบกับร่างของหญิงชราที่นอนหายใจรวยรินอยู่ ชานนท์โผเข้าไปอุ้มร่างของย่ากรองแก้วแล้ววิ่งลงบันไดกลับไปขึ้นรถทันที

“ย่า ย่าจ๋า” เด็กสาวร้องเรียกเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวของชีวิต

                “ย่า ตื่นขึ้นมามองมินสิ มินแกงหน่อไม้ไว้แล้ว ย่าบอกว่าอยากกินไง ย่าต้องตื่นมากินนะ มินจะรอกินกับย่า” มินตรากลั้นสะอื้น

คุณน้ำเพชรถอนหายใจ ก่อนจะขยับตัวเข้าไปโอบกอดเด็กสาวผู้น่าสงสารคนนี้เอาไว้ มินตราขยับตัวเข้าใกล้แล้วโอบกอดคุณน้ำเพชรเอาไว้เช่นกัน จากนั้นปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาโดยไม่คิดจะสกัดกั้นเอาไว้อีกต่อไป  

“มิน” ริมฝีปากของร่างซีดเซียวขยับพูดอย่างแผ่วเบา

“ย่า” มินตรารีบขยับตัวเข้าไปใกล้ผู้เป็นย่า แล้วจับมือเหี่ยวย่นนั้นขึ้นมาแนบแก้ม เป็นจังหวะเดียวกับที่รถแล่นเข้าสู่โรงพยาบาลพอดี

เมื่อรถจอดสนิท เจ้าหน้าที่เปลจึงนำเตียงเปลมาใส่คนป่วย แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปด้านใน

“คุณ” หญิงชราเรียกกฤตภาสพร้อมกับไขว่คว้ามือไปหา ชายหนุ่มรีบจับมือของหญิงชราเอาไว้

“คุณย่าถึงมือหมอแล้วนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนโยน

“ฝาก...ฝาก...มิน...ด้วย” คุณย่ากรองแก้วรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย ฝากฝังดวงใจดวงน้อยของท่านไว้ในมือชายแปลกหน้าที่เพิ่งเคยพบกันเพียงครั้งเดียว แต่ด้วยความจริงใจที่หญิงชราสัมผัสได้ ทำให้เธอมั่นใจว่าหลานสาวผู้น่าสงสารจะปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในการดูแลของชายคนนี้

“ครับ ผมจะดูแลเธอเอง” กฤตภาสตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สัญญาใจที่เกิดขึ้นในชั่ววินาที ทำให้หญิงชรานอนยิ้มอย่างหมดห่วง

“ย่า ไม่! มินจะอยู่กับย่า” มินตรากรีดร้องเมื่อได้ยินผู้เป็นย่าฝากฝังเธอไว้กับคนอื่น

คุณน้ำเพชรรั้งร่างของเด็กสาวเอาไว้ เมื่อเธอพยายามตะเกียกตะกายหมายจะตามเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เวลาแต่ละนาทีเคลื่อนไปอย่างช้าๆ เจ้าสัวก้องภพมองภาพภรรยาที่กำลังโอบกอดเด็กสาวผู้น่าสงสารเอาไว้ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองบุตรชายคนรองซึ่งยืนนิ่งสงบอยู่กับคนสนิทที่อีกมุมหนึ่ง

เสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับนายแพทย์วัยกลางคนที่เดินออกมารายงานผล มินตราผละตัวออกจากอ้อมกอดของคุณน้ำเพชร แล้วเดินกะเผลกๆ เข้าไปหาคุณหมอทันที

“ผม...ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ” นายแพทย์ผู้ทำการรักษาจ้องหน้ากฤตภาสก่อนจะแจ้งข่าวร้าย 

ทันทีที่จบประโยคอันแสนโหดร้ายนี้ ร่างเล็กอันผ่ายผอมก็สิ้นสติสมประดีล้มลงทันที

“มินตรา!” กฤตภาสโผเข้าไปอุ้มร่างไร้สติของเด็กสาว แล้วพาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

“วางคนป่วยบนเตียงนี้นะคะ” เสียงพยาบาลร้องบอก

ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ แล้ววางร่างไร้สตินั้นลงบนเตียงดังกล่าว

“ทำไมชีวิตเธอถึงได้อาภัพแบบนี้นะมินตรา” กฤตภาสรำพึงก่อนจะผละตัวออกมา เพื่อให้คณะแพทย์และพยาบาลปฏิบัติหน้าที่ได้สะดวก

ชายหนุ่มออกไปสั่งการให้คนสนิทดำเนินการเรื่องงานศพของคุณย่ากรองแก้ว เมื่อสั่งการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงเดินกลับไปหาบิดาและมารดาที่ยังคงนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินดังเดิม

“มินตราเป็นยังไงบ้างลูก” เสียงเอื้ออาทรของคุณน้ำเพชรเอ่ยถามบุตรชาย

“ยังไม่ได้สติครับคุณแม่”

“เด็กตัวแค่นี้ กลับต้องพบเจอกับความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า” เจ้าสัวก้องภพส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจยาว

“ตั้งแต่เด็กๆ ผมก็อยากมีน้องสาว จำได้ว่าตอนรู้ว่าคุณแม่ตั้งท้องเจ้าแฝด ผมดีใจแทบแย่ รอลุ้นทุกวันว่าจะได้อุ้มเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ที่ไหนได้ พอออกมากลายเป็นน้องชายทั้งสองคน” กฤตภาสสบตาบิดาและมารดา “คุณพ่อกับคุณแม่จะว่าอะไรหรือเปล่าครับ ถ้าหากผมจะขออุปการะมินตราเอาไว้”

เจ้าสัวก้องภพและคุณน้ำเพชรระบายยิ้มน้อยๆ จากนั้นคุณน้ำเพชรจึงเดินเข้าไปจับมือบุตรชายคนรองขึ้นมากุมเอาไว้

“ถ้าหากรองไม่พูด แม่ก็จะเป็นคนพูดแบบนี้เหมือนกัน แม่เพิ่งคุยกับพ่อไปว่าจะขออุปการะเด็กมินตราเอาไว้ แม่จะให้หนูบัวช่วยดูแลเด็กคนนี้เอง”

“ดีครับ ผมมั่นใจว่าน้องบัวจะช่วยดูแลมินตราได้เป็นอย่างดี” ชายหนุ่มระบายยิ้มโล่งอก

“ผมจะให้ธีระกลับกรุงเทพฯ ไปพร้อมคุณพ่อและคุณแม่นะครับ ส่วนชานนท์ ผมจะให้อยู่ที่นี่กับผมก่อน พอจัดการเรื่องงานศพของคุณย่ากรองแก้วเรียบร้อยแล้ว ผมจะพามินตรากลับไปด้วย”

 

เมื่อส่งบิดาและมารดาออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว กฤตภาสจึงเดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินอีกครั้ง ชายหนุ่มทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง แล้วทอดถอนลมหายใจออกมากับสิ่งที่เพิ่งตัดสินใจทำลงไป

“ฉันไม่เคยดูแลใครหรอกนะมินตรา แต่ในเมื่อฉันตัดสินใจแล้ว ฉันก็จะดูแลเธอให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังว่าเธอจะเป็นเด็กดี และไม่ทำให้ฉันลำบากใจนะ” เอ่ยกับร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง แล้วจึงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาต่อสายหาพี่ชายคนโตเพื่อรายงานเรื่องสำคัญ

“พี่ใหญ่สะดวกคุยไหมครับ” กฤตภาสเอ่ยถามไปตามสาย

“ว่าไงเจ้ารอง ไปเที่ยวสนุกจนลืมพวกพี่เลยนะ” กฤตนัยตอบเสียงกลั้วหัวเราะ

“สนุกมากครับ ได้ทั้งบุญได้ทั้งคนกลับบ้านเลยรอบนี้”

“อะไรนะ ขออีกที แกไปได้อะไรมา” พี่ใหญ่ของบ้านถามย้ำ กฤตภาสจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้พี่ชายได้รับฟัง

“ได้สิ ดีเลย น้องบัวจะได้มีคนช่วยดูแลเจ้าเสือน้อย นายก็รีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับมาล่ะ ใบบุญคิดถึงคุณอารองแย่แล้ว”

“ใจผมติดอยู่ที่หลานแล้วครับพี่ใหญ่ ฝากหอมแก้มเจ้าเสือด้วยนะครับ อ้อ แก้มลูกนะครับ ไม่ใช่แก้มแม่ เพลาๆ บ้างก็ได้ ดังฟอดใหญ่เข้ามาในโทรศัพท์แบบนี้ไม่น่าจะใช่แก้มลูก” กฤตภาสหัวเราะในลำคอ เมื่อได้ยินเสียงหอมแก้มฟอดใหญ่ของพี่ชายดังลอดเข้ามาตามสายโทรศัพท์

“ไปทำบุญมานี่ มีตาทิพย์เลยนะ” กฤตนัยหัวเราะแล้วจึงกดวางสาย ก่อนจะหันไปมองภรรยาที่กำลังนั่งให้นมเจ้าเสือน้อยอยู่บนเตียง

“กินไม่เหลือเผื่อพ่อเลยนะใบบุญ” กฤตนัยก้มลงหอมแก้มบุตรชาย แล้วขยับตัวเข้าไปสวมกอดบัวบูชาจากทางด้านหลัง

“พี่รองยังไม่กลับหรือคะ” บัวบูชาเอ่ยถามสามีที่กำลังซบใบหน้าลงบนลาดไหล่ของเธอ

“ยังครับ คุณพ่อคุณแม่กลับมาก่อน เจ้ารองยังมีภารกิจต่อ อีกสี่ห้าวันถึงจะกลับ” พูดพลางยกมือไล้แก้มนวลของภรรยาไปพลาง “เจ้ารองอุปการะเด็กมาคนหนึ่ง จะฝากให้น้องบัวช่วยดูแล” กฤตนัยเล่าเรื่องของเด็กสาวผู้ที่มีชะตาชีวิตน่าสงสารนามว่า ‘มินตรา’ ให้บัวบูชาฟังตั้งแต่ต้น

“น่าสงสารจังเลย บอกพี่รองว่าไม่ต้องกังวลนะคะ บัวจะช่วยดูแลเธอเองค่ะ” บัวบูชาหันไปส่งยิ้มให้สามี ก่อนจะวางเจ้าเสือน้อยลงบนเตียงเด็กที่สั่งทำมาเป็นพิเศษ เมื่อเห็นว่าภรรยาห่มผ้าและหอมแก้มลูกน้อยเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้งพ่อของลูกและสามีรีบขยับตัวเข้าไปโน้มร่างภรรยาสาวให้นอนลง บัวบูชาแสร้งขยับตัวออกห่าง

“อย่าหนีสิคะ ทีเจ้าเสือน้อยหิวร้องโยเย น้องบัวก็ให้กินนม พอกินนมอิ่ม เสือน้อยก็หลับ ส่วนตอนนี้พ่อเสือหิวมาก...แล้วก็กำลังจะร้องโยเย น้องบัวก็ต้องให้พี่ ‘กิน’ ก่อนพี่ถึงจะยอมหลับ” ชักแม่น้ำทั้งห้าสายมาอธิบายเหตุและผล โดยเน้นหนักตรงคำว่า ‘กิน’ จนคนที่นอนอยู่ถึงกับหลุดขำคิกคักกับคำเปรียบเทียบนี้

“ไม่ได้หรอกค่ะ นี่ของลูกนะคะ ช่วงนี้ยิ่งมีน้อยด้วย เดี๋ยวลูกไม่อิ่ม” บัวบูชาอมยิ้ม เสตาออกไปมองร่างอ้วนท้วนที่หลับตาพริ้มอยู่เตียงข้างๆ

“ว้า แย่จัง แล้วพี่จะกินอะไรได้บ้างนะ ไม่งั้นนอนไม่หลับแน่ๆ เลย” สามีขี้อ้อนลูบไล้ใบหน้าหวานอย่างแผ่วเบา ก่อนจะมาหยุดที่ริมฝีปากบาง จากนั้นจึงโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ แล้วจึงค่อยๆ ละเลียดชิมความหอมหวานที่เขาหลงใหลเหลือเกิน

“อืม งั้นพี่จองตรงนี้นะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเจรจากับเสือน้อยเอง” กระซิบภรรยาเสียงแหบพร่า ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงบรรเลงบทเพลงรักอันแสนหวาน ในท่วงทำนองที่ซาบซึ้งกินใจอย่างไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น