7

7

7

 

                กรวีร์กวาดตามองบ้านสามี บ้านหลังโตกลางเมืองแถมยังตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราหมาเห่าสมฐานะเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างระดับจังหวัดเชื่อแล้วว่าเสี่ยแกรวยจริง ล้านหนึ่งของเธอคงไม่สะเทือนซางเสี่ยหรอก

                หญิงสาวมองเลยออกไปไม่ไกล กำลังมีการก่อสร้างบ้านหลังใหม่เพิ่มอีก พ่อคุณเอ๊ย แค่หลังที่เธอยืนอยู่นี่ก็ไม่เล็กแล้วนะ จะสร้างให้ใครอยู่กันเยอะแยะ

                “เสี่ย...นั่นบ้านใครเหรอคะ”

                “บ้านปาล์ม ตอนแรกว่าจะใช้ทำเป็นเรือนหอ แต่คงไม่ได้แล้วละ นี่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของจะเอายังไงต่อ”

                “ฉันเสียใจด้วยนะ” กรวีร์รับรู้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากคำบอกเล่าของสามี ประภามนท์น่าสงสารมากต้องสูญเสียคนรักทั้งที่กำลังจะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ก็นะ ชีวิตมันไม่แน่ไม่นอน ใครจะไปรู้วันนี้ยังจับมือกันอยู่ พรุ่งนี้อาจจะหนีไปคนละภพก็ได้ ดูท่าแล้วอุบัติเหตุครั้งนี้จะสร้างความเสียใจให้แก่ครอบครัวเสี่ยไปป์ไม่น้อย ทุกคนได้รับผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจ ฟังจากน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย เสี่ยไปป์คงรักน้องสาวมาก

                “ฉันคงต้องฝากเธอดูแลปาล์มด้วย ปกติแล้วเขาทำงานไปไหนมาไหนกับตรัยตลอด พอตรัยไม่อยู่อย่างนี้ ฉันรู้สึกว่าน้องซึมลงทุกที”

                “ก็เรื่องมันเศร้าเขาเพิ่งจะเสียคนรักไปทั้งคนนะเสี่ย ใครไม่ซึมคงเป็นยอดมนุษย์ ลองเป็นฉัน ถ้าเสี่ยตายฉันก็คงใจหายเหมือนกัน” หญิงสาวถอนใจ ทำหน้าเศร้า รำพึงรำพันเบาๆ “ใครจะเป็นคนจ่ายเงินล้านให้ฉัน”

                “ขี้งกเอ๊ย! ฉันเกือบจะเคลิ้มแล้วเชียว” ปวินท์ผลักหัวศรีภรรยาอย่างหมั่นไส้ “ถ้าฉันตายตอนนี้ เธอก็เศรษฐินีย่อยๆ เลยนะ คุณนายกรวีร์ ปรานต์ปราณนต์”

                “ไม่เอาอะ ฉันหย่าเอาเงินล้านดีกว่าเป็นม่ายแล้วต้องเหนื่อยใช้เงินเสี่ยไปตลอดชีวิต สบายเกินไป ชีวิตไม่ตื่นเต้น”

                “ไม่ชอบเหรอ สมบัติในส่วนของฉันมีมากกว่าล้านนะ”

                “ชอบก็ชอบ แต่ไม่ใช่เงินฉัน ไม่เอาดีกว่า”

                ปวินท์มองหญิงสาวที่เขาเลือกมาเป็นภรรยาด้วยแววตาบางอย่าง เหมือนเธอจะเป็นคนขี้งก แต่ก็อยากได้เฉพาะในส่วนที่เป็นของตัวเอง ไม่โลภมาก เป็นผู้หญิงฉลาดทันคน และน่าสนใจจริงๆ

                “ทำไมมองเมียแบบนี้ล่ะเสี่ย ซึ้งเหรอ ฮั่นแน่...แอบหวั่นไหวกับความน่ารักของเมียแล้วใช่ปะ”

                “กำลังสงสัยความคิดเมียนิดหน่อย”

                “สงสัยให้ถาม ยังไงเราก็ผัวเมียกัน ช่วงที่ใช้นามสกุลเดียวกับเสี่ย เมียสัญญาว่าจะไม่มีความลับ” หญิงสาวเอาใจเต็มที่

                ดวงตาของปวินท์เปล่งประกายขบขัน ความซื่อสัตย์นี่มันก็มีช่วงเวลาเหมือนกัน

                “เธอมีแผนอื่นอีกไหมนอกจากหย่าแล้วรับเงินหนึ่งล้าน อย่างเช่นว่า...เราสองคนอาจจะเข้ากันได้ดี อยู่กินจนแก่เฒ่าถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรอะไรประมาณนั้น”

                กรวีร์นิ่งทำหน้าเหมือนกินยาขม

                “พูดกันตามตรงนะเสี่ย ฉันอยากให้เราอยู่กันแบบเพื่อนช่วยเพื่อน”

                “แต่เพื่อนเขาไม่จ่ายค่าสินสอดกันนะ” ปวินท์ย้อนกลับหน้าตาย เดาออกละเธอจะมาไม้ไหน ดูทำหน้าเข้าสิ ตลกชะมัด

                “เมียก็ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งไง” กรวีร์เม้มปากนึกหาคำเถียงสามีไม่ออก แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะเป็นเมียเขาจริงๆ นี่นา หญิงสาวคิดหาข้ออ้าง “ด้วยความจำเป็นของเราสองคนเนี่ย ฉันว่าเงินหนึ่งล้านน่าจะเป็นไปได้มากกว่าทางอื่น ฉันน่ะชอบอยู่กับความเป็นจริง และความจริงคือเราสองคนแทบไม่รู้จักอะไรกันเลย เสี่ยอยากได้เมีย ส่วนฉันอยากเคลียร์หนี้ของแม่ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเราไม่เหมือนผัวเมียทั่วๆ ไป ดังนั้นเราจะทำกันเหมือนคู่อื่นไม่ได้ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นภาระผูกพันไม่จบสิ้น”

                “เธอกำลังหมายถึงเรื่องบนเตียง” ปวินท์แกล้งถาม 

กรวีร์อึกอักตีหน้าไม่ถูก

                “ก็...หมายถึงทุกเรื่องนั่นแหละ ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นอย่างเดียว ถ้าเสี่ยต้องการใช้เมียระยะยาวเราค่อยคุยกันอีกที ไม่ต้องวอรีกีวี่ยังอยู่กับเสี่ยไปอีกนาน รับรองว่าเสี่ยได้จ่ายตังค์ให้ฉันแน่”

                “ควักเงินจ่ายไม่เท่าไรแต่ได้เมียถูกใจมาคนหนึ่งก็ถือว่าคุ้มนะ เอาเถอะรอให้เรื่องเรียบร้อยเราค่อยวางแผนกันอีกที เข้าบ้านกันดีกว่า นี่ต้องให้ฉันอุ้มเมียเข้าบ้านตามธรรมเนียมไหม”

                “อุ๊ย! อย่าลำบากเลยจ้า ไม่เอาดีกว่า เปลี่ยนจากอุ้มเป็นช่วยถือของจะเข้าท่ากว่านะคะคุณสามีน้ำใจงาม” กรวีร์บอกพร้อมกับยื่นถุงในมือให้

                สามีน้ำใจงามหัวเราะขำศรีภรรยา ใช่ว่าเธอจะกล้าไปซะทุกเรื่อง ดูจะตื่นๆ ทุกครั้งที่เขารุกเข้าใส่ ปวินท์ค่อนข้างพอใจกรวีร์ในจุดนี้ อย่างน้อยเธอก็ไม่อยากมีภาระผูกพันกับเขาซึ่งนั่นหมายความว่าเขากับเธอสามารถจบเกมเมื่อไร ตอนไหนก็ได้ หากเธอทำท่าหิวกระหายอยากเป็นคุณนายปรานต์ปราณนต์เขาคงปวดหัวน่าดู ไม่รู้จะกำราบกันอยู่รึเปล่า

                ชายหนุ่มเดินไปหยิบของจากท้ายรถ กรวีร์ตามมาช่วยถือบ้าง จะเดินตัวเปล่าเข้าบ้านเขาก็ดูเป็นคุณนายยังไงไม่รู้ เธอเดินตามสามีเสี่ยเข้าบ้าน ระหว่างทางเขาก็เล่าสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวให้ฟัง

                “บ้านหลังนี้เป็นบ้านใหญ่ พ่อฉันสั่งไว้ก่อนท่านจะเสีย หากลูกๆ มีครอบครัวก็ให้แบ่งที่ดินปลูกบ้านแยกออกไปคนละหลัง จะได้อยู่กันเป็นส่วนตัว ไม่วุ่นวาย พี่น้องอยู่ใกล้ๆ จะได้ช่วยกันดูแลแม่ตอนแก่ ไม่ต้องไปอยู่ที่อื่น”

                “งั้นแบบนี้เสี่ยไม่ต้องปลูกบ้านใหม่อีกหลังเหรอ”

                “ปลูกสิก็ฉันมีเมียแล้ว” ปวินท์พยักหน้าบอกขำๆ “เอาไว้เธอค่อยช่วยฉันเลือกแบบบ้านแล้วกัน ตอนนี้ฉันยังไม่ค่อยว่าง”

                “เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งดีกว่า เกิดเมียในอนาคตของเสี่ยรู้ที่มาของเรือนหอเข้าละก็ฉันจะเดือดร้อน”

                “เมียฉัน ก็เธอไง”

                “เสี่ยไม่เข้าใจกีวี่ เสี่ยไม่เข้าใจกีวี่...” กรวีร์บ่นพึมพำ เธอหมายถึงเมียที่เป็นเมียจริงๆ ไม่ใช่เมียขัดดอกแบบเธอ “บ้านเสี่ยออกใหญ่โตมโหระทึกอยู่กันกี่คนเนี่ย”

                “นอกจากฉัน แม่ ปาล์ม ยังมีป้าแป๋วที่ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างภายในบ้านอีกคนหนึ่ง ป้าแป๋วเป็นพี่สาวของแม่ เดี๋ยวเธอก็ได้เจอ อย่าลืมไหว้สวยๆ ด้วยล่ะ”

                “เน้นจังนะเรื่องท่าไหว้ฉันเนี่ย”

                “เพราะชอบท่าไหว้ถึงได้เอามาเป็นเมียไง” ปวินท์ขยิบตาใส่ ก่อนหัวเราะร่วนเมื่อเห็นภรรยากลอกตามองบน “อ่อ...ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องเธอกับป้าแป๋ว”

                “แล้วป้าเสี่ยเห็นฉันจะไม่งงเหรอ”

                “ก็คงงงบ้างแหละ อยู่ดีๆ ฉันก็มีเมีย แต่ไม่แน่แม่อาจจะพูดเกริ่นๆ ให้เราบ้างแล้ว ขอเตือนเรื่องหนึ่ง ป้าแป๋วเนี่ยเรื่องอื่นไม่มีปัญหา เสียแต่ว่าแกหวงครัวของแกมาก ถ้าเธอพอจะมีฝีมือทำครัวติดตัวอยู่บ้างก็คงคุยกันง่ายหน่อย แต่ถ้าไม่ ฉันแนะนำให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องอยากเรียนรู้เพื่อเอาใจป้าผัว แกไม่ชอบ”

                กรวีร์กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน เอาละกับแม่ผัวไม่มีปัญหา แต่ป้าผัวเธอต้องระวังตัวสินะ เฮ้อ...จะยังไงก็ขอดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน

                พอทั้งสองก้าวเท้าเข้าไปด้านในก็ปรากฏว่ามีผู้หญิงสูงวัยหน้าตาคล้ายๆ เจ๊ปิ๋มยืนรอรับหน้าอยู่ ทันทีที่เห็นเสี่ย ป้าแกก็ยิ้มกว้าง ลดสายตามองของในมือ

                “ซื้ออะไรมาเยอะแยะ”

                “ไม่ใช่ของผมหรอกครับ ของกีวี่เขา” ปวินท์ขยับไปด้านข้าง เปิดทางให้หญิงสูงวัยได้มองเห็นกรวีร์เต็มตา เขาเอื้อมไปหยิบถุงในมือเธอมาถือไว้เสียเองก่อนแนะนำ “นี่ป้าแป๋ว”

                “สวัสดีค่ะคุณป้า”

                “สวัสดีจ้ะ” ป้าแป๋วรับไหว้หญิงสาวอย่างงุนงง เบนหน้าไปทางหลานชายแล้วถามขึ้น “ลูกสาวใครเอ่ย ทำไมป้าไม่เคยเห็นหน้า แถมไปป์ยังพาเข้ามาเองอีก มีอะไรพิเศษหรือเปล่า”

                “เราเพิ่งจดทะเบียนสมรสกันเมื่อเช้าครับ” หลานชายประกาศข่าวดี

                “ฮะ!” คุณป้าตกตะลึงตาค้าง เซถอยหลังเล็กน้อย อาการเดียวกับตอนที่กรวีร์รับทราบวีรกรรมน้ำพริกสามพันกระปุกของเจ๊หวีเป๊ะ หญิงสาวคอยระวังอยู่แล้วจึงเข้าประคองได้ทัน

                “คุณป้า!” หญิงสาวพยุงป้าสามีไปนั่งที่เก้าอี้ รีบเปิดกระเป๋าและเอายาดมออกมาส่งให้ “ไม่เป็นไรนะคะ”

                “ไม่จ้ะๆ ป้าแค่ตกใจนิดหน่อย แต่ขอยืมยาดมหลอดนี้ก่อนนะจ๊ะ”

                “ตามสบายเลยค่ะ หนูมีอีกหลอดในกระเป๋า หลอดนี้ยกให้คุณป้าเอาไปเลย” 

                ตั้งแต่คุณกัญญาบอกข่าวเรื่องน้ำพริกคราวนั้น กรวีร์ก็ต้องพกยาดมสำรองติดกระเป๋าไว้ตลอด เพราะกลัวว่าแม่จะโทร. มาแจ้งว่าได้เป็นท็อปสเปนเดอร์อะไรอีก หญิงสาวมองป้าแป๋วอย่างเป็นห่วง ปากบอกว่าไม่เป็นไร แต่เธอเห็นยาดมจ่อจมูกไม่เคยห่าง ตอนเจ๊ปิ๋มรู้ก็ว่าตกใจแล้วนะ เจ๊แป๋วนี่อาการหนักกว่าอีก สงสัยเสี่ยไปป์จะเดาผิด เจ๊ปิ๋มไม่น่าจะได้บอกกับพี่สาวเรื่องลูกสะใภ้ ไม่อย่างนั้นป้าแป๋วคงไม่หันไปคาดคั้นเอากับหลานชาย

                “มันเรื่องอะไรกันไปป์ ทำไมถึงมีเมียสายฟ้าแลบแบบนี้ นี่อย่าบอกนะว่าแม่หนูนี่ท้อง!”

                “โอ๊ะ! ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่ค่ะ” กรวีร์รีบโบกมือปฏิเสธ ป้าแป๋วถอนใจโล่งอก

                “งั้นก็แล้วไป ไหนไปป์เล่าให้ป้าฟังซิ เรื่องมันเป็นยังไง ไปรักกันตอนไหนถึงได้พากันไปจดทะเบียน แล้วแม่รู้เรื่องยัง”

                “เรื่องมันยาวน่ะครับ แต่แม่รู้เรื่องแล้ว พอเสร็จเรื่องที่อำเภอผมก็พากีวี่ไปไหว้แม่ แล้วก็พากลับมาหาป้าแป๋วที่บ้านนี่ละครับ เอาเป็นว่าผมขอฝากหลานสะใภ้ไว้ในอ้อมใจสักคนนะครับ ป้าแป๋วรักไปป์ก็ขอให้เอ็นดูเมียไปป์บ้าง แต่ถ้าป้าอยากรู้อะไรก็ลองตะล่อมๆ ถามกีวี่ดูได้ เมียผมเขาเปิดเผยตรงไปตรงมา ป้าน่าจะชอบ” ปวินท์เหลือบมองไปที่ภรรยาแล้วยิ้มมุมปาก กรวีร์จะทำอะไรได้นอกจากยิ้มแหย

                “แฮ่...หนูฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

                “บอกตามตรงป้าตั้งตัวไม่ทัน หนุ่มสาวสมัยนี้มีแต่เรื่องให้ตื่นเต้นเนอะ” ป้าแป๋วทั้งงุนงงสงสัยและตกใจในคราวเดียวกัน “แล้วนี่จะอยู่กันยังไงจ๊ะ ป้าตามคนงานมาจัดห้องใหม่ให้ไหมจะได้นอนห้องกว้างๆ สบายๆ”

                “อยู่ห้องเก่าผมดีกว่าครับ ห้องกว้างขี้เกียจวิ่งไล่จับเมียรอบเตียง เรื่องห้องป้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวให้กีวี่เขาจัดการเองได้ครับ”

                “ค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการเอง สบายหายห่วงค่ะป้า”

                “เอางั้นนะ” ป้าแป๋วมองหน้าหลานชายสลับกับหลานสะใภ้ที่ยืนขึ้นแล้วตอบรับพร้อมกัน “อืม...ถ้าอย่างนั้นก็เอาของขึ้นไปเก็บ แล้วลองดูนะว่าขาดเหลืออะไร ป้าจะได้เตรียมหาให้ เออไปป์ แล้วจะไปเยี่ยมแม่อีกหรือเปล่า ป้าจะทำกับข้าวใส่ปิ่นโตไปให้”

                “แม่บอกให้เข้าหอครับ”

                กรวีร์หันขวับมองหน้าสามี คำตอบช่างใสซื่อ แต่แววตาเสี่ยนี่อื้อหือ...หญิงสาวค่อยๆ ถอยฉาก อยู่ห่างๆ เสี่ยเขาหน่อย ป้าแป๋วมองแล้วหัวเราะรีบโบกมือไล่ 

                “งั้นก็พาเมียไปเข้าหอเถอะจ้ะพ่อคุณ”

                

                ปวินท์เปิดประตูผายมือเชื้อเชิญภรรยาเข้ามาสู่ห้องส่วนตัว “ยินดีต้อนรับสู่ห้องชายโสด เอาของไปเก็บเลย ตู้เสื้อผ้าฉันเธอก็แหวกๆ หาที่แขวนเสื้อผ้าเธอไปก่อน เอาไว้เราค่อยไปดูตู้ใหม่กัน”

                ตู้อะไรนั่นไม่จำเป็นเลย สิ่งแรกที่หญิงสาวมองหาคือมุมเหมาะๆ สำหรับตัวเอง ห้องนอนเสี่ยกว้างขวางมันต้องมีสักมุมที่พอจะแบ่งให้เธอได้บ้างละ

                “เสี่ยจะให้ฉันนอนตรงไหน”

                ปวินท์นิ่วหน้ามองเธออย่างงุนงง ก่อนจะเข้าใจความหมาย นี่ละมั้งอยู่กันอย่างเพื่อนช่วยเพื่อนของเธอ ชายหนุ่มคิดขำในใจ บุ้ยใบ้ไปยังเตียงกว้าง

                “เป็นเมียเสี่ยก็ต้องนอนเตียงเดียวกับเสี่ยสิจ๊ะ เธอจะกลับไปนอนกอดเจ๊หวีหรือไง” เขาบอกหน้าตายและกรวีร์กำลังจะตายจริงๆ เพราะไม่คิดว่าเมียขัดดอกจะต้องนอนร่วมเตียงใกล้ชิดกับเขา

                “เดี๋ยวนะเสี่ย คือ...ฉันว่าฉันก็พูดไปบ้างแล้ว สงสัยเสี่ยจะไม่เก็ต งั้นเราน่าจะลองเจรจาทำข้อตกลงกันใหม่ในส่วนที่ยัง เอ่อ...ไม่ครอบคลุม”

                “จะต้องเจรจากันอีกเหรอ คำว่า เมีย ฉันก็คิดว่ามันครอบคลุมหมดทุกความหมายแล้วนะ อย่าลืมว่าเธอจดทะเบียนกับฉันถูกต้อง มีกฎหมายรองรับ แล้วมันมีส่วนไหนที่ไม่ครอบคลุมอีกเหรอ เธอเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะกีวี่”

                “ก็ไม่ได้จะเปลี่ยนใจ แต่ว่า...” หญิงสาวลากเสียงลังเล หลุบตามองลงที่พื้น

                “มีปัญหาอะไร ไหนบอกมาซิ” ปวินท์เท้าเอวถาม

                “เสี่ยจะนอนกับฉันจริงๆ เหรอ”

                “นอน!”

                “เสี่ย!” หญิงสาวผงะ เรียกเสียงหลง “ใจคอจะไม่ให้ฉันทำใจหน่อยเหรอ ลำพังแค่มาเป็นเมียขัดดอกฉันก็กล้ำกลืนฝืนทนละนะ นี่เสี่ยยังจะขืนใจฉันให้นอนด้วยอีก ฉันยังบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างกลางหาวอยู่นะเสี่ย”

                “แล้วถ้าฉันไม่นอนกับเธอ จะให้ฉันหอบหมอนหอบผ้าห่มไปนอนกับแม่ที่โรงพยาบาลหรือไง เธอนี่ก็ถามแปลก ลองนึกดูดีๆ ซิว่าฉันบังคับเธอมาเป็นเมียหรือเปล่า เธอจะเอาข้อหาขืนใจมายัดให้ฉัน มันยุติธรรมไหม หนี้ฉันก็ยกให้ สินสอดก็จ่ายไปแล้ว ตอนตกลงเป็นเมียฉัน เธอน่าจะเข้าใจนะว่าเมียที่ถูกต้องครบถ้วนกระบวนความต้องทำอะไรบ้าง”

                ฮือ...ก็ตอนนั้นฉันแค่อยากประชดแม่!

                กรวีร์อยากจะร้องไห้ เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว แค่คิดว่าเสี่ยไปป์จะกระโจนเข้าใส่ลากเธอขึ้นไปบนเตียงปู้ยี่ปู้ยำจนหนำใจ เธอก็ไม่ไหวละนะ แม่จ๋าช่วยหนูด้วย...

                “นี่คิดอะไรของเธอ” ปวินท์ลองถามหยั่งเชิงทั้งที่ในใจอยากจะหงายหน้าหัวเราะให้ลั่นห้อง เขารู้ละว่ากรวีร์กลัวอะไร “อ้าวแล้วไหนใครว่าจะสั่งชุดนอนไม่ได้นอนมาเอาใจฉัน ฉันนึกว่าเธอพร้อมแล้วซะอีก”

                “เสี่ยเข้าใจคำว่าล้อเล่นเปล่า ฉันก็ปากดีไปอย่างนั้นเอง”

                “แต่ฉันเสียเงินเป็นล้านเลยนะ ได้แค่ทะเบียนสมรสใบเดียว เหมือนจะไม่คุ้มแฮะ”

                ความจริงเขาไม่คิดไกลถึงขั้นจะหักหาญน้ำใจเธอหรอก ต่อให้จดทะเบียนสมรสกันเป็นเรื่องเป็นราวและเขามีสิทธิ์ แต่ปวินท์ไม่คิดเอาเปรียบเธอ แค่เธอมาเป็นเมียเขามันก็เสี่ยงมากพอแล้ว เขาจะดูแลเธอให้เต็มที่ไม่ล่วงเกินให้เธอเสียหาย ถึงตอนที่ต้องหย่ากันแล้วกรวีร์เกิดมีปัญหากับคนใหม่ในเรื่องนี้ เขาก็พร้อมที่จะเคลียร์ให้เข้าใจอย่างลูกผู้ชาย

                แต่ด้วยความน่ารักของกรวีร์ พอได้แกล้งเธอหยอกล้อเธอแล้วปวินท์ก็ชักนึกสนุกขึ้นมา เมียเขาน่ะปั่นขึ้นเสียด้วยสิ ท่าทางจะคิดจริงจังไปถึงไหนต่อไหน ใบหน้าที่เคยทะเล้นซีดลงจนเขานึกสงสาร โถ...แม่คุณ แม่น้ำค้างกลางหาว

                “อะๆๆ เห็นแก่เธอเป็นเมียที่มีมารยาทดีงาม ฉันจะไม่บังคับขืนใจก็ได้...ถ้าเธอไม่พร้อม”

                “แล้วถ้าเสี่ยทำให้ฉันพร้อมล่ะ” เธอถามแล้วหน้าแดงขึ้นมาต่อหน้าต่อตา แถมยังอ้อมแอ้มต่ออีกว่า “ของแบบนี้ฉันไม่มีประสบการณ์ยังไงก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบวันยังค่ำ”

                “โอ๊ยยย ถ้าเราไปกันถึงขั้นนั้นเธอก็ยอมๆ เป็นเมียฉันเถอะ มันคงไม่เสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่นี่หรอก” 

                ปวินท์นึกอ่อนใจ สงสัยจะไม่เคยจริงๆ คนเราลองถ้าอารมณ์พิศวาสพาไปถึงจุดนั้นความสัมพันธ์มันก็ต้องบรรลุผลละนะ จะมาทำค้างๆ คาๆ ให้ทรมานกันทำไม แล้วถ้าเธอไม่มีใจ จะยอมปล่อยให้เขาเข้าถึงตัวจนทำให้พร้อมเชียวหรือ ชายหนุ่มนึกอยากจะร้องแหมยาวๆ ไปให้ถึงหน้าปากซอย

                “ยังไงเราก็ต้องนอนเตียงเดียวกัน เอาละๆ เพื่อความชัดเจนและสบายใจของเธอกับฉัน ฉันสัญญาว่าจะไม่ชิมน้ำค้างกลางหาว ถ้าเธอไม่อนุญาต แบบนี้โอเคไหม”

                “สัญญานะ”

                “อืม” ปวินท์แกล้งยกมือแล้วเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไขว้กัน ก่อนจะหัวเราะเสียงดังเมื่อกรวีร์โวยวายไล่ตีเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

                “เสี่ยบ้า แค่นี้ก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว”

                “เฮ้ยๆ เบาสิ เดี๋ยวผัวก็ช้ำในตาย ได้เป็นม่ายทรงเครื่องหรอก”

                “ฉันจะเชื่อเสี่ยได้ไหมเนี่ย”

                “เชื่อได้...แต่เรื่องการแสดงออกภายนอก เธอคงต้องอะลุ่มอล่วยให้ฉันบ้าง ผัวเมียกันไม่ถูกตัวกันเลยคนจะสงสัย เป็นไง แบบนี้โอเคไหม”

                “ก็โออยู่” หญิงสาวตอบอย่างไม่เต็มใจนัก

                “คราวนี้คุณศรีภรรยาก็เริ่มต้นจัดการข้าวของที่ซื้อมาได้แล้ว เดี๋ยวฉันช่วย” ปวินท์เสนอตัวอย่างมีน้ำใจ เอื้อมมือไปหยิบถุงมาเทพรวด

                ใครจะคิดว่าเขาดันมือแม่นไปหยิบถุงชุดชั้นในเข้าให้ ไอ้ตอนหยิบก็ลืมอ่านข้างถุง กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดกางเกงในลูกไม้สีแดงสุดเซ็กซี่โดดเด่นสะกดสายตาก็ตกลงมากลางเตียงพร้อมกับเพื่อนๆ ของมัน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของ กรวีร์หน้าแดงไม่แพ้สีกางเกงในลูกไม้ของเธอเลยให้ตายสิ

                “เสี่ย!” เธอกรี๊ดลั่นพลางกระโดดนอนทับชุดชั้นใน กวาดแขนโอบทุกอย่างซ่อนไว้ใต้ร่าง ซุกใบหน้ากับที่นอนเพื่อหลบอาย ส่งเสียงไล่เขาอู้อี้จนแทบฟังไม่รู้เรื่อง “ถอยไปอยู่ห่างๆ เลย”

                “รู้แล้วๆ เดี๋ยวฉันไปนั่งเล่นเกมรอตรงนั้นก็แล้วกันนะ” ปวินท์รีบกลับหลังหัน ถือโทรศัพท์ไปนั่งเล่น

 

                บ้าบอชะมัด! เขาไม่มีสมาธิเล่นเกมเพราะถูกกางเกงในลูกไม้สีแดงของกรวีร์สะกดจิตไว้ มันก่อกวนเขาอยู่ตลอดเวลา ปวินท์ค้นพบความยุ่งยากแรกในชีวิตคู่ ถึงจะให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร แต่เขาก็ยังเป็นผู้ชาย มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึกวันยังค่ำ พอเจอแบบนั้นมันก็เลยอดคิดว่อกแว่กไม่ได้ แค่เหลือบไปเห็นเธอเดินไปเดินมา ใจเจ้ากรรมดันคิดวาดภาพจินตนาการไปไกลตามประสา จะเป็นอย่างไรนะถ้ากรวีร์ใส่กางเกงในลูกไม้บางเบาตัวนั้นผิวขาวเนียนละเอียดตัดกับลูกไม้สีแดงแล้วเขาเป็นคนค่อยๆ ถอดมันออกจากร่างเธอ

                โอย...ไอ้ไปป์ตายแน่ แกต้องหยุดคิดสัปดนก่อนที่จะโดนจับได้ ไม่งั้นยายกีวี่เอาแกตาย หลังจากสัญยิงสัญญากันไว้เสียดิบดี

                “เสี่ย แล้วพรุ่งนี้ ฉันต้องทำอะไรบ้าง” กรวีร์เงยหน้าขึ้นถามหลังจากพับถุงกระดาษซ้อนกันอย่างเรียบร้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าปวินท์กำลังเหม่อ เธอจึงเรียกซ้ำ “เสี่ย...เสี่ย...เสี่ย!”

                “ฮะๆ อะไรเหรอ” ปวินท์หลุดออกจากภวังค์

                “ใจลอยไปถึงไหน”

                “ถึงกางเกงในตัวนั้น เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ เมื่อกี้ถามว่าไงนะ”

                “เสี่ย...ฉันเริ่มกลัวจริงๆ แล้วนะ ฉันถามว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้าง” กรวีร์เริ่มระแวงสามีตัวเอง

                “ก็...ไปเยี่ยมแม่ฉัน อยู่เป็นเพื่อนคุยกับท่าน”

                กรวีร์พยักหน้ารับรู้ “แล้วพรุ่งนี้เสี่ยอยู่บริษัท หรือออกตรวจไซต์งาน”

                “ออกไซต์ ว่าจะไปโรงเรียนอนุบาลดูพื้นที่ที่จะสร้างโรงอาหารใหม่น่ะ ตอนเย็นถ้าไม่ติดงานอะไรจะกลับมากินข้าวด้วย เดี๋ยวฉันจะเอากุญแจรถให้คันหนึ่ง เธอได้เอาไว้ใช้ขับไปไหนมาไหน”

                “ไม่เป็นไร รถฉันก็มี”

                “เอาไว้ให้เจ๊หวีใช้เถอะ ขับมอเตอร์ไซค์ไปมามันอันตราย ฉันให้คนเอาไปส่งที่บ้านเธอแล้ว แม่เธอก็ขับรถได้นี่”

                “ได้ แต่เขาว่ามอเตอร์ไซค์มันคล่องตัวกว่า ช่างเถอะ รถเสี่ยก็รถเสี่ย ว่าแต่เมียเบิกค่าน้ำมันได้มะ”

                “ได้แน่นอน และจะดีมากด้วยถ้าเธอจะขับรถอวดโฉมชมวิวเมืองเล่นๆ ประกาศให้คนทั้งจังหวัดรู้ว่าเป็นเมียฉัน แต่ต้องบอกฉันก่อนนะ ฉันจะได้ไปเป็นเพื่อน” ปวินท์เริ่มต้นทำตามแผน เขาจะคอยปกป้องกรวีร์เอง

                “วุ้ย! พ่อคนเห่อเมีย เสี่ยไม่เอาฉันขึ้นรถแห่รอบเมืองเลยล่ะ” หญิงสาวร้องท้า สามีพยักหน้าหงึกๆ

                “เออ...เป็นความคิดที่ไม่เลว เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับปลัดดูว่ามีคนนั่งรถแห่เทียนพรรษาหรือยัง”

                “ฉันพูดเล่นไหมล่ะเสี่ย ทำจริงจังไปได้”

                “เมียสวยต้องอวดหน่อย ไปอาบน้ำไป๊ เดี๋ยวฉันจะอาบบ้าง”

                “เสี่ยไปอาบก่อน ฉันอาบน้ำนาน”

                สายตาปวินท์มองหญิงสาวอย่างไม่เชื่อถือ แต่ขี้เกียจจะเถียงด้วย ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นเดินแกะกระดุมถอดเสื้อโยนใส่ตะกร้า หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพันรอบเอว ทำท่าจะถอดกางเกงตรงนั้นถ้าเมียไม่ร้องห้ามไว้

                “เสี่ยอย่ามาแก้ผ้าตรงนี้นะ เข้าไปถอดในห้องน้ำโน่น”

                “ทำเป็นไล่ แล้วจะเสียใจทีหลังที่พลาดเห็นของดี” ปวินท์ยักไหล่ เดินผิวปาก หายเข้าห้องน้ำไป

                กรวีร์เป่าปากโล่งใจ ถึงเขาจะเป็นสามีแต่เธอก็ไม่คิดหากำไรจากเนื้อหนังมังสาเขาหรอก แค่ถอดเสื้อเธอก็จะเป็นลมแล้ว แม่เจ้า...ทำไมอกเสี่ยไปป์ช่างขาวโอโมอย่างนี้ เห็นห่างๆ ยังรู้สึกได้เลยว่าเนื้อในต้องแน่นเปรี๊ยะ!

                หญิงสาวควานหายาดมในกระเป๋า ก่อนสูดลมเข้าไปเต็มปอด ปลอบใจตัวเองว่าตัดสินใจถูกแล้ว อย่าได้เห็นแก่อาหารตาเพราะจะพาตัวลำบาก เธอกับเขาเพิ่งรู้จักกันก็จริง แต่เสี่ยไปป์ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แถมยังเปย์ไม่อั้น ชายหญิงอยู่ใกล้กันก็เหมือนน้ำมันกับไฟ ถึงจะไม่ได้รักได้ใคร่ แต่ใครจะรับประกันความเสี่ยงให้เธอล่ะ เพราะฉะนั้นเสี่ยจะมาแก้ผ้ายั่วเธอไม่ได้!

                กรวีร์ลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ปรายตามองไปบนเตียงกว้าง เห็นหมอนสองใบวางเคียงกันแล้วแอบหวั่นใจ ต้องนอนด้วยกันจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย

                “กีวี่”

                “ฮะ” หญิงสาวสะดุ้งรีบหันไปตามเสียง ตะโกนถามกลับ “ว่าไงเสี่ย”

                “อยากลองเข้ามาทดลองงานหัดเกาหลังให้ฉันบ้างไหม”

                “ถ้าคันมากนัก ฉันจะลงไปตามป้าแป๋วมาช่วยเกาให้”

                “ว้า...นึกว่าเมียอยากตอบแทนค่าน้ำมันรถ” น้ำเสียงที่ดังลอดออกมาบอกว่าเสียดายมาก ก่อนตามด้วยเสียงน้ำไหลจากฝักบัว

                “ฝันไปเถอะย่ะ” กรวีร์ค้อนขวับ อยากจะกรี๊ดให้ลั่นห้อง เสี่ยบ้านี่รู้ว่าเธอหลอนก็แกล้งหยอกไม่เลิก จะไว้ใจได้ไหม เกิดกลัดมัน หน้ามืดปล้ำเธอขึ้นมาจะทำไง โอ๊ย...คิดผิดหรือถูกที่ยอมมาเป็นเมียขัดดอกให้เสี่ยไปป์เนี่ย

                ขณะที่หญิงสาวกำลังว้าวุ่นใจเสียงโทรศัพท์ของปวินท์ก็ดังขึ้น เธอมองมันอย่างลังเล จะรับหรือไม่รับดีล่ะ กรวีร์ชะเง้อมองประตูห้องน้ำที โทรศัพท์ที ดูท่าแล้วคงจะมีธุระด่วน เพราะยังไม่ยอมวางแม้จะดังอยู่นานแล้วไม่มีคนรับ ภรรยามารยาทงามตัดสินใจเดินไปหยิบดูว่าใครโทร. มา ก่อนจะถือโทรศัพท์เดินไปตบประตูห้องน้ำ ตะโกนถามสามี

                “เสี่ย ครูหลินโทร. มาแน่ะ ให้รับเลยไหม”

                ปวินท์นึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ปกติแล้วนลินไม่เคยโทร. หา หรือว่าจะมีธุระด่วน “รับเลย แล้วถามด้วยว่ามีธุระอะไร”

                “โอเค รู้เรื่อง” กรวีร์เลื่อนรับสาย “สวัสดีค่ะ”

                “เอ่อ...พี่ไปป์ไม่อยู่เหรอคะ” สุ้มเสียงจากปลายสายดูเกรงใจเหลือเกิน

                “เสี่ยกำลังอาบน้ำอยู่ค่ะ สั่งให้ถามว่ามีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า”

                “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรด่วนมากหรอกค่ะ แค่อยากถามว่าจะเข้ามาที่โรงเรียนตอนไหน งั้นไม่รบกวนแล้วค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

                “ไม่เป็นไรค่ะ สวัสดี...เอ้า! ไม่ลาเลย” กรวีร์ยังพูดไม่จบปลายสายก็วางสายไปแล้ว หญิงสาวเดินเอาโทรศัพท์ไปวางที่เดิม สัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง ก็ว่ากลิ่นมันทะแม่งๆ ตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้ว แบบนี้ละชัดเลยครูหลินคงไม่ใช่เพื่อนธรรมดาแน่ 

                การที่เสี่ยจะเข้าไปดูพื้นที่ก่อสร้าง มันก็ต้องมีเวลาชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าโรงเรียนปิดใครจะสะเหล่อไป ไม่เห็นจะต้องเป็นธุระสำคัญถึงขั้นโทร. มาถามเลย มุกตื้นๆ คิดว่าเธอรู้ไม่ทันล่ะสิ ชิ!

                “เป็นอะไรของเธอ ทำตาขวางใส่โทรศัพท์ฉันทำไม”

                “ก็...เสี่ย!” กรวีร์ร้องลั่นเมื่อเห็นว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของปวินท์มีเพียงผ้าขนหนูผืนน้อยพันรอบเอวไว้ หญิงสาวรีบหันหลังให้ ใจเต้นโครมครามจนต้องเอามือวางทาบไปบนหน้าอก “ทำไมไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย”

                “ก็ไม่ได้เอาเสื้อผ้าเข้าไป นี่ถ้าไม่เกรงใจว่ามีเธอ ฉันเดินแก้ผ้าออกมาแล้ว ทำไมต้องให้ยุ่งยากด้วย แค่นี้ไม่ผิดผีหรอก” 

                “ไม่ผิด แต่ฉันไม่ชิน”

                ปวินท์ส่ายหน้า เดินไปเปิดตู้หยิบชุดนอนออกมาสวม เสร็จแล้วก็ถามขึ้น “ตกลงครูหลินว่าไง”

                “เขาแค่โทร. มาเช็กว่าเสี่ยอยู่กับเมียหรือเปล่า”

                “ตลก จะมาเช็กทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

                “โกหกตกนรกนะเสี่ย ถามจริง ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”

                ปวินท์ทำหน้างงหนัก “ฉันต้องรู้สึกอะไรล่ะ”

                “ขอเดาว่าเสี่ยกับครูหลินไม่ใช่เพื่อนธรรมดา”

                ปวินท์อึ้งไปนิดหนึ่งก่อนยอมรับตามตรง “เคยคบกันอยู่พักใหญ่ แต่ก็เลิกกันไปแล้ว หลินเขาก็มีแฟนใหม่ ส่วนฉันก็มีเธอ ของเก่าก็คือของเก่า จะรื้อฟื้นขึ้นมาทำไมแถมของใหม่ก็เร้าใจมาก อย่าบอกนะว่าหึง”

                “ช่ายยย” ของใหม่ที่เร้าใจมากลากเสียงยานคาง “เสี่ยน่ะเหมือนบ่อเงินบ่อทองของเมีย ฉันก็ต้องหวงเป็นธรรมดา สามีแบบนี้ใช่ว่าจะหามาได้ง่ายๆ”

                “ไร้สาระ ตกลงว่าเขาไม่ได้มีเรื่องด่วนใช่ไหม”

                “เขาถามว่าเสี่ยจะเข้าไปโรงเรียนตอนไหน นับเป็นธุระด่วนได้เปล่าล่ะ”

                ปวินท์ไม่รู้จะพูดอะไร จึงไล่ให้เธอไปอาบน้ำตัดปัญหาอยากรู้อยากเห็นของกรวีร์ด้วย ก่อนไปแม่ทูนหัวยังแค่นเสียงรู้ทันส่งท้ายพร้อมสั่งเสร็จสรรพ

                “เสี่ยนอนหลับไปเลยนะ”

                “รอหลับพร้อมเมียไม่ได้หรือไง เผื่อเมียอยากกู๊ดไนต์คิส”

                “ว้าย...หลับเลย หลับเถอะ ฉันกรนเสียงดัง เดี๋ยวเสี่ยหลับไม่ได้ จะหาว่าฉันไม่เตือน” หญิงสาวขู่ก่อนเดินหอบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำ กู๊ดไนต์คิสอะไรล่ะเสี่ย ทำไมชอบทำเมียขวัญผวาด้วย

                หลังจากถ่วงเวลาอยู่ในห้องน้ำจนมั่นใจว่านานพอที่สามีจะหลับ กรวีร์ก็ค่อยๆ แง้มประตูชะโงกหน้าออกมาดู ไฟกลางห้องถูกปิดไปแล้ว เหลือแต่ไฟหัวเตียง ส่วนตัวเจ้าของห้องก็นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม เป็นสัญญาณบอกถึงความปลอดภัย 

                หญิงสาวเดินออกมาอย่างสบายใจ เธอใช้เวลาอีกนิดหน่อยอ้อยอิ่งชโลมโลชันบำรุงผิวพรรณ ระหว่างนั้นก็ทำใจให้หนักแน่นดุจหินผา

                ไม่มีอะไรน่ากลัว เสี่ยหลับก็เท่ากับเธอรอด 

                ลูกสาวเจ๊หวีพึมพำเรียกขวัญกำลังใจ ค่อยๆ ก้าวขาซ้ายขึ้นเตียง ทิ้งน้ำหนักลงอย่างระมัดระวัง หมอนข้างถูกเอามาขวางเป็นป้อมปราการ เธอรู้ว่ามันไม่ได้ผลถ้าถึงเวลาวิกฤต แต่ตอนนี้สถานการณ์ยังปกติ มีหมอนขวางก็ยังเอามาเป็นหลักฐานอ้างได้ หากมีอะไรเกิดขึ้นมา เธอจะได้อ้างว่าไม่สมยอมตั้งแต่แรก

                กรวีร์ปิดไฟหัวเตียง แต่ดวงตาเบิกกว้างอย่างกับนกเค้าแมว นอนตัวแข็งไม่กล้าขยับ อิจฉาคนข้างๆ ที่หลับสบาย คงมีแต่เธอนี่ละที่คอยจะผวา แค่เขาขยับพลิกตัวนิดเดียว เธอก็เสียววูบ

                “ไม่เป็นไรกีวี่ เธอต้องผ่านคืนนี้ไปให้ได้”

                กรวีร์คงจะจดจำคืนแรกของการเข้าหอกับเสี่ยไปป์ไปตลอดชีวิต ผัวเมียคู่อื่นคงไม่เกร็งแบบนี้ เธอนี่นอนจนตะคริวจะกินอยู่แล้ว เวลาล่วงผ่านไปกว่าชั่วโมง แม้จะพยายามฝืนสังขารแค่ไหน แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องพ่ายให้แก่ความง่วง 

                เสียงลมหายใจสม่ำเสมอกับร่างกายที่ผ่อนคลายจากอาการแข็งเกร็ง ทำให้ชายหนุ่มที่หลับสบายเมื่อชั่วโมงก่อนลืมตาขึ้นมา ไฟหัวเตียงฝั่งปวินท์ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มนอนตะแคง เอาศอกยันกับที่นอน มองศรีภรรยาด้วยแววตาเอ็นดูระคนขบขัน

                “หมดฤทธิ์แล้วสินะแม่น้ำค้างกลางหาว” ชายหนุ่มเอื้อมมือข้ามหมอนข้างช่วยดึงผ้าห่มที่เลื่อนต่ำขึ้นมาคลุมให้เรียบร้อย ก่อนจะหันกลับไปปิดไฟและทิ้งตัวลงนอนตามเดิม 

                ผ่านไปแล้วหนึ่งวันกับการมีภรรยา นับว่ากรวีร์สร้างสีสันให้แก่ชีวิตที่ราบเรียบของเขาพอสมควร การได้ต่อปากต่อคำ ทำให้เธออึกอักพูดไม่ออกเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งที่เขาชักจะอยากทำมันให้บ่อยขึ้น

                ปวินท์ได้แต่ภาวนาขอให้ตำรวจตามจับคนร้ายได้ในเร็ววัน เพื่อที่เมียขัดดอกของเขาจะได้ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายมากนัก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น