10

ตอนที่ 10


 

10

                “เจ้าแฝดยังไม่กลับอีกหรือเนี่ย” คุณรองเอ่ยถามชานนท์

“วันนี้คุณกลางมีเคสผ่าตัด ส่วนคุณเล็กมีนัดทานดินเนอร์กับพาร์ตเนอร์ครับนาย” ชานนท์รายงาน

“พอพี่ใหญ่ไม่อยู่บ้าน ฉันก็เหงาชอบกล” คุณรองส่ายหน้า เพราะสัปดาห์นี้พี่ชายคนโตและพี่สะใภ้พาเจ้าเสือน้อยแก้มยุ้ยไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่เชียงใหม่ ดังนั้นบ้านที่เคยครึกครื้นจึงเงียบลงถนัดตา

“นายก็น่าจะมีใครสักคนคอยดูแลนะครับ จะได้ไม่เหงา” ธีระกระเซ้าผู้เป็นนาย

“ฉันคงเกิดมาเพื่อดูแลคนอื่นมากกว่า” ผู้เป็นนายอมยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงตั้งใจจัดการกับกองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานต่อ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น กฤตภาสละสายตาจากกองเอกสาร ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ซึ่งในขณะนี้เข็มสั้นชี้อยู่ที่เลขเก้า ส่วนเข็มยาวชี้อยู่ที่เลขสิบสอง “สามทุ่มแล้วหรือเนี่ย” ชายหนุ่มรำพึงเสียงแผ่วเบา

จากนั้นจึงหันไปสบตากับสองคนสนิท พร้อมกับพยักหน้าเป็นการอนุญาต ธีระจึงเดินไปเปิดประตูและกลับเข้ามาพร้อมกับมินตราเด็กสาวในปกครองของผู้เป็นนาย

“คุณรองให้พี่วันตามหนูมาพบ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” มินตราเอ่ยถาม หลังจากประนมมือไหว้ผู้ปกครองแล้ว

“นั่งก่อนสิ” ชายหนุ่มรับไหว้ พร้อมกับผายมือให้เด็กสาวนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะทำงาน

มินตราค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม ชายหนุ่มลอบมองกิริยาที่อ่อนช้อยของเด็กในปกครอง ซึ่งนับวันจะยิ่งทวีความคล้ายบัวบูชามากยิ่งขึ้น ทั้งนึกขอบคุณอยู่ในใจที่พี่สะใภ้ลงมือฟูมฟักและอบรมกิริยามารยาทให้แก่เด็กสาวคนนี้ด้วยตนเอง จนตอนนี้มินตราไม่เหลือเค้าความกะโปโลหรือท่าทางกระโดกกระเดกเลยแม้แต่น้อย  และนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาภาคภูมิใจ

“เรื่องไปรายงานตัววันพรุ่งนี้ เตรียมตัวพร้อมหรือยัง”

“เตรียมเอกสารไว้พร้อมแล้วค่ะ”  

“ดี งั้นพรุ่งนี้ออกไปพร้อมฉันก็แล้วกัน”

“แล้วคุณรองไม่ไปทำงานหรือคะ” มินตราเอ่ยถามด้วยความรู้สึกเกรงใจ

“ไม่เข้าออฟฟิศแค่ครึ่งวัน บริษัทคงไม่ขาดทุนหรอก พอเธอสมัครเรียนเสร็จ ก็จะได้ไปเลือกดูชุดนักศึกษา กับพวกอุปกรณ์การเรียนที่ห้างต่อเลย” ผู้ปกครองสรุป ก่อนจะกลับไปตั้งใจลงนามในเอกสารตรงหน้าต่อ

“สามทุ่มกว่าแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้สดชื่น” ชายหนุ่มเอ่ยขณะจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ

“เอ่อ ค่ะ” มินตรายกมือไหว้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนค้อมตัวเดินผ่านธีระและชานนท์ออกจากห้องไป

 

“มหา’ลัย นี้ใหญ่โตและมีคุณภาพ ฉันเชื่อว่าเธอจะได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้เก่งเหมือนที่ตั้งใจไว้” กฤตภาสเอ่ยบอก ขณะรถยุโรปคันหรูแล่นเข้าสู่บริเวณมหาวิทยาลัยที่เขาตั้งใจเลือกให้มินตราด้วยตนเอง

“ค่ะ” มินตรากวาดตามองบรรยากาศรอบๆ มหาวิทยาลัย สถานที่ที่เธอจะได้ตักตวงความรู้และประสบการณ์ตลอดระยะสี่ปีข้างหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ

“หนูจะตั้งใจเรียนให้เก่ง หนูอยากช่วยแบ่งเบางานของคุณรองค่ะ” มินตรายิ้มกว้างขณะเอ่ยสัญญาใจกับผู้มีพระคุณ

“ดี ฉันจะรอนะ” กฤตภาสอมยิ้ม ก่อนจะวางมือลงบนกลุ่มผมดำขลับ ซึ่งวันนี้เธอรวบขึ้นอย่างเรียบร้อย แล้วโยกไปมาเพียงแผ่วเบา

“เอาละ บทเรียนใหม่ของชีวิตเธอกำลังจะเริ่มต้นแล้ว พร้อมหรือยัง” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อรถจอดสนิทหน้าอาคารอเนกประสงค์อันเป็นสถานที่รับรายงานตัว

เด็กสาวในชุดนักศึกษาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกช้าๆ “พร้อมแล้วค่ะ”

“พร้อมแล้ว งั้นก็ลุย” ผู้ปกครองกล่าว ก่อนจะเดินลงจากรถและเดินนำเด็กในปกครองไปยังจุดลงทะเบียน

                ...

“มินตรา บุปผาชล ค่ะ” เด็กสาวขานชื่อตนเองกับเจ้าหน้าที่จุดลงทะเบียน

เจ้าหน้าที่สาวพยักหน้ารับก่อนจะกดคีย์บอร์ดเช็กชื่อจากระบบ แล้วผายมือให้หญิงสาวเดินไปลงชื่อในเคาน์เตอร์ถัดไป “คณะบริหาร ลงชื่อที่เคาน์เตอร์สอง ฝั่งขวามือเลยจ้ะ”

“ขอบคุณค่ะ” มินตรายกมือไหว้ขอบคุณ แล้วจึงเดินเคียงคู่กับผู้ปกครองไปยังเคาน์เตอร์ถัดไป

“นักศึกษาลงชื่อตรงนี้นะคะ ส่วนผู้ปกครองเซ็นตรงนี้ค่ะ” เจ้าหน้าที่หนุ่มหัวใจสาวอธิบาย

มินตราจรดปลายปากกาลงในช่องที่เจ้าหน้าที่บอกเรียบร้อยแล้ว จึงขยับให้ผู้ปกครองเข้ามายืนแทนที่ โดยมีแววตาพราวระยับของเจ้าหน้าที่หนุ่มหน้าหวานจับจ้องใบหน้าหล่ออยู่ตลอดเวลา

“ผู้ปกครองลงชื่อช่องนี้นะคะ” ถึงแม้นจะแจ้งไปแล้วรอบหนึ่ง หากแต่เมื่อผู้ปกครองหนุ่มหล่อขยับเข้ามายืนตรงหน้าแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาอำนวยความสะดวกอีกรอบ

“ขอบคุณครับ” กฤตภาสขอบคุณ ก่อนจะโน้มตัวลงเซ็นชื่อตามจุดที่เจ้าหน้าที่บอกจนครบ แล้วจึงยืดตัวขึ้นเต็มความสูง “เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“ค่ะ ส่วนนี่คือเอกสารแจ้งกำหนดการต่างๆ ของนักศึกษา” ชายร่างอ้อนแอ้นหลังเคาน์เตอร์ยื่นเอกสารหมายจะส่งให้ผู้ปกครองโดยตรง หากแต่ชายหนุ่มกลับเอียงคอเหล่ตามองหญิงสาวที่ยืนหลบอยู่ด้านหลัง มินตราค่อยๆ ขยับตัวออกมารับเอกสารพร้อมกับเอ่ยขอบคุณอ้อมแอ้ม

“มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้นะคะ พี่เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการอยู่คณะนี้” เจ้าหน้าที่แนะนำตัวกับนักศึกษาใหม่

“ขอบคุณค่ะ” มินตราตอบ แล้วจึงหันหลังวิ่งตามผู้ปกครองที่เดินนำออกมาก่อน

 

“ยิ้มอะไร” กฤตภาสเหล่ตามองเด็กในปกครองที่นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวตั้งแต่ขึ้นรถ

“พี่ธุรการน่ารักค่ะ มองคุณรองใหญ่เลย” มินตราตอบยิ้มๆ

ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ “ก็ผู้ปกครองเธอหล่อนี่ ต้องทำใจหน่อยนะ”

บทสนทนาระหว่างผู้ปกครองกับเด็กในปกครองทำให้สองคนสนิทลอบยิ้มให้กัน เพราะโดยปกติแล้วเจ้านายของพวกเขาไม่ได้ใจดีและอารมณ์ดีแบบนี้ หากแต่ระยะหลายเดือนที่ผ่านมา หลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผู้เป็นนายอ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิม

กฤตภาสพามินตราติดสอยห้อยตามยังโภคินเพลส เพื่อหาซื้อชุดนักศึกษาและอุปกรณ์การเรียน ภาพเจ้าของห้างหนุ่มใหญ่ที่ครองความโสดมาเกือบสามสิบสี่ปี เดินเคียงคู่มากับเด็กสาวร่างเล็กที่อยู่ในชุดนักศึกษา จึงตกเป็นเป้าสายตาของผู้สนใจใคร่รู้หลายต่อหลายคน หากชายหนุ่มผู้นี้มีเรื่องเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับผู้หญิงสักหน่อย คงอาจจะพอคาดเดาได้ว่าเป็นพวกป๋ากระเป๋าหนักที่เลี้ยงพวกหนูๆ ไว้เพื่อความกระชุ่มกระชวย แต่กับเจ้าของห้างที่มีนามว่า ‘กฤตภาส’ นั้น ถือว่าครองตัวเป็นโสดได้อย่างสง่างาม โดยไม่เคยมีชื่อเสียในเรื่องชู้สาวเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“หนูว่าพอเถอะนะคะ ได้ของเยอะแล้ว” มินตราเอ่ยท้วง เมื่อกฤตภาสหยุดยืนตรงหน้าร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์ดังอีกรอบ

“แต่ฉันว่าเสื้อผ้าแบรนด์นี้น่ารักดี” กฤตภาสกล่าว แล้วเดินตรงเข้าไปในร้านทันที

                “ชุดเดียวก็พอค่ะ” มินตราแอบสะกิดจากทางด้านหลัง

                “เธอไม่ชอบหรือ ฉันว่าชุดพวกนี้น่ารักดีออก” ชายหนุ่มกล่าว โดยที่มือยังหยิบชุดเดรสบนราวออกมาพิจารณาทีละชุด

“ชอบค่ะ แต่มันแพง” เด็กสาวเอามือป้องปากกระซิบกระซาบ

“เธอลืมไปหรือเปล่าว่าฉันมีตังค์เยอะ...มาก” คนมีตังค์ยกนิ้วขึ้นจิ้มหน้าผากคนขี้งกไม่แรงมากนัก ก่อนจะหันไปสั่งคนสนิท  “เอาราวนี้ทั้งหมด”  

“ครับนาย” ชานนท์และธีระรับคำ แล้วแอบลอบอมยิ้มกับอาการลูบหน้าผากป้อยๆ ของเด็กสาวในปกครองของผู้เป็นนาย

เมื่อจัดการเรื่องเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้ว คนตังค์เยอะก็เดินนำทุกคนออกไปจากร้าน โดยมีมินตราวิ่งตามคนขายาวไปติดๆ แต่เมื่อเดินผ่านร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง จู่ๆ คนที่เดินนำก็หยุดเดินอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่งผลให้คนขาสั้นที่วิ่งตามหลังมาเบรกไม่ทัน จนชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างจัง และแน่นอนว่าเจ้าของร่างเล็กและบอบบางนั้นล้มลงกองกับพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลกไปเป็นที่เรียบร้อย

กฤตภาสรีบหันหลังกลับไปมองตามเสียง ก่อนจะเดินเข้าไปหา พร้อมกับย่อตัวลงยื่นมือข้างขวาออกไปตรงหน้า มินตราเงยหน้าขึ้นมองกำแพงยักษ์เล็กน้อย “ฉันช่วย” ผู้ปกครองกล่าว

มินตราจึงค่อยๆ ยื่นมือขวาของเธอออกไปจับมือหนาตรงหน้าเอาไว้ให้มั่น เมื่อมือเล็กสอดประสานเข้ามาก็คล้ายกับมีกระแสไฟแล่นผ่านไปยังร่างกายของบุคคลทั้งสอง

กฤตภาสรีบดึงตัวมินตราให้ลุกขึ้น แล้วปล่อยมือออกทันทีที่เธอสามารถยืนด้วยตัวเองได้แล้ว ทั้งสองต่างยืนนิ่งและลูบไล้ฝ่ามือของตัวเองไปมา

“ฉันหิวแล้ว ทานอาหารญี่ปุ่นกันนะ” ชายหนุ่มกระแอมหนึ่งที ก่อนจะเดินนำเด็กสาวเข้าไปในร้าน หากแต่เดินไปไม่ถึงสามก้าวก็หมุนตัวกลับออกมาอีกรอบ หญิงสาวที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังโดยไม่ทันระวังตัวจึงปะทะเข้ากับหน้าอกกว้างของกำแพงยักษ์เต็มแรง หากแต่คราวนี้เธอไม่ได้ล้มลงกองกับพื้นดังครั้งแรก เพราะถูกอ้อมแขนของกำแพงยักษ์โอบประคองเอาไว้อย่างง่ายดาย

“ชานนท์ ธีระ เรียกให้คนเอาของไปเก็บ แล้วขึ้นออฟฟิศไปก่อนได้เลย ที่นี่การ์ดเยอะแยะ คงไม่มีใครมาทำอะไรฉันได้หรอก”

“ครับนาย” สองคนสนิทรับคำแล้วจึงเดินแยกออกไป

กฤตภาสเหล่ตามองคนในอ้อมแขนที่กำลังหลุบตามองพื้นคล้ายคนทำผิดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ฉันว่าเธอน่าจะยืนเองได้แล้วนะ”

“คะ?” มินตราเผลอเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเบิกตากว้าง ลนลานยืดตัวขึ้นยืนตรงทันที “ขอโทษค่ะ”

“งั้นเธอเดินนำดีกว่า ขืนเดินตามฉัน เดี๋ยวคงได้ล้มอีกรอบ”

มินตราได้แต่นึกค้านอยู่ในใจว่าเป็นเพราะเธอเสียเมื่อไหร่ เหตุที่ต้องล้มบ่อยๆ แบบนี้ก็เป็นเพราะเขานั่นแหละ ที่คิดจะเดินก็เดิน คิดจะหยุดก็หยุด โดยไม่ส่งสัญญาณบอกกล่าวล่วงหน้า

“อยากทานอะไรสั่งได้เลยนะ” ผู้ปกครองเอ่ยบอก ขณะกางเมนูอาหารออก โดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งเฝ้าสังเกตการณ์เขาและเด็กในปกครองตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาในห้างแล้ว

“ท่านรองคะ” เสียงเรียกที่ไม่ดังมากนักจากหญิงสาวในชุดทำงานสีขาว ท่าทางปราดเปรียว ดังขึ้นข้างโต๊ะ

“คุณพรีม” กฤตภาสพับเมนูอาหารวางลงพร้อมกับย่นคิ้วเล็กน้อย “มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

“คือพรีม...พรีมมีเรื่องจะหารือกับท่านรองค่ะ” พริมา บุตรสาวของผู้บริหารอาวุโสรุ่นบุกเบิกท่านหนึ่งของบริษัท และตอนนี้เธอเข้ามาทำงานที่นี่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด ตอบเสียงสดใสทั้งที่ในใจนั้นร้อนรุ่ม

“หารือเรื่องอะไรครับ ด่วนมากถึงกับต้องมาดักเจอในร้านอาหารเลยหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น

“เอ่อ พอดีพรีมลงมาทำธุระ แล้วบังเอิญเจอท่านรองพอดี ก็เลย...” พริมาแก้ตัวเสียงตะกุกตะกัก

“ธุระ” ชายหนุ่มทวนทำ พร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “นี่ยังไม่ถึงเวลาพัก คุณเอาเวลางานลงมาทำธุระส่วนตัวงั้นหรือ”

“เอ่อ ธุระเรื่องงานค่ะ” พริมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ วันนี้เธอเข้างานสาย แล้วบังเอิญว่าเดินทางมาถึงโภคินเพลสพร้อมกับที่รถของท่านรองประธานบริหารเคลื่อนเข้ามาพอดี ดังนั้นเธอจึงรีบจอดรถแล้วเดินตามหมายจะเข้ามาทักทาย แต่ด้วยวันนี้เจ้านายที่เธอชื่นชมในความเก่งจนกลายมาเป็นความรัก กลับพาเด็กนักศึกษาที่ไหนก็ไม่รู้ตามมาด้วย  จากเดิมแค่อยากจะเข้ามาทักทาย จึงกลายเป็นการสะกดรอยตามไปโดยปริยาย

“งั้น...คุณโทร. เช็กคิวผมกับคุณนารีได้เลย”

“คุยตอนนี้ไม่ได้หรือคะ”

“ไม่ได้ครับ จะคุยเรื่องงานก็ต้องผ่านเลขาฯ คุณนารีเธอต้องตรวจดูความเรียบร้อยเบื้องต้นก่อน” ชายหนุ่มตอบเสียงเข้ม ก่อนจะเปิดเมนูอาหารขึ้นอีกครั้ง โดยมีสายตาสองคู่จับจ้องไม่ห่าง คู่แรกจากหญิงสาวนามว่าพริมาที่ส่งสายตาตัดพ้ออย่างเก็บไม่มิด ส่วนคู่ที่สองจากเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเริ่มหวาดหวั่นในรัศมีอารมณ์ขุ่นมัวของผู้ปกครอง อีกทั้งยังรู้สึกเห็นใจผู้หญิงใบหน้าสวยที่โดนดุซึ่งๆ หน้าแบบนี้

 “เธออยากกินอะไรมินตรา” ชายหนุ่มเอ่ยถาม หลังจากพริมาเดินคล้อยหลังออกไปแล้ว ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าหญิงสาวผู้นี้คาดหวังสิ่งใด หากแต่ความฉลาดและความคล่องแคล่วของเธอ ก็ทำให้เขาไว้ใจมอบหมายงานสำคัญให้รับผิดชอบอยู่ร่ำไป

“เอ่อ...” หญิงสาวทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะยกเมนูอาหารขึ้นมาบังฝั่งที่มีพนักงานยืนรอให้บริการอยู่ แล้วยื่นหน้าออกไปฝั่งตรงข้ามพร้อมกับกระซิบกระซาบเสียงเบา “อะไรก็ได้ค่ะ หนูไม่รู้จักอะไรสักอย่าง”

“หืม เธอยังไม่เคยทานอาหารญี่ปุ่นเลยหรือ”

 มินตราพยักหน้าน้อยๆ กฤตภาสส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยกระเซ้า “ฉันก็ลืมไปว่าเธอคือทายาทน้องบัว ที่เป็นเซียนอาหารไทย”

มินตราแอบย่นจมูก แล้วหันไปส่งยิ้มให้พนักงานที่ยืนรอรับออร์เดอร์อยู่

กฤตภาสสั่งอาหารมาหลากหลายเมนู เพื่อให้มินตราได้ลองลิ้มรสดู เด็กสาวนั่งมองอาหารรูปร่างหน้าตาแปลกที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยความตื่นตาตื่นใจ

ผู้ปกครองนั่งอมยิ้มมองเด็กสาวที่กำลังคีบข้าวปั้นขึ้นมามอง พลิกซ้ายพลิกขวาแล้วค่อยๆ ยกขึ้นสูดดมกลิ่น พร้อมกับหลับตาพริ้มอย่างนึกเอ็นดูในท่าทางที่เก็บอาการไม่อยู่เมื่อได้พบเห็นสิ่งใหม่ๆ

“ลองจิ้มกับซอสนี่สิ” กฤตภาสผายมือไปยังชามขนาดเล็กที่เขาใส่วาซาบิกับซอสลงไปผสมกันเรียบร้อยแล้ว

มินตราพยักหน้า แล้วลดมือที่ถือตะเกียบลง หญิงสาววางข้าวปั้นลงในชามน้ำจิ้มจนชุ่ม ก่อนจะยกข้าวปั้นชิ้นนั้นเข้าปาก โดยมีสายตาของคนตรงข้ามมองตามด้วยความตกใจ หากแต่จะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว

เมื่อข้าวปั้นที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำวาซาบิสัมผัสลิ้นน้อยๆ ของเธอ หญิงสาวก็น้ำหูน้ำตาไหล จนต้องรีบกลืนข้าวปั้นชิ้นโตลงคอ แล้วยกถ้วยชาเขียวขึ้นดื่มล้างปากอย่างรวดเร็ว

“คุณรองแกล้งหนู” มินตรายู่หน้า เมื่อเห็นผู้ปกครองนั่งยิ้มกว้างจนแทบจะเก็บอาการไม่อยู่

“เปล่า ฉันจะแกล้งเธอทำไม ใครจะคิดว่าเธอจะจิ้มซะชุ่มขนาดนั้น นี่เขาต้องทำแบบนี้” พูดพลางยื่นมือที่ถือตะเกียบออกไปคีบข้าวปั้นชิ้นใหม่ขึ้นมา แล้วแตะลงซอสเพียงเล็กน้อย ก่อนจะยกข้าวปั้นขึ้น ยื่นออกไปตรงหน้าของมินตรา เด็กสาวชะงักถอยหลังเล็กน้อย ก่อนจะยกตะเกียบของตนขึ้นมาเพื่อจะคีบข้าวปั้นต่อจากมือของเขา หากแต่ชายหนุ่มชักมือกลับเสียก่อน

“อ้าปากสิ จะคีบต่อได้ยังไง เดี๋ยวก็หล่นพอดี” กฤตภาสทำหน้าดุ มินตราจึงค่อยๆ โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากรอตามคำสั่ง พ่อนกป้อนข้าวปั้นชิ้นงามเข้าปากลูกนก แล้วกลับมานั่งตัวตรงมองดูลูกนกน้อยเคี้ยวอาหารที่เขาป้อนให้ตุ้ยๆ

 

ในขณะที่ผู้ปกครองและเด็กในปกครองกำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รับประทานอาหารร่วมกันอยู่นั้น หญิงสาวอีกคนที่แอบหลบอยู่ตรงมุมกระจกด้านนอกก็บีบมือตัวเองตามแรงอารมณ์ “ท่านรอง ทำไมถึงทำแบบนี้กับพรีมคะ” พริมากัดริมฝีปากตัวเอง พยายามตั้งสติแล้วเดินขึ้นไปยังออฟฟิศผู้บริหาร

“คุณนารีคะ” พริมาเอ่ยเรียกหญิงสาววัยกลางคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับจอคอมพิวเตอร์

“อ้าว คุณพรีม” นารี เลขานุการของกฤตภาส เงยหน้าขึ้นมองตามเสียง

“พรีมอยากขอเวลาท่านรองสักชั่วโมงค่ะ จะคุยเรื่องแผนการตลาดไตรมาสหน้า”

“คุณพรีมส่งแอ็กชันแพลนให้นาก่อนด้วยนะคะ ส่วนเรื่องเวลา...” นารีเปิดเอาต์ลุคขึ้นมาดูตารางของเจ้านาย “เป็นอังคารหน้า สิบโมงเช้าค่ะ”

“เร็วกว่านั้นไม่ได้หรือคะ” พริมาต่อรอง

“อืม...” เลขานุการร่างท้วมท่าทางใจดี เลื่อนหน้าจอเพื่อหาช่วงเวลาที่พอจะแทรกตารางได้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบหญิงสาวตรงหน้าอีกรอบ “เร็วสุดก็บ่ายนี้ค่ะ แต่ได้แค่ยี่สิบนาทีนะคะ ท่านรองต้องรีบออก”

“ยี่สิบนาทีก็ได้ค่ะ” พริมาตอบอย่างรวดเร็ว

“งั้นรบกวนคุณพรีมส่งเอกสารให้นาตอนนี้เลยนะคะ นาจะได้รีบตรวจก่อนที่ท่านจะขึ้นมา”

“เอ่อ...วันนี้ท่านรองรีบออกไปไหนหรือคะ” พริมาเอ่ยถามเรื่องส่วนตัวของผู้เป็นนายด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนนารีแอบลอบถอนหายใจ

“ไม่ทราบค่ะ ท่านไม่ได้แจ้งไว้ เห็นคุณชานนท์ลงในตารางแค่ว่า ‘นัดส่วนตัว’ ” นารีเน้นย้ำคำว่า ‘นัดส่วนตัว’ จนคนถามได้แต่ส่งยิ้มแห้งกลับมา

“อ๋อค่ะ” พริมาตอบรับเสียงอ่อย  ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตน

“เฮ้อ คุณพรีมนะคุณพรีม” นารีถอนหายใจ พริมาเป็นคนสวยและเก่งมากคนหนึ่ง หากยอมรับไมตรีจากหนุ่มๆ ที่แวะเวียนมาขายขนมจีบ ป่านนี้คงได้มีครอบครัวไปแล้ว แต่ไม่เลย เพราะตั้งแต่เธอเรียนจบและเข้ามาทำงานที่นี่ สายตาของเธอก็มีไว้สำหรับมองท่านรองประธานแต่เพียงผู้เดียว

 

ทางฝั่งผู้ปกครองและเด็กในปกครองที่เพิ่งมีโอกาสได้ใช้เวลาบนโต๊ะอาหารร่วมกันเป็นครั้งแรก ก็เพลิดเพลินเสียจนหลงลืมเวลาว่าผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนแล้ว กฤตภาสคอยชี้ชวนให้มินตราลองลิ้มชิมรสเมนูบนโต๊ะจนครบทุกจาน ส่วนมินตราเองก็ตั้งใจกินอย่างเอร็ดอร่อยไม่ห่วงสวย อีกทั้งยังกินเยอะเสียจนผู้ชายตัวโตๆ ยังสู้ไม่ได้

 “นี่น้องบัวถ่ายทอดวิชาให้เธอเยอะขนาดนี้เลยหรือเนี่ย” กฤตภาสทำตาโต เมื่อได้ฟังเด็กสาวเล่าถึงสิ่งที่บัวบูชาอบรมและถ่ายทอดวิชาการบ้านการเรือนให้แบบครบถ้วนทุกกระบวนความ ในเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

“ค่ะ พี่บัวบอกว่าให้หัดไว้ วันหน้าจะได้ทำให้คุณๆ ทาน”

“แล้วรู้หรือว่าพวกฉันชอบทานอะไร”

“ก็ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ จำไปค่ะ”

“ว่าแต่...ฉันยังไม่เคยชิมฝีมืออาหารชาววังของเธอเลยนะ” กฤตภาสเอ่ยเชิงตัดพ้อ

“หนูเคยทำตั้งโต๊ะแทนพี่บัวเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่วันนั้นคุณรองติดประชุมด่วน หนูอุ่นอาหารรอสองรอบจนดึก แล้วคุณรองก็ยังไม่กลับ หนูเลยไปนอนค่ะ” มินตราตอบเสียงอ่อย วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอทำอาหารชาววังขึ้นโต๊ะแทนบัวบูชาที่มีอาการแพ้ท้องอย่างหนัก เธอตั้งใจแสดงฝีมืออย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้ทุกคนได้ลิ้มลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีพระคุณที่นั่งอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ เธอถึงกับนั่งแกะสลักผักแต่งจานรออย่างสวยงาม แต่แล้วฝันก็สลาย เพราะผู้ปกครองเกิดมีประชุมติดพันจนดึก

“ฉัน...” กฤตภาสสัมผัสได้ถึงความน้อยใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธอขณะเล่า “ขอโทษที่ทำให้เธอรอเก้อ งั้นเย็นนี้เธอทำอาหารแบบวันนั้นอีกได้ไหม ฉันอยากลองชิม ดูซิว่าฝีมือจะเหมือนครูของเธอหรือเปล่า” กฤตภาสอมยิ้ม ก่อนจะแอบท้าทายในท้ายประโยค

“ได้ค่ะ” มินตรารับคำด้วยน้ำเสียงสดใส ใบหน้าเจือยิ้ม จนชายหนุ่มอดอมยิ้มตามไม่ได้

“แล้ว...อาหารญี่ปุ่นทำยากหรือเปล่าคะ” เด็กสาวเอ่ยถาม

“ไม่ยากหรอก เธออยากหัดหรือ” กฤตภาสถาม

เด็กสาวพยักหน้าหงึกๆ ตอบรับ ขณะคีบข้าวปั้นชิ้นใหม่เข้าปาก

“ฉันพอจะทำข้าวปั้นเป็น งั้น...เย็นนี้เธอสอนฉันทำอาหารไทยชาววัง ส่วนฉันก็จะสอนเธอทำข้าวปั้น ดีไหม”

“ค่ะ ดีค่ะ” มินตรายิ้มกว้าง

“งั้นก็รีบเคลียร์อาหารพวกนี้ให้หมด แล้วไปหาซื้ออุปกรณ์กัน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น